หมวด มิตรไมตรี > รวมสมาชิก (มิตรไมตรี)

ทำไมวัดในภาคเหนือชอบสร้างซุ้มประตู

(1/1)

ขุนแผนเมืองลำปาง:

ไปเที่ยววัดเก่าที่อยุธยามาหลายวัดสังเกตุมาอย่างหนึ่งว่าวัดในสมัยอยุธยาไม่มีซุ้มประตูวัด ขากลับมาผ่านวัดต่างๆตั้งแต่อยุธยา ลพบุรี สิงห์บุรี อ่างทอง กำแพงเพชร วัดเหล่านี้มีซุ้มประตูเป็นบางวัด แต่พอเข้าเขตจังหวัดตากผ่านเข้าแม่พริกอำเภอเถินจังหวัดลำปางมาถึงตัวจังหวัดลำปางสังเกตุดูแทบทุกวัดล้วนสร้างฃุ้มประตูแบบอลังการงานสร้าง วัดบางวัดตัววิหารและอุโบสถยังก่ออิฐถือปูนแบบเปลือย ผนังก็ไม่ได้ฉาบสีก็ไม่ได้ทา แต่ทำซุ้มประตูเสียสวยงามใหญ่โต พอกลับมาถึงลำปางเลยเข้าค้นในกูลเกิลหาดูวัดต่างๆในภาคเหนือที่ดังๆไม่ว่าวัดสวนดอก วัดเจดีย์หลวง ในเชียงใหม่ หรือแม้กระทั่งวัดในจังหวัดลำพูนที่ดังๆเช่นวัดพระธาตุหริภูญไชย ก็มีซุ้มประตูที่ใหญ่โตเสียจริงๆ เลยอยากรู้ว่าที่มาที่ไปของการที่วัดในภาคเหนือที่นิยมสร้างซุ้มประตูแข่งกัน มีต้นสายปลายเหตุหรือรับเอาอารยะธรรมแต่ใดมา วานผู้รู้ช่วยแจ้งแถลงไข เป็นความรู้ด้วยจักขอบพระคุณเป็นอย่างสูง

จูล่ง:
ตามอำเภอเล็กๆ บางวัดก็ไม่มีนะครับ

ส่วนตัว ผมคิดว่าอาจเป็นความเชื่อของชาวพุทธที่ต้องการทำบุญสร้างซุ้มประตูให้สวยงาม

ตามอานิสงค์ความเชื่อ...ที่บอกว่าการสร้างประตูทางเข้าวัด เปรียบเหมือนการสร้างประตูเข้าทางสวรรค์ เหมือนกับการบอกทางผู้อื่น เป็นต้นครับ

ส่วนเรื่องสวยงาม ใหญ่โต...คงเป็นไปตามความชอบ และงบประมาณครับ

นี้เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวนะครับ อาจจะไม่ถูกต้องครับ

คนรักษ์พระ:

    หามาให้นะครับ เหตุผลที่ถาม?

    ซุ้มประตูวัด : เป็นองค์ประกอบทางศิลปสถาปัตยกรรมชุดแรกที่จะต้องพบก่อนเข้าสู่พุทธสถานใดๆ ด้วยเป็นงานสถาปัตยกรรมที่ทำหน้าที่เป็นช่องทางเข้าออกของพระอาราม ซุ้มประตูนี้อาจต้องมีหลายๆจุด สำหรับเอื้อต่อการเข้าถึงทั้งเขตพุทธาวาสและสังฆาวาสโดยสะดวก แต่จะต้องมีจุดใดจุดหนึ่งที่เป็นประตูหลัก ที่เป็นทางเข้าสู่ภายในยังศูนย์กลางประธาน
ตำแหน่งที่ตั้งอาคาร
ที่ตั้งหรือตำแหน่งรวมทั้งลักษณะรูปแบบของซุ้มประตูวัดนั้น ขึ้นอยู่กับความสำคัญและขนาดของวัด กล่าวคือ หากเป็นวัดสำคัญๆก็นิยมให้มีซุ้มประตูทางเข้า เข้าออกได้ทั้ง 4 ด้าน โดยอาจจะเป็น 2-3 ประตูสำหรับวัดขนาดใหญ่ และจะให้ซุ้มประตูทางเข้าหลักนั้นอยู่ในตำแหน่งที่ตรงกับแนวแกนประธานของพระอุโบสถและพระเจดีย์ ซึ่งมักจะกำหนดให้อยู่ตรงกึ่งกลางของผังเป็นส่วนใหญ่ แต่แม้แนวแกนประธานจะไม่อยู่ตรงกลางผัง ก็จะทำซุ้มประตูตรงแนวแกนประธานเป็นหลักเพื่อเป็นการดึงความรู้สึก ความตั้งใจและสมาธิทั้งหมดของผู้มาวัดตรงเข้าไปสู่จุดศูนย์กลางสำคัญของอาคารประธานในผังในทันใด
อย่างไรก็ตามในสมัยอยุธยา ปรากฏว่ามีวัดกลุ่มหนึ่งที่นิยมการออกแบบให้ใช้ซุ้มประตูทางเข้าแบบ “ซุ้มคู่” โดยกำหนดให้ตำแหน่งที่ตั้งนั้นประกบขนาบอยู่ข้างแนวแกนประธานเข้าสู่ลานร่วมขนาดเล็กและรวบทางเดินเป็นสายเดียวเข้าสู่แนวแกนประธาน
อนึ่ง วัดบางแห่งมีแนวกำแพง 2 ชั้น คือชั้นนอกเป็นกำแพงวัด และชั้นในเป็นกำแพงเขตพุทธาวาส มีการทำซุ้มประตูทั้งสองแนว เช่นวัดเทพธิดาราม วัดราชนัดดาราม กรุงเทพฯ
ลักษณะและรูปแบบทางสถาปัตยกรรม
เนื่องจากซุ้มประตูวัดเป็นสิ่งเดียวที่ใช้เป็นทางเข้าออกระหว่างโลกภายในและโลกภายนอกดังกล่าว การกำหนดลักษณะของรูปแบบทางสถาปัตยกรรมจึงจำเป็นต้องเน้นให้เป็นจุดเด่น แตะตาหรือสังเกตเห็นได้ง่าย แต่ก็มีข้อกำหนดอยู่ที่รูปแบบลักษณะและขนาดจะต้องไม่ไปทำลายคุณค่าความงามของอาคารประธานภายในนั้น
โดยทั่วไปแล้วการทำซุ้มประตูประกอบกำแพงของวัด จะใช้วิธีการก่อสร้างด้วยระบบเครื่องก่อเป็นหลักนับแต่ฐานถึงยอด ยกเว้นซุ้มประตูที่ต้องการมีรูปทรงหลังคาเป็นอย่างทรงคฤห์ ก็จะก่ออิฐถือปูนถึงส่วนเรือนแล้วตั้งเครื่องบนด้วยโครงสร้างหลังคาไม้ มุงกระเบื้อง ตกแต่งหลังคาด้วยช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ อาจมีหรือไม่มีหน้าบัน ขนาดของซุ้มประตูทั่วไปมักอยู่ในระยะกว้างประมาณ 1.50-2.00 เมตร และสูงประมาณ 2.50-4.00 เมตร (ไม่นับรวมระยะเครื่องบน) ส่วนชนิดเครื่องก่อทั้งหลังมีบ้างที่ก่ออิฐฉาบปูนเรียบ บ้างประดับกระเบื้องเคลือบสี บ้างปั้นปูนประดับลายและบ้างก็ใช้วัสดุบุ เช่น หินอ่อน ฯลฯ บานเปิดปิดรวมทั้งกรอบเช็ดหน้าล้วนใช้เครื่องไม้ทั้งสิ้น ตัวบานบ้างเรียบ บ้างก็แกะสลักลาย บ้างเขียนสี บ้างเขียนลายรดน้ำ ซึ่งอาจเป็นรูปทวารบาล หรือ เซี่ยวกาง หรือลายไม้ดอกต่างๆ หรืออื่นๆประกอบ
ลักษณะและรูปแบบโดยทั่วไปในงานสถาปัตยกรรมไทยของซุ้มประตูวัด แบ่งตามลักษณะของรูปทรงหลังคาได้ 8 อย่าง คือ
1. ทรงบัณแถลง หมายถึง ซุ้มประตูที่ทำเป็นรูปโค้งแหลม กรอบซุ้มปั้นปูนด้วยการใช้เครื่องประดับแบบช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ ซุ้มประตูลักษณะนี้ใช้ตั้งแต่สมัยอยุธยาลงมา

2. ทรงโค้ง หมายถึง ซุ้มประตูที่เป็นเครื่องก่อทั้งหมด ส่วนยอดซุ้มก่อเป็นรูปโค้งครึ่งวงกลม ซุ้มประตูประเภทนี้ น่าจะถือได้ว่าพัฒนารูปแบบจากแบบทรงบัณแถลงที่เป็นรูปโค้งแหลมมาเป็นโค้งกลม เป็นแบบที่นิยมกัมากในยุคสมัยรัตนโกสินทร์นับแต่รัชกาลที่ 3 ลงมาเมื่อประเทศไทยรับอิทธิพลและรูปแบบวัฒนธรรมจากตะวันตก
3. ทรงคฤห์ หมายถึง ซุ้มประตูที่ก่ออิฐรับยอดซุ้มที่เป็นหลังคาเครื่องไม้ทรงจั่วเหมือนเรือนพักอาศัย การออกแบบซุ้มประตูลักษณะนี้ มักจะใช้วิธีการหันข้างเรือนออก

4.ทรงคฤห์แบบตรีมุข หมายถึง ซุ้มประตูแบบทรงคฤห์ที่เพิ่มมุขกลางประกอบด้านข้างอีกมุขหนึ่ง เพื่อใช้เน้นเป็นทางเข้าของด้านหน้าวัดโดยตรง

5. ทรงมงกุฎ หมายถึง ซุ้มประตูที่เป็นเครื่องก่อ โดยส่วนยอดซุ้มก่อปั้นเป็นรูปทรงพระมหามงกุฎ สำหรับวัดสำคัญๆก็จะประดับด้วยกระเบื้องเคลือบสีเป็นลายประดับ

6. ทรงปราสาทยอดมงกุฎ หมายถึง การทำซุ้มประตูเป็นเครื่องก่อยอดปราสาท มีมุขแนบกับอาคารชักออกทั้ง 4 ด้าน ตอนบนเทินด้วยเครื่องยอดแบบทรงพระมหามงกุฎ
7. ทรงมณฑป หมายถึง ซุ้มประตูที่เป็นเครื่องก่อ มีเครื่องยอดก่อเป็นชั้นๆอย่างยอดมณฑปหรือบุษบก
8. ทรงอย่างเทศ หมายถึง ซุ้มประตูแบบเครื่องก่อ ที่ส่วนยอดนั้นใช้ลักษณะของรูปทรงซุ้มเป็นแบบต่างๆอย่างอิทธิพลศิลปสถาปัตยกรรมต่างชาติ เช่น ยอดเกี้ยว วัดราชนัดดาราม กรุงเทพฯยอดกรอบสามเหลี่ยม วัดศรีสุดาราม

  ขอขอบคุณ เวป ไทยทัวร์ นะครับ

                                                                                                                       ขอบคุณครับ


   ปล.ผมคิดว่าถ้าซุ้มประตูทางเข้าใหญ่โตก็เป็นจุดสนใจที่ทุกคนอยากจะเข้าไปนะครับ ส่วนภายในทางวัดอาจจะอนุรักษ์ไว้นะครับ(เหตุผลส่วนตัวนะครับ)เหมือนทางเข้าบ้านนะครับ


นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

Go to full version