กระดานสนทนาวัดบางพระ

หมวด มิตรไมตรี => รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) => ข้อความที่เริ่มโดย: ลูกผู้ชายตัวจริง ที่ 02 เม.ย. 2550, 10:34:32

หัวข้อ: พระประวัติกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ "องค์บิดาแห่งกองทัพเรือ"
เริ่มหัวข้อโดย: ลูกผู้ชายตัวจริง ที่ 02 เม.ย. 2550, 10:34:32
 พระประวัติกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์

 "องค์บิดาแห่งกองทัพเรือ"

 

กำลังรบทางเรือของไทย   มีกำเนิดมาควบคู่กับ การสร้างอาณาจักรไทย ตั้งแต่สมัยสุโขทัย  แต่ในอดีตไม่ได้มี การแบ่งแยกเป็น กองทัพบก หรือกองทัพเรือ ดังเช่นปัจจุบัน  เมื่อยาตราทัพไป ทางบก เพื่อทำสงครามก็เรียกว่า " ทัพบก "    หากเมื่อยาตราทัพ ไปทางเรือ ก็เรียกว่า   " ทัพเรือ " ในอดีต และปัจจุบันทหารเรือ ได้ยกย่อง พล.ร.อ. พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ เป็น " องค์บิดาแห่งกองทัพเรือ " ซึ่งนับเป็น การเทิดทูน พระเกียรติคุณ อย่างสูงสุด เนื่องจากพระองค์ ได้ทรงนำความ เจริญรุ่งเรือง มาสู่กองทัพเรือ และ ประเทศชาติ โดยทรงวางรากฐาน การบริหารงานของกองทัพเรือ  ระเบียบวิธีปฏิบัติต่าง ๆ ภายในกองทัพเรือ  จนทำให้ทัพเรือไทย มีความทันสมัย มีมาตรฐาน และ เจริญก้าวหน้า ทัดเทียมกับ อารยะประเทศ มาจวบจนทุกวันนี้ พล.ร.อ.พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ ทรงมี พระนามเดิมว่า " พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ " เป็นพระราชโอรสองค์ที่ 28 ใน พระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประสูติเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2423 เป็นพระเจ้าลูกยาเธอองค์ที่ 1 ในเจ้าจอมมารดาโหมด ธิดาเจ้าพระยาสุรวงศ์ไวยวัฒน์ (  วร  บุนนาค  ) ผู้บัญชาการทหารเรือวังหลวง

 

 พล.ร.อ.พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพร เขตรอุดมศักดิ์ เป็นเจ้านายพระองค์แรก ที่สำเร็จการศึกษา วิชาการทหารเรือ  จากประเทศอังกฤษ พระองค์ทรงมีจุดประสงค์ อันแรงกล้าที่จะฝึก ให้ทหารเรือไทย เดินเรือทะเลได้อย่างชาวต่างประเทศ และ สามารถทำการรบ ทางเรือได้เนื่องจากในอดีต ประเทศไทย ได้ว่าจ้างชาวต่างชาติ มาเป็นผู้บังคับการเรือ มาโดยตลอด แม้แต่ในคราวที่ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ เสด็จประพาสฯ ยุโรปครั้งแรก ก็ยังได้ว่าจ้าง " กัปตันคัมมิ่ง" และคณะนายทหาร เรืออังกฤษ เป็นผู้เดินเรือ ภายหลังจากที่พล.ร.อ. พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ สำเร็จการศึกษา และเข้ารับราชการ ทหารเรือแล้ว พระองค์ได้แก้ไข ปรับปรุงระเบียบการ  ในโรงเรียนนายเรือ ทรงเป็นครูสอนนักเรียนนายเรือ และริเริ่มการใช้ ระบบการปกครองบังคับบัญชา ตามระเบียบ การปกครองในเรือรบ คือการแบ่งให้นักเรียนชั้นสูง บังคับบัญชารองลงมา นอกจากนี้ยังทรงจัดเพิ่ม วิชาสำคัญสำหรับชาวเรือขึ้นเพื่อให้สำเร็จการศึกษา สามารถเดินเรือ ทางไกลในทะเลน้ำลึกได้คือ วิชา ดาราศาสตร์ ตรีโกณมิติ อุทกศาสตร์ การเดินเรือเรขาคณิต พีชคณิต ฯลฯ

 

 ในปี 2462 พระองค์ทรงเป็นผู้บังคับการเรือ โดยนำเรือหลวงพระร่วงจากประเทศอังกฤษ เข้ามายังกรุงเทพมหานคร นับเป็นครั้งแรกที่นายทหารเรือไทย เดินเรือได้ไกลข้ามทวีป ที่สำคัญพระองค์ทรงเป็นหัวเรี่ยวหัวเเรงที่สำคัญ

ที่ทำให้พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง ทรงเห็นความสำคัญ และโปรดเกล้าฯ พระราชทาน พระราชวังเดิม ให้เป็นที่ตั้งของโรงเรียนนายเรือ เมื่อ วันที่  20  พ.ย. 2449 ทำให้กิจการทหารเรือมี รากฐานมั่นคงนับตั้งแต่บัดนั้น

และกองทัพเรือจึงยึดถือ วันดังกล่าวของทุกปีเป็น "วันกองทัพเรือ" จากการที่พระองค์ ทรงเป็นนักยุทธศาสตร์ ที่เล็งเห็นการไกล พระองค์ได้ทูลเกล้าฯ ขอพระราชทานที่ดินบริเวณอำเภอสัตหีบ เพื่อสร้างเป็นฐานทัพเรือ

เนื่องจากทรงพิจารณาแล้วเห็นว่า อ่าวสัตหีบเป็นอ่าว ที่มีขนาดใหญ่ น้ำลึกเหมาะแก่การฝึกซ้อม ยิงตอร์ปิโดได้และเกาะน้อยใหญ่ ที่รายล้อมรอบสามารถบังคับคลื่นลมได้เป็นอย่างดี อีกทั้งเรือภายนอกเมื่อแล่นผ่าน

พื้นที่ดังกล่าว จะไม่สามารถมองเห็นฐานทัพได้เลย นอกจากพระองค์ ทรงเป็นนักยุทธศาสตร์แล้ว ด้านการแพทย์พระองค์

ทรงศึกษาค้นคว้าอย่างจริงจัง และเสด็จไปรักษาโรคภัยไข้เจ็บ ให้กับประชาชนด้วยพระองค์เอง ไม่ว่าเป็นคนไทยหรือคนจีน จนกระทั่งชาวจีนย่านสำเพ็ง มีความทราบซึ้ง ในพระกรุณาธิคุณ  และได้เรียกพระองค์ท่านว่า "เตี่ย" ซึ่งหมายถึงพ่อ

ทำให้ในเวลาต่อมาทหารเรือได้เรียกพระองค์ว่า "เสด็จเตี่ย" สำหรับในหมู่คนไข้ชาวไทย ที่พระองค์รักษานั้น มักจะเรียกขานนามพระองค์ว่า "หมอพร"

 

พล.อ.ร.พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ทรงประชวร และสิ้นพระชนม์ ในขณะที่ประทับอยู่ที่หาดทรายรี ปากน้ำเมืองชุมพร เมื่อวันที่ 19 พ.ค. 2466 เวลา 11.40 น. ยังความโศกเศร้ามาสู่บรรดาทหารเรือยิ่งนัก

 

 

บันทึกของเสด็จใน

กรมหลวงชุมพร เขตรอุดมศักดิ์

 

เจอบันทึกนี้ให้เอาคำต่อไปนี้ของกูไปประกาศให้คนรู้ว่า

"กูกรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักด์"

ผู้เป็นโอรสของพระปิยมหาราช ขอประกาศให้พวกมึงรับรู้ไว้ว่า

แผ่นดินสยามนี้ บรรพบุรุษ ได้เอาเลือดเอาเนื้อเอาชีวิตแลกไว้

ไอ้อีมันผู้ใด คิดชั่วร้ายทำลายแผ่นดิน ทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

ฤา กระทำการทุจริต ก่อให้เกิดความเดือดร้อนต่อส่วนรวม

จงหยุดการกระทำนั้นเสียโดยเร็ว

ก่อนที่ที่กูจะสั่งทหารผลาญสิ้นทั้งโคตรให้หมดเสนียดของแผ่นดินสยาม

อันเป็นที่รักของกู

ตราบใดที่คำว่า "อาภากร"

ยังยืนหยัดอยู่ในโลก กูจะรักษาผืนแผ่นดินสยามของกู

ลูกหลานทั้งหลาย แผ่นดินใดให้เรากำเนิดมา

มิให้อนาทรร้อนใจ จงซื่อสัตย์ต่อแผ่นดินนั้น

แผ่นดินใดที่ให้ซุกหัวนอน ให้ความร่มเย็นเป็นสุข

มิให้อนาทรร้อนใจ จงซื่อสัตย์ต่อแผ่นดินนั้น

 

จากหนังสืออนุสรณ์พระนคร '39

 

   แม้นว่าพระองค์จะสิ้นพระชนม์มาเป็นเวลานานแล้วก็ตาม

แต่พระราชกรณียกิจและคุณงามความดีของพระองค์

ที่ทรงมีต่อประเทศชาตินั้น  ยังคงจารึกไว้ในความทรงจำ

ของปวงชนชาวไทยอยู่อย่างมิลืมเลือน

ความเลื่อมใสศรัทธาของชาวไทยที่มีต่อพระองค์นั้น

จะเห็นได้จากอนุสาวรีย์และศาลของพระองค์ที่มีมากมาย

ทั่วประเทศกว่า  120  แห่ง
หัวข้อ: ตอบ: พระประวัติกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ "องค์บิดาแห่งกองทัพเรือ"
เริ่มหัวข้อโดย: ลูกผู้ชายตัวจริง ที่ 02 เม.ย. 2550, 10:38:56
กรมหลวงชุมพร เขตรอุดมศักดิ์

 

เจอบันทึกนี้ให้เอาคำต่อไปนี้ของกูไปประกาศให้คนรู้ว่า

"กูกรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักด์"

ผู้เป็นโอรสของพระปิยมหาราช ขอประกาศให้พวกมึงรับรู้ไว้ว่า

แผ่นดินสยามนี้ บรรพบุรุษ ได้เอาเลือดเอาเนื้อเอาชีวิตแลกไว้

ไอ้อีมันผู้ใด คิดชั่วร้ายทำลายแผ่นดิน ทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

ฤา กระทำการทุจริต ก่อให้เกิดความเดือดร้อนต่อส่วนรวม

จงหยุดการกระทำนั้นเสียโดยเร็ว

ก่อนที่ที่กูจะสั่งทหารผลาญสิ้นทั้งโคตรให้หมดเสนียดของแผ่นดินสยาม

อันเป็นที่รักของกู

ตราบใดที่คำว่า "อาภากร"

ยังยืนหยัดอยู่ในโลก กูจะรักษาผืนแผ่นดินสยามของกู

ลูกหลานทั้งหลาย แผ่นดินใดให้เรากำเนิดมา

มิให้อนาทรร้อนใจ จงซื่อสัตย์ต่อแผ่นดินนั้น

แผ่นดินใดที่ให้ซุกหัวนอน ให้ความร่มเย็นเป็นสุข

มิให้อนาทรร้อนใจ จงซื่อสัตย์ต่อแผ่นดินนั้น
หัวข้อ: ตอบ: พระประวัติกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ "องค์บิดาแห่งกองทัพเรือ"
เริ่มหัวข้อโดย: ๛พุทธานุภาพ๛ ที่ 02 เม.ย. 2550, 10:40:45
แน่ไม่แน่ ........ อาจารย์ เสด็จเตี่ย ก็ หลวงปู่ ศุข ปากคลองมะขามเฒ่า พระผู้เฒ่า เรืองวิชาแห่ง เมืองชัยนาทบุรี
หัวข้อ: ตอบ: พระประวัติกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ "องค์บิดาแห่งกองทัพเรือ"
เริ่มหัวข้อโดย: ลูกผู้ชายตัวจริง ที่ 02 เม.ย. 2550, 10:53:37
ใช่ครับ

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]
หัวข้อ: ตอบ: พระประวัติกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ "องค์บิดาแห่งกองทัพเรือ"
เริ่มหัวข้อโดย: ลูกผู้ชายตัวจริง ที่ 02 เม.ย. 2550, 10:55:56
หลวงพ่อศุขลงตะกรุดสามกษัตริย์เรื่องของไสยศาสตร์ อิทธิปาฏิหาริย์ต่าง ๆ มีมาช้านานแล้ว เป็นเรื่องที่ไม่สามารถให้เหตุผลได้ว่า เป็นไปได้หรือไม่จริงหรือไม่จริงเพียงไร แม้ปัจจุบันวิทยาศาสตร์ จะก้าวไปไกลถึงต่างโลกต่างด้าวแล้ว ก็ ยังไม่มีใครมาอธิบายเรื่องราวเกี่ยวกับอิทธิปาฏิหาริย์ ไสยศาสตร์ให้เรารู้เรื่องแจ่มชัดได้

เรื่องของไสยศาสตร์นี้ มิใช่จะเชื่อกันเฉพาะประเทศทางแถบบ้านเราแม้ฝรั่งเองก็มีอยู่ไม่น้อย จะเห็นได้จากเรื่องราวต่าง ๆ ที่ปรากฏในหนังสือและภาพยนตร์ของเขา ทั้งเรื่องของอดีตและปัจจุบัน

ในประวัติศาสตร์พงศาวดารและเกร็ดต่าง ๆ ของไทยเราองค์พระมหากษัตริย์ผู้ทรงพระปรีชาสามารถ จะเป็นในทางการรบหรือในทางอื่นใดมักจะมีพระอาจารย์ที่มีวิชาแก่กล้าอาคมขลังควบคู่ไปด้วยเสมอ

แม้แต่ชีวิตละครตัวเอก ๆ ในวรรณคดีไทย จะเป็นขุนช้างขุนแผน พระอภัยมณี รามเกียรติ เกจิอาจารย์จะเข้ามามีบทบาทอยู่มากมายพอสมควร

ในปจจุบัน เรามีอาจารย์ที่ทรงคุณวิเศษเป็นที่พึ่งอยู่มาก อย่างน้อยก็ได้ที่พึ่งทางใจเป็นปฐม ทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่และที่ถึงแก่มรณภาพไปแล้ว เช่น หลวงปู่ทวด วัดช้างให้ ปัตตานี หลวงพ่อแดง วัดเขาบันไดอิฐ เพชรบุรี พระครูบาศรีวิชัย เชียงใหม่ ฯลฯ

ในบรรดาคณาจารย์ดังกล่าว ผู้ที่เรามีความประสงค์อย่างยิ่งที่จะกล่าวถึงด้วยความเคารพและนับถืออย่างสูงสุด คู่ไปกับเสด็จพ่อกรมหลวงชุมพรฯ คือ พระคุณเจ้าหลวงพ่อวัดมะขามเฒ่าพระอาจารย์เอกของศิษย์เอกกรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์

หลวงพ่อวัดมะขามเฒ่า นามเดิมว่า ศุข สมณศักดิ์เป็นพระครูวิมลคุณากรจากหนังสือบางเล่มกล่าวว่า หลวงพ่อเป็นชาวสุพรรณ แต่ก็ยังมีอีกหลายเล่มรวมทั้งหนังสือป้อมปราการ ฉบับที่ 6 ประจำวันจันทร์ที่ 27 พฤษภาคม 2517 เรื่องพระประวัติอภินิหารพระเครื่องหลวงพ่อศุข วัดมะขามเฒ่า กรมหลวงชุมพรฯ รวบรวมโดย บุรี รัตนา ยืนยันว่าหลวงพ่อเป็นชาวอำเภอสิงห์ จังหวัดชัยนาท ในหนังสือเล่มนี้อธิบายว่า ตรงปากคลอง อำเภอวัดสิงห์ซึ่งแม่น้ำเจ้าพระยากับท่าจีนมาพบกัน ทางฝั่งเจ้าพระยาเป็นที่ตั้งของวัดปากคลองมะขามเฒ่าและบ้านของท่านอยู่ทางด้านใต้ของวัดนี้

บิดาของหลวงพ่อชื่อ น่วม มารดาชื่อทองดี เกศเวชสุริยา มีพี่น้องร่วมบิดามารดา 9 คน หลวงพ่อเป็นลูกชายคนโต เมื่ออายุได้ 7 ขวบ ได้เป็นเด็กวัดมะขามเฒ่า เรียนหนังขอมและไทยได้ชัดเจน จนอายุ 18 ปี หลวงพ่อหรือนัยหนึ่ง "หนุ่มศุข" พบรักและได้อยู่กินกับสาวสวยชื่อ สมบูรณ์ เป็นชาวบางเขน กรุงเทพฯ มีบุตรชาย 1 คน ชื่อสอน เมื่อหนุ่มศุขหรือพ่อศุขอายุ 20 ปีบริบูรณ์ก็บวช จนมรณภาพในปี พ.ศ. 2466

เมื่อปฐมวัยเด็กชายศุขชอบกระโดดน้ำ มักว่าน้ำเกาะเรือโยงเล่นเหมือน ๆ กับเด็กชาย ลูกแม่น้ำคนอื่น ๆ จนมารดาทำโทษไม่ให้ขึ้นจากท่าน้ำ จะเป็นด้วยโกรธหรือน้อยใจมารดา ก็ไม่ทราบได้เด็กชายศุขเกาะเรือโยงขออาศัยเดินทางเข้ากรุงเทพฯ ทิ้งความรักความห่วงใยของมารดาไว้เบื้องหลัง

จากเด็กชายศุขมาเป็นพระภิกษุศุข ผู้พร้อมด้วยศีลาจริยวัตรอันงดงาม ท่านเดินทางกลับบ้านวัดสิงห์ พบมารดาซึ่งป่วยเรื้อรังมานาน ทั้งคู่ต่างดีใจอย่างเหลือล้นเมื่อได้พบกัน โยมมารดาของท่านหน้าตาแช่มชื่น ท่านก็เต็มตื้นอิ่มเอิบทั้งคู่ต่างก็ปราโมทย์สุขสบายใจ

ต่อจากนั้นท่านมิได้ทิ้งมารดาและชาววัดสิงห์ไปไหนอีกเลย คงจำพรรษาอยู่ในวิหารเก่าแก่ทรุดโทรม ของวัดอู่ทอง ปากคลอง มะขามเฒ่า (อีกนัยหนึ่ง คือ วัดมะขามเฒ่า) นั่นเอง จนกระทั่งเสด็จพ่อกรมหลวงชุมพรฯ เสด็จดั้นด้นมาพบท่านในวันหนึ่ง

เสด็จพ่อกรมหลวงชุมพรฯ ทรงเลื่อมใสในไสยศาสตร์อยู่ก่อนแล้ว เมื่อพระองค์เจ้าวิบูลพรรณ ได้ถวายพระเครื่องซึ่งนับถือกันว่ามีความศักดิ์สิทธิ์เป็นยอดตกทอดมาตั้งแต่วังหน้าแด่พระองค์ หลังจากทรงทดสอบความศักดิ์สิทธิ์ของพระเครื่องและได้ทอดพระเนตรเห็นคุณานุภาพแล้ว จึงทรงเลื่อมใสในเรื่องไสยศาสตร์ยิ่งขึ้น ต่อจากนั้นได้เสด็จไปตามที่ต่าง ๆ เพื่อเสาะหาพระอาจารย์ผู้ทรงคุณวิเศษเพื่อทรงขอศึกษาวิชาการทางด้านนี้

ครั้งหนึ่งเสด็จแปรพระราชฐานภาคเหนือกลับทางเรือล่องตามแม่น้ำเจ้าพระยาแยกออกจากท่าจีนที่ชัยนาทลงมาเรื่อย ๆ จนเข้าเขตวัดมะขามเฒ่าเรือเกิดติดขัดอยู่ตรงนั้น โดยหาสาเหตุมิได้รับสั่งให้ชะลอเรือและจอดที่ท่าวัดมะขามเฒ่านั่นเอง ที่นั่นได้ทอดพระเนตรเห็นหลวงพ่อศุขเสกหัวปลีให้เป็นกระต่าย เสด็จพ่อกรมหลวงชุมพรฯ ได้ทรงปรึกษาไต่ถามหลวงพ่อศุข ก็ทูลถึงวิธีการเสกให้ทรงทราบ มิได้ปดบังและหลังจากที่หลวงพ่อศุขได้ เสกหัวปลีให้เป็นกระต่ายแล้วยังได้เสกพลทหาร ของเสด็จพ่อกรมหลวงชุมพรฯ (หลังจากเจ้าตัวยินยอมให้เสกแล้ว) เป็นจระเข้ให้ทอดพระเนตรอีกด้วย

เมื่อเสด็จพ่อกรมหลวงชุมพรฯ ทอดพระเนตรเห็นอิทธิปาฎิหาริย์อันสูงสุดของหลวงพ่อศุขก็ทรงนมัสการด้วยความคารวะอย่างบริสุทธิ์ใจฝากองค์เป็นลูกศิษย์แต่นั้นเป็นต้นมา

หลวงพ่อศุข หรือนัยหนึ่งหลวงพ่อวัดมะขามเฒ่านั้น เล่ากันว่า ท่านสำเร็จธาตุ ทั้ง 4 คือ ปฐวี อาโป วาโย และเตโช สามารถจะเสกอะไรให้เป็นอะไรก็ได้ทั้งสิ้นอีกทั้งการล่องหน หายตัว กำบังกาย ระเบิดน้ำ สะเดาะโซ่ตรวนก็เชี่ยวชาญ วิชามายาศาสตร์อีกมากมายเล่าก็จัดเจน ตัวอย่างที่ยกมา กล่าวอ้างนั้นเพียงน้อยนิดอิทธิฤทธิ์ของท่านยังมีอีกมากนัก

หลวงพ่อศุขลงตะกรุดสามกษัตริย์ให้เสด็จพ่อฯ

การที่หลวงพ่อศุขพระอาจารย์ของเสด็จพ่อฯ กระทำพิธีลงตะกรุดสามกษัตริย์ให้เสด็จพ่อฯ จางวางถึกเล่าให้ฟังว่า

เมื่อเสด็จพ่อฯ ไปถึงวัดมะขามเฒ่าเป็นเวลา 12.00 น.เศษ หลวงพ่อศุขได้เชิญเสด็จพ่อฯ เสด็จขึ้นประทับบนกุฏิได้สนทนากันอยู่พักหนึ่งแล้ว หลวงพ่อศุขก็พูดกับเสด็จพ่อฯ ว่า

"วิชาอาคมต่าง ๆ อาตมาภาพก็ได้ประสิทธิ์ประสาทให้พระองค์ไว้มากแล้วแต่ยังขาดของสําคัญอีกสิ่งหนึ่งซึ่งพระองค์จะขาดเสียมิได้จะต้องติดไว้กับพระองค์เสมอเป็นของวิเศษมีอภินิหารมาก จะปรารถนาสิ่งใดได้ทุกประการ อาตมาได้ตระเตรียมสิ่งของที่จะทำให้พระองค์แล้วซึ่งมีแผ่นโลหะ คือเงินหนัก 1 บาท นากหนัก 1 บาท ทองคำหนัก 1 บาท ทั้งสามสิ่งนี้เรียกว่า "สามกษัตริย์" สามารถแก้อาถรรพณ์ต่าง ๆ ได้ เมื่อลงเป็นตะกรุดแล้วเอาด้ายสายสิญจน์มาเสกแล้วควั่นร้อยผูกเอวหรือคล้องคอก็ได้ ของสิ่งนี้แหละจะได้ทำถวายพระองค์เดี๋ยวนี้"

เมื่อหลวงพ่อศุขพูดจบ เสด็จพ่อฯ ก็ก้มกราบทันที แล้วตรัสว่า

"เป็นพระคุณอย่างสูงที่ท่านอาจารย์ได้กรุณาต่อหม่อมฉัน"

หลวงพ่อศุขหันหน้ามายิ้มแล้วพูดว่า

"รอเดี๋ยวเข้าที่บูชาก่อน"

พูดแล้วก็เดินเข้าห้องจุดธูปเทียน ลมพัดควันกลบออกมาข้างนอก สักครู่หนึ่งแล้วเรียกเสด็จพ่อฯ เข้าไปในห้อง พักหนึ่งหลวงพ่อศุขเดินออกมาในมือถือเหล็กจารกับแผ่นโลหะ และ ด้ายควั่นสีขาวจุดเทียนลงจากกุฎิ เสด็จพ่อฯ ก็เสด็จตามลงมา มีจางวางถึกและทหารคนสนิทเดินตามมาด้วย หลวงพ่อเดินออกไปถึงศาลาน้ำหน้าวัดแล้วหันมาบอกกับเสด็จพ่อฯ ว่า

"พระองค์รออยู่ที่นี่ เดี๋ยวอาตมาจะระเบิดน้ำลงไปทำตะกรุดที่กลางแม่น้ำเดี๋ยวนี้"

เสด็จพ่อฯ เห็นพระอาจารย์สั่งเช่นนั้น ก็มิได้ตรัสอย่างไร เสด็จพ่อฯ และบริวารยืนตรงศาลาท่าน้ำ มองไปข้างหน้าเห็นแต่น้ำท่วมขาวนองเต็มตลิ่ง หลวงพ่อถือเทียนเล่มใหญ่ที่จุดไฟลุกแดง เดินลงจากบันไดศาลาท่าน้ำจมมิดลงไปในแม่น้ำ ทำให้จางวางถึกและเสด็จพ่อฯ ที่เห็นอยู่นั้นพากันตะลึงงันทั่วทุกคน และไม่มีใครพูดว่าประการใด ทุกคนหันมามอง เสด็จพ่อฯ ที่ทรงยืนทอดพระเนตรอยู่ แล้วหันกลับไปกลางแม่น้ำที่ไหลเชี่ยว ทุกคนยืนรอหลวงพ่อทำพิธีอยู่ประมาณ 1 ชั่วโมงเศษ หลวงพ่อศุขก็โผล่ศีรษะพ้นน้ำ เดินขึ้นจากบันไดศาลาท่าน้ำ ถือเทียนจุดลุกแดงโร่ผ้าสงบจีวรหาได้เปียกน้ำไม่ หลวงพ่อศุขหันมาสั่งเสด็จพ่อฯ ให้ขึ้นไปบนกุฏิแล้วตัวท่านเดินถือเทียนนำหน้าเสด็จพ่อฯ และบริวารเดินตามขึ้นไปบนกุฎิแล้วหลวงพ่อก็เดินเข้าไปในห้องบูชาเอาเทียนปักไว้ตรงหน้าที่บูชาจุดธูปเทียนบูชาแล้ว ออกมานั่งตรงอาสนะตรงกับเสด็จพ่อฯ แล้วหลวงพ่อก็ส่งตะกรุดสามกษัตริย์ให้เสด็จพ่อฯ พร้อมกับบอกว่า

"เก็บไว้ให้ดี ไปไหนก็ให้เอาติดตัวไปด้วยเก็บรักษาให้ดี ของสิ่งนี้ทำให้เสด็จในกรมฯ พระองค์เดียวเท่านั้น"

เสด็จพ่อฯ ทรงรับตะกรุด จากหลวงพ่อศุขแล้วก้มลงกราบแล้วตรัสถามว่า

"ท่านอาจารย์ ตะกรุดนี้เวลานำติดตัวไปมีห้ามอะไรบ้าง"

หลวงพ่อศุขตอบว่า

"ไม่มีข้อห้ามอะไร ทองคำตกอยู่ที่ไหนก็เป็นทองคำอยู่นั่นแหละ"

ต่อมาก็มีการสนทนาอีกเล็กน้อยหลวงพ่อก็เอาพระเครื่ององค์เล็กดำ ๆ มาแจกบริวารของเสด็จพ่อฯ แล้วก็ประพรมน้ำพระพุทธมนต์ให้เสด็จพ่อฯ และบริวารทั่วทุกคน เป็นเวลา 15.30 น.เศษ เสด็จพ่อฯ ก็ขอลา เสด็จลงเรือกลับในวันนั้นเอง

นายเทียบ อุทัยเวช เล่าว่าตะกรุดสามกษัตริย์นี้ เสด็จพ่อฯ ไม่เคยเอาออกห่างจากพระองค์เลย เคยเห็นเสด็จพ่อฯ นำติดพระองค์เสมอมา ตะกรุดสามกษัตริย์นี้ไปตกอยู่กับหม่อมเจ้ารังสิยากร ที่ทราบได้ก็เพราะเวลาก่อนเสด็จพ่อฯ จะสิ้นพระชนม์พระองค์ทรงหยิบตะกรุดสามกษัตริย์ออกจากที่คาดไว้มอบให้แก่หม่อมและรับสั่งว่า

"เอาเก็บไว้ให้เจ้าตุ่น"

ตุ่นนั้น คือ หม่อมเจ้ารังสิยากรโอรสของเสด็จพ่อนั่นเอง

ที่มา : หนังสือที่ระลึกในการสร้างพระตำหนักเสด็จในกรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ ณ บริเวณหาดทรายรี จ.ชุมพร : นายประมวล สาครพันธุ์ รวบรวม
ให้เสด็จพ่อฯ
หัวข้อ: ตอบ: พระประวัติกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ "องค์บิดาแห่งกองทัพเรือ"
เริ่มหัวข้อโดย: ลูกผู้ชายตัวจริง ที่ 03 เม.ย. 2550, 09:11:45
000

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]