ชื่อและนามสกุลนี้เป็นที่รู้จักกันดีของคนในวงการพระเครื่องตลอดเวลาที่ผ่านมาท่านมักจะได้รับเชิญให้ไปเป็นประธานจัดสร้างวัตถุมงคลหลายครั้ง รวมทั้งได้ช่วยวัดสร้างพระมาจนนับไม่ถ้วน โดยได้พูดไว้อย่างน่าคิดว่า "เพื่อต้องการจะช่วยวัดสร้างเสนาสนะหรือ บูรณะปฏิสังขรณ์สิ่งต่างๆ ภายในวัดนั่นเอง โดยไม่ได้หวังผลประโยชน์ใดๆงานบางแห่งคณะกรรมการที่สร้างพระแล้วมีผลประโยชน์แอบแฝง ไม่โปร่งใส มีพุทธพาณิชย์เข้ามาเกี่ยวข้อง หากทราบก็จะถอยออกมาทันที" ส่วนเหตุผลที่ได้รับเชิญให้เป็นประธาน คณะกรรมการ รวมทั้งนั่งปลุกเสกวัตถุมงคลนั้น ดร.ไมตรี บอกว่า น่าจะมาจากหลายฝ่ายได้ยินกิตติศัพท์มาว่า เป็นคนหนึ่งที่ได้ศึกษา วิชาไสยศาสตร์มาจาก พระอาจารย์นำ ชินวโร (นำ แก้วจันทร์) วัดดอนศาลาอ.ควนขนุนจ.พัทลุงโดยบิดาของท่านก็เป็นอาจารย์ที่เก่งกล้าทางไสยศาสตร์ทำให้พระอาจารย์นำมีโอกาสศึกษาวิชาทางไสยศาสตร์เบื้องต้นตั้งแต่เป็นเด็ก
นอกจากนี้แล้วพ่อยังได้บอกให้พระอาจารย์นำ นำไปฝากให้ศึกษา วิชาเวทมนตร์คาถากับ พระอาจารย์ทองเฒ่า วัดเขาอ้อ ซึ่งเป็นผู้มีชื่อเสียงมากในสมัยนั้น มาถึงวันนี้ก็ไม่กลัววิชาไสยศาสตร์นี้จะสูญหายไปไหน เพราะได้ถ่ายทอดไว้ให้กับลูกชายทั้งหมดแล้ว อย่างไรก็ตาม ถ้าได้เป็นประธานสร้างพระเครื่องที่ไหน ก็จะต้องใช้คาถาประจำใน ระหว่างประกอบพิธีดังกล่าวด้วย แต่ถ้าถามว่าเป็น คาถาอะไรนั้น ดร.ไมตรี สามารถบอกได้ แต่เพียงว่าเป็น คาถาที่ปลุกเสกให้วัตถุมงคล มีความเข้มขลัง มีบางคนถามเรื่องอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ว่ามีจริงไหม ดร.ไมตรี ยืนยันว่า มีจริงเพราะมีประสบการณ์มากับตัวเอง จะให้อธิบายให้ฟังก็เป็นเรื่องที่ไม่สามารถบอกเล่า ให้ทุกคนได้เข้าใจอย่างถ่องแท้นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ในความรู้สึกตลอดมาอยากจะบอกว่า พุทธคุณในองค์พระเครื่องต่างๆ มีจริง โดยจะเกิดกับคนที่แขวนพระที่มีความศรัทธาและจิตก็ต้องเป็นหนึ่งเดียว สำหรับความหมายของคำว่า "เอกัคตา" นั้น ดร.ไมตรี อธิบายให้ฟังว่า เอกัคตา คือ จิตมีอารมณ์เป็นหนึ่งเดียว หรือเอกัคตาจิต หรือ "จิตรวม" หรือ "ได้ฌาน" เป็นขกณิกะสมาธิ พอลุกออกจากการนั่งสมาธิไม่ทันไร สมาธิก็หมดตามไปด้วย หมดเวทนา หรือทุตยฌาน ขณะนั้นถือว่าจิตใจก็ไม่ได้มีอารมณ์อื่นใดอีกเลย หมายความว่าไม่ได้คำนึงถึง รูป เสียง กลิ่น รส หรือการสัมผัสถูกต้องแต่ประการใดทั้งสิ้น แน่วแน่เอาแต่อารมณ์ที่เพ่งอย่างเดียวเท่านั้น จึงได้ชื่อว่า เอกัคตาจะสามารถเผาหรือข่มกามฉันทนิวรณ์ได้ วิชาเหล่านี้หากใครนำเอาไปทำเล่นไม่จริงจังก็จะไม่ดีต่อตัวเอง ทำอะไรก็จะมีแต่ความทุกข์เรื่อยไป
"วิชาไสยศาสตร์นี้ใครรับแล้วต้องมีสัจจะ ต้องทำจริงๆ ใครผิดสัจจะต่อครูบาอาจารย์ ทำอะไรก็จะผิดหมด เรื่องแบบนี้หากเราไปพูดให้ใครฟัง บางคนเชื่อก็แล้วไป แต่บางคนเขาไม่เชื่อในสิ่งที่เราพูด เขาจะหาว่าเราบ้าก็ได้ หรืออาจถูกมองว่าเราเป็นคนงมงายไปเลยก็มี ตรงนี้จึงอยากให้มองเป็นเรื่องของ ความเชื่อส่วนบุคคลจะดีกว่า ใครที่เคยแขวนพระเครื่องแล้วมีประสบการณ์ตรงนี้เขาจะเข้าใจได้ และรู้อยู่แก่ใจว่าเขาไปเจออะไรบ้าง ชีวิต หน้าที่การงานเขาดีขึ้นไหม เราจะเห็นว่าคนที่แคล้วคลาดจากการรอดตาย ทางอุบัติเหตุมากมายก็มีทางเป็นไปได้ว่าเกิดจากพุทธคุณของพระนั่นเอง" นี่คือความเชื่อเกี่ยวกับพุทธคุณจากพระเครื่องของ ดร.ไมตรี
ดร.ไมตรี กล่าวว่า การแขวนพระ ก็เพื่อให้เป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจมากกว่า เมื่อแขวนแล้วมีความศรัทธา พลังปาฏิหาริย์ก็จะเกิดขึ้นมาเอง
นอกจากเป็นคนเชื่อในเรื่องของปาฏิหาริย์แล้ว ดร.ไมตรี ยังในกฎแห่งกรรม ใครทำดีก็ย่อมได้ดี ใครทำชั่วก็ย่อมได้ชั่ว แล้วยังเชื่อว่าชาตินี้มีจริง ชาติหน้าก็ต้องมีจริง ซึ่งผลของ การกระทำจะเกิดให้เห็นได้ทั้งชาตินี้และชาติหน้า เช่นเดียวกับคนเราที่เกิดมาได้ก็ด้วยกรรม ตัวเราก็คือกรรม เกิดมาก็ต้องมาชดใช้กรรม และคนเราก็จากไปด้วยกรรม ส่วนคนที่จะมีกรรมดีหรือกรรมชั่วก็เลือกกันเอาเอง ตรงนี้ไม่มีใครบังคับได้ เมื่อมีชีวิตอยู่เราจะสร้างกรรมดีหรือกรรมชั่วเท่านั้นเอง
"ชาติหน้าใครเกิดในภพภูมิที่ดีก็ต้องสร้างบุญกุศลไว้ให้มาก เพื่อจะได้เกิดในภพที่เป็นมนุษย์ แต่ถ้าใครไม่ทำบุญก็ต้องไปเกิดในภพที่เป็นอมนุษย์ ประกอบด้วยกิเลสตัณหา คนเราจะไปในภพภูมิที่ดีได้ก็อยู่ ที่การปฏิบัติจริงๆ ศีล ๕ ต้องครบ และต้องมีหิริโอตตัปปะ ละอายต่อบาป แล้วยังต้องมี พรหมวิหาร ๔ เป็นหลักธรรมสำหรับทุกคน เป็นหลักธรรมประจำใจที่จะช่วยให้เราดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างประเสริฐและบริสุทธิ์ หลักธรรมนี้ได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา มนุษย์เรามีแค่นี้ก็เป็นมนุษย์ที่ประเสริฐแล้ว" ดร.ไมตรี กล่าวทิ้งท้าย