กระดานสนทนาวัดบางพระ
ยินดีต้อนรับคุณ,
บุคคลทั่วไป
กรุณา
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
1 ชั่วโมง
1 วัน
1 สัปดาห์
1 เดือน
ตลอดกาล
เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
หน้าแรก
กระดานสนทนา
เข้าสู่ระบบ
สมัครสมาชิก
กระดานสนทนาวัดบางพระ
»
หมวด มิตรไมตรี
»
บทความ บทกวี
»
ตำนาน... ลี้ลับแห่งเมืองลับแล
ส่งหัวข้อนี้
พิมพ์
หน้า: [
1
]
ลงล่าง
ผู้เขียน
หัวข้อ: ตำนาน... ลี้ลับแห่งเมืองลับแล (อ่าน 14012 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
กระเบนท้องน้ำ
สัตตมะ
กระทู้: 275
เพศ:
การให้ธรรมะ ชนะการให้ทั้งปวง
ตำนาน... ลี้ลับแห่งเมืองลับแล
«
เมื่อ:
06 มี.ค. 2553, 10:35:51 »
เรื่องเล่าปรัมปราของชาวเมืองลับแล เมืองเล็ก ๆ
ที่ปัจจุบันเป็นอำเภอลับแล อำเภอหนึ่งในจังหวัดอุตรดิตถ์
ซึ่งเล่าสืบทอดกันต่อมาจนเป็นที่แพร่หลาย เป็นที่รู้จักของคนทั่วไป
คือเรื่อง ตำนานรักภายใต้กฎเกณฑ์แห่งความยึดมั่นในศีลและสัจจะ
ผู้เฒ่าผู้แก่เล่าว่า
ชายหนุ่มจากทุ่งยั้งผู้มีอาชีพหาของป่าได้พลัดหลงเข้าไปในเขตเมืองลับแลแล้วหาทางออกไม่ได้
จนไปพบรักกับห?ิงสาวชาวลับแลแล้วอยู่กินเป็นผัวเมียกันอย่างมีความสุขในเมืองลับแลนั่นเอง
ทั้งคู่ครองรักกันมาเนิ่นนานกระทั่งมีลูกด้วยกัน
ภายใต้กฎเข้มของเมืองลับแลที่ยึดถือสัจจะเป็นที่ตั้งห้ามกล่าวคำโป้ปดมดเท็จโดยเด็ดขาด
วันหนึ่งฝ่ายชายเลี้ยงลูกอยู่บ้านตามลำพัง ฝ่ายห?ิงออกไปเก็บผักตักน้ำ
เจ้าลูกก็เกิด ร้องไห้จ้าไม่ยอมหยุดขึ้นมา พ่อคงไม่รู้จะปลอบยังไง
เลยหลุดปากออกไปว่า แม่กลับมาแล้ว ทำให้ลูกเงียบเสียงในบัดดล
แต่บรรดาท่านผู้ชมที่อยู่ไม่ห่างคือพ่อแม่ฝ่ายห?ิง
มองไปไม่เห็นลูกสาวกลับมาจริง ก็ถือเป็นความผิดอันให?่หลวง
ถึงขั้นต้องเนรเทศส่งลูกเขยกลับออกไปให้พ้นเขต
ก่อนส่งกลับยังมีการแถมของชำร่วยจัดใส่ย่ามให้เจ้าหนุ่มกลับไปเป็นที่ระลึกอีกด้วย
แต่คงเป็นด้วยกรรมของคนที่ไม่ได้ตั้งอยู่ในศีลในสัจจะ
ระหว่างทางรู้สึกหนักจึงเปิดย่ามดู ก็เห็นเป็นแท่งขมิ้นไม่มีค่าอะไร
เลยเดินไปทิ้งไปตลอดทาง พอกลับถึงบ้านกลับกลายเป็นว่าแท่งขมิ้นนั้น
แท้จริงเป็นทองคำแท่ง ซึ่งก็เหลือมาเพียงแท่งเดียว
ด้วยความเสียดายจึงย้อนรอยกลับไปทางเดิม
แต่ก็ไม่พบทั้งแท่งขมิ้นและเมืองลับแลอีกเลย ฟัง ๆ แล้วก็สะใจดี
สาสมกับความไม่มีสัจจะ ไม่มีน้ำอดน้ำทน ซ้ำยังเห็นของคนรักมอบ
ให้เป็นของไร้ค่าของเจ้าหนุ่มทุ่งยั้ง
แต่ก็น่าเห็นใจสาวลับแลที่ต้องเป็นแม่ม่ายเพราะคำเท็จ
ที่ไม่น่าจะร้ายแรงนัก
จากตำนานเรื่องเล่าเมืองลับแล
นอกจากจะบอกถึงความเร้นลับของเมืองลับแลที่ยาก จะมีใครพบได้แล้ว
ยังอาจสะท้อนได้ถึงวิถีชีวิตของชาวลับแลที่เปี่ยมไปด้วยศีลและสัจจะ
ซึ่งเป็นกฎเกณฑ์ในสังคมที่วางไว้อย่างเคร่งครัด
ชาวลับแลจึงอยู่กันอย่างสุขสงบตลอดมา
แม้จะไม่อาจยืนยันได้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่
แต่ก็นับว่าเป็นอุบายที่แยบยลยิ่งในการอบรมสั่งสอนให้คนเป็นคนดี
อย่างน้อยก็ยังรักษาศีลได้ข้อหนึ่ง นี่ก็เป็นเรื่องเล่าสนุก ๆ
ที่สืบทอดกันมา ส่วนความเชื่อเรื่องการสร้างบ้านแปลงเมือง
จนกำเนิดเป็นเมืองลับแลนั้น
มีเรื่องสืบทอดกันมาว่าชาวเมืองลับแลอพยพโยกย้ายมาเมื่อประมาณพุทธศักราช
1500 ซึ่งเป็นสมัยแห่งอาณาจักรโยนกนคร
มีราชธานีชื่อ นครนาคพันธ์สิงหนวัติโยนกชัยบุรีเชียงแสน
(ปัจจุบันคืออำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย)
ครั้งนั้นราษฎรทนความทุกข์ยากอันเกิดจากสงครามและโรคระบาดไม่ไหว
พากันละทิ้ง ถิ่นฐานแยกย้ายไปหาที่ทำกินใหม่ ราษฎรประมาณ ๒๐ ครอบครัว
ภายใต้การนำของหนานคำลือ และหนานคำแสน ได้เดินทางล่องลงใต้
ตามความเชื่อว่าวิ??าณเจ้าปู่พ?าแก้ววงเมือง กษัตริย์องค์ที่ ๑๓
แห่งนครโยนก มาเข้าฝันบอกว่า มีแหล่งหากินอันอุดมสมบูรณ์
มีน้ำตกและธารน้ำไหลตลอดทุกฤดูกาล ดินฟ้าอากาศไม่หนาวไม่ร้อนจนเกินไป
ราษฎรกลุ่มนี้ ได้อันเชิ?ดวงวิ??าณของปู่พ?าแก้ววงเมืองไปด้วย
เดินทางผ่านจังหวัดลำปาง
จังหวัดแพร่จนไปพบแหล่งทำมาหากินในฝันแห่งใหม่เมื่อถึงหุบเขาลับแล
ซึ่งมีลักษณะภูมิประเทศตรงตามที่วิ??าณเจ้าปู่พ?าแก้ววงเมือง คือ
มีน้ำตก ธารน้ำไหล ดินฟ้าอากาศ ชุ่มชื้น มีภูเขาเตี้ย ๆ
อุดมไปด้วยพันธุ์ไม่นานาชนิดแสงแดดส่องถึงพื้นดินเพียงครึ่งวัน
จากนั้นก็ลงหลักปักฐานตั้งบ้านเมืองขึ้นที่เมืองลับแล ให้ชื่อว่า
บ้านเชียงแสน บรรดาช้าง ม้า วัว ควาย
ที่นำมาด้วยก็ตั้งเป็นบ้านคอกควายและบ้านคอกช้างให้อยู่
(ปัจจุบันยังมีชื่อบ้านคอกควายและบ้านคอกช้างอยู่ที่ตำบลฝายหลวงและตำบลศรีพนมมาศ)
เมื่อสร้างบ้าน เมืองแล้วก็แต่งตั้งหนานคำลือเป็น "เจ้าแคว้น"
(เทียบเท่ากำนัน) หนานคำแสนเป็น "เจ้าหลัก" (เทียบเท่าผู้ให?่บ้าน)
ปกครองบ้านเมือง ๗ ปีผ่านไปด้วยความคิดถึงบ้านเกิดเมืองนอน
หนานคำลือก็ได้เป็นหัวหน้านำราษฎรราว 10 คน
เดินทางจากลับแลไปยังโยนกเพื่อกราบทูลให้พระเจ้าเรืองธิราช
กษัตริย์องค์ที่ 21 ของโยนก
ได้ทรงทราบถึงการตั้งหลักแหล่งทำมาหากินแห่งใหม่ของพวกตน
และขอนิมนต์พระสงฆ์กลับไปลับแล เนื่องจากที่นั่นยังขาดพระสงฆ์
พระเจ้าเรืองธิราชได้พระราชทาน พระสงฆ์จำนวน 6 รูป พระธรรม พระไตรปิฎก
และเครื่องใช้สอยเกี่ยวกับศาสนพิธี ให้หนานคำลือนำกลับไปเมืองลับแล
เมื่อกลับไปถึงได้สร้างวัดชื่อ
วัดเก้าเง้ามูลศรัทธาขึ้นเป็นวัดแห่งแรกในเมืองลับแล
(ปัจจุบันคือวัดใหม่ในตำบลฝายหลวง
อาคารวัดเดิมอยู่ตรงบริเวณสนามโรงเรียน แต่ชำรุดหักพังลงหมดแล้ว)
เรื่องราวอันเป็นเรื่องเล่าถึงความเป็นมาแต่หนหลังของเมืองลับแลยังไม่จบลงแค่นี้
ยังมีสิ่งที่สืบทอดต่อมาจนถึงปัจจุบันอีกหลายเรื่อง
ขอบคุณที่มา...http://www.geocities.com/ikbeki/story44.html
แจ้งลบกระทู้นี้หรือติดต่อผู้ดูแล
บันทึกการเข้า
TleKaMah
ตติยะ
กระทู้: 108
เพศ:
ตอบ: ตำนาน... ลี้ลับแห่งเมืองลับแล
«
ตอบกลับ #1 เมื่อ:
11 พ.ค. 2553, 10:20:13 »
ขอบคุณครับอ่านสนุกได้ความรู้ดีครับ
แจ้งลบกระทู้นี้หรือติดต่อผู้ดูแล
บันทึกการเข้า
ส่งหัวข้อนี้
พิมพ์
หน้า: [
1
]
ขึ้นบน
กระดานสนทนาวัดบางพระ
»
หมวด มิตรไมตรี
»
บทความ บทกวี
»
ตำนาน... ลี้ลับแห่งเมืองลับแล