ผู้เขียน หัวข้อ: เหตุ...ที่ทำให้คนมีองค์เทพ  (อ่าน 11699 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ กระเบนท้องน้ำ

  • สัตตมะ
  • **
  • กระทู้: 275
  • เพศ: ชาย
  • การให้ธรรมะ ชนะการให้ทั้งปวง
    • MSN Messenger - krabentongnam2511@hotmail.com
    • ดูรายละเอียด
    • บ้านกระเบนท้องน้ำ
เหตุ...ที่ทำให้คนมีองค์เทพ
« เมื่อ: 08 ม.ค. 2553, 11:53:35 »
ผมเป็นคนหนึ่ง ที่เคยสงสัยว่า พวกที่อ้างตนว่ามีองค์เทพนั้น เป็นเรื่องจริงหรือไม่
ทั้งที่เราก็มีคำสอนของพระพุทธเจ้า อยู่แล้ว
แล้วพวกร่างทรง องค์เทพ มากันทำไมมากมาย ???

พอดีได้ไปเจอเวปไซด์หนึ่ง เขียนอธิบายได้ดีมาก
เลยขออนุญาติ นำมาโพสต์ไว้ เผื่อคนที่ถูกทักว่ามีองค์ หรือคิดว่าตนเองมีนั้น แท้จริงแล้วเป็นอย่างไร

จะรู้ได้ยังไงว่ามีองค์เทพ ???

เมื่อพูดถึงคำว่าร่างทรง คนหลายคนคงนึกถึงภาพคนยืนตัวสั่น พูดจาทำนายทายทัก พูดกันด้วยภาษาแปลกแปลก บ้างก็เปิดเป็นสำนักกัน บ้างเก็บเงินหรือบอกหวยกัน ทำสิ่งที่ลึกลับมีพิธีกรรมแปลกๆซึ่งมักมีทั้งทรงจริง และของปลอมหลอกกัน เพื่อหาผลประโยชน์จากการหลอกให้หลงเชื่องมงายโดยขาดสติปัญญา เรื่องของสวรรค์ นรก เรื่องแปลกๆ เรื่องเหลือเชื่อ
 อันที่เราสามารถพินิจเห็นอยู่บ่อยๆตามสื่อรายการต่างๆ ในโลกแห่งวิทยาศาสตร์อันทันสมัย โลกแห่งการแข่งขันทางเศรษฐกิจกันอย่างดุเดือดรุนแรงวุ่นวายจนเราไม่เคยใส่ใจคำว่าคนมีองค์ ไม่เคยคิดแม้แต่ว่ามันจะจริงหรือไม่คิดเพียงว่าเป็นเรื่องไกลตัว ไม่ควรไปใส่ใจให้เสียเวลา เป็นเรื่องเหลวไหล แท้จริงมันเป็นเรื่องใกล้ตัวเราที่สุด จนแทบจะพูดได้เลยว่าเป็นเรื่องของเราเองทีเดียว แต่น้อยคนที่จะสนใจเรื่องเหล่านี้ว่าแท้จริงคือสิ่งใดเกิดขึ้นได้อย่าง เหตุผลใดทำให้เกิดสิ่งเหล่านี้ เรื่องใดเป็นเรื่องจริง เรื่องใดเป็นของปลอม หาได้แต่โทษโชคชะตา หรือไปโทษตัวเองว่า ถ้าเราไม่ทำเช่นนั้นก็คงจะไม่เกิดเรื่องเช่นนี้ เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องลี้ลับยากที่จะพิสูจน์ให้เห็นเป็นรูปธรรมได้ มันเป็นเรื่องปัจจัตตังคือรู้และพิสูจน์ได้
เฉพาะตน จะว่าไปแล้วคนทุกคนล้วนมีบุญเก่ากรรมเก่าติดตัวมาตั้งแต่เราเกิด ตั้งแต่ปฏิสนธิ มันเป็นเครื่องกำหนดกฏแห่งกรรมของทุกชีวิตที่เกิดมาในโลก ในแง่สิ่งเหนือสามัญวิสัย คนที่มีความซับซ้อนของภพชาติยิ่งมาก ย่อมเคยมีปฏิสัมพันธ์กับคน สัตว์ สิ่งมีชีวิต จิตวิญญาณ ตลอดจนสิ่งศักย์สิทธิ์มามากด้วยเราคงเคยไปก่อกรรมกับใครต่อใครไว้ทั้งดีและชั่วก็มาก ชาตินี้เรามาเกิด แต่คนที่เกี่ยวข้องกับเราบางคนในอดีตชาติ บางดวงจิตอาจมาเกิดร่วมชาติกับเราเพื่อมาชดใช้กรรมซึ่งกันและกันในชาตินี้ ซึ่งเราไม่ทราบว่าเป็นใครบ้าง บางคนยังไม่ได้พบกัน แต่บางคนก็อาจยังไม่ได้มาเกิดอาจยังเป็นเทวดาในสวรรค์ทั้ง ๖ ชั้นฟ้า หรือในนรก หรือติดอยู่ในภพภูมิใดตามสัญญากรรม หรือบางคนสามารถพัฒนาจิตหนีเราไปเกิดเป็นพรหม เป็นมหาพรหม มหาเทพไปแล้ว ท่านก็ถือว่าท่านมีกรรมสัมพันธ์กับเรา จึงมีสิทธิที่จะมากำกับชีวิต ช่วยเหลือ ต่ออายุ ให้โอกาสเราหากเราเข้าถึงพระพุทธศาสนา คนเราหลายๆคน เรียกว่ามากมายนักที่มีสัญญากรรมกับเทพที่เกี่ยวข้องกับตนทั้งกรรมเก่าเกี่ยวเก่า กรรมใหม่เกี่ยวใหม่ตามบุคคลาธิษฐาน ท่านจึงคอยมากำกับชีวิตเราตามพื้นฐานของกฏแห่งกรรม แต่ก็ให้โอกาสเราทำกิจกรรมตามที่เคยสัญญากันไว้ก่อนมาเกิด หากใครทำได้ครบ ก็จะส่งบุญเก่าให้บุญเก่าของเราแสดงผลออกมาเป็นรางวัลชีวิต หากถึงเวลาที่กำหนดแล้วทำไม่ได้ หรือไม่ได้ทำเพราะส่วนใหญ่ไม่มีตัวรู้ หลงในเทคโนโลยี แสง สี เสียงสมัยใหม่ จนลืมสัญญากรรม ท่านก็จะอุเบกขาวางเฉยปล่อยให้กรรมเล่นงานเราตามกฏแห่งกรรม คนเหล่านี้จึงมีคลื่นพลังส่งมาจากโลกเหนือสามัญวิสัย แฝงมามาก ส่งมาดลใจ ลองใจเราอยู่ตลอดเวลา คงมีทั้งเจ้ากรรมนายเวร เจ้าบุญนายคุณ และเมื่อถึงกาลที่เหมาะสมเทพท่านจะมาใช้ร่างเราเพื่อให้เราสร้างบารมีคือท่านมาโปรดมนุษย์ ให้เข้าถึงธรรม มาจรรโลงพระพุทธศาสนา มารักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ มาสอนเราโดยส่งญาณอันเป็นรังสีมาสู่ตัวเรา เข้าสู่ระบบสมอง สู่ระบบประสาทจนเกิดแสดงเป็นอาการต่างๆให้เป็นร่างทรง ที่เราเห็นกันอยู่ทั่วไป เพื่อที่เราจะได้สร้างบารมีสามารถฟันฝ่าวิบากกรรมไปได้ คนบางคนที่เขาเรียกว่ามีสัมผัสที่ ๖ ล่วงรู้หรือเห็นชาติภพของตนมาก่อน ชอบเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คนที่มีชะตาชีวิตรุนแรงประเภทขึ้นสูงก็สูงไปเลย พอลงต่ำก็ต่ำไปเลย คนบางคนมีความสามารถทางโลกโดดเด่นมาก บ้างก็มีเรื่องแปลกๆเกิดขึ้นในชีวิต บ้างก็มีตำแหน่งในสังคม คนพวกนี้ส่วนใหญ่เกิดจากทางในส่งผลเป็นปัจจัยทั้งสิ้น เรียกว่าคนมีองค์ การที่คนเก่ง ด้วยหน้าที่การงาน มีฐานะตำแหน่งเป็นที่ยอมรับนับถือในสังคม หากคนเหล่านี้จะต้องมาตัวสั่น หรือมาเปิดสำนักคงยากที่คนเหล่านั้นจะยอมรับได้ แต่แท้จริงการพัฒนาร่างทรงต่างหากที่สำคัญ เพราะเมื่อเริ่มแรกเราจะตัวสั่น พูดจาภาษาเทพเร็วๆ ฟังไม่ออก เป็นเพราะเรายังมีตัวรู้ในองค์ญาณ ที่ยังไม่สัมพันธ์กับองค์ฌาน ละเอียดไม่เท่ากับรังสีที่ส่งลงมา เทพท่านส่งมา สิบคำรับได้แค่คำเดียวจึงเกิดเป็นอาการตัวสั่น พูดจาฟังไม่รู้เรื่องที่เรามักเรียกกันว่าพูดภาษาเทพ แท้จริงหากพัฒนาจิตให้ละเอียดจนสามารถรับคลื่นรังสีที่ส่งมาได้ครบถ้วน การพูดก็คือการพูดภาษาปกติมนุษย์นั่นเอง การตัวสั่นยังเป็นเรื่องของอิทธิฤทธิ์ เทวฤทธิ์ปาฏิหาริย์ เราจึงยังไม่สามารควบคุมอาการได้ ซึ่งอิทธิฤทธิ์ เทวฤทธิ์ปาฏิหาริย์นั้นพระพุทธเจ้าทรงยอม รับแต่ทรงรังเกียจ เพราะส่วนใหญ่ง่ายในการนำไปใช้ผิดวิธี ผู้พบเห็นมักศรัทธาด้วยฤทธ์ไม่ใช่เข้าใจด้วยปัญญา หากเราฝึกฝนพัฒนาจิต พัฒนาทักษะ พัฒนาตัวรู้จนละเอียดใกล้เคียงกับรังสีเทพที่ส่งมาหาเรา เราก็จะเริ่มควบคุมตัวเองได้ จะแสดงอาการที่ปรกติมากขึ้นที่เรียกว่าอิทธิฤทธิ์ หรือเทวฤทธิ์อยู่ในขั้น ฤทธานุภาพ และเทวานุภาพ หรือสูงขึ้นจนทายใจคนได้อย่างอัศจรรย์เรียกว่า อาเทศนาปาฏิหาริย์ ซึ่งขั้นนี้พระองค์ก็ยังคงทรงรังเกียจ จนกระทั่งสามารถพัฒนาจิตสู่ขั้นมาตรฐาน คือขั้นจิตตานุภาพ นั่นคือเป็นองค์แฝงไม่พบอาการผิดปกติให้เห็นได้แต่อย่างใด แต่ขณะที่พูดสามารถปล่อยให้ญาณหรือรังสีเทพผ่าน แสดงออกมาหรือพูดออกมาในลักษณะที่ผู้อื่นคิดว่าเป็นการแสดงออกของตัวเราเอง โดยไม่มีใครทราบนอกจากตัวเรา สามารถอธิบายธรรมให้เข้าใจโดยใช้หลักธรรมให้เห็นเด่นชัดด้วยปัญญา มีความสมดุลอย่างสูงในองค์ฌาน และองค์ญาณ คนกลุ่มนี้ชีวิตจะยิ่งโดดเด่นยิ่งขึ้นโดยปาฏิหาริย์ เรียกว่าเป็นอนุสาสนีปาฏิหาริย์ คือคำสอนมีผลจริงเป็นมหัศจรรย์ ซึ่งพระพุทธองค์ทรงสนับสนุนถือว่าดีเยี่ยมเป็นประเสริฐ ทั้งนี้คนที่พบกับวิบากกรรมก็สามารถที่จะดีขึ้นจนสามารถหลุดพ้นจากวิบากกรรมได้ หากเราสามารถทำตามสัญญากรรมข้ออื่นๆได้ครบ การพัฒนาร่างทรงสู่ญาณแฝง และสามารถถ่ายทอดธรรมได้อย่างมหัศจรรย์ จึงถือเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะทำสังคมก้าวไกล มองดูเป็นปกติธรรมดาธรรมชาติ และสังคมยอมรับกันได้ในปัจจุบัน

ขอบคุณข้อมูลโดย อ. ธวัช คณิตกุล