หมวด ธรรมะ และ นอกเหตุ เหนือผล > ประสบการณ์วิญญาณ

อาถรรพ์...ขุมทรัพย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช

(1/2) > >>

กระเบนท้องน้ำ:


อาถรรพ์ขุมทรัพย์สมเด็จพระนเรศวรฯที่วัดป่าแก้ว
เรื่องนี้มีหลักฐานและถูกเล่าขานกันนานแล้ว เป็นเรื่องจริงจากคำบอกเล่าของพระธุดงค์หลายรูป ที่เล่าตรงกันเกี่ยวกับขุมทรัพย์โบราณมูลค่ามหาศาลภายใน "วัดป่าแก้ว" หรือ วัดใหญ่ชัยมงคล จ.พระนครศรีอยุธยา วัดนี้ตามประวัติกล่าวไว้ว่า เดิมเป็นวัดราษฎร์เรียกกันว่าวัดป่า ตั้งอยู่ในบริเวณเดียวกับวัดสำคัญประจำนครอโยธยาเดิมคือวัดพนัญเชิง วัดมเหยงค์ วัดกุฎีดาว และวัดอโยธยา ครั้งถึงแผ่นดินสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง) ได้ทรงให้ขุดศพเจ้าแก้วเจ้งไท เชื้อพระวงศ์ที่เป็นอหิวาตกโรคตาย ขึ้นพระราชทานเพลิงที่วัดนี้แล้วทรงซ่อมแซมบูรณะเจดีย์วิหาร ก่อนจะทรงสถาปนาขึ้นเป็นพระอารามหลวง พระราชทานนามว่า "วัดเจ้าพญาไท" ให้เป็นที่พำนักของพระพนรัต ซึ่งเป็นพระสังฆราชฝ่ายอรัญวาสี และด้วยอาณาเขตของวัดที่กว้างใหญ่ ชาวบ้านจึงนิยมเรียกชื่อ "วัดใหญ่" ตั้งแต่นั้นมา
จนล่วงมาถึงปี พ.ศ. 1991 - 2031 ในแผ่นดินสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ พระสงฆ์ไทยคณะหนึ่งนำกันออกไปอุปสมบทแปลงเป็นสิงหนีนิกาย และศึกษาพระพุทธศาสนา ณ สำนักพระพนรัต มหาเถระในลังกาทวีป สำเร็จแล้วกลับมาตั้ง "คณะป่าแก้ว" ที่ "วัดเจ้าพญาไท" จึงนิยมเรียกชื่อกันว่า "วัดเจ้าพญาไทคณะป่าแก้ว" ภายหลังเรียกเหลือสั้นลงแค่ "วัดป่าแก้ว" และเปลี่ยนเป็น "วัดใหญ่ชัยมงคล" ในปัจจุบัน
วัดโบราณเก่าแก่ในเขต จ.พระนครศรีอยุธยา หลาย ๆ วัดเป็นที่รู้จักดีในหมู่เซียนพระ และนักเล่นของเก่าแก่ว่าจะต้องมีสมบัติมีค่ามหาศาลฝังไว้ใต้ดิน และแน่นอนว่าแต่ละที่จะต้องมี "ภูต" ที่เรียกว่า "ปู่โสม" เฝ้าอยู่ คนที่เชื่อและขยาดในอิทธิฤทธิ์มักไม่กล้าเข้าไปยุ่ง แต่กับกลุ่มคนที่ชอบลักลอบเข้าไปขุด พวกนี้จะมองเห็นเป็นเรื่องธรรมดา เพราะกิเลสและความละโมบที่มีอยู่ ทำให้ตามืดบอด มองไม่เห็นหายนะและความตายจากคำสาปแช่งที่กำลังจะมาถึง
วัดป่าแก้วหรือวัดใหญ่ชัยมงคล ในอดีตมักจะมีพระธุดงค์แวะเวียนมาปักกลดแสวงหาความวิเวกอยู่เป็นประจำ สมัยนี้เล่ากันว่าบริเวณวัดมีแต่ต้นไม้ขึ้นหนาแน่นและเต็มไปด้วยสัตว์ร้าย เช่น งูเหลือม งูจงอาง เป็นสถานที่อันตราย เปลี่ยว และยังลือกันว่า "ผีดุ" จนชาวบ้านได้กล้าย่างกรายเข้าไป แต่ก็ยังมีพระภิกษุรูปหนึ่ง ใช้สถานที่นี้เป็นที่ปักกลดท่านคือ "หลวงปู่สีโห" พระป่ากรรมฐาน ซึ่งเป็นศิษย์ใกล้ชิด หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต พระปรมาจารย์กรรมฐานแห่งภาคอีสาน
"หลวงปู่สีโห" ท่านเป็นศิษย์หลวงปู่มั่นรุ่นเดียวกัน หลวงปู่ฝั้น อาจาโร หลวงปู่ขาว อนาลโย และหลวงปู่แหวน สุจิณโณ ท่านเป็นพระที่เคร่งในพระธรรมวินัย แต่ไม่ชอบอยู่วัดเพราะท่านรักที่จะอยู่ตามป่า ท่านเป็นพระที่มีชื่อเสียงในทาง "วิปัสสนากรรมฐาน" มากจนได้รับการยกย่องว่า มีเมตตาและพลังจิตแก่กล้า มีอำนาจแห่งอิทธิฤทธิ์และอภิญญา
หลวงปู่สีโหท่านเคยมาปักกลดอยู่ในวัดป่าแก้ว ใกล้กับพระเจดีย์องค์ใหญ่ที่สมเด็จพระนเรศวรฯ ทรงสร้างเฉลิมฉลองพระเกียรติ ภายหลังที่มีชัยแก่พม่าแล้ว ขณะที่ท่านพำนักอยู่ได้มีคนกลุ่มใหญ่พากันเข้ามาภายในวัดมองดูลักษณะคล้ายพวกโจร คนเหล่านี้มาขอร้องให้หลวงปู่ถอนกลดย้ายไปจากที่นั่น หลวงปู่ถามว่าเหตุใดจึงมาไล่ท่าน คนพวกนั้นตอบตามตรงว่าพวกเขาจะมาขุดทรัพย์ตามลายแทง แต่ไม่อยากให้หลวงปู่ร่วมรับรู้ด้วย และยังได้เล่าต่อไปว่าภายในเขตกรุงศรีอยุธยานี้มีลายแทงโบราณ บอกที่ซ่อนทรัพย์สมบัติไว้มากมายถึง 713 แห่ง พวกเขาขุดพบมาแล้ว 5 แห่ง และตามลายแทงยังบ่งบอกไว้ว่าในบริเวณรอบพระเจดีย์ใหญ่ที่สมเด็จพระนเรศวรฯ สร้างนี้มีขุมทรัพย์อยู่ถึง 27 ขุม มีข้าวของเงินทอง และเพชรนิลจินดาอยู่มากมาย จากนั้นกลุ่มชายฉกรรจ์ก็ได้เอาสมุดข่อย ซึ่งเขียนด้วยอักขรไทยโบราณมีรูปแสดงที่ตั้งขุมทรัพย์ใต้ดินในบริเวณรอบ ๆ พระเจดีย์ให้หลวงปู่ดู นอกจากนี้ในสมุดข่อยยังมีแผนที่แสดงขุมทรัพย์ต่าง ๆ ทั่วกรุงศรีอยุธยาอีกมากมายนับไม่ถ้วน และที่น่ากลัวก็คือ ภายในสมุดข่อยเล่มนั้นมีอยู่หน้าหนึ่งเป็นผ้าเยื่อไม้ซีด ๆ ปรากฏคำสาปแช่งเอาไว้ด้วยโดยที่ไม่รู้ว่า กลุ่มโจรพวกนี้ จะเห็นหรือไม่
เรื่องขุมทรัพย์รายรอบพระเจดีย์นี้เป็นเรื่องที่คนโบราณว่าไว้จริง ซึ่งหัวหน้าแม่ชีท่านหนึ่งที่วัดใหญ่ชัยมงคลเคยเล่าให้ผู้เขียนฟัง ในสมัยที่ท่านเข้ามาอยู่ที่วัดนี้ใหม่ ๆ นอกจากจะได้เห็น "ดวงพระวิญญาณ สมเด็จพระนเรศวรฯ" แล้วท่านยังเคยเห็น "ทองลุก" ซึ่งเป็นไฟพะเนียงพุ่งขึ้นไปบนฟ้าตรงบริเวณหน้าพระเจดีย์องค์นี้ ซึ่งคนโบราณบอกไว้ว่าถ้าเห็นลักษณะนี้แสดงว่า ใต้ดินบริเวณนั้นต้องมีสมบัติฝังอยู่แน่นอน สำหรับที่มาของขุมทรัพย์เหล่านี้ตามลายแทงโบราณได้บอกไว้ว่าเป็นมหาสมบัติอันล้ำค่า ของอดีตพระมหากษัตริย์กรุงศรีอยุธยาหลายพระองค์ ที่สมเด็จพระนเรศวรทรงขุดพบ และนำมาฝังไว้ตามคำแนะนำของสมเด็จพระพนรัตน์ป่าแก้ว ผู้เป็นอาจารย์ของพระองค์จุดประสงค์ก็เพื่อเป็นการบูชาพระรัตนตรัย แก้อาถรรพณ์ดวงเมืองที่ตกต่ำ ร่วงโรยมานานให้รุ่งเรืองขึ้นในยุคสมัยของพระองค์
การขุดสมบัติของกลุ่มโจรในวันนั้นเล่าว่ามีการนำอาจารย์ทางไสยศาสตร์มาทำพิธีด้วย มีการเสกไข่เสี่ยงทายและพบไข่เป็นสีต่าง ๆ เช่น สีเหลือง แดง เขียว ดำ ซึ่งบอกให้รู้ว่ามีขุมทรัพย์ประเภททองคำ เพชรนิลจินดา และเงินตราโบราณอยู่มากมาย ทำให้พวกโจรดีใจกันมาก แล้วก็ช่วยกันทำการขุด เมื่อขุดลงไปประมาณ 7 ฟุต ก็พบโครงกระดูก 4 โครง นอนหัวชนกันหันเท้าชี้ไป 4 ทิศ และพอขุดลงไปอีกจอบก็ไปกระทบกับพื้นคอนกรีตโบราณ ซึ่งเป็นหลังคาอุโมงค์เก็บสมบัติ จึงพยายามช่วยกันแซะปากอุโมงค์ให้กว้างขึ้น และน่าประหลาดที่ภายในอุโมงค์มีกระแสลมแรงมาก พัดออกมาตลอดเวลา คล้ายมีพัดลมขนาดใหญ่อยู่ข้างใน อาจารย์ทางไสยเวทย์ที่ร่วมทีมจึงทดลองเอาด้ามเสียมแหย่ลงไปดูปรากฏว่า เสียมถูกกระแสลมตีเศษเหล็กกระจาย ทำให้แน่ใจว่าภายในหลุมนี้มี "หุ่นพยนต์" หรือ "จักรพยนต์" ที่คนโบราณผูกไว้สำหรับป้องกันขุมทรัพย์
"หุ่นพยนต์" หรือ "จักรพยนต์" นี้ทำด้วยเหล็กกล้าเนื้อดี และคมกริบเคลื่อนไหวด้วยกลไกที่ผลักดันจากแสง และอากาศที่อัดลงไป นอกจากนี้ยังมีการปลุกเสกลงอาถรรพณ์ ด้วยเวทมนตร์ศักดิ์สิทธิ์เพื่อให้มีวิญญาณสิงสถิตย์อยู่ หากจะทำลายก็ต้องแก้ด้วยเวทมนตร์ แต่สำหรับกลุ่มโจรเหล่านี้ แม้จะมีอาจารย์ทางไสยศาสตร์ มาคอยแก้อาถรรพณ์อยู่ด้วยก็ยังทำได้ยาก เพราะขณะกำลังทำพิธีล้างอาถรรพณ์หุ่นพยนต์นั้น อุโมงค์ขุมทรัพย์ก็ได้เลื่อนออกไป เสียงดังครืด ๆ เป็นที่น่าอัศจรรย์ หนำซ้ำยังมีดินถล่มลงมาถมปากอุโมงค์จนเต็ม เป็นการปิดไม่ให้คนเหล่านั้นได้ล่วงล้ำเข้าไปอีก แต่ถึงจะเจออภินิหารซึ่งหน้าเช่นนี้ กลุ่มโจรก็ยังไม่ย่อท้อ ตั้งใจว่าจะเริ่มขุดใหม่ในวันรุ่งขึ้น

ดึกดื่นคืนนั้นพวกโจรกลับกันหมดแล้ว ได้ปรากฏร่างใหญ่โตของคน 4 คน ซึ่งไม่มีหัวมายืนอยู่หน้ากลดหลวงปู่สีโห ทั้งหมดคือภูตที่คอยเฝ้ามหาสมบัติให้สมเด็จพระนเรศวรฯ มาแจ้งให้หลวงปู่ทราบว่า กลุ่มโจรเหล่านี้มาขุดพระราชทรัพย์อันศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าฟ้าพระมหากษัตริย์ที่ทรงสาปแช่งไว้ แล้วยังทำพิธีไสยศาสตร์ ทำลายข่ายอาถรรพณ์ที่พระครูปุโรหิตโบราณาจารย์ทำไว้ให้เสื่อมอีก เท่ากับเป็นการทำลายดวงชะตาของบ้านเมือง พวกตนจะมาเอาชีวิตไปให้หมดแต่ติดขัดว่ามีหลวงปู่อยู่ด้วย จึงมาแจ้งให้ทราบ แต่หลวงปู่สีโห ซึ่งท่านได้ชื่อว่าเป็นพระที่มีจิตเมตตา ท่านจึงได้ขอบิณฑบาตชีวิตคนเหล่านั้น ขอแค่ดัดนิสัยให้เข็ดหลาบก็พอ ทำให้วิญญาณทั้ง 4 นิ่งอึ้ง และบอกว่าต้องให้หลวงปู่ลองพูดกับพญายมบาลเอง พวกเขาไม่มีอำนาจอะไร เพียงแต่ทำตามหน้าที่เท่านั้นพูดเสร็จก็เดินหายเข้าไปในองค์พระเจดีย์

หลวงปู่สีโหจึงเข้าฌานติดต่อกับพญายมบาล เมื่อพญายมบาลเปิดบัญชีดูจึงรู้ว่าพวกขุดลักพระราชทรัพย์เหล่านี้ ดวงยังไม่ถึงฆาตในตอนนี้ แต่กรรมหนักกำลังจะตามมาในไม่ช้า แต่ถึงอย่างไรพวกนี้ก็ควรจะได้รับผลจากคำสาปแช่งบ้างจะได้หลาบจำ เป็นอันว่าท่านพญายมตกลงจะไว้ชีวิตพวกโจร ครั้นรุ่งเช้าหลวงปู่สีโหตื่นขึ้นจะไปสรงน้ำ เพื่อออกบิณฑบาตก็ได้เห็นโจรกลุ่มนั้นกำลังนอนดิ้นทุรนทุราย เอามือกุมท้องบิดไปมาด้วยความเจ็บปวด ขอให้หลวงปู่ช่วย ขณะเดียวกันบนองค์พระเจดีย์ใหญ่ก็เกิดเสียงดังครืน ทำให้ทุกคนหันไปดู เพราะคิดว่าพระเจดีย์จะถล่ม แต่แล้วก็พากันตกตะลึง เมื่อเห็นชายผู้หนึ่งเดินลงมาจากพระเจดีย์พร้อมด้วยผีหัวขาดร่างใหญ่โต และพากันเดินหายไปทางกำแพงแก้วด้านทิศใต้ พวกโจรในที่นั้นร้องอุทานด้วยความตกใจสุดขีด หลวงปู่จึงบอกว่า "พวกเขาคือปู่โสมเฝ้าทรัพย์ที่จะมาเอาชีวิตพวกเจ้า" พอได้ยินหลวงปู่พูดเช่นนี้ พวกโจรทั้งหมดก็เกิดความกลัว ตาหูเหลือกลาน จนอาการปวดท้องกำเริบ ทำให้หมดสติไปตามๆกัน หลวงพ่อเห็นแล้วก็ยิ่งเกิดความสังเวชที่เห็นโจรเหล่านี้ถูกลงโทษ เช้าวันนั้นท่านจึงจาริกออกจากอยุธยาไป ปล่อยให้โจรเหล่านั้นนอนสลบไสลเฝ้าขุมทรัพย์ภายในวัดป่าแก้วไปตามยถากรรม

"ปู่โสมเฝ้าทรัพย์" นั้นมีจริงหากใครไม่เชื่อคิดลบหลู่ลองของก็เชิญพิสูจน์ได้ที่ "วัดป่าแก้ว" หรือ "วัดใหญ่ชัยมงคล" จ.อยุธยา เพราะสมบัติมีค่ามหาศาล ครั้งแผ่นดินสมเด็จพระนเรศวรฯ ณ ปัจจุบันก็ยังคงฝังอยู่ใต้ดินรอบองค์พระเจดีย์นั่นเอง ซึ่งคงต้องรอผู้มีบุญ ผู้มีวาสนาขุดขึ้นมาใช้เป็นพระราชทรัพย์บำรุงแผ่นดิน และพระพุทธศาสนาในยุคต่อ ๆ ไป

ยาวสักหน่อยแต่ก็ทำให้ได้รู้ว่าสมบัติชาติ สมบัติแผ่นดิน ไม่ควรตกเป็นของใครคนใดคนหนึ่งแต่ผู้เดียวค่ะ



ขอบคุณเรื่องจาก : FW Mail

CCS:
โอ้! อึ้ง! ครับ
สุดยอดจริงๆ อ่านแล้วตื่นเต้นยังกะได้ดูด้วยตาเห็นภาพเลยครับ
ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆที่นำมาเผยแพร่ให้พวกเราได้ดูได้อ่าน
กันครับ ผมเป็นคนชอบประวัติศาสตร์+ไสยศาสตร์อยู่แล้วด้วยยิ่ง
รู้สึกชอบเข้าไปใหญ่เลยครับ

  ปล.ขอขอบคุณสำหรับกระทู้ดีๆมีสาระแบบนี้ครับ   ~~ ดันไป ~~

Naraphat:
กรรมมุนา วัตติโลโก

TleKaMah:
 :053:เยี่ยมมากครับ :053:

peachsama:
ประสบการณ์จริง ตอนอยู่ลพบุรี ได้มา เที่ยวอยุธยา เขาเขียนว่าห้ามปีน ...เราปีนไปยอดปรางค์ ไปถ่ายรูปแชะๆ
เกิดอะไรรู้ไหมครับ ไปล้างภาพตกใจมาก เป็นฟิล์มดำ แล้วมีรอยเหมือนดาบฟัน โค้งๆกลางฟิล์มทั้งม้วน ช่างบอกว่า ไม่ได้ปิดฝากหลังหล้อง ซึ่งเราปิดสนิทแล้วแท้ๆ นั้นแหละตั้งแต่นั้นก็ ตกวูบมาเรื่อยๆ (ใครไม่เชื่ออย่าไปลองทำเลยไม่คุ้มๆ)

อีกเรื่องไปอยุธยา แถวเทคนิคอยูธยาไปเจอศาลาขาวๆ เหมือนที่พวกเจ้าพวกนายท่านขึ้นช้างสมัยก่อน เราก็ซนปีนเลยไปนั่งบนนั้น
เหอะ..ได้ยินเสียงดนตรีไทยโบราณ เพราะมากๆ เล่นแบบไกลๆ แผ่วๆเย็นๆ (กลางวันแสกๆ)  เราก็นึกว่า เด็กพานิชญ์หรือเด็กเท็กนิกเราก็เดินไปดูในโรงเรียน ไม่มีใครเล่น...แล้วเราได้ยินได้อย่างไร อัศจรรย์ เป็นมงคลหูดีแท้ๆ ก็ดวงดีเรื่อยๆมา

คือมีเพื่อนผม ชื่อมาซาโอะ คนญี่ปุ่นนี้แหละทำงานบริษัทรถยนต์ญี่ปุ่นชื่อดัง(มาทราบตอนสนิทกันว่าเป็นยากุซ่า) เอาเบนซ์สปอร์ตเก่าจากญี่ปุ่น เอามายำทรากแล้วใส่ทะเบียนขายเป็นเบ็นซ์สปอร์ตใหม่ ในราคาถูกกว่ากันครึ่งหนึ่ง (ซื้อรถที่ปลดระวางญี่ปุ่น มาในราคาซาก นำเข้ามา ทำใหม่ใส่ทะเบียนขาย ) ปัจจุบันไม่ทราบว่ายังมีหรือไม่แต่น่าจะทำยากแล้ว เพื่อนคนนี้เคยทำงานในNHK หรือ Nippon Hoso kaikyo  Japan เขาเคยมาทำสารคดีลี้ลับ ที่คูเมืองอยุธยาโดยขออนุญาติ ตั้งกล้อง ค้างแรมในคูเมือง หลังอุทยานปิด ซึ่งก็ตั้งกล้องกันวันนั้น คืนนั้น พอดึกๆ ได้ยินเสียงเหมือนคนทะเลาะ โช้งเช้งๆ ไกลๆ แล้วมีเสียงฝีเท้าคนวิ่งเข้ามาหาทีมงานดังขึ้นๆ เหมือนใกล้เข้ามาๆ เพื่อนมันเล่าว่า
พอใกล้เข้ามาแล้วรู้ว่าเป็นอะไร ทุกคนทิ้งกล้องทิ้งข้าวของสำภาระกระจุยกระจายเอาชีวิตรอดหมด เพื่อน ...มันเล่าว่า

"คน วิ่ง ตุบ ตุบ ตุบ ตุบๆๆๆ ตุบ! เข้ามาหาอย่างเร็ว แต่ไม่มีส่วนบนนะเห็นแต่ท่อนล่าง " เท่านั้นแหละทุกคนวิ่งไม่คิดชีวิต ออกจากคูเมืองให้ได้ เช้ามืดเข้าไปดูกล้องก็พบว่าพังหมดแล้ว ต้องถ่ายไหม่ แต่ไม่มีใครกล้าอยู่ถ่ายอีกเพราะยังไม่รู้จะเจออะไรต่อชีวิตจึงยกเลิกกำหนดการและกลับญี่ปุ่นไป

ส่วนที่วัดมเหยงค์ ถ้าท่านไปนั่งสมาธิใน โบราณสถาน ของวัด ดึกๆนั่งๆไปจะรู้สึกเหมือนมีราชพิธีโบราณ มีเสียงดนตรีไทย ไพเราะมากแต่แผ่วเบามาตามสายลม น่านั่งมากครับ

แล้วมีญี่ปุ่น 2คนไป ตรงพระนั่งที่เศียรขาดเอาหัวไปวาง ตรงพระศอ(คอพระ) แทนเหมือนไปสวนสนุก ยังไม่รู้ชะตากรรม
จะเจออะไร ...

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

Go to full version