ผู้เขียน หัวข้อ: การทิ้งขันธ์ครู ควรทำอย่างไร  (อ่าน 47429 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Jirattaya

  • ทุติยะ
  • **
  • กระทู้: 2
    • ดูรายละเอียด
    • อีเมล
 เรารับขันธ์มาประมาณ 3 ปี หลังจากรับมาประมาณ 1 ปี อาจารย์ที่เรารับมาแสดงอาการว่าชอบเรา ชอบจับต้องตัวเรา ถามเรืองการหลับนอนของเรากับสามี บอกว่าเราดวงไม่ดีจะแก้ให้ให้เราดอกไม้มาจะสวดให้ โดยจะเอาทองปิดตรงอวัยวะเพศหญิง และปิดทั้งตัวต้องแก้ผ้าให้แกทำพิธี  เราเอาเรื่องนี้ไปบอกพี่อีกคนที่สำนักนี้เช่นกัน เขาก็โดนแบบนี้เช่นกันแต่เรากับพี่อีกคนไม่หลงเชื่อ และแกยังบอกอีกว่าอย่าบอกกับสามี ตั้งแต่นั้นเราก็ไม่เข้าไปอีกเลย  จึงขอรบกวนผู้ที่มีความรู้เรื่องการทิ้งขันธ์ ควรทำอย่างไรมีวิธีแก้ไขอย่างไร (แกชอบหลอกเงินทอง หญิงที่มีปัญหากับสามีบางรายโดนไปหลาย 10ล้านบาท)

ออฟไลน์ mew2

  • ฉัฏฐะ
  • *
  • กระทู้: 357
  • เพศ: ชาย
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: การทิ้งขันธ์ครู ควรทำอย่างไร
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 03 พ.ค. 2553, 11:33:17 »
อย่างนี้แสดงว่าคนที่เราไปรับขันธ์ด้วยเค้าไม่ใช่คนดีครับ

เราก็จุดธูปบอกเทพของเรา 16 ดอก ที่กลางแจ้ง

บอกกล่าวว่า เราเจออย่างนี้มา และเรานำขันธ์นี้มาบูชาแล้วไม่สบายใจ

ขออนุญาตถอนขันธ์ออกครับ และก็ไปทำบุญให้เทพของเรานะครับ

ไม่ต้องคิดมากนะครับ และก็อย่าลืมกรวดน้ำให้เทพของเราทุกครั้งที่ทำบุญนะครับ

ขอให้คุณโชคดีครับ


ขอตายไปพร้อมกับคำว่าสักยันต์

ออฟไลน์ ~@เสน่ห์เอ็ม@~

  • ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย พระคุณบิดามารดาผู้มีพระคุณ แล ครูบาอาจารย์ผู้เกื้อหนุน สาธุ..
  • เด็กวัด
  • *****
  • กระทู้: 5894
  • เพศ: ชาย
  • ศิษวัดบางพระ
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: การทิ้งขันธ์ครู ควรทำอย่างไร
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: 03 พ.ค. 2553, 01:31:19 »
ไม่ต้องคิดไรมาก ครับ   ใช้วิธีด้านบนก็ได้ครับ
จุดธูป 16 ดอก  ปักกลางแจ้ง
บอกว่าหากข้าพเจ้าได้ไปรับขันธ์ อะไรมาก็แล้วแต่ จากครูบาจารย์ท่านใดก็แล้วแต่
ข้าพเจ้าขอคืนขันธ์นั้นให้แก่ท่าน ขอให้สิ่งใดๆ ที่รับมา ก็โปรดกลับคืนไป
แล้วน้ำพานครู หรือขันธ์ครู ที่รับมานำไปลอยน้ำในแม่น้ำไป ฝากพระแม่คงคาไป
เสร็จ หาน้ำมนต์มาอาบสัก 7 วัน(ผสมน้ำอาบเลย) แล้วไปทำบุญสังฆทาน อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร และสิงศักสิทธิ์ทั้งหลายที่คุ้มครองเรา

จะดวงตกหรือตก ไม่เกี่ยวหลอกครับ ควรเชื่อเรื่องบุญกับเวรกรรมกันดีกว่า
สิ่งที่ควรเชื่ออันสูงสุด คือพระรัตนตรัย คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ตางหาก
ดวงตก ผมว่าไปทำบุญดีกว่านะครับ วันหลัง  ... สมัยนี้อะไรที่เป็นของจริงมีน้อย ควรจะเชื่ออะไรควรใช้ปัญญา

ผิดพลาดอะไรขออภัยด้วย การเชื่อเรื่องบุญ และ กรรม ยึดพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งคือสิ่งที่ควรกระทำมากที่สุด
ผมว่าเข้าวัดดีกว่าเข้าตำหนักนะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03 พ.ค. 2553, 01:32:12 โดย เอ็มเมืองไร่ขิง »

ออฟไลน์ gottkung

  • จะหมึกหรือน้ำมันไม่สำคัญ จงตั้งมั่นให้อยู่ในความดี
  • เด็กวัด
  • *****
  • กระทู้: 4088
  • เพศ: ชาย
  • "จะลูกใครนั้นไม่สำคัญ เป็นศิษย์ฉันเท่ากันทุกคนไป "
    • ดูรายละเอียด
    • www.gottkung.multiply.com
ตอบ: การทิ้งขันธ์ครู ควรทำอย่างไร
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: 03 พ.ค. 2553, 01:35:04 »
หมั่นสวดมนต์ไหว้พระให้มากๆ นั่งสมาธิบ้างก็ดีครับ
ความสงบที่แท้จริงมาจากภายใน ไม่ใช่ภายนอก
ปล อย่างที่เพื่อนเอ็มแนะนำนั้นก็ช่วยได้มากครับ
ถ้าไม่รู้จะหาน้ำมนต์จากไหน แนะนำน้ำมนต์หลวงพ่อวัดไร่ขิง
หรือน้ำมนต์ที่วัดบางพระ ก็ช่วยได้มากครับ
เพียงแค่ศรัทธาอย่างแท้จริงเท่านั้นเอง
เราเป็นศิษย์คิดมีครูดูก่อนเถิด อย่าละเมิดคำครูที่พร่ำสอน
ปุถุชนคนธรรมดาพึงสังวรณ์ ครูท่านสอนมอบสิ่งดีแก่เราๆ

ออฟไลน์ สุวรรณปักษี

  • เด็กวัด
  • *****
  • กระทู้: 541
  • เพศ: ชาย
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: การทิ้งขันธ์ครู ควรทำอย่างไร
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: 03 พ.ค. 2553, 01:43:04 »
เป็นความเห็นส่วนตัวนะครับ เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องของสื่งที่มองไม่เห็น


  เรื่องนี้แนะนำให้ปรึกษากับพระจะดีกว่า ในการรับขันนั้นบางครั้งบางทีก็ถอดถอนยาก เคยได้ยินมาอยู่เรื่องหนึ่งคือมีพี่น้องฝาแฝด คนพี่รับขันมานานตอนหลังเกิดเสียชีวิตลง วิญญาณหรือผี . . . ? เรียกไม่ถูกขออภัยได้ติดตามคน

น้องให้มารับแทนส่วนคนน้องก็ต้องถึงกับหนีมาบวชชีเลย อันนี้ในความหมายคือว่า แค่การจุดธูปอาจจะแก้ไขไม่ได้ ยังไงเรื่องนี้ปรึกษาพระดีที่สุดครับ ผิดถูกขออภัย

         หรือแนะนำว่าให้ ลองหาทางหรือหาวิธีเข้าหาปรึกษาแม่ชีทศพร ถ้าเข้าถึงเรื่องทั้งหมดก็จะกระจ่างเอง แต่วิธีนี้ท่านอาจะต้องถือศีล บวชชีพราหม . . . วัน แล้วแต่ . . .


                 ป.ล

                     -ขออภัยถ้าเห็นต่าง


                                                                  ---------------------------  โชคดี ครับ -------------------------
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03 พ.ค. 2553, 01:44:12 โดย เซอร์ดอน »

ออฟไลน์ ~@เสน่ห์เอ็ม@~

  • ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย พระคุณบิดามารดาผู้มีพระคุณ แล ครูบาอาจารย์ผู้เกื้อหนุน สาธุ..
  • เด็กวัด
  • *****
  • กระทู้: 5894
  • เพศ: ชาย
  • ศิษวัดบางพระ
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: การทิ้งขันธ์ครู ควรทำอย่างไร
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: 03 พ.ค. 2553, 01:48:47 »
แนะนำให้หาน้ำมนต์ธรณีสาร ครับ หรือ น้ำมนต์ถอนโบสถอนเสมา
อะไรก็ถอนหมดหละครับ เหอๆ
ไปหาพระอาจารย์ ที่เชี่ยวชาญทางด้านนี้อาบให้ก็ได้ครับ
 

ออฟไลน์ butterfly

  • อย่าจำว่าเราทำดีกับใคร แต่ให้จำไว้ว่าใครทำดีกับเรา
  • สัตตมะ
  • **
  • กระทู้: 138
  • เพศ: หญิง
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: การทิ้งขันธ์ครู ควรทำอย่างไร
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: 03 พ.ค. 2553, 05:05:24 »
แนะนำให้หาน้ำมนต์ธรณีสาร ครับ หรือ น้ำมนต์ถอนโบสถอนเสมา
อะไรก็ถอนหมดหละครับ เหอๆ
ไปหาพระอาจารย์ ที่เชี่ยวชาญทางด้านนี้อาบให้ก็ได้ครับ
 

การรับขันธ์ ทำเพื่ออะไรค่ะ ไม่ทราบจริง ท่านใดทราบช่วยอธิบายให้ฟังด้วยนะค่ะ  :054:

ขอบคุณค่ะ
ความรักเปรียบเหมือนรอยสัก เจ็บปวดแต่ก็งดงาม[shake][/shake]

ออฟไลน์ ~@เสน่ห์เอ็ม@~

  • ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย พระคุณบิดามารดาผู้มีพระคุณ แล ครูบาอาจารย์ผู้เกื้อหนุน สาธุ..
  • เด็กวัด
  • *****
  • กระทู้: 5894
  • เพศ: ชาย
  • ศิษวัดบางพระ
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: การทิ้งขันธ์ครู ควรทำอย่างไร
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: 03 พ.ค. 2553, 05:13:14 »
1.ส่วนมากที่เคยเห็น จะเป็นประเภท พวกคนทรงเจ้าเข้าทรง
2.กับรับพานครูเพื่อเรียนวิชาหรือสืบวิชาต่อ (อันนี้ก็จะไปอีกเรื่องเลย )ไม่เกี่ยวกับข้างบน เพราะบางวิชาต้องได้รับอนุญาติจากครูบาอาจารย์ก่อนถึงจะใช้ได้ผล และไม่เกิดโทษใดๆ
แต่ในที่นี้ผมก็ไม่เข้าใจว่า รับมาทำไมเหมือนกัน เจ้าของกระทู้ช่วยบอกหน่อยนะครับ
กลัวว่าจะไปทำเสน่ห์โดนผีพราย ของต่ำมาสิครับ แย่เลย พวกนี้ ก่อนจะลงของอะไรเข้าตัวควรศึกษาก่อน


สมัยนี้ของปลอมมีเยอะ พวกหากินกับเส้นทางนี้ ของจริงเขาไม่ทำเป็นธุรกิจหาเงินหรือหลอกลวงชาวบ้านหลอกครับ


ผิดถูกประการใดขออภัยด้วย
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03 พ.ค. 2553, 05:23:27 โดย เอ็มเมืองไร่ขิง »

ออฟไลน์ tong_lomsak

  • คณะกรรมการ
  • *****
  • กระทู้: 260
  • อาจาริโย เม ภันเต อายัส์มา ฐิตคุโณ นาม
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: การทิ้งขันธ์ครู ควรทำอย่างไร
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: 03 พ.ค. 2553, 05:38:06 »
มาเป็นชุดเลยนะน้องเอ็ม

ทำตามที่พี่น้องหลายๆท่านได้แนะนำไปแล้วดีกว่าครับ
แล้วก็มาสักยันต์เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อเปิ่นด้วยกันครับ
จงอย่าเชื่อเพียงแค่ได้รู้ ได้ยิน ได้เห็น ได้อ่าน มา

ออฟไลน์ อภิรัตน์

  • เห็นรอยเท้าพ่อก้มลงดู เห็นรอยเท้าครูก้มลงกราบ
  • สัตตมะ
  • **
  • กระทู้: 692
  • เพศ: ชาย
    • ดูรายละเอียด
    • อีเมล
ตอบ: การทิ้งขันธ์ครู ควรทำอย่างไร
« ตอบกลับ #9 เมื่อ: 03 พ.ค. 2553, 06:35:49 »
แนะนำให้ไปลอดโบสด้วยนะครับ ที่บ้านผมคุณแม่เคยทำแล้วได้ผลดีครับ
เป็นโบสที่ทำพิธียกขึ้นสูงจากพื้นโดยไม่ได้ถอนโบส อยู่ที่พัทยาเหนือก็มีครับเอาใจช่วย
ลองดูนะครับ  :050:

ออฟไลน์ Jirattaya

  • ทุติยะ
  • **
  • กระทู้: 2
    • ดูรายละเอียด
    • อีเมล
ตอบ: การทิ้งขันธ์ครู ควรทำอย่างไร
« ตอบกลับ #10 เมื่อ: 03 พ.ค. 2553, 07:46:19 »
  อันที่จริงเราไม่ได้ตั้งใจจะไปรับขันธ์ แต่อย่างใดแต่ในช่างนั้นตัวเราเองเจอปัญหามากมายมารุมเร้า อาจารย์คนนี้ก็ขู่ว่า " ถ้าเองไม่รับจะเจอยิ่งกว่านี้ ไม่เชื่อก็ลองดู " แกพูดแบบนั้น ด้วยความที่เราไม่เคยไป
ตามสำนักร่างทรงที่ไหนก็เลยเชื่อเขา ไม่คิดว่าจะเจอแบบนี้ และทุกครั้งที่ตัวเราลง นะหน้าทอง (ปิดที่หน้าผาก) เขาจะถาม ชื่อ วัน เดือน ปี เกิด ไอ้เราก็ซื่อบอกเขาไปหมดเลย ก็กลัวเหมือนกันว่าเขาจะทำของ แต่ตัวเราเองเป็นคนที่ชอบ ไหว้พระสวดมนต์และนั่งกรรมฐาน ทุกวัน เราคิดว่าเราก็ปฏิบัติดี  เราจึงไม่เสียท่าเขา และขอขอบคุณเพื่อน๐ทุกคนที่ช่วยชี้แนะนำ ทางสว่างให้กับเรา

ออฟไลน์ ~@เสน่ห์เอ็ม@~

  • ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย พระคุณบิดามารดาผู้มีพระคุณ แล ครูบาอาจารย์ผู้เกื้อหนุน สาธุ..
  • เด็กวัด
  • *****
  • กระทู้: 5894
  • เพศ: ชาย
  • ศิษวัดบางพระ
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: การทิ้งขันธ์ครู ควรทำอย่างไร
« ตอบกลับ #11 เมื่อ: 03 พ.ค. 2553, 07:52:37 »
 อันที่จริงเราไม่ได้ตั้งใจจะไปรับขันธ์ แต่อย่างใดแต่ในช่างนั้นตัวเราเองเจอปัญหามากมายมารุมเร้า อาจารย์คนนี้ก็ขู่ว่า " ถ้าเองไม่รับจะเจอยิ่งกว่านี้ ไม่เชื่อก็ลองดู " แกพูดแบบนั้น ด้วยความที่เราไม่เคยไป
ตามสำนักร่างทรงที่ไหนก็เลยเชื่อเขา ไม่คิดว่าจะเจอแบบนี้ และทุกครั้งที่ตัวเราลง นะหน้าทอง (ปิดที่หน้าผาก) เขาจะถาม ชื่อ วัน เดือน ปี เกิด ไอ้เราก็ซื่อบอกเขาไปหมดเลย ก็กลัวเหมือนกันว่าเขาจะทำของ แต่ตัวเราเองเป็นคนที่ชอบ ไหว้พระสวดมนต์และนั่งกรรมฐาน ทุกวัน เราคิดว่าเราก็ปฏิบัติดี  เราจึงไม่เสียท่าเขา และขอขอบคุณเพื่อน๐ทุกคนที่ช่วยชี้แนะนำ ทางสว่างให้กับเรา

ดีแล้วครับ นั่งกรรมฐาน สวดมนต์ภาวนา ทำบุญไม่ได้ขาด ของพวกนี้ทำอะไรเราไม่ได้หลอก
วันหลังอย่าไปอีกและกันครับ เพราะของพวกนี้ จะมากะการสัมผัส และของกิน โดยส่วนใหญ่
หมั่นสวดมนต์บ่อยๆ  ถ้ากลัว ก็ไปหาน้ำมนต์ตามวัดที่มีพระพุทธรูปศักสิทธิ์  อธิฐานเอาด้วยกำลังกรรมฐานว่าจะให้น้ำมนต์ไปทางไหน ด้วยบารมีของพระรัตนตรัย ขอให้ อะไรก็ว่าไป
แล้วเอามาอาบ มากิน ล้างสิ่งไม่ดีออก ก็ช่วยได้ขั้นนึง ครับ
ขอให้โชคดี ทุกข์ที่แท้จริง ดับได้ด้วยพระธรรม  
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03 พ.ค. 2553, 07:55:28 โดย เอ็มเมืองไร่ขิง »

ออฟไลน์ prapakorn

  • ทุติยะ
  • **
  • กระทู้: 9
    • ดูรายละเอียด
    • อีเมล
ตอบ: การทิ้งขันธ์ครู ควรทำอย่างไร
« ตอบกลับ #12 เมื่อ: 22 มิ.ย. 2553, 04:33:04 »
เท่าที่ศึกษามานะครับ  อ่านมาและถามผู้รู้มาครับ ดังนี้

*** การรับขันธ์ หรือ ขันธ์ห้า ทางธรรม ก็งงนะครับ ว่า ขันธ์ นี้ที่เรามีอยู่แล้ว คือ กาย เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ และพระพุทธเจ้า ทรงตรัสว่า เป็นภาระอันหนัก (ปัญจขันธา ภะราหะเว) ท่านสอนให้ไม่ยึดถือ เพื่อใจจะได้ไม่ทุกข์ ใจจะได้สบาย ให้บริหารรักษา เช่น อาบน้ำ หิวก็กิน ป่วยก็รักษา เครียดก็ภาวนา หรือทางโลกก็ฟังเพลง ทำกิจกรรมที่ไม่ผิดศีลธรรม  เพราะสุดท้ายเราก็ต้องคืนกลับให้กับโลกใบนี้ อีก คือ ความตาย  .....  แต่กรณีนี้ กลับไปรับเพิ่มอีก เป็น 10 15 20
 
***  แต่ให้พอฟังได้ว่าเพื่อการแสดงความเคารพครูบาอาจารย์ท่าน แบบบายศรีไหว้ครู ผมว่าดีมาก ๆ ครับ แต่เขาทำตามสายครูบาอาจารย์ เช่น เสาร์ห้า หรือวันอะไรตามที่ท่านกำหนดไว้  และจะเน้นรักษาศีล 5 เป็นอย่างน้อย นี่เป็นจุดสังเกตสำคัญ ครับ

*** แต่รับขันท์นี้รับเมื่อไหร่ก็ได้ คนให้ก็ไม่มีศีล คิดลามก ครูที่ดี ๆ เทพ พรหม ทั้งหลายท่านมีศีล ท่านคงไม่มารับรู้ด้วย  คงมีแต่ภพภูมิของอสุรกาย และสัมพเวสี เท่านั้นที่ชอบมายุ่งหรือช่วยกับเรื่องแบบนี้   แต่ก็มีนะครับ ที่มีฤทธิ์มาก ๆ เช่น ครูไสยศาสตร์ที่สามารถเข้าฌานได้ และตายไป ตกนรกเพราะเวรที่กระทำมา เนื่องจากการผิดศีลใช้เวทมนต์นี้ พอพ้นขึ้นมาเป็นเปรตจำพวกที่พอจะรับส่วนบุญได้ หรือมาเป็นอสุรกาย ฌานฤทธิที่เคยทำได้ สั่งสมมามากก็ให้กำลังอีกครั้ง ทำให้เป็นที่มาของครูไสยศาสตร์ที่มาช่วยเวลาทำพิธี พวกนี้เขาเก่งนะครับ  เคยอ่านพบในศิษย์สายหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ วัดท่าซุง กล่าวไว้ว่า เทวดาบางพวกฤทธิยังน้อยกว่า ท่านต้องหลบให้เลยครับ เพราะพวกนี้ทรงฌานมาก่อน (ได้จากการสวดคาถา จนเป็นสมาธิขั้นสูง) เป็นได้ถึงพรหม แต่ใจคิด หรือใฝ่ทางอกุศล ผิดศีล ทำเสน่ห์ ทำคุณไสย์ จึงต้องไปรับใช้กรรมในนรกก่อน และ ใจก็ยังติดวิชาความรู้ทางนี้ ขึ้นมาพอเริ่มมีฤทธิ์ก็จะเข้ามายุ่งกับมนุษย์เหมือนเดิม และหากเราทำผิดใจ ก็เป็นโทษนะครับ อย่าไปเชื่อเลย ว่าท่านทำดีแล้ว ไม่มีโทษมีแต่คุณอย่างเดียว ครับเห็นมาเยอะเลย แบบนี้  :043:

*** ใครไม่เคย ก็อย่าไปรับเลยขันธ์ หรือ ลงของที่เขาบอกว่าดี แต่มีน้ำมันพรายผสมอยู่ มันจะดีได้อย่างไร แล้วบางที่ก็ให้มาเติมด้วย ของจะเสื่อม อะไร ประมาณนั้น การค้าผลประโยชน์ทั้งสิ้นเลย หลอกเอาเงินก็มาก

ออฟไลน์ momo2525

  • ทุติยะ
  • **
  • กระทู้: 7
    • ดูรายละเอียด
    • อีเมล
ตอบ: การทิ้งขันธ์ครู ควรทำอย่างไร
« ตอบกลับ #13 เมื่อ: 22 มิ.ย. 2553, 04:52:19 »
ต้องดูด้วยว่าที่เรารับมาเป็นยังไง แต่ถ้าจะให้ดีไปปรึกษาพระดีกว่าท่านจะได้บอกแล้วไปกันหลายๆคน เพื่อไม่ให้พระเสียหาย

ออฟไลน์ ขุนแผนเมืองลำปาง

  • จตุตถะ
  • ****
  • กระทู้: 68
  • ทุกอย่างล้วนสำเร็จด้วยจิต
    • ดูรายละเอียด
    • อีเมล
ตอบ: การทิ้งขันธ์ครู ควรทำอย่างไร
« ตอบกลับ #14 เมื่อ: 22 มิ.ย. 2553, 06:17:22 »
เราชาวพุทธมักจะเข้าใจอะไรผิดๆผมขอนำเสนอบทความที่ผมไปเสาะหามาจากพระไตรปิฎกเราทั้งหลายจะได้เข้าใจเรื่องขันธ์(ไม่ใช่ขันที่ โน๊ต อุดม เอามาพูดในเดี่ยว 8 นะครับ)
  พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรู้แจ้งสภาพธรรมทั้งปวง พระองค์ทรงประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรมแต่ละลักษณะด้วยพระองค์เอง    พระองค์ทรงพระมหากรุณาธิคุณ   แสดงพระธรรมให้สัตว์โลกได้รู้ลักษณะของสภาพธรรมโดยนัยต่างๆ   เพื่อจะได้เข้าใจสภาพธรรมทั้งภายในและภายนอกลึกซึ้งยิ่งขึ้น   
สภาพธรรมทั้งหลายโดย ปรมัตถธรรม คือ  จิต  เจตสิก  รูป   นิพพาน
จิต  เจตสิก  รูป   เป็นสังขารธรรม   เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป   ไม่เที่ยง   นิพพานปรมัตถ์   เป็นวิสังขารธรรม   เป็นธรรมที่ไม่เกิดและไม่ดับ    ปรมัตถธรรมทั้ง 4   เป็นอนัตตา
จิต  เจตสิก  รูป   ซึ่งเป็น สังขารธรรม นั้นจำแนกได้อีกนัยหนึ่ง  คือ   โดยเป็นขันธ์ 5   
ขันธ์ หมายถึง  กลุ่มหรือกอง    ขันธ์ 5  คือ
1.   รูปขันธ์           ได้แก่   รูปทุกรูป
2.   เวทนาขันธ์      ได้แก่  ความรู้สึก(เวทนา)
3.   สัญญาขันธ์     ได้แก่  ความจำ (สัญญา)
4.   สังขารขันธ์      ได้แก่  เจตสิก 50 ดวง                                     (ประเภท)
5.   วิญญาณขันธ์  ได้แก่   จิตทุกดวง
เจตสิก 52 ดวง  จำแนกเป็น ขันธ์ 3  คือ  เวทนาเจตสิก 1 ดวง   เป็น เวทนาขันธ์    สัญญาเจตสิก 1 ดวง  เป็น สัญญาขันธ์    เจตสิกที่เหลืออีก 50 ดวง   เป็น สังขารขันธ์  เช่น   เจตนา  โลภะ  โทสะ  โมหะ   เมตตา  อโลภะ  และปัญญา เป็นต้น   อีกประการหนึ่ง   สังขารขันธ์  หมายถึง   สภาพซึ่ง "กระทำ"  หรือ   "นามธรรมที่ปรุงแต่งจิต"
สำหรับจิตปรมัตถ์นั้น จิตทุกดวง เป็น วิญญาณขันธ์    ในภาษาบาลี  คำว่า  วิญญาณ   มโน  จิตเป็นคำที่หมายถึงสภาพธรรมอย่างเดียวกัน   คือสภาพธรรมที่มีลักษณะ รู้อารมณ์    เมื่อจำแนกจิตโดยนัยของ ขันธ์  ก็ใช้คำว่า "วิญญาณ"   
ฉะนั้น  ขันธ์ 5   จึงเป็นรูปขันธ์ 1   เป็นนามขันธ์ 4  นามขันธ์ 3   ได้แก่  เจตสิก 52 ดวง   นามขันธ์ 1  ได้แก่  จิต 89 หรือ 121 ดวง
นิพพานไม่ใช่ขันธ์   นิพพานเป็นขันธวิมุตติ   พ้นจากความเป็นขันธ์    ข้อความใน วิสุทธิมัคค์   ทัสสนวิสุทธินิทเทส   แสดงการเกิดและดับของนามรูป

ไม่มีกองหรือที่รวมสำหรับนามรูปนี้ที่ยังไม่เกิด   ในเวลาก่อนเกิดแห่งนามรูปนี้   แม้นามรูปที่กำลังเกิด   ก็มิได้ชื่อว่ามาจากกองหรือที่รวม    แม้นามรูปที่กำลังดับ   ก็มิได้ชื่อว่าแล่นไปสู่ทิศใหญ่น้อย   แม้นามรูปนี้ดับแล้ว   ก็ไม่มีชื่อว่าการหยุดพัก   แต่กองหรือแต่บ่อขัง   หรือแต่ที่พำนักในฐานะแห่งหนึ่ง   ก็เปรียบเหมือนบุคคลกำลังดีดพิณ   เสียงที่เกิดขึ้นแล้วก็มิได้เก็บขังอยู่ก่อนแต่จะเกิด   เมื่อเกิดก็มิได้มาจากที่เก็บขัง   เมื่อดับก็มิได้แส่ไปสู่ทิศใหญ่น้อย   เสียงดับแล้วก็มิได้ถูกเก็บขังตั้งอยู่ในที่ไหนๆ   
อันที่แท้  เสียงย่อมอาศัยพิณ 1   สายพิณ1   และความพยายามของบุรุษอันเหมาะสมกับพิณและสายพิณนั้น 1   (เสียง) ไม่มีก็เกิดมีขึ้น   มีแล้วก็หายไปฉันใด   รูปธรรมและอรูปธรรมทั้งหมด   ไม่มีก็เกิดขึ้น   มีแล้วก็หายไปฉันนั้นฯ

ขันธ์มีจริง  เรารู้ขันธ์ได้   เช่น   เรารู้ รูปขันธ์   
เมื่อรู้สึกแข็ง    รูปไม่เที่ยง   เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป
รูปขันธ์ไม่ใช่เพียงร่างกายเท่านั้น   แต่สภาพธรรมที่ไม่รู้อะไรก็เป็นรูปขันธ์ด้วย   เช่น  เสียงเป็นรูปขันธ์   เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป   ไม่เที่ยง
เวทนาขันธ์ มีจริง   เรารู้เวทนาขันธ์ได้   ความรู้สึกทุกอย่างเป็นเวทนาขันธ์   เวทนาจำแนกได้หลายนัย
บางครั้งก็จำแนกเป็น 3 คือ   สุขเวทนา  ทุกขเวทนา อุเบกขาเวทนา (อทุกขมสุขเวทนา)
บางครั้งก็จำแนกเป็น 5 คือ   โสมนัสเวทนา  โทมนัสเวทนา   อทุกขมสุขเวทนา  สุขเวทนา   ทุกขเวทนา
ความรู้สึกทางกายมีกายปสาทซึ่งเป็น รูป ที่สามารถกระทบสัมผัสทางกายเป็นปัจจัย   
ความรู้สึก เป็น นามธรรม   แต่มีกายปสาทรูปเป็นปัจจัย   เมื่ออารมณ์กระทบกับกายปสาท   ความรู้สึกจะเป็นทุกข์หรือสุข   ไม่เป็นอุเบกขา    เมื่อเป็นทุกขเวทนาก็เป็นอกุศลวิบาก (ผลของอกุศลกรรม)   เมื่อเป็นสุขเวทนาก็เป็นกุศลวิบาก (ผลของกุศลกรรม)
เพราะเวทนาต่างๆ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปๆ   จึงยากที่จะรู้ว่า เป็นเวทนาแต่ละประเภท  เช่น   เราอาจปนสุขเวทนาทางกายซึ่งเป็นวิบาก   กับโสมนัสเวทนาที่พอใจในสุขเวทนานั้น   ซึ่งเกิดขึ้นภายหลัง   หรืออาจเข้าใจว่า   ทุกขเวทนาและโทมนัสเวทนาซึ่งเกิดขึ้นภายหลังนั้นเป็นความไม่สบายใจ
ทุกขเวทนาเป็น วิบากเจตสิก ซึ่งเกิดขึ้นพร้อมกับวิบากจิตซึ่งรู้อารมณ์ที่กระทบกาย   โทมนัสเวทนา อาจเกิดขึ้นภายหลัง
โทมนัสเวทนาเกิดร่วมกับอกุศลจิต   ไม่ใช่วิบากโทมนัสเวทนาเกิดเพราะโทสะที่สะสมไว้เป็นปัจจัย
แม้ว่าทุกขเวทนาและโทมนัสเวทนาเป็นนามธรรม   แต่ก็เป็นความรู้สึกที่ต่างกัน   เกิดเพราะปัจจัยต่างกันเมื่อดับเหตุที่ทำให้เกิดโทสะแล้ว   ทุกขเวทนาก็ยังเกิดได้   แต่ไม่มีโทมนัสเวทนาอีกต่อไป   
พระอรหันต์ยังมีอกุศลวิบากตราบเท่าที่ยังมีชีวิตอยู่   แต่ไม่มีโทสะเลย
ในสังยุตตนิกาย  สคาถวรรค   มารสังยุตต์  ทุติยวรรคที่ 2   สกลิกสูตรที่ 3  ข้อ 452   มีข้อความว่า

สมัยหนึ่ง   พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ มัททกุจฉิมิคทายวัน   เขตกรุงราชคฤห์ฯ   ก็โดยสมัยนั้นแล   พระบาทของพระผู้มีพระภาคถูกสะเก็ดหินเจาะแล้ว   ได้ยินว่า  เวทนาทั้งหลาย   อันยิ่ง  เป็นไปในพระสรีระ   เป็นทุกข์  แรงกล้า   เผ็ดร้อน  ไม่เป็นที่ยินดี   ไม่เป็นที่ทรงพระสำราญ   ย่อมเป็นไปแด่พระผู้มีพระภาค   พระองค์มีพระสติสัมปชัญญะ   อดกลั้นซึ่งเวทนาเหล่านั้น   ไม่กระสับกระส่ายฯ

เวทนาจำแนกเป็น 6   โดยนัยของ ทวาร 6   เวทนาเกิดทางตา  ทางหู   ทางจมูก  ทางลิ้น  ทางกาย   และทางใจ   เวทนา 6 นี้ต่างกันเพราะเกิดจากปัจจัยต่างกัน   เวทนาเกิดดับพร้อมกับจิตที่เวทนานั้นๆเกิดร่วมด้วย   ฉะนั้ทุกขณะจึงไม่ใช่เวทนาเดียวกันเลย
ในสังยุตตนิกาย  สฬายตนวรรค   เคสัญญสูตรที่ 2   มีข้อความว่า

.....ดูกรภิกษุทั้งหลาย   ภิกษุพึงเป็นผู้มีสติสัมปชัญญะ   รอกาลเวลา   นี้เป็นคำเราสั่งสอนพวกเธอฯ
.....ถ้าเมื่อภิกษุมีสติสัมปชัญญะ   เป็นผู้ไม่ประมาท   มีความเพียร   มีใจเด็ดเดี่ยวอยู่อย่างนี้   สุขเวทนาย่อมเกิดขึ้น     เธอย่อมรู้อย่างนี้ว่า   สุขเวทนาเกิดขึ้นแล้วแก่เรา   ก็สุขเวทนานั้นแล   อาศัยจึงเกิดขึ้นไม่อาศัยไม่เกิดขึ้น   อาศัยอะไร  อาศัยผัสสะนี้เอง   ก็แต่ว่าผัสสะนี้ไม่เที่ยง   ปัจจัยปรุงแต่ง   อาศัยปัจจัยเกิดขึ้น 
ก็สุขเวทนาซึ่งอาศัยผัสสะอันไม่เที่ยง   ปัจจัยปรุงแต่ง   อาศัยปัจจัยเกิดขึ้น
เกิดขึ้นแล้วแก่เรา   จักเที่ยงแต่ที่ไหนดังนี้
เธอย่อมพิจารณา   เห็นความไม่เที่ยง   เธอย่อมพิจารณาเห็นความเสื่อมไป   พิจารณาเห็นความคลายไป   พิจารณาเห็นความดับไปพิจารณาเห็นความสละคืน
เมื่อเธอพิจารณาเห็นความไม่เที่ยง   พิจารณาเห็นความเสื่อมไป   พิจารณาเห็นความคลายไป   พิจารณาเห็นความดับไป พิจารณาเห็นความสละคืน   ในผัสสะและในสุขเวทนาอยู่   ย่อมละราคานุสัยในผัสสะและในสุขเวทนาเสียได้ฯ
ข้อความเกี่ยวกับผัสสะและทุกขเวทนา...ผัสสะและอทุกขมสุขเวทนาก็โดยนัยเดียวกัน....

เวทนายังจำแนกได้อีกหลายนัย   เมื่อรู้วิธีจำแนกเวทนาโดยนัยต่างๆ   ก็จะทำให้เข้าใจจริงๆว่า   เวทนาเป็นเพียงนามธรรมชนิดหนึ่งซึ่งเกิดเพราะเหตุปัจจัย   เรามักยึดมั่นในเวทนาที่ดับไปแล้ว แทนที่จะระลึกรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏทางตา   ทางหู  ทางจมูก  ทางลิ้น   ทางกาย  ทางใจ
ในวิสุทธิมัคค์ที่กล่าวถึงข้างต้นนั้น   อุปมานามธรรมและรูปธรรมที่เกิดขึ้น เสมือนเสียงขลุ่ยซึ่งไม่ได้มาจากที่ใดเลย   หรือไปดังที่ใดเลยเมื่อเสียงดับไป   หรือสะสมเก็บไว้ ณ ที่ใดเลย   แต่เราก็ยึดติดในเวทนานั้นเสียจนไม่รู้เลยว่า   เวทนาที่ดับไปแล้วนั้นดับไปหมดไม่เหลืออยู่เลย     เวทนาขันธ์ไม่เที่ยง
สัญญาขันธ์ มีจริง   และจะรู้ได้เมื่อจำสิ่งใดได้   สัญญาเกิดกับจิตทุกดวง   จิตแต่ละดวงเกิดขึ้นรู้อารมณ์   และสัญญาซึ่งเกิดกับจิตก็จำและหมายรู้อารมณ์นั้น เพื่อจำอารมณ์นั้นได้อีก   แม้ขณะที่จำไม่ได้   จิตขณะนั้นก็รู้อารมณ์   และสัญญาที่เกิดกับจิตก็หมายรู้อารมณ์นั้น   
สัญญาเกิดและดับพร้อมกับจิต   สัญญาไม่เที่ยง   ตราบใดที่ไม่รู้ลักษณะของสัญญาตามความเป็นจริงว่า   สัญญาเป็นนามธรรมชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปทันที   ก็ยังยึดถือสัญญาว่าเป็นตัวตน
สังขารขันธ์  (เจตสิก 50 ดวง  เว้นเวทนาและสัญญา) มีจริงและรู้ได้   เรารู้สังขารขันธ์ได้ในขณะที่มีโสภณเจตสิก   เช่น   ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่   กรุณาหรือในขณะที่มีอกุศลเจตสิก   เช่น  โทสะ  มัจฉริยะ สภาพธรรมเหล่านี้เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป   สังขารขันธ์ไม่เที่ยง
วิญญาณขันธ์ (จิต) มีจริง   รู้ได้เมื่อมีการเห็น   การได้ยิน  การได้กลิ่น   การลิ้มรส   การกระทบสัมผัสทางกาย   หรือการคิดนึก    วิญญาณขันธ์เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป   ไม่เที่ยง   สังขารธรรมทั้งหลาย (ธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย) คือ  ขันธ์ 5 ไม่เที่ยง
ขันธ์ 5 ได้ชื่อว่า   อุปาทานขันธ์   เพราะเป็นที่ตั้งแห่งการยึดถือ   ผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์ยังยึดมั่นในขันธ์ 5   เรายึดถือร่างกายว่าเป็นตัวตน   ฉะนั้น เราจึงยึดมั่นในรูปขันธ์   เรายึดนามธรรมว่าเป็นตัวตน   เราจึงยึดมั่นในเวทนาขันธ์   สัญญาขันธ์  สังขารขันธ์ และวิญญาณขันธ์ 
เมื่อเรายึดมั่นในขันธ์ 5 และไม่รู้ขันธ์ 5 ตามความเป็นจริง   ก็ย่อมเป็นทุกข์    ตราบใดขันธ์ 5 ยังเป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่นแล้ว   ตราบนั้นเราก็เป็นเสมือนบุคคลที่ถูกเบียดเบียนด้วยโรคาพยาธิ
ในสังยุตตนิกาย  ขันธวารวรรค   นกุลปีตวรรคที่ 1   นกุลปีตสูตร  มีข้อความว่า   คฤหบดี  ชื่อ   นกุลบิดาเป็นผู้แก่เฒ่า เจ็บป่วยเนืองๆ   เข้าไปเผ้าพระผู้มีพระภาคซึ่งขณะนั้นประทับอยู่ ณ เภสกฬาวัน (ป่าเป็นที่นางยักษ์ชื่อ   เภสกฬา  อาศัยอยู่) อันเป็นสถานที่ให้อภัยแก่หมู่มฤค ใกล้เมืองสุงสุมารคิรในภัคคชนบท   พระผู้มีพระภาคตรัสให้นกุลบิดาคฤหบดีพิจารณาว่า   "เมื่อเรามีกายกระสับกระส่ายอยู่   จิตของเราจักไม่กระสับกระส่าย"   หลังจากนั้นท่านพระสารีบุตรก็ได้อธิบายขยายความว่า

ดูก่อนคฤหบดี  ก็อย่างไรเล่า   บุคคลจึงชื่อว่าเป็นผู้มีกายกระสับกระส่ายด้วย   จึงชื่อว่าเป็นผู้มีจิตกระสับกระส่ายด้วย   ดูกรคฤหบดี  คือ   ปุถุชนผู้มิได้สดับแล้วในโลกนี้   มิได้รับแนะนำในอริยธรรม   ย่อมเห็นรูปโดยความเป็นตน 1   ย่อมเห็นตนมีรูป 1   ย่อมเห็นรูปในตน 1   ย่อมเห็นตนในรูป 1   เป็นผู้ตั้งอยู่ด้วยความยึดมั่นว่า   เราเป็นรูป  รูปของเรา
เมื่อเขาตั้งอยู่ด้วยความยึดมั่นว่า   เราเป็นรูป  รูปของเรา   รูปนั้นย่อมแปรปรวนเป็นอย่างอื่นไป    เพราะรูปแปรปรวนเป็นอื่นไป   โสกะ  ปริเทวะ  ทุกข์   โทมนัสและอุปายาสจึงเกิดขึ้น   ย่อมเห็นเวทนาโดยความเป็นตน 1   ......ย่อมเห็นสัญญาโดยความเป็นตน 1 ....ย่อมเห็นสังขารโดยความเป็นตน 1 .....ย่อมเห็นวิญญาณโดยความเป็นตน 1 ....   ดูกรคฤหบดี   ด้วยเหตุนี้แล   บุคคลจึงชื่อว่าเป็นผู้มีกายกระสับกระส่าย   และเป็นผู้มีจิตกระสับกระส่าย
ดูกรคฤหบดี  ก็อย่างไรเล่า   บุคคลแม้เป็นผู้มีกายกระสับกระส่าย   แต่หาเป็นผู้มีจิตกระสับกระส่ายไม่    ดูกรคฤหบดี   คืออริยสาวกในธรรมวินัยนี้.....ย่อมไม่เห็นรูปในความเป็นตน 1....ย่อมไม่เห็นเวทนาโดยความเป็นตน 1....ย่อมไม่เห็นสัญญาโดยความเป็นตน 1....ย่อมไม่เห็นสังขารโดยความเป็นตน 1.....ย่อมไม่เห็นวิญญาณโดยความเป็นตน 1....   เมื่ออริยสาวกไม่ตั้งอยู่ด้วยความยึดมั่น   เมื่อวิญญาณนั้นย่อมแปรปรวนเป็นอย่างอื่นไปเพราะวิญญาณแปรปรวนเป็นอย่างอื่นไป   โสกะ  ปริเทวะ  ทุกข์   โทมนัส    และ
อุปายาสจึงไม่เกิดขึ้น   ดูกรคฤหบดี  อย่างนี้แล   บุคคลแม้มีกายกระสับกระส่าย   แต่หาเป็นผู้มีจิตกระสับกระส่ายไม่ฯ

ตราบใดที่ยังยึดติดในขันธ์ 5    ก็เป็นเสมือนคนป่วยแต่ความป่วยไข้ก็อาจจะหายได้เมื่อประจักษ์แจ้งขันธ์ 5  ตามความเป็นจริง    ขันธ์ 5 ไม่เที่ยง  จึงเป็นทุกข์ ในสังยุตตนิกาย  ขันธวารวรรค   
ขันธสังยุตต์  จุลลปัญณาสก์  อันตวรรคที่ 1   
ทุกขสูตร   พระผู้มีพระภาคทรงแสดงอริยสัจจ์ 4 
กะภิกษุทั้งหลายว่า

ดูกรภิกษุทั้งหลาย   เราจักแสดงทุกข์
(คำว่า "ทุกข์" บางทีแปลว่า ความทุกข์  บางทีแปลว่า ความไม่สบาย   แต่ในข้อความภาษาอังกฤษ   ใช้ความหมายที่ว่าความทุกข์)    ทุกขสมุทัย  ทุกขนิโรธ   และทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาแก่เธอทั้งหลาย   เธอทั้งหลายจงฟังฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย   ก็ทุกข์เป็นไฉน  คำว่า   ทุกข์นั้นควรจะกล่าวว่า   อุปาทานขันธ์ 5    อุปาทานขันธ์ 5  เป็นไฉน   คือ  อุปาทานขันธ์คือรูป 1   อุปาทานขันธ์คือเวทนา 1   อุปาทานขันธ์คือสัญญา 1   อุปาทานขันธ์คือสังขาร 1   อุปาทานขันธ์คือวิญญาณ 1   ดูกรภิกษุทั้งหลาย   นี้เรียกว่าทุกข์
ดูกรภิกษุทั้งหลาย   ก็ทุกขสมุทัยเป็นไฉน  คือ   ตัณหาอันนำให้เกิดในภพใหม่.... มีปกติเพลิดเพลินยิ่งในภพหรืออารมณ์นั้น   คือ  กามตัณหา  ภวตัณหา   วิภวตัณหา    ดูกรภิกษุทั้งหลายนี้เรียกว่าทุกขสมุทัย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย   ก็ทุกขนิโรธเป็นไฉนคือความดับไม่เหลือแห่งตัณหานั่นแล ด้วยมรรค  คือ  วิราคะ   ความสละ  ความสละคืน   ความหลุดพ้น   ความไม่มีอาลัยดูกรภิกษุทั้งหลาย   นี้เรียกว่า  ทุกขนิโรธ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย   ก็ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาเป็นไฉน   คือ  อริยมรรคประกอบด้วยองค์ 8....ดูกรภิกษุทั้งหลายนี้เรียกว่า ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาฯ
ตราบใดที่ยังยึดติดในขันธ์ 5   ขันธ์ 5 ก็จะเกิดขึ้นในภพชาติต่อไป   ซึ่งก็ต้องเป็นทุกข์   เมื่ออบรมเจริญมัคค์มีองค์ 8   ก็จะเริ่มรู้สภาพของขันธ์ 5 ตามความเป็นจริงเป็นการดำเนินไปสู่ความดับทุกข์ซึ่งไม่มีการเกิด   แก่  เจ็บ  ตาย  อีกเลย    ผู้ที่บรรลุอริยสัจจธรรมขั้นสุดท้าย   คือ  ขั้นอรหันตบุคคล   เมื่อสิ้นชีวิตแล้ว  ขันธ์ 5 ก็ไม่เกิดอีกเลย
 

ออฟไลน์ Gearmour

  • ที่ปรึกษา
  • *****
  • กระทู้: 1204
  • เพศ: ชาย
    • ดูรายละเอียด
    • ลานพิศวง
ตอบ: การทิ้งขันธ์ครู ควรทำอย่างไร
« ตอบกลับ #15 เมื่อ: 22 มิ.ย. 2553, 08:09:54 »
ถ้ารับขันมาจากคนทรง
ไม่ใช่ขันวิชาจากครูบาอาจารย์
  เอาไปทิ้งที่ไหนก็ทิ้งครับ
เอาไปทำเป็นปุ๋ยชีวะภาพก็ไม่ได้
   ขันผีฝากมาให้เราเลี้ยง
ผีมันยังหารับประทานเองไม่ได่้เลย
จะช่วยอะไรเราได่้

    ทิ้งๆไปโยนใส่ทั้งขยะหน้าตำหนักของของผีก็ได้ครับ
ทำบุญทำสังฆ์ทานกรวดน้ำไป ก็บอกกล่าวว่าเราไม่มีอะไรต่อกัน
ทางใครทางมัน
    ขอบคุณครับ
Gearmour

ออฟไลน์ npn

  • ฉัฏฐะ
  • *
  • กระทู้: 104
  • เพศ: ชาย
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: การทิ้งขันธ์ครู ควรทำอย่างไร
« ตอบกลับ #16 เมื่อ: 22 มิ.ย. 2553, 08:32:38 »
คำตอบเรื่องการถอนขันธ์
ปรีชา หาญอาจ 
ถ้าเคยรับขันธ์มาแล้ว แต่ไม่ต้องการเป็นร่างทรงอีก ควรทำอย่างไรบ้าง ?

คำตอบ - อย่าเอาขันธ์ไปทิ้งเฉยๆ ไม่ว่าจะทิ้งลงแม่น้ำ หรือทิ้งตามต้นไม้ในวัด
เพราะแม้ขันลอยน้ำไปแล้ว แต่วิญญาณยังอยู่ในตัวคุณแหละครับ

ให้ตั้งจิตให้ดีแล้ว บอกกล่าวแก่วิญญาณตนนั้น ซึ่งเป็นผู้ที่ใช้ร่างกายของเรามาตลอด หรือใช้ ขันธ์ 5 ของเรา
ซึ่งขันธ์ 5 ได้แก่ รูป (ร่างกาย) เวทนา (ความรู้สึกความสุขความทุกข์) สัญญา (ความจำ สิ่งที่ผูกพัน)
สังขาร (สภาพจิตที่ปรุงแต่งขึ้นภายหลัง) และ วิญญาณ (สภาพรู้แห่งอยตนะ)

บอกกล่าวกับเขาว่า ขอให้ร่วมมือกันสร้างความดี โดยมีเงื่อนไขต่างๆดังนี้..

- ขอให้เปิดเผยอย่างตรงไปตรงมา ว่า ท่าน (วิญญาณ) คือใคร? ชื่ออะไร? ตายเมื่อไหร่?
แล้วมีเหตุผลอะไรมาใช้ร่างกายเราเป็นสื่อ บอกจุดประสงค์ที่แท้จริงว่าท่านต้องการอะไรจากเราหรือท่านต้องการบอกกล่าวอะไรแก่ใคร?
และขอให้ท่านอย่าใช้พระนามของมหาเทพ มหาเทวี และเทพเจ้าระดับสูงมาแอบอ้างกับเราและผู้คนทั้งหลายอีก
เพราะมันจะเป็นบาปทั้งแก่ตัวท่าน(วิญญาณ) และตัวข้าพเจ้าเอง

(เพราะเราขอยืนยันตรงนี้อีกครั้งว่า พระพิฆเนศ พระศิวะ พระวิษณุ พระพรหม พระแม่อุมา พระแม่ลักษมี พระแม่กาลี พระแม่ทุรกา พระขันทกุมาร พระกฤษณะ พระราม พระหนุมาน พระอินทร์ พระพุทธเจ้า พระสีวลี พระอัครสาวกทั้งหลาย พระแม่กวนอิม พระสังกัจจายณ์ พระโพธิสัตว์ และเทพเทวดาชั้นสูงทั้งหลายจะไม่มีวันเข้าทรง หรือประทับทรงมนุษย์ไม่ว่ากรณีใดๆทั้งสิ้น ไม่มีมนุษย์หน้าไหนมีสิทธิ์เป็นร่างทรงเทพชั้นสูงเลยแม้แต่คนเดียวในโลกนี้)

- ทำข้อตกลงกัน ด้วยความศานติและมีความเมตตาต่อกัน ว่าจะร่วมมือกันทำบุญ สร้างกุศล
โดยไม่มีเจตนาแอบแฝงทั้งตัวข้าพเจ้าและขอให้ท่าน (วิญญาณที่มาสิง) ได้โปรดยอมรับในข้อตกลงนี้อย่างเคร่งครัด

- จากนี้ไปจะไม่แนะนำให้ใครมารับขันธ์ต่อจากเราอีกเด็ดขาด
เพื่อไม่ให้มีร่างทรงเพิ่มขึ้น ไม่ให้วิญญาณได้มีที่เกาะเพิ่มขึ้นอีกหลายๆตน

- ตกลงกันว่าห้ามทำไสยศาสตร์ระดับต่ำอีกเด็ดขาด เช่น การเสกของ การทำให้หญิงชายรักกันหรือเลิกกัน
การยุ่งเกี่ยวกับชีวิตครอบครัวของผู้อื่นก็เป็นสิ่งต้องห้าม กรรมของคนอื่นเขา เขาต้องรับผล ใครจะเจ็บป่วย ก็ให้เขาเจ็บไป
มันเป็นกรรมของเขา เราอย่าไปตัด อย่าไปขวางทางชีวิตของเขา เขาต้องป่วย เขาต้องเจ็บ เขาต้องมีอุบัติเหตุ เพราะเขามีบาปติดตัว
เขาต้องพิการ เขาต้องตาบอด เขาต้องทรมาน มันก็เป็นการชดใช้กรรมของเขา เราอย่าไปขวางทางกรรม เพราะมันจะทำให้เราลงนรกเสียเอง

- ห้ามรับเงิน!! ห้ามทำกำไร ห้ามเกี่ยวข้องกับเงินๆทองๆเด็ดขาด
ห้ามบอกผู้มาศรัทธาว่า ให้ทำบุญตรงนี้แล้วเราจะไปทำบุญให้ หากเขาต้องการทำบุญ ให้ไปทำที่วัดเอง ห้ามรับฝากเด็ดขาด

- ปิดตำหนัก!! ถูกต้องครับ ปิดตำหนักทรงเลย เอาป้ายออก หยุดรับลูกค้า หยุดรับลูกศิษย์ (จริงๆแล้วไม่ใช่ลูกศิษย์หรอกครับ คนโดนหลอกทั้งนั้นแหละ) แต่เทวรูปเทพต่างๆอย่าทิ้งครับ มหาเทพก็คือมหาเทพ ท่านเมตตาเราเสมอ ให้ยกขึ้นหิ้งไว้บูชาเป็นส่วนตัวเหมือนเดิม หรือส่งมอบเทวรูปบางส่วนแก่ผู้ศรัทธาไปเพื่อแสดงความเมตตา
ส่วนการช่วยเหลือผู้อื่นตามที่เราได้ให้คำมั่นสัญญากับวิญญาณที่มาทรง ให้ใช้วิธีแนะนำให้คนอื่นเขาไปทำบุญ
ใครมีเคราะห์กรรมมาหาเราก็แนะนำให้เขาไปทำความดี ไปทำนุบำรุงศาสนา แนะนำให้คนอื่นเขาทำสิ่งที่ดีงามต่อสังคม เขาก็จะหมดกรรมได้ดีกว่ามาให้เราเสกนู่นเสกนี่ให้

- ตกลงกันว่าห้ามมาประทับทรงอีก อย่ามาองค์ลงแบบเจ้าพ่อเจ้าแม่ ลุยไฟ สูบบุหรี่ โวยวายสั่นๆๆๆๆ อย่างที่ผ่านมาเด็ดขาด เรายินดีร่วมมือกับท่านเพื่อทำความดี ขออย่ามาลงทรงแล้วทุบโต๊ะป๊าบๆๆ ดิ้นพราดๆ ทำน้ำลายย้อยให้คนอื่นเห็นอีก

- บวช!! เป็นทางออกที่ดีมาก (นอกจากนี้ก็เข้าป่า ปฏิบัติเป็นโยคี ถวายตัวแด่พระศิวะเทพตัวจริงหรือมหาเทพที่ศรัทธาเลยก็ยิ่งดี)
นั่งรอลูกศิษย์อยู่ที่ตำหนักทรงจะบ้าตายเอาครับ ผู้คนเห็นแล้วก็ดูถูก เราก็จะฟุ้งซ่าน สมองก็จะฝ่อลงทุกวัน

- การทำบุญ ทำทาน ทำสมาธิ ทานอาหารเจ-มังสวิรัติ เลี้ยงอาหารสัตว์จรจัด เมตตากรุณาต่อผู้คน ร่วมเป็นอาสาสมัครตามโอกาส
เป็นสิ่งที่มนุษย์เราไม่ว่าอยู่ในศาสนาไหนก็ควรปฏิบัติอยู่แล้ว ขอให้ทำดีให้มากๆ กุศลผลบุญจะนำทางให้เราไปสู่สิ่งที่ดีกว่าเดิมแน่นอน

- หากพ้นไปสักระยะใหญ่ๆ 2-5 ปี ชีวิตดีขึ้น วิญญาณไม่มาทรงอีก รู้สึกอิ่มอกอิ่มใจ ก็ดีแล้วครับ ทำบุญไปเรื่อยๆ
แต่หากยังไม่ดีขึ้น ให้นำขันธ์หรือพานที่รับมา ไปส่งมอบให้เจ้าอาวาสวัดไหนก็ได้ (ลองสอบถามและปรึกษาท่านดูก่อนว่าท่านเข้าใจไหม) หากเจ้าอาวาสท่านเข้าใจเรา ท่านจะรับพานไว้ ถ้าจะให้ดีให้เราบวชเลย (กรณีเป็นชาย) หรือขอเข้าบำเพ็ญภาวนา (กรณีเป็นหญิง) ในวัดนั้นเลยถือโอกาสศึกษาธรรมะไปด้วยสัก 7-10 วันหรือเป็นเดือนๆปีๆเลยก็ได้ พอออกมาแล้วก็ขออาบน้ำมนต์จากวันนั้นด้วยเพื่อความสบายใจ กลับไปบริจาคทำนุบำรุงวัดนั้นตามโอกาส เมื่อกลับมาก็ทำบุญสร้างกุศลบำเพ็ญสมาธิไปเหมือนเดิมตลอดจนชีวิตจะหาไม่ ทำได้อย่างนี้หลับสบายแน่นอนครับ

แต่เตือนไว้ก่อนว่า เจ้าอาวาสบางวัด ดันไปศึกษาวิชาไสยศาสตร์ทางเขมรมา เลี้ยงวิญญาณไว้เยอะ ก็นิยมทำพิธีรับขันธ์ครอบครูเสียยิ่งกว่าเจ้าตำหนักทรงซะอีก ก็ให้เข้าไปสอบถามก่อนและไตร่ตรองดูให้ดีๆ ว่าเจ้าอาวาสวัดนี้เชื่อถือได้ไหม

วิธีการมอบขันธ์ให้แก่เจ้าอาวาส ก็คือการไปปรึกษาท่าน เล่าให้ท่านฟังถึงสิ่งที่เราได้ทำมาโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ (บอกว่าไม่อยากเป็นร่างทรงแล้ว) อธิบายว่าเราไม่ทราบว่าเป็นวิญญาณสิง แล้วก็ไม่อยากเอาขันธ์ไปทิ้งขยะหรือทิ้งแม่น้ำ เราไม่สบายใจ ไม่อยากทำบาป ไม่อยากแอบอ้างเทพเจ้าชั้นสูงอีก ให้ท่านเมตตาช่วยดูแลขันธ์และวิญญาณตนนี้ให้ด้วย ถ้าท่านเข้าใจแล้วก็ยื่นขันธ์ให้ท่านรับไว้ แค่นั้นครับ แต่ถ้าเจ้าอาวาสท่านไหนบอกว่าจะต้องมีพิธีถอนขันธ์ใหญ่โตเอิกเกริก มีการจัดเครื่องเซ่นบูชาเทพเจ้ากันอีกโต๊ะใหญ่ นัดแนะดูฤกษ์ยามก่อนหลายๆวัน มีค่าครู หัวหมู เป็ดไก่ ฯลฯ นั่นก็ถูกหลอกอีกแล้วครับ อย่าไปทำตาม ดีไม่ดีซวยอีก เจอวิญญาณตัวที่สอง สาม สี่ ห้า ดันเข้ามาแทรกเบียดเข้าที่ตัวเราอีกจะรับไม่ไหว เผลอๆตายคาวัดกลายเป็นผีแถวนั้นไปเข้าทรงคนอื่นอีกก็ไม่รู้ด้วยแล้ว

ลาขันธ์โดยมอบให้แก่เจ้าอาวาสแล้ว ก็ยังจะต้องทำบุญเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับวิญญาณตนนั้นที่เรารับขันธ์ให้เค้ามาอยู่ด้วยในตอนแรกด้วยนะครับ ให้ทำบุญไปเรื่อยๆ อุทิศผลบุญให้เขาเพื่อให้เขาได้ไปเกิด ไปอยู่ในภพภูมิที่ดีๆกว่านี้ แผ่เมตตาทุกๆคืนให้วิญญาณเร่ร่อน เจ้ากรรมนายเวรและสรรพสัตว์ ใหุ้ทุกท่านอโหสิกรรมให้เรา

แต่ถ้าหากยังไม่ได้ลองทำบุญทำทานสร้างกุศลก่อน ห้ามลาขันธ์เด็ดขาด อ่านๆมาแล้วก็เอะอะตกใจกลัวก็จะลาขันธ์เลย อย่างนี้อย่าทำนะครับ ยังไม่ได้ลองทำบุญ ทำตัวเป็นคนดีจริงๆก่อนสัก 2-3 ปีก็อย่าเพิ่งด่วนเอาขันธ์ไปให้เจ้าอาวาส วิญญาณจะเล่นเอาทรมานถึงตายก็มี หรือที่ทำให้ทรมานแต่ดันไม่ตายก็มีเยอะครับ เพราะวิญญาณจะโมโหว่ารับเขามาอยู่แล้วพอไม่ต้องการก็จะเอาไปทิ้งไปขว้าง ให้เจรจาพูดคุยกันด้วยความสันติและสื่อความเมตตากรุณาต่อกันก่อน บางท่านอาจจะอยู่ด้วยกันอย่างสงบ อีกทั้งได้ร่วมมือกันสร้างกุศล เป็นเพื่อนหรือเป็นที่ปรึกษากันไปตลอดก็ได้ ถ้าเป็นลักษณะนี้ก็จบในทางที่ดีครับ


หากใครอ่านถึงตรงนี้แล้วจะบอกว่า ไอ้ห่าพวกมึงนี่ไม่รู้จริง กูนี่แหละร่างทรงของแท้!! ก็ขออย่าอ่านอีกเลยครับเว็บของเราเนี่ย ไสหัวไปที่อื่นเถอะ เราชี้ทางสว่างให้แล้วยังหยิ่งโอหัง วิญญาณมันจะกินร่างกายกินบุญที่คุณสร้างมาจนหมดตัวแหละครับ ประทับทรงไปวันๆนี่รู้ไว้เลยว่าคุณน่ะไม่ได้บุญหรอก พวกสติปัญญาไม่ค่อยมี ปกติบุญก็ไม่ค่อยทำ พอวิญญาณมาสิง มาหลอกให้คิดว่าเป็นเทพชั้นสูง ก็เสือกคิดว่าตัวเองมีบารมี เป็นพระพุทธเจ้ากลับชาติมาเกิดบ้างล่ะ เป็นมหาเทพศิวะ มหาวิษณุอันสูงศักดิ์บ้างล่ะ แท้จริงแล้วก็พวกจิตอ่อน บุญกุศลสร้างมาไม่เพียงพอ วิญญาณมันเลยสิงเอา แล้วก็เสือกไปท้าทายไปทั่ว ทำบาปทุกวันหาทางรอดไม่พ้นหรอก ใครชี้ทางสว่างให้ก็ไม่รู้จักพิจารณา ระวังจะไม่ตายดีครับ วิญญาณจะกินร่างกายและจิตใจคุณให้ทรุดโทรม ตกต่ำ หากยังไม่รู้ตัวหรือไม่พิจารณาบอกกล่าวแก่วิญญาณหรือเร่งสร้างกุศลอย่างที่เราแนะนำไปตอนต้น เชื่อเถอะว่าบั้นปลายชีวิตคุณไม่ตายดีแน่นอน
คำตอบเรื่องการถอนขันธ์ http://www.siamganesh.com/devils9.html
 
 
 
"คนมีปัญญา ถึงแม้ตกทุกข์ ก็ยังหาสุขพบ"