ผู้เขียน หัวข้อ: เรื่องเล่า เข้าป่า...หา (แก้วโป่งขาม) ตามตำนานฯ  (อ่าน 35319 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

porvfc

  • บุคคลทั่วไป

ออกหาของกินตามป่าแล้วหาแก้วโป่งข่ามไว้ป้องกันภัยกันดีกว่า
จากเชียงใหม่ เรามุ่งตรงสู่จังหวัดลำปาง แต่ไม่เข้าตัวเมือง เลี้ยวเข้าเส้นทางอำเภอเถิน เพื่อไปยังบ้านแม่แก่ง ข่าวว่าที่นั้นมีแหล่งอาหารอันอุดมสมบูรณ์และมีแก้วโป่งข่ามของศักดิ์สิทธิ์
เส้นทางเข้าสู่หมู่บ้านสวยงามมาก น่าตื่นตากับป่าที่สลับกับทุ่งนาและภูเขาสองข้างทาง แสงสุดท้ายจากดวงอาทิตย์ในยามนี้งามนัก ทำให้หนึ่งในผู้ร่วมทาง บอกคนขับว่า ขับไปช้า ๆ และขับไปเรื่อย ๆ
เพราะเส้นทางสายนี้สวยเหลือเกิน

แนะนำเพื่อนร่วมทางกันสักนิด มีเพื่อนใหม่ ๆ ร่วมเดินทางไปด้วย สองหนุ่มสาวเป็นนักศึกษาปริญญาโทมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ อีกสาวเป็นนักข่าว และอีกหนึ่งหนุ่มเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารเพื่อสุขภาพ
เขาเขียนหนังสือเรื่องอาหารและสุขภาพมาหลายเล่ม ถึงบ้านแม่แก่ง เมื่อฟ้าเริ่มมืด ที่ร้านค้าเล็ก ๆ มีของวางขายด้านหน้า ของกินหลายอย่างมีละมุดลูกเล็ก ๆ พันธุ์พื้นบ้าน เนื้อน้อยแต่หวานชื่นใจ

บ้านเรือนส่วนใหญ่สร้างด้วยไม้ เป็นบ้านไม้สองชั้น และชั้นเดียวที่มีใต้ถุนสูง ทุกหลังจะมีกระจกทรงสูงประดับตกแต่งด้านบนแลดูทันสมัย และคงช่วยให้บ้านสว่างด้วย เกือบทุกบ้านริมรั้วหน้าบ้านมีทั้ง
ไม้ดอก ไม้ใบ และ ไม้กินได้ อาจจะเป็นเพราะบ้านคล้าย ๆ และเส้นทางในหมู่บ้านค่อนข้างวกวน เราจึงหลงทางขับรถวนหาบ้านที่จะไปพักอยู่นาน ใกล้จะมืดแล้วถามชายสูงวัยที่ถีบจักรยานผ่านมา
“ที่ผัวไปทำงานเมืองนอกใช่ไหม”แกถามกลับ  พวกเราตอบไม่ได้ว่าพี่เขามีผัวไปทำงานเมืองนอกหรือเปล่า? และเมื่อแกถามต่อว่า เธอเป็นลูกของใคร เราก็ตอบไม่ได้อีก  :062:
คนขับรถอารมณ์เสีย บ่นเบา ๆ ว่า ใครจะไปรู้ว่า ผัวใครไปทำงานเมืองนอก  :063:  หลายคนหัวเราะขำ ฉันก็หัวเราะด้วย แต่หลังจากหัวเราะไปแล้ว  ก็คิดได้  :004:  :004:  :004:
ลุงแกก็คงขำพวกเราเหมือนกันที่ไม่รู้อะไรเลย ถามอะไรก็ไม่รู้ ลูกใครก็ไม่รู้ :062:  :062:ผัวใครก็ไม่รู้ :062:  คนในชนบทเขาไม่ได้จำชื่อนามสกุลหรือตำแหน่งหน้าที่การงานเป็นสำคัญมากกว่า
เครือญาติ เขาจะรู้จักในนามว่า ลูกลุงคนนั้นหลานป้าคนนี้ ดังนั้นไม่ใช่เรื่องน่าขำเลย พวกเราต่างหากที่ห่างไกลและไม่รู้จักความเป็นท้องถิ่น
ในที่สุดเราก็หาที่พักในคืนนี้ เจ้าของบ้านหญิงสาวหน้าตาสดใส ชื่อน้ำฝน  :008: อยู่กับพ่อแม่และย่า ส่วนสามีไปทำงานเมืองนอก เธอชวนเข้าบ้านบอกว่ามีแกงไก่ให้กิน และชวนไปเก็บผักเพื่อเอามาทำอาหารเพิ่ม ถูกใจเพื่อนร่วมทางที่ไม่กินอาหารประเภทเนื้อทั้ง 3 คน พวกเขาออกเก็บผัก ถั่วผักยาวปลูกริมรั้วบ้าน เขียวสดพาดบนกำแพงปูน อีกด้านหนึ่งเป็นสารพัดผักของคุณยาย 
 

คืนนี้มีขนมมากมายให้ชิม  ขนมกล้วย ขนมเทียน ข้าวต้มมัด ขนมแตงไทยใส่สาคูเม็ดเล็ก ๆ ด้วย เป็นขนมที่มีกลิ่นหอมน่ากินมาก ๆ ขนมทุกอย่างห่อด้วยใบกล้วยและเป็นขนมประเภทนึ่ง  ทุกบ้านเขาจะทำขนมและเอามาให้กันเพราะมีเทศกาลงานบุญที่วัด เรื่องโชคดีมีเทศกาลงานบุญเกิดขึ้นกับฉันเสมอ ทั้งที่ก่อนเดินทางไม่ได้รู้มาก่อน ถือเป็นเรื่องพิเศษจริง ๆ

เช้าตื่นขึ้นมากินอึ่ง อาหารขึ้นชื่ออีกอย่างหนึ่งคืออึ่ง เชื่อหรือไม่ว่า น้องหนุ่มหล่อเป็นนักศึกษา. เขาสนใจและเดินทางมาที่นี่เพราะต้องการมากินอึ่ง และฉันก็เช่นเดียวกันกับเขา ด้วยเชื่อว่าเรื่องกินเรื่องใหญ่
จึงสนใจและร่วมเดินทางมาด้วย มาดูต้นทางอาหารในชุมชน แหล่งอาหารหรือต้นทางอาหารในหมู่บ้าน ซึ่งแต่ละแห่งก็มีไม่เหมือนกัน วันนี้นอกจากมีแกงคั่วแคอึ่งแล้ว ยังมีอึ่งดองเค็มเอาไว้ กลิ่นเหมือนปลาเค็มเลยแหละ เช้านี้เราจึงได้กินอึ่งเค็มทอดกับข้าวเหนียวร้อน ๆ ไข่อึ่งอร่อยมาก ๆ อร่อยกว่าไข่ปลา มีความมันและหวานนิด ๆ  20;

อร่อยกับยอดฟักทองผัดไข่ และ คั่วแคอึ่ง ยามสายกินน้ำพริกตัวต่อ 20; ยังมีน้ำพริกตัวต่อ อาหารเด็ด ๆ เมื่อคืนพ่อได้ต่อมาหนึ่งรัง ย่าหลานช่วยกันดึงเอาตัวต่ออ่อน ๆ สีขาว ๆ ออกมาจากรังที่ละตัว
ได้หนึ่งถ้วยใหญ่ ยามเช้าย่าทำน้ำพริกตัวต่อสีขาวขุ่น กินกับผักสด สารพัดผักที่พวกเราเดินไปเก็บที่สวนเล็ก ๆ หลังบ้านและตามทุ่งนาริมน้ำ  มีผักชะอม ถั่วผักยาว มะเขือ มะระขี้นก ตำลึง ชะพลู  ใบยี่หร่า
การอยู่กินแบบพึ่งพาอาหารจากป่า ต้องกินอยู่ตามฤดูกาล ตามวันเวลาที่หามาได้ แต่มีกินทุกวัน ดังนั้นชุมชนที่เข้มแข็งต้องดูแลแหล่งต้นทางอาหารเอาไว้

เก็บไปเรื่อย...หากินหาอยู่แบบบ้าน ๆ แหล่งอาหารของหมู่บ้านแม่แก่งนี้ ถ้าแบ่งเป็นประเภทก็มีประเภท ผักตามป่า ตามทุ่งนา ตามถนนหนทาง และประเภทผักที่ปลูกกินเองในบ้าน
เพราะชุมชนบ้านแม่แก่ง มีป่าที่อุดมสมบูรณ์ เป็นผืนป่าที่ผู้คนในชุมชนรักษามาตั้งแต่บรรพบุรุษ มีพื้นที่ป่าทั้งหมด 6,000 ไร่ ที่นี่น้ำท่าอุดมสมบูรณ์มาก มีขุนห้วยต้นน้ำ หรือน้ำออกรู
พื้นที่แบบนี้มีอาหารที่ดี มีพืชผักธรรมชาติ มีของกินมากมาย  ส่วนอึ่งอาหารพิเศษที่ว่านั้นมันอยู่ตามหนองน้ำ พงหญ้า และบนถนน
กลุ่มแม่บ้านเขาจำแนกแยกประเภททำตารางออกมาเลยว่า มีอะไรบ้างที่เป็นอาหารและหาได้ที่ไหน ให้ผลผลิตในช่วงเดือนไหน ตีราคาออกมาเป็นเท่าไหร่ต่อวันต่อครอบครัว เช่นปลาในหนองเอามาเป็นอาหารวันละสองตัวตีราคา 20 บาท รวมผลผลิตจากแหล่งอาหารเป็นเดือน เป็นปีเท่าไหร่ พืชผักและสัตว์ที่เหลือกินนำไปขายได้เท่าไหร่ในแต่ละวัน รวมเป็นแต่ละปี และรวมทั้งหมู่บ้าน เป็นจำนวนเท่าไหร่
นี้เป็นการใช้หลักเศรษฐศาสตร์สิ่งแวดล้อมในการดำเนินชีวิตอย่างมีเศรษฐกิจพอเพียงและรู้ว่าเราจะอยู่กินได้อย่างไรในอนาคตหรือกินอย่างไรไม่ให้หมด ผักกูดริมน้ำสวยและอร่อย

หาแก้วโป่งข่ามของศักสิทธิ์คุ้มครองป้องกันภัย ได้ข่าวมาว่าที่นี่มี “แก้วโป่งข่าม” บ้านแม่แก่ง มีชื่อเสียงโด่งดังว่าเป็นแหล่งแก้วโป่งขาม ของดีที่เห็นได้เฉพาะคนเท่านั้นหรือจะเรียกว่าสำหรับผู้มีบุญ
ผู้ประกอบคุณความดี ก็จะได้เห็นแสงเป็นประกายของแก้วโป่งข่ามและได้เป็นเจ้าของ เขาว่ากันว่าแก้มโป่งข่ามเป็นของศักดิ์สิทธิ์ สามารถคุ้มภัย ให้คุณในทางดี จึงมีความปิติเจืออยู่ในมุทิตาธรรม
เป็นสิ่งที่มีมงคลแก่ผู้ใช้  เมื่อแก้วโป่งข่ามเป็นของที่เลือกคนครอบครองหรือเรียกว่าผู้มีบุญและคนดี เราจึงอยากไปหายิ่งนักเพราะต่างเชื่อว่าตัวเองน่าจะเป็นคนดีและมีบุญ
พ่อของน้ำฝนเอาโป่งข่ามมาให้ดู บ้านนี้มีโป่งข่ามอยู่หลายชิ้น ที่เจียรไนเป็นหัวแหวนแล้วก็มี และยังมีแก้วขนเหล็กด้วย โป่งข่ามที่เป็นแก้วขนเหล็กนั้นเมื่อส่องดูก็จะเห็นเป็นเส้น ๆ เป็นขนเหล็ก

แม่ของน้ำฝนเล่าว่า เมื่อครั้งโรงงานที่ใต้หวันถล่ม เป็นข่าวคึกโครมมีคนตายมากมาย แต่คนที่หมู่บ้านนี้รอด เพราะเขามีโป่งข่าม หลังจากนั้นมีคนเดินทางมาจากใต้หวันมาหาโป่งข่ามที่นี่
เอาล่ะ...ได้เวลาออกจากบ้านไปหาแก้วโป่งข่ามของขลังไว้กับตัวดีกว่า ต้องเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับเดินทาง สวมรองเท้าบูทสูงสำหรับเข้าป่า กางเกงและเสื้อแขนยาวกันยุง แม่น้ำฝนบอกว่าจะพาไปเส้นทางที่ใกล้ ๆ แต่ถึงกระนั้นก็เดินกันเป็นชั่วโมง ที่ที่เราไปนั้นเป็นหลุมเก่า ๆ ที่ถูกขุดไว้นานแล้ว แต่ยังมีเศษหินโป่งข่ามเล็ก ๆ ให้เห็น เขาว่าบางคนหาตั้งแต่เก้าชั่วโมงสิบชั่วโมงจนเย็นก็ไม่เจอแต่บางคนมา
ถึงก็ได้เลย นอกจากได้หาแก้วโป่งข่ามเราก็จะได้พบเฟิร์นดำขึ้นเป็นระยะๆ เฟิร์นดำรูปผีเสื้อ รูปหัวใจก็มี มันบอบบางอยู่บนหินผาที่ชื้นหนาว  แก้วโป่งข่ามก็เหมือนกันของศักดิสิทธิ์เราควรครอบครองแต่พอดี
ฉันเก็บแก้วโป่งข่ามได้สองสามอัน  แก้วโป่งข่ามที่ได้มานั้นเป็นแก้วขาวที่ใสสว่าง     ภายหลังจึงรู้ว่าไม่ได้มีแต่ขาวใสเท่านั้น การดูโป่งข่ามนั้นคนดูเป็น เขาต้องดูจากด้านหน้าแก้ว ในแก้วและพื้นแก้ว
ดูสามส่วนคือด้านบน ตรงกลาง และก้น อีกทั้งพิจารณาสิ่งที่อยู่ข้างในแก้ว มีสิ่งที่เรียกว่าปวก กาบ ใยแก้ว สลักลาย หรือเส้นต่าง ๆ พิจารณาดูศิลปะประกอบ บางเม็ดมีลวดลายมากมาย
มีคุณป้าคนสวยพร้อมกับแก้วโป่งข่าม แกมีแก้วโปงข่ามที่เจียรเป็นหัวแหวน ไว้จำหน่ายให้กับผู้ที่เดินทางมาเยือนบ้านแม่แก่ง

และมีคาถาที่ใช้กับแก้วโป่งข่ามด้วย นั่นคือ
นะมะพะทะ นิมิพิทิ มุนุพุทุ 
พร้อมกับระลึกถึงสิ่งที่ดีงามในชีวิต


และอย่าลืมว่าในเมืองไทยของเรานั้นมีแหล่งต้นทางอาหารในชุมชนมากมาย และไม่ว่าคุณจะอยู่ในเมืองหรือนอกเมืองต่างก็ช่วยกันดูแลแหล่งต้นทางอาหารได้นั่นคือช่วยกันซื้ออาหาร และสินค้าอุปโภคบริโภคจากตลาดในชุมชน ที่เรียกว่าตลาดบ้าน ๆ นั่นแหละเป็นดีที่สุด

ก่อนที่แก้วโป่งข่ามเม็ดหนึ่ง จะขึ้นมาประดับอยู่บนตัวเรือนแหวน หรือกำไลข้อมือ ให้สวมใส่กันสวยงาม แก้วโป่งข่ามต้องใช้เวลานับล้าน ๆ ปีในการก่อตัวขึ้นเป็นผลึกแท่งแก้ว รวมทั้งการบ่มเพาะสะสมพลังจากธรรมชาติ ล้วนต้องอาศัยกาลเวลาอันยาวนาน การรวมตัวกันของแร่ต่างชนิด ผสมผสานอย่างลงตัวกอปรขึ้นเป็นลวดลายอันวิจิตร สวยงามและมหัศจรรย์เกินกว่าการที่จะรังสรรค์ด้วยน้ำมือของมนุษย์ อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าธรรมชาติจะสรรสร้างอย่างวิจิตรพิศดารเพียงใด ก็ดูเหมือนจะสูญเปล่า หากงานปฏิมากรรมที่ต้องผ่านห้วงเวลาอันยาวนานมิได้ถูกค้นพบ ดังนั้น ขั้นตอนแรกและนับว่าเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุด ก็คือการขุดค้นหาแก้วโป่งข่าม

การขุดค้นหาแก้วโป่งข่าม นับว่าเป็นงานที่หนักหนาสาหัสไม่น้อย เพราะดูเหมือนกับเป็นการเสี่ยงโชค ต้องอาศัย "ดวง" กันเป็นหลัก เนื่องจากไม่มีการใช้เทคโนโลยี่ทางวิทยาศาสตร์มาช่วยในการค้นหา
การเลือกพื้นที่ ๆ จะทำการขุดจึงเป็นการเลือกแบบเดาสุ่ม โดยที่ไม่ทราบว่าที่ ๆ ตนขุดลงไปนั้น จะพบแก้วโป่งข่ามหรือไม่ และจะต้องขุดลึกลงไปเท่าใด?
ดังนั้น การ "บวงสรวง" เจ้าที่เจ้าทาง เจ้าป่าเจ้าเขา จึงเข้ามามีบทบาทอย่างสำคัญ ในการเพิ่มความหวังและกำลังใจให้กับนักค้นหาแก้ว ตามความเชื่อของท้องถิ่น อย่างไรก็ตาม การบวงสรวงก็มักจะนำมา
ซึ่งความสมหวังให้กับนักค้นหาแก้วอย่างน่าอัศจรรย์ ซึ่งทำให้พิธีกรรมเหล่านี้ ยังคงอยู่สืบเนื่องมานับจากอดีตจนถึงปัจจุบัน ซึ่งไม่ใช่แต่เฉพาะชาวบ้านเท่านั้น แม้แต่คนสมัยใหม่และผู้ที่เป็นข้าราชการระดับสูง
ก็เคยได้พานพบกับเรื่องอัศจรรย์นี้ด้วยเช่นกัน ในการค้นหาแก้วโป่งข่าม นักขุดแก้วจะใช้ชะแลงเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการขุด เนื่องจากบริเวณที่ขุดค้นหามักจะเป็นดินปนหิน ทำให้การขุดค่อนข้างจะยากลำบาก
ไม่ใช่น้อย ยิ่งขุดลึกลงไปมากเท่าใด ยิ่งยากลำบากมากขึ้นเป็นทวีคูณ เพราะนอกจากการขุดแล้ว ยังต้องนำเอาดินที่ขุดขึ้นมาไว้บนปากบ่ออีกด้วย

ดังนั้นจึงมีการรวมตัวกันของนักค้นหาแก้ว 2-3 คน "เข้าหุ้น" ช่วยกันขุดค้นหา โดยการผลัดเปลี่ยนกันทำหน้าที่ขุด และนำดินขึ้นบนปากบ่อ ซึ่งหากโชคดีได้พบบ่อแก้ว ก็จะทำการแบ่ง โดยอาจจะแบ่งแก้วให้
แต่ละคนเท่า ๆ กัน หรืออาจจะนำไปขายแล้วนำเงินมาแบ่งกัน ก็แล้วแต่จะตกลงกันในกลุ่ม
อีกประการหนึ่ง ในการพบบ่อแก้วหากบังเอิญมืดเสียก่อน ก็จะต้องมีการนอนเฝ้ากัน เนื่องจากเกรงว่าจะมีผู้ไม่ประสงค์ดี มาลักลอบขุดบ่อของตนในตอนกลางคืน ซึ่งคนประเภทชุบมือเปิบเหล่านี้ ยังคงมีแฝงตัวอยู่
ทั่วไปในสังคม ไม่ว่าจะเป็นสังคมเมืองที่ศิวิไลซ์ หรือสังคมชนบทที่ผู้คนส่วนใหญ่ยังมีความโอบอ้อมอารี แบ่งปันน้ำใจให้กันและกัน
โดยปกตินักขุดค้นหาแก้ว จะทำการขุดลงไปประมาณ 3-4 เมตร หากยังไม่พบ "สายแก้ว" (แท่งแก้วเล็ก ๆ เป็นแนวลงไปในพื้นดิน) หรือเกิดอาการ "ถอดใจ" แล้วแต่ว่าอย่างไหนจะเกิดขึ้นก่อน ก็มักจะทำการ
ย้ายบ่อ หรือเปลี่ยนที่ขุด ซึ่งเท่ากับเป็นการเริ่มนับหนึ่งใหม่ ก็ถือว่าเป็นการ "เสี่ยงดวง" อีกเช่นกัน เนื่องจากมีบ่อยครั้ง ที่มีผู้มาขุดต่อ ขุดลงไปไม่ถึงฟุตก็ได้พบบ่อแก้วก็มี แบบนี้เรียกว่า "แล้วแต่ดวง"
การไปขุดแก้วแต่ละครั้ง นักค้นหาแก้วจะนำเอาอาหารไปด้วย และสิ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือน้ำ ซึ่งส่วนหนึ่งสำหรับดื่มแก้กระหาย และอีกส่วนหนึ่งสำหรับล้างแก้วที่ขุดได้ เนื่องจากแก้วมักจะมีดินพอกอยู่ ต้องล้างด้วยน้ำจึงจะทราบว่าตนเองขุดได้แก้วประเภทไหน ในบางครั้งน้ำที่เตรียมไว้สำหรับล้างแก้วหมด ก็จะนำน้ำสำหรับดื่มมาล้างแก้วแทน ซึ่งหากหมด และด้วยความใจร้อน ก็จะใช้ลิ้นเลียแก้วเอาเศษดินออก ทำให้ไม่เป็นที่น่าแปลกใจนักที่พบว่า นักขุดแก้วมักจะมีเศษดินติดอยู่ตามปากเสมอเวลากลับบ้านในตอนเย็น ทำให้นึกถึงภาพของการดำรงชีวิตรอดแบบ "ปากกัดตีนถีบ" อย่างแท้จริง



แก้วขนเหล็ก (ตอน...ขนเหล็ก...เลือกคู่)
พูดถึงโป่งข่ามนั้น หลายคนเข้าใจว่ามีเพียง แก้วขนเหล็กเท่านั้นที่เป็นโป่งข่าม หรือบ้างว่าพลอยสีดอกตะแบก หรือแก้วนางขวัญ (Amethyst) เท่านั้นที่เรียกว่าโป่งข่าม แต่ขอย้ำนะคะว่าไม่ว่าจะเป็นแก้วขนเล็ก หรือแก้วนางขวัญ ต้องมาจาก อ.เถิน จ.ลำปางเท่านั้นจึงจะเรียกว่า "แก้วโป่งข่าม"นะคะ
อีกประการหนึ่ง แก้วดังกล่าว เป็นเพียงส่วนหนึ่ง ในหลายร้อยชนิดของแก้วโป่งข่ามเท่านั้นค่ะ

กระทู้นี้เรามารู้จักกับ "แก้วขนเหล็ก" ให้ดีขึ้นกันดีกว่าค่ะ
แก้วขนเหล็ก : มีความเชื่อกันมาช้านานแล้วว่าสามารถป้องกันคุณไสยภู ติผีปีศาจสิ่งร้ายๆ และป้องกันตัวกันภัยได้ อีกทั้งยังทำให้ผู้ถือครองแก้วมีโชคลาภ และเสริมบารมีเพิ่มขึ้นอีกด้วย
แก้วขนเหล็กน้ำใส เป็นแก้วโป่งข่ามที่มีคนรู้จักมากที่สุด และมักเข้าใจกันผิดๆว่าแก้วขนเหล็กนั้นสามารถป้องกัน ภูตผีได้อย่างเดียว แต่อันที่จริงแล้วแก้วขนเหล็กใสยังมีคุณประโยชน์นานับประการ
โดยเฉพาะเรื่องโชคลาภแล้ว นับว่าเป็นแก้วที่ยอดเยี่ยมนัก

แก้วขนเหล็กคืออะไร
แก้วขนเหล็ก คือหินแก้วชนิดหนึ่งมีทั้งเนื้อใส และเนื้อขุ่น มีลักษณะพิเศษคือ มีเส้นแร่สีดำคล้ายเส้นผมคน หรือขนสัตว์ ฝังอยู่ภายในเนื้อแก้ว อันเป็นที่มาของชื่อ "แก้วขนเหล็ก"
สรรพคุณโดยสรุป แก้วขนเหล็กมีอำนาจสูงส่งในการคุ้มครองจากอำนาจที่มอ งไม่เห็น เช่นไสยศาสตร์มนต์ดำ ภูตผีปีศาจ รวมทั้งสามารถคุ้มครองอุบัติภัยทั้งหลายทั้งปวงได้ และสามารถให้โชคลาภได้
เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องเดินทางติดต่อค้าขาย และต้องการประสบความสำเร็จและความก้าวหน้าในหน้าที่การงานค่ะ

แก้วขนเหล็ก เป็นหนึ่งในแก้วโป่งข่าม ๒๔ ตระกูล ซึ่งตัวของแก้วขนเหล็กมีอยู่หลายแบบด้วยกัน แต่ที่เป็นหลักในการหากัน มีเพียง ๒ คือ
๑. แก้วขนเหล็กน้ำใส เรียกว่าแก้วตัวผู้ และ
๒. แก้วขนเหล็กน้ำตัน เรียกว่าแก้วตัวเมีย
แก้วขนเหล็ก ๒ ชนิดนี้ต้องหาไว้คู่กันจึงจะทำให้แก้วขนเหล็กมีฤทธิ์ ที่สมบูรณ์ที่สุด ซึ่งแก้วทั้งสองมีอำนาจในการปกป้องคุ้มครองดีเสมอกัน แต่"แก้วขนเหล็กน้ำตัน" หรือน้ำขุ่น จะดีเน้นในทางร่มเย็นเป็นสุข เมตตามหานิยม ส่วน"แก้วขนเหล็กน้ำใส"จะดีทางตบะเดชะอำนาจทำให้คนเกรงกล ัว แก้ว ๒ ชนิดนี้เมื่อได้อยู่ร่วมกันจะส่งพลังงานส่งเสริมกันแ ละทำให้ผู้เป็นเจ้าของบังเกิดความเจริญรุ่งเรือง ปราศจากอันตรายทั้งปวง
มีความเชื่อว่าแก้วขนเหล็กแต่ละชนิดสามารถส่งเสียงที ่เราไม่ได้ยินเรียกหากันได้ สิ่งที่คนโบราณกล่าวนี้น่าจะหมายถึงคลื่นความถี่ หรือคลื่นความสั่นสะเทือนบางอย่างที่ออกมาจากแก้วขนเ หล็ก ซึ่งคลื่นความถี่ หรือคลื่นความสั่นสะเทือนนี้จะวิ่งเข้าหากันกันเพราะเป็นคลื่นความถี่เดียวกัน การวิ่งเข้าหากันของคลื่น ก็คือการรวมตัวกันของพลังงานบางอย่างที่แผ่ออกมา หรือส่งออกมาจากตัวแก้วขนเหล็กนั่นเอง พลังงานเหล่านี้เมื่อรวมตัวกันแล้วย่อมเกิดเป็นกระแส พลังงานตามธรรมชาติที่มีคุณสมบัติคล้ายคลื่นแม่เหล็ก ไฟฟ้า สามารถเกิดปฏิกริยากับบรรยากาศ หรือกระแสไฟฟ้าทั่วไปได้ และที่สำคัญคือ มีผลต่ออารมณ์ความคิดจิตใจของบุคคลที่อยู่ใกล้ๆด้วยค ่ะ และเป็นไปได้ว่า การเรียกหากันของแก้วขนเหล็กนั้นอาจหมายถึงเจตสิตบาง ดวงที่อยู่ภายในแก้วขนเหล็กแต่ละชิ้นที่จะส่งโทรจิตห ากัน และอาจทำให้การดลใจให้ผู้ที่เป็นเจ้าของแก้วนั้นไปแส วงหาแก้วอีกชิ้นที่เป็นคู่กันมาเพิ่มเติม เช่นผู้ที่มีแก้วขนเหล็กน้ำใสอยู่แล้ว อาจจะพบแก้ว หรือได้เลือกแก้วน้ำตันมาโดยบังเอิญ หรือไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งแบบนี้ท่านเรียกว่า แก้วเรียกหากัน และบันดาลให้คนเราได้พบเจอเพื่อได้เก็บมาอยู่คู่กัน ดังนั้นใครที่มีแก้วขนเหล็กน้ำใสแล้วก็ควรอย่างยิ่งท ี่จะหาแก้วขนเหล็กน้ำตันมาไว้เคียงข้าง หรือใครมีแก้วน้ำตันอยู่แล้ว ก็ควรหาแก้วน้ำใสมาเคียงข้างเช่นกันค่ะ เพื่อแก้วทั้งสองจะได้ส่งพลังงานเสริมกัน อันจะเป็นประโยชน์มหาศาลแก่ผู้ครอบครอง เพราะถือว่าได้ทั้งแก้วตัวผู้ตัวเมียไว้เสริมวาสนา และบารมีอย่างครบถ้วนเชียวล่ะค่ะ

๑. แก้วขนเหล็กใส เนื้อแก้วจะเป็นแก้วที่น้ำใส ภายในจะมีเส้นขนเป็นเส้น แร่ที่รากฏอยู่ในแก้วโป่งข่าม มักจะเป็นเส้นเล็กไม่เกินเส้นผม พบในแบบต่างๆ เช่นเส้นทแยงและเส้นขนหมูเป็นส่วนใหญ่
เส้นขนมีลักษณะสีดำ ซึ่งเรียกกันว่าเส้นเหล็ก หรือขนเหล็ก เส้นเหล็กที่ปรากฏอยู่ในแก้วโป่งข่ามจัดอยู่ในประเภท แร่รูไทล์ (Rutile) และธาตุ ไทเทเนียม (Titanium) เป็นแร่โลหะ หรือ BlackTourmaline เป็นสายแร่อยู่ภายใน

๒. แก้วขนเหล็กตัน ตามตำราโบราณได้กล่าวไว้ว่า แก้วลูกใดมีวรรณะดังน้ำข้าวมวก มีเส้นขนบ้งสอดเกี้ยวขึ้นในลูกแก้ว แก้วลูกนั้นมีค่านักแล" เส้นขนจะเป็นลักษณะเดียวกันกับแก้วขนเหล็กใส แตกต่างกันที่เนื้อแก้ว เพราะเนื้อแก้วจะเป็นสีขาวขุ่น เนื้อผิวเมื่อขัดแล้วไม่ค่อยมัน จึงเรียกกันว่า "ขนเหล็กตัน"
แก้วขนเหล็ก นับเป็นแก้วกายสิทธิ์ที่คนไทยในภาคเหนือ ภาคกลาง และอีกหลายๆท้องที่มีความนับถือกันมาช้านานไม่ต่ำกว่ า ๔๐๐ ปีที่ผ่านมา เชื่อกันว่าเป็นของกายสิทธิ์ เป็นหินที่มีเทวดารักษา หรือมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์สถิตอยู่ภายในเนื้อแก้ว
แก้วขนเหล็ก ในแต่ละเม็ดนั้นหากมีการผสมผสานระหว่างแก้วชนิดอื่น เช่นเนื้อแก้วมีลักษณะของแก้วหมอกมุงเมือง ก็จะได้อานุภาพเพิ่มขึ้นจากอำนาจของแก้วหมอกมุงเมือง ด้วยค่ะ และหากในแก้วนั้นมีแก้วปวกร่วมด้วย ก็จะได้อานุภาพด้านโชคลาภเงินทองเพิ่มขึ้นจากแก้วบวก อีกด้วยเช่นกันค่ะ

แก้วโป่งข่ามทุกชนิดจะดีทางด้านคุ้มครองป้องกัน และดีทางป้องกันไฟ เป็นสิริมงคลแก่ผู้เป็นเจ้าของ และเชื่อกันว่าในแก้วทุกชิ้นมีเทวดาสถิตอยู่ ซึ่งเป็นสิ่งลี้ลับที่คอยบรรดาลโชคแก่ผู้บูชาแก้วโป่ งข่าม ทั้งนี้ผู้ที่พกพาแก้วจึงควรเก็บแก้วไว้ในที่สูง หรือหน้าหิ้งพระจะดีที่สุด แต่ให้ต่ำกว่าพระพุทธรูปจึงจะเป็นมหามงคลแก่บ้านเรือ น และนำพาความสุขมาแก่เจ้าของบ้านเรือนและตัวท่านค่ะ
ในความเชื่อของแก้วกายสิทธิ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแก้วขนเหล็กนั้น เป็นที่นิยมนับถือกันว่าดีทางข่ามคง ซึ่งหมายถึงอำนาจทางคงกระพัน ผู้ที่พกพาติดตัวจะปลอดภัยจากศาสตารวุธ รวมไปถึงภูตผีปิศาจภยันตรายทั้งปวง ซึ่งเรื่องการนับถือแก้วชนิดนี้เชื่อว่านับถือกันมาเ ป็นเวลาหลายร้อยปีมาแล้ว ขุนศึกเมืองเชียงใหม่ในอดีตก็ล้วนนับถือแก้วชนิดนี้ด ้วยกันทั้งสิ้น แม้แต่ปัจจุบันนี้ความเชื่อเกี่ยวกับแก้วกายสิทธิ์อย ่างแก้วขนเหล็กก็ยังคงนับถือสืบต่อกันมาค่ะ
คนโบราณบ้างที่นำแก้วขนเหล็กไปทำเป็นเครื่องประดับ ทั้งหัวแหวน จี้ห้อยคอ และสำหรับผู้ที่เชื่อในเรื่องไสยศาสตร์คงกระพันนั้น มีบ้างที่นำแก้วขนเหล็กฝังไว้ตามร่างกาย ซึ่งนิยมฝังไส้ที่หัวไหล่ บางคนเชื่อว่าแก้วขนเหล็กเป็นแก้วที่เกิดจากการเล่นแ ร่แปรธาตุตามธรรมชาติ กล่าวคือในธรรมชาตินั้นอาจมีการเข้าผสมของธาตุต่างๆข ึ้นเองตามธรรมชาติ คล้ายกับการสร้างธาตุใหม่ๆในเมืองมนุษย์ กล่าวกันว่า การเกิดของแก้วขนเหล็กนั้นเบื้องต้น เมื่อธาตุประชุมกันครั้งแรก เรียกว่า "ทนสิทธิ์" ขั้นนี้จะมีอำนาจดีเด่นทางคงกระพันต่อศาสตราวุธเป็นห ลัก เมื่อประชุมครั้งที่ ๒ จะเรียกว่า "กายสิทธิ์" ขั้นนี้เชื่อว่าตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ หมายความว่า แม้ตกน้ำ ถูกกดน้ำก็ไม่ตาย ไฟเผาก็ไม่ไหม้ ไม่เป็นอันตรายด้วยประการทั้งปวง และเมื่อรวมธาตุสำเร็จอีกครั้งหนึ่ง เรียกว่า "อโลมะประสิทธิ์" ขั้นนี้ถือว่าเป็นที่สุดแห่งพลังอำนาจ คือเมื่ออมแก้ว หรือธาตุนั้นไว้ในปาก อาจสามารถเหาะเหิรเดินอากาศไปป่าหิมพานต์ และอยู่ที่นั่นไม่มีวันแก่เฒ่าเลยทีเดียวค่ะ ซึ่งกรณีนี้น้อยคนที่จะได้ครอบครอง โดยมากมักได้ยินแต่ในตำนานเท่านั้นค่ะ สำหรับกรณีแก้วขนเหล็ก น่าจะอยู่ในระดับขั้นสำเร็จตัวเป็น "แก้วทนสิทธิ์"ค่ะ คือเด่นด้านคงกระพันนั่นเองค่ะ

ที่มาข้อมูลบางส่วน...www.oknation.net,travel.kaidown.com,www.kruaklaibaan.com,

ออฟไลน์ เด็กแสบ

  • ฉัฏฐะ
  • *
  • กระทู้: 175
  • เพศ: ชาย
  • เด็กแสบ แถบราม
    • MSN Messenger - sun-ram39-@hotmail.com
    • ดูรายละเอียด
ขอบคุณคราบ

ที่นำขอ้มูลที่มีความรู้

มาให้ได้ศึกษา

ออฟไลน์ NOPPANUCH

  • ฉัฏฐะ
  • *
  • กระทู้: 42
    • ดูรายละเอียด
ขอบคุณครับ

ที่นำขอ้มูลที่มีความรู้

มาให้ได้ศึกษา

ออฟไลน์ เด็กนอกวัด

  • สัตตมะ
  • **
  • กระทู้: 742
  • เพศ: ชาย
    • ดูรายละเอียด
ขอบคุณสำหรับ ภาพบรรยายกาศเมืองเหนือ และขัอมูล ภาพประกอบแก้วโปงข่ามโดยละเอียด :054:

ออฟไลน์ ~เสน่ห์โจรสลัด~

  • อัฏฐมะ
  • ***
  • กระทู้: 7913
  • เพศ: ชาย
  • " ถ้ามุ่งมั่นจะเป็นที่หนึ่งคุณจะเป็นที่หนึ่ง "
    • ดูรายละเอียด
ขอบคุณที่นำมาให้ชมนะครับ งดงามมากๆ เลยครับ สาธุ ...  :016:

ออฟไลน์ schoolbus

  • ฉัฏฐะ
  • *
  • กระทู้: 153
  • เพศ: ชาย
    • ดูรายละเอียด
 :053: :053: :053: สุดยอดมากๆเลยเรื่องเกี่ยวกับธรรมชาติและทรัพยากรนี่ โดยส่วนตัวผมชอบจริงๆถ้ามีโอกาสจะลองไปบ้าง  :053: :053: :053:
อดีตรองประธานมูลนิธิปิยสีโล...ผู้ได้ฉายา สืบ ปืนแตก หรือ สืบ ปืนเสีย
พระครูพิทักษ์วีรธรรม (สืบ ปริมุตโต) เจ้าคณะตำบลท่าพระยา
พระอุปปัชฌาย์และเจ้าอาวาส วัดสิงห์ ต.บางแก้ว อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม

ออฟไลน์ ~เสน่ห์ack01~

  • ผู้คุมกฎ
  • *****
  • กระทู้: 5330
  • เพศ: ชาย
  • " ไม่เมาเหล้าแล้วเรายังเมารัก"
    • ดูรายละเอียด
ศาสตร์ในการใช้โป่งข่ามนี่ น่าสนใจทีเดียวครับ มีการเลือกใช้ตามโฉลกราศี เพื่อเสริมดวงในเรื่องต่างๆ เช่นการงาน การเงิน ความรัก...

...เป็นความเชื่อส่วนบุคคลครับ โดยส่วนตัวแล้วชอบศึกษามากครับ... :001:


...มีแหวนโป่งข่าม อยู่วงนึงครับหัวแหวนเป็นโป่งข่าม ที่เรียกว่า ปวกเขียว...



ทำบุญ วันคล้ายวันเกิด หลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ
วันอาทิตย์ ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๕ 

ออฟไลน์ รวี สัจจะ...

  • รองประธาน
  • *****
  • กระทู้: 1137
  • รวี สัจะ-สมณะไร้นาม-วจีพเนจร
    • ดูรายละเอียด
    • รวี สัจจะ สมณะไร้นาม (เคลื่อนไหวดุจสายลม)
สมัยเดินธุดงค์เส้นทางจากชายแดนพม่าที่ปางมะผ้า เดินตามสันดอยผ่านอำเภอปาย อำเภอเมือง อำเภอขุนยวม อำเภอแม่สะเรียง
ตัดเข้าแม่แจ่ม เดินข้ามดอยอินทนนนท์ ไปจบเส้นทางที่พระธาตุจอมทอง อำเภอจอมทอง เป็นเส้นทางที่เดินบนสันดอยเป็นหลัก
ในช่วงที่ผ่านเขตอำเภอเมื่อง ต่อกับอำเภอปาย ผ่านดอยผ่าพริกที่ชาวเขาเผ่ามูเซอร์อาศัย มีถ้ำใหญ่ที่เต็มไปด้วย"หินเขี้ยวหนุมาน"
ทั้งถ้ำ ผนังถ้ำทุกด้านเป็นหินเขี้ยวหนุมานทั้งหมด และช่วงเดินผ่านภูเก้ายอดเขตต่ออำเภอเมืองพบแหล่งขี้เหล็กไหลจำนวนมาก
อยู่ระหว่างบ้านห้วยกล้วย บ้านป่าคา บ้านปมฝาด เขตตำบลห้วยปูลิง ซึ่งบริเวณนั้นเป็นเมืองเก่า เพราะมีซากอิฐ เศษภาชนะดินเผาโบราณ
ให้เห็นอยู่ แต่อยู่บนดอยสูงและห่างไกลจากความเจริญมาก ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจ ตอนพบขี้เหล็กไหลครั้งแรก พระที่ไปด้วย
พากันแย่งกันเก็บ ยิ่งเก็บยิ่งเจอมาก เลยเกิดความไม่แน่ใจเพราะว่ามีมากเกินไป จึงพากันทิ้งหมด เหลือกันคนละก้อนสองก้อน
และพากันไปสำรวจซากเมืองเก่ากัน หลังจากนั้นก็ออกเดินทางกันต่อ ไปเจอตำรวจตระเวณชายแดนระหว่างทางบนดอยสูง
พวกตำรวจตระเวณชายแดนขอของดีเพื่อป้องกันตัว แต่พวกเราไม่มีอะไรจะให้ มีแต่ขี้เหล็กไหลที่เก็บกันมาคนละก้อนสองก้อน
จึงมอบให้พวกตำรวจตระเวณชายแดนกันหมดทุกคน(เพื่อจะได้เหมือนๆกันทุกคน) ซึ่งพวกเราก็ไม่ได้คิดอะไรกันมากเพราะของที่เห็นมันมีมาก
ปีต่อมาพวกเราก็ออกธุดงค์ในเส้นทางเดิมต่อ เจอตำรวจตระเวณชายแดนชุดเก่าอีกครั้งบนยอดดอย พวกตำรวจพากันขอขี้เหล็กไหลกันอีก
เพราะว่าเมื่อปีที่แล้วหลังจากได้รับจากเราไปแล้วพวกเขาพากันเอาไปลองยิง ซึ่งปรากฏว่ายิงไม่ออกทุกก้อน เขาจึงพยายามค้นหากันบนดอย
พระที่ไปกันด้วยก้เลยมีความหวังกัน ว่าถ้าไปถึงที่เดิมจะเก็บกันให้เยอะๆ แต่เมื่อเดินทางไปถึงที่เก่าซึ่งเราเคยเจอขี้เหล็กไหลในปีที่แล้ว
ปรากฏว่าค้นหาอย่างไรก็ไม่เจอสักก้อน ค้นกันจนทั่ว ทั่งที่ในปีก่อนเห็นกันมากมายบนพื้นดินไม่ต้องขุดไม่ต้องค้น ลอยอยู่บนหน้าดิน
แต่ในครั้งหลังนี้กลับไม่มีสักก้อนเลย ซึ่งเป็นเรื่องแปลกมาก จึงได้บอกแก่พระที่ไปด้วยกันว่าในปีก่อนนั้นเขามาแสดงให้เห็นและให้เรา
เพราะเราไม่มีความโลภ เขามาทดลองใจพวกเรา แต่ในครั้งนี้เรามีจิตคิดอยากจะได้(มีความโลภ ความต้องการ) เขาจึงไม่ให้ ไม่แสดงให้เห็น
เป็นประสพการณ์อย่างหนึ่งในการเดินธุดงค์บนดอย จึงนำมาเล่าสู่กันฟัง.....
ใช่หวังจะดังเด่น  จึงมาเป็นสมณะ
เพียงหวังจะลดละ  ซึ่งมานะและอัตตา
เร่ร่อนและรอนแรม ไปแต่งแต้มแสวงหา
สัญจรร่อนเร่มา  ผ่านร้อยป่าและภูดอย
ลาภยศและสรรเสริญ  ถ้าหลงเพลินจิตเสื่อมถอย
พาใจให้เลื่อนลอย  จิตเสื่อมถอยคุณธรรม
       ปณิธานในการปฏิบัติธรรม

ออฟไลน์ หนอน-*ณ.ลำปาง

  • ^*-ไม่พูด....ไม่ได้แปรว่า....ไม่คิด-*^
  • สัตตมะ
  • **
  • กระทู้: 491
  • เพศ: ชาย
  • เป็นคนแก่เป็นง่าย เป็นผู้ใหญ่เป็นยาก
    • MSN Messenger - wrom_neda06_@hotmail.com
    • ดูรายละเอียด
    • อีเมล
โอ้แถวบ้านผมเลยครับ

ผมก็อยู่เถินครับ

แต่ยังไม่ได้มีติดตัวเลย

ไม่มีใครบรรลุความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ได้
ถ้าไม่ยอมอุทิศตนให้กับมัน

ออฟไลน์ ۞เณรน้อยเส้าหลิน۞

  • สัตตมะ
  • **
  • กระทู้: 1560
  • เพศ: ชาย
  • ไม่สู้ ไม่หนี ทําดีเรื่อยไป
    • ดูรายละเอียด
ขอบคุณข้อมูลจากพี่ปอร์จังมากๆครับ

กราบนมัสการขอบพระคุณหลวงอาที่มาถ่ายทอดประสบการณ์ในการธุดงค์ด้วยครับ  :054: :054: :054:
ครูผู้บริสุทธิ์ ครูผู้หมดกิเลสเครื่องเศร้าหมอง
ครูผู้มี"พระปัญญาธิคุณ พระมหากรุณาธิคุณ พระบริสุทธิคุณ" อย่างประมาณมิได้
บรมครูผู้นั้นคือ "สมเด็จพระพุทธเจ้า"
ขอนอบน้อมกราบกรานพระบรมศาสดา

ออฟไลน์ Ogofmayas

  • ฉัฏฐะ
  • *
  • กระทู้: 337
    • MSN Messenger - gofmaruhi_as@hotmail.com
    • ดูรายละเอียด
    • อีเมล
ขอบคุณความรู้ มากๆๆ

ถ้ามีโอกาสผมก้อจะตามธุดงค์ไปกับหลวงลุง

อิอิอิ :016: :054: :054:

ออฟไลน์ suwata

  • ตติยะ
  • ***
  • กระทู้: 22
  • เพศ: ชาย
  • @~ต้องเชื่อมั่นและศรัทรา พุทธคุณจึงบังเกิด~@
    • ดูรายละเอียด
    • อีเมล
น่าไปเที่ยวจังเลยครับ...ได้ความรู้เยอะเลย    ขอบคุณครับ