ตถตาอาศรม เขาเรดาร์ บ้านบึง ชลบุรี
๑๓ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๔
" เป็นกวีนอนเปล่าก็เศร้าจิต
จึงลิขิตอักษรเป็นกลอนสารน์
เล่าเรื่องราวที่พบประสพการณ์
บันทึกผ่านสายธารกาลเวลา "
กลับมาอีกครั้งสำหรับ วจีพเนจร หลังจากรอนแรมมายาวไกล จากเหนือไปอีสานแล้วลงใต้
กลับมากลับไปหลายพันกิโลเมตร กว่าจะเสร็จภาระกิจซึ่งใช้เวลาเกือบสองเดือนนั้น ก็ทำให้ร่างกายนั้นอ่อนเพลีย
ต้องพักผ่อนฟื้นตัวปรับธาตุอยู่หลายวัน ทำให้ห่างหายไปจากกระดานสนทนา วันนี้กลับมาพร้อมมอบบทกวีให้แก่
ท่านทั้งหลายได้สัมผัส ซึ่งภาษาที่ควรอนุรักษ์ ในความเป็นไทย
.....รอยทางที่ย่างผ่านและกาลเวลา....
คือม่านเมฆหมอกหนาวในราวป่า
เดือนธันวาหน้าหนาวคราวสิ้นฝน
ก่อนที่แสงอาทิตย์มาเยือนยล
ทุกแห่งหนมีให้เห็นเป็นบุญตา
อยู่ท่ามกลางไพรพนารักษาจิต
เพ่งพินิจมองเห็นและมองหา
มองให้เห็นกิเลสร้ายในกายา
เพียรศึกษาเจริญจิตภาวนา
เพื่อลดละอัตตาและมานะ
เพื่อจะละซึ่งกิเลสและตัณหา
เพื่อลบรอยล้างจิตอวิชชา
เพื่อจะพากายใจให้ร่มเย็น
เย็นด้วยธรรมนำใจบริสุทธิ์
ตามทางพุทธศาสตร์ที่ได้เห็น
เย็นด้วยธรรมนำให้รู้จึงอยู่เป็น
หมดทุกข์เข็ญเย็นด้วยธรรมที่นำทาง
เย็นทั้งนอกเย็นทั้งในสบายจิต
เมื่อจัดวางความคิดตามแบบอย่าง
รู้จักลดรู้จักละรู้จักวาง
นำจิตห่างจากทุกข์ก็สุขใจ
รู้อะไรก็ไม่สู้เท่ารู้จิต
รู้เท่าทันความคิดจิตแจ่มใส
รู้อะไรก็ไม่สู้เท่ารู้ใจ
ไม่มีใครรู้จักเราเท่าเราเอง
สายลมหนาวทำให้หนาวแต่ภายนอก
จิตมันหลอกเพราะกิเลสมันข่มเหง
ให้หนาวกายหนาวจิตคิดกลัวเกรง
ใจเราเองมันหลอกเราให้เศร้าใจ....
....เชื่อมั่น-ศรัทธา-ปรารถนาดี...
รวี สัจจะ-สมณะไร้นาม
๑๓ พฤษภาคม ๒๕๕๔ เวลา ๐๘.๒๖ น. ณ ตถตาอาศรม เขาเรดาร์ บ้านบึง ชลบุรี