หมวด มิตรไมตรี > รวมสมาชิก (มิตรไมตรี)

ลมเพลมพัด?

(1/3) > >>

ทรงกลด:
อ่านเพื่อความบันเทิงกันนะครับ :004:

ลมเพลมพัดเป็นอย่างไร…?..1/2

(ลมเพลมพัด อาการเจ็บป่วยโดยหาสาเหตุไม่ได้   คนโบราณพากันเข้าใจว่า  ต้องคุณไสย์คุณผี (ผีทำ) คุณคน (คนทำ)

หรือถูกของที่ผู้มีวิชาไสยศาสตร์ปล่อยมาตามลม ส่วนใหญ่มักมีอาการเจ็บปวด  เคลื่อนย้ายไปตามจุดต่างๆ

ซึ่งแพทย์แผนโบราณท่านว่า  คุณไสย์หลบหนีไปซ่อนตัวในตำแหน่งอื่น เพราะกลัวน้ำมนต์)

หมอชีวกท่านสอนว่า..................

ให้พิจารณาดูว่าการเคลื่อนย้ายของจุดที่เกิดการเจ็บปวดเคล็ดขัดยอกนั้น

เริ่มต้นที่จุดตำแหน่งใด ? มีแนวทางเคลื่อนย้ายอย่างไร ?

ถ้าใช้ปากกาเคมีหรือสีแต้มลากไปตามจุดที่อาการเจ็บปวด เคล็ดขัดยอกเคลื่อนที่โคจรไป จะพบว่ามันตรงกับแนวของเส้นประสาทในร่างกาย

สาเหตุของการเจ็บปวดเมื่อยเคล็ดขัดยอกที่แพทย์ตรวจหาไม่พบก็จะปรากฏขึ้น

ให้รู้ว่าอาการเจ็บป่วยนั้นเกิดจากเส้นเอ็นที่เป็นเส้นประธาน แต่บางครั้งการโคจรของโรคมีวิธีทางที่ไม่ตรงกับเส้น

ประธานใด   ให้พิจารณาบริเวณที่นอนหรือเตียงนอน ที่นอนราบเรียบเสมอกันหรือไม่ ? มีแง่ปุ่มปมสูงต่ำไม่เสมอกันไหม ?  มีสิ่งแปลกปลอมบนที่นอนหรือเปล่า ?

ถ้าอาจารย์ผมจำไม่ผิดอาจารย์ผมเขียนเรื่องอาการของผู้ป่วย ลมเพลมพัดว่าที่แท้จริงเกิดจากการนอนทับขอบหรือมุมหนังสือปกแข็งที่นำไปอ่าน

จนหลับบนเตียงและหรือนอนหลับทับหลอดยาดมที่ต้องดม อยู่ตลอดเวลาจนติดเป็นนิสัยและกลายเป็นสันดานที่แก้ไม่ได้

นอนทับแต่ละจุดนานเป็นเวลาหลายชั่วโมง เปลี่ยนจุดทับไปที่ใดเกิดการเจ็บปวดเคล็ดขัดยอกเปลี่ยน

ตำแหน่งจุดไปที่นั่น   แต่หลงเข้าใจผิดคิดว่าโรคเคลื่อนย้ายที่ได้เอง  (ความจริงเปลี่ยนจุดตำแหน่งทับ)

อาจารย์ผมเคยแนะนำผู้ป่วยที่มีอาการเหมือนหรือคล้ายแบบนี้หายมาหลายรายแล้ว

แต่ที่เกิดจากลมเพลมพัดจริงๆก็มี (แต่ไม่ถึงหนึ่งในร้อยหรือน้อยมาก)

คนที่เรียนวิชาลมสลาเหิร(อาจารย์ผมเขียนตามที่ได้ยินจากปากคำของท่านอาจารย์ท่าน

จึงเขียนตามคำพูดอาจไม่ตรงตามศัพท์ สมัยที่อาจารย์ผมเรียน เรื่อง วิชาภาษาไทย  อาจารย์ผมตกอยู่แล้ว)

คนที่เรียนวิชานี้เท่านั้นที่จะต้องทำการปลดปล่อยวิชาให้ล่องลอยไปตามลมปีละครั้ง

มิฉะนั้น ของที่เรียนมาจะเข้าตัวเองของที่ทำไว้จะถูกปลดปล่อยให้ล่องลอยไปตามแรงลมคล้ายนุ่นหรือเมล็ดดอกรัก

มีผู้เรียกวิชานี้แตกต่างกันไป..................

ที่มา
http://www.chaynichsart.com/

ทรงกลด:
ลมเพลมพัดเป็นอย่างไร…?..2/2

ลมสลาเหิร  มนต์รักฝากพระพาย  วิชามนต์เพชรหึง ผู้ที่เคราะห์ร้ายหรือดวงตก  ดวงชะตาต้อง (ถึง) ฆาต

ได้ยินเสียงลมพัดสิ่งของตกหล่นหรือทำเสียงดังเสียงเรียก เสียงทักโดยไม่เห็นตัว

ไปร้องทักหรือเอะอะโวยวายหรือไปขานรับเข้าของนั้นจะพุ่งเข้าหาและเข้าร่าง

คนโบราณท่านจึงห้ามทักสิ่งของที่ต้องลมตกหล่น  เสียงดังเสียงทักเสียงเรียกหา ก่อนที่จะเห็นตัวตน  บรรดาท่านปู่เจ้าทั้งหลายชอบใช้และเชี่ยวชาญในวิชานี้

วิธีแก้เมื่อบางท่านเผลอตัวเกิดไปทักเข้า คนโบราณท่านว่าให้ใช้วิธีแก้เคล็ดง่ายๆ

ให้ใช้วิธีหนามยอกให้เอาหนามเบ่ง
(บ่งไม่เป็นหนามที่บ่งหักคาเนื้อ หนามที่ยอกอยู่ก็ไม่ออกอีก)

ท่านให้สูดลมเข้าให้สุดแล้วเป่าลมออกให้สุดเหมือนกัน  ลมเพลมพัดเขาปล่อยมาตามลมเมื่อมันมาเข้าร่างใคร ก็ให้คนนั้นเป่าออกไปต่อตามลมไปเหมือนกัน  ท่านว่าหายแล

เรื่องนี้จะจริงเท็จอย่างไร อาจารย์ผมบอกตามตรงว่าอาจารย์

ผมไม่กล้ารอง…เข็ด…เคยถูกคนโบราณหลอกมาแล้ว  แบบว่า เชื่อโบราณมันก็ต้องบานบุรี  ไม่เชื่อเลยมันก็ไม่ดี
ท่านว่า

ถ้าเผลอไปสบตากับคนที่เป็นโรคตาแดงให้แลบลิ้น ให้มินั้นจะติดโรคตาแดง
พอแลบลิ้นให้โดนตบตาเหลือกตาปลิ้น

คนโบราณว่าเป็นโรคปากนกกระจอก ต้องแก้เคล็ดด้วยการไปแอบลักน้ำตาลปี๊บร้านชำกิน
ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยมีนิสัยลักของใคร (นอกจากของเมีย)

พอเจ้าของร้านเผลอรีบเอานิ้วชี้ควักน้ำตาลในปี๊บใส่ปาก ตาคอยจับจ้องมองแต่เจ้าของร้านกลัวโดนเขาจับได้
(ก้อหนูไม่เคย) โดนขอบปี๊บคมบาดนิ้วมือเกือบถึงกระดูก

นึกอยากนั่งไทม์แมชชีนย้อนกาลเวลาไปสู่โลกในอดีต อยากไปตามตบหน้าเขกกะโหลกอ้ายคนต้นคิดวิธีแก้เคล็ดแบบนี้

แต่พูดก็พูดเถอะ...คนทุกคนมีสิทธิ์ที่จะเลือกเชื่อถือโชคลางและวิธีแก้เคล็ดของแต่ละคน

ที่มา
http://www.chaynichsart.com/

ทรงกลด:
คุณไสย กับ ผู้แก้ ... พระอาทรกาญจนกิจ
(พระอาจารย์หอม) วัดวังก์วิเวการาม

เรื่องของคุณไสย  ในทุกวันนี้ไม่ใช่จะเป็นของที่หาดูได้ง่าย  คุณไสยพิสูจนได้์ยากในยุคปัจจุบันแต่ก็ไม่ใช่จะเหลวไหลไปทั้งหมด  อาจบอกได้ว่าคุณไสยเป็นของเล่นคนโบราณบ้านป่าเมืองดง  เรียนทั้งผูกทั้งแก้  ไว้กระทำให้กันถ้ารักสาวแต่สาวไม่รักก็ทำเสน่ห์ผูกใจ  ถ้าเกลียดคุมแค้นก็ให้ตายหรือบ้ากันไปข้าง  คุณไสยกระทำได้ทั้งด้วยตนเอง หรือว่าจ้างคนอื่นกระทำ

คุณไสยเป็นวิชามาร อยู่ฝ่ายเวทมนต์ต่ำช้า  ไม่ใช่มนต์ดำ  แต่เป็นมนต์ร้ายของคนชั่ว  ผู้เลือกประโยชน์จากคุณไสยล้วนเป็นคนมีจิตใจชั่วร้ายทั้งสิ้น  ก่อเวรสร้างกรรมแก่ผู้อื่นเพื่อบังเกิดความพึงใจในวิบัติของคนที่ตนไม่ชอบ

คุณไสยมีจริง,  กล่นเกลื่อนในสมัยเก่า  ไม่เป็นที่สงสัย  ไม่ถูกลบหลู่ว่าเป็นของไม่มีจริง  แต่สมัยของวันนี้คุณไสยแทบสาปสูญไปแล้ว  เหมือนป่าช้าผีดุที่กลายเป็นบ้านจัดสรรแสนสุข  ผีที่แสนเฮี้ยนก็สลายไปพร้อมกับการเข้ามาถึงของไฟแสงสีและผู้คนขวักไขว ่คุณไสยก็เช่นกัน   โลกยุคใหม่  แทบไม่มีใครเคยเห็นหรือเคยสัมผัส  คงได้แค่เพียงฟังเขาเล่ากันมาเท่านั้น และ เขาเล่าว่าก็ยังเล่ากันอยู่ในทุกวันนี้

เขาเล่าว่า ..... เรื่องที่  1

ลมเพ ลมพัด

  “รักษ์  มีแสง”    กองสอดแนมพระเครื่องดี  เป็นผู้เล่า  ลมเพ ลมพัด  คือ  กริยาอาการประการหนึ่งของคุณไสยที่ถูกปล่อยออกไปทำร้ายคนอื่นโดยไม่เลือกเป้า  ไม่กำหนดว่าจะกระทำกับใคร  สุดแต่ว่าใครจะเป็นผู้เคราะห์ร้ายไม่เลือกว่าเด็กคนแก่  หญิงหรือชาย

ว่ากันว่าคนเรียนผูกคุณไสยเหล่านั้น  หากถึงกำหนดแล้วไม่ปล่อยคุณไสยออกไป  คุณไสยก็จะเข้าตนเอง  ลมเพ ลมพัด ก็คือ การปล่อยคุณไสยออกไป เพื่อไม่ให้คุณไสย แว้งใส่ตัว จะไปโดนใครก็ช่าง  สุดแต่ลมเพ ลมพัดไป

เด็กนักเรียนในโรงเรียน ที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งซึ่งจะต้องสงวนนามเอาไว้แต่จะสมมติให้มีชื่อว่า “บุญสร้าง”  เพื่อเรียกสะดวก

  บุญสร้างกำลังเล่นกีฬากับผองเพื่อนอยู่ดี ๆ เกิดอาการปวดแขน ปวดขากระทั่งหมดแรง เล่นต่อไปไม่ไหว  และ มีอาการลุกลามขึ้นเนือง ๆ ถึงขั้นนอนแบบอยู่กับบ้าน  ลุกไม่ได้  เรียนหนังสือไม่ได้  ต้องให้เพื่อมาช่วยติวที่บ้าน  เหมือนคนเป็นอัมพาตที่ยังใฝ่ศึกษาซึ่งได้เป็นความปวดร้าวใจของพ่อแม่อีกด้วย  สำหรับชะตากรรมของลูกชายที่ไม่อาจหาต้นสายปลายเหตุของความเจ็บไข้  อย่าว่าแต่พ่อแม่เลย  กระทั่งแพทย์ที่ตระเวนรักษาทุกโรงพยาบาลที่เชื่อว่าแพทย์เรืองฝีมือประจำการอยู่ก็ไม่ทราบไม่สามารถวินิจฉัยโรคที่บุญสร้างเป็นได้ถูกต้อง

กาลเวลาผ่านไปเนิ่นนาน  หมดไปทั้งกำลังกาย กำลังใจ และ กำลังทรัพย์หลายหมื่น  อาการของบุญสร้างก็ไม่ดีขึ้นมิหนำกลับเลวลงเรื่อย ๆ

จะเข้าห้องน้ำก็ต้องหิ้วปีกกันเข้า  และ หมดสติไปในที่สุด เป็นที่ทุกข์ใจแก่ญาติพี่น้อง และ ผู้ที่รักบุญสร้างทุกคน

ญาติพี่น้องบางคนถึงกับแนะนำให้พ่อแม่บุญสร้างให้พาบุญสร้างไปหาคนทรง  ในเมื่อแพทย์แห่งยุคสมัยหมดฝีมือแล้วคนทรงก็เป็นทางเลือกเดียวที่จะต้องลองดู

คนทรงบอกว่า  ผู้ที่จะสามารถรักษาโรคของบุญสร้างได้นั้นมีอยู่  เป็นพระภิกษุ  อาศัยอยู่บนภูเขาสูง ในเขตเมืองกาญจนบุรี

คำแนะนำของคนทรงก็แทบจะช่วยอะไรพ่อแม่บุญสร้างไม่ได้  ภิกษุบนเขาสูงในเมืองกาญจนบุรีเพียงองค์เดียวเสียเมื่อไหร่  ภิกษุมากมายในเมืองกาญจนบุรี  ล้วนอาศัยบนเขาสูงทั้งนั้น

วันหนึ่ง  “บุญ”  ของบุญสร้างก็เกิดขึ้น รถยนต์โฆษณาประชาสัมพันธ์ งานพุทธาภิเษกคันหนึ่งแล่นผ่านหน้าบ้าน  และ ใบปลิวแผ่นหนึ่งที่โปรยออกจากรถได้ปลิวเข้ามาในบ้าน  1 แผ่น

ชื่อของหลวงพ่ออุตตมะ ปรากฏอยู่ในใบปลิวแผ่นนั้น หรือนี่จะเป็นภิกษุที่อยู่บนภูเขาสูงซึ่งคนทรงเคยชี้นำเอาไว้
ฟางเส้นเดียวลอยน้ำมา  ในคราจะจมน้ำตายก็ ต้องคว้าไว้ก่อน

พิธีพุทธาภิเษก  จัดกันใหญ่โต  คนมาก  ไม่สามารถเข้าพบหลวงพ่ออุตตมะได้สะดวก  แต่ความพยายามของพ่อแม่บุญสร้างก็บรรลุผล  เมื่อถึงช่วงการพักพิธีพุทธาภิเษก  เจ้าหน้าที่งานพิธีกรุณาให้พ่อแม่บุญสร้างเข้าพบหลวงพ่อได้

หลังจากเล่าทุกข์ และ เล่าอาการของบุญสร้างให้หลวงพ่อทราบ  ท่านจึงขอเทียนเล่มหนึ่ง และ ขอชื่อบุญสร้าง  และ ทำพิธีของท่านไปครู่หนึ่ง

“เด็กถูกลมเพ ลมพัด  รักษาได้  แต่ตอนนี้เรามีภาระพิธีพุทธาภิเษกอยู่หลังพิธีแล้วให้นำเด็กไปพบเราที่หลัง”

เมื่อหลวงพ่ออุตตมะ กลับสู่วัดทุ่งสมอที่ท่านมักอาศัยพำนัก ในขณะที่กลับวัดวังก์วิเวการามไม่ทัน พ่อแม่บุญสร้างก็นำตัวบุญสร้างเข้าพบท่านในคืนเดียวกันนั้น  ซึ่งหลวงพ่อได้เมตตารักษาให้ในเบื้องต้นก่อนทันที่

บุญสร้างก็มีอาการดีขึ้นใน ระดับหนึ่งทันควันเป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่ง

แต่หลวงพ่อได้บอกว่า  การรักษาบุญสร้างครั้งนี้ต้องอาศัยสมุนไพรเข้าช่วยซึ่งตัวท่านเองมีภารกิจมากรุ่งขึ้นต้องไปพิษณุโลก  เห็นจะช่วยเหลือให้ตลอดรอดฝั่งไม่ถนัด  แต่ยังมีผู้ที่ทำได้และสามารถทำแทนท่านอยู่ทุกเวลา

“ท่านชื่อว่าอาจารย์หอม”

หลวงพ่อได้มีลิขิตให้ พ่อแม่บุญสร้างถือไปพบพระอาจารย์หอมโดยลงชื่อของหลวงพ่อกำกับไว้ด้วยเพื่อความสะดวกในการพิจารณารักษาของพระอาจารย์หอม  ผู้ซึ่งเป็นภิกษุลูกวัดอยู่ใน        วัดวังก์วิเวการามของหลวงพ่อเอง  และ มีศักดิ์ฐานะเป็นหลานหลวงพ่ออีกด้วย

ครั้งบุญสร้างถูกนำตัวไปพบพระอาจารย์หอม ตามคำแนะนำของหลวงพ่ออุตตมะแล้ว  พระอาจารย์หอมซึ่งอ่านลิขิตที่หลวงพ่อฝากตัวเด็กแล้วก็ไม่ลังเลที่จะลงมือรักษาอาการเจ็บป่วยของบุญสร้างทันที่

คืนเดียวเท่านั้น เบ้าตาบุญสร้างที่มีน้ำขุ่นเหลืองหล่อหลอม ตลอดเวลาก็แจ่มกระจ่าง  มีประกายสดใส อย่างเห็นได้ชัด  บุญสร้างคลายจากอาการเหม่อลอย  สติฟื้นกลับคืน  อยากจะพูดอยากจะเดิน  ผู้เป็นพ่อแม่ต้องพยุงบุญสร้างที่เกาะราวบันไดเดินเตาะแตะไป เป็นครั้งแรกในรอบ  2  เดือนที่นอนแบบ

เมื่อหลวงพ่ออุตตมะกลับจากพิษณุโลก  ท่านเมตตาทำพิธีให้บุญสร้างอีกครั้งหนึ่งภายในวิหารพระหินอ่อน  และ ส่งตัวให้พระอาจารย์หอมรักษาต่ออีก  2   วัน  บุญสร้างก็หายขาด

เหลือเชื่อที่สุด!!! เหมือนฟ้ามืดตอนกลางคืนที่อาจไม่คิดถึงว่ายังจะมีแสงตะวันปรากฏตอนรุ่งอยู่เสมอ

ผู้เป็นพ่อแม่มีปิติกับลูกชาย อย่างสุดจะระงับได้หอบเงินก้อนโตมาถวายพระอาจารย์หอม  แต่ท่านไม่ยอมรับ  เมื่อพระอาจารย์หอมไม่รับ  ก็หอบไปถวายหลวงพ่ออุตตมะซึ่งท่านก็ไม่รับอีกเช่นกัน

“รับไม่ได้หรอก  ถ้ารับก็เหมือนรับจ้าง  ถ้าอยากจะทำบุญจริง ๆ ให้เด็กบวชเณรให้เรา  7  วันก็พอ”

นี่คือผู้แก้คุณไสยของจริง  ของแท้  ไม่แก้เพื่ออามิสสินจ้าง  แต่เพื่อเป็นทานแก่สัตว์ผู้ตกยากแสดงวิสัยของพระให้เห็นถนัดที่สุด

คุณไสย , เป็นเรื่องตลก และ ไร้สาระหรือไม่ งมงายเหมือนไดโนเสาร์  เต่าล้านปีหลงยุคหรือเปล่า

บทความนี้มีขึ้นเพื่อแนะนำ ผู้แก้คุณไสยที่ได้ศึกษาเล่าเรียนมาอย่างที่เรียกว่าสายตรง ของหลวงพ่ออุตตมะตรงชนิดไม่มิคดงอ  ตรงทั้งหลวงพ่อเป็นผู้บวชให้  ตรงทั้งสายวิชาอาคม  ตรงทั้งจรรยาบรรณผู้แก้ที่มีวิชา.

ที่มา
http://www.masteryuk.net/bb6/viewtopic.php?f=14&t=353

ทรงกลด:
เรื่องที่ 2 จากเวป pantip โดยคุณ : ชายสมบูรณ์

"แม่จะให้ผมไปรดน้ำมนต์ทำไม ไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย เห็นใครเป็นอะไรก็รดน้ำมนต์ทุกที "
ผมมักจะเบี่ยงเบนการไปรดน้ำมนต์ทุกครั้งที่แม่ขอร้องให้ไปเวลารู้สึกว่าผมเป็นอะไรสักอย่างตามความคิดแก
"แม่จะบอกให้ฟังนะเราไม่ค่อยอยู่บ้านจะรู้เรื่องอะไร เมื่อวานยายเหลียวแกโดนเจ้าที่เจ้าทางเล่นงานเกือบตาย ฐานที่แกไปถางหญ้าแล้วมีดพลาดไปโดนจอมปลวกตรงนั้นพอดี เคยเห็นไหมละ จอมปลวกใหญ่ข้างบ้านแก"

ผมแต่งตัวออกจากบ้านไปกินเหล้ากับเพื่อนโดยไม่สนใจอะไรแม่นัก แม่มักเป็นแบบนี้เสมอนั้นละ

ผมกลับบ้านมาตอนดึกมากที่จริงจะบอกว่าเกือบเช้าก็ได้เพราะมันเกือบตี 5 แล้วละตอนนั้น พอเดินใกล้บ้านก็ได้ยินเสียงคนเอะอะกันใกล้ๆบ้าน ใจผมงี้หล่นไปที่ตาตุ่ม คิดว่าใครที่บ้านเป็นอะไรเข้าให้แล้ว
แต่พอเข้าไปใกล้ก้เห็นชัดเลย เด็กข้างบ้านผมนอนตายโดยมีญาติๆและคนแถวนั้นวิจารณ์ให้แซด

"มันเป็นอะไรตายละเนี้ยแม่" ผมถามแม่ แต่แม่ไม่ตอบ ไล่ให้ผมไปอาบน้ำก่อนแล้วมาคุยกัน
เอาอีกละ แม่ผมชอบทำเป็นมีลับลมคมใน
ผมอาบน้ำแล้วก็หลับยาว  ตื่นอีกทีก็ เกือบ 5 โมงเย็น
ตื่นมาถามแม่ว่า "เด็กข้างบ้านเป็นอะไรตาย"
เชื่อไหมครับ แม่ผมแกไม่ตอบหรอกแต่แกกลับบอกผมว่า "เดินไปดูในบ้านหน่อยสิมันยังอยู่ครบหลังไหม"
ผมก็งง ถามว่า "ทำไมเหรอแม่"
แม่ผมก็ตอบกลับมาว่า "ก็นอนกินบ้านกินเรือนขนาดนั้น มันจะเหลืออยู่ไหมละ"
อ้าว แม่นะแม่ ผมไม่ถามแกอีก อาบน้ำเสร็จก็ออกไปกินเหล้าอีก โดนไม่สนใจเรื่องเด็กคนนั้นอีก

ก็นานเหมือนกันที่ผมไม่ได้สนใจอะไรนักเรื่องเกี่ยวกับแถวบ้าน จนวันสงกรานตปีที่แล้วนี้เอง(2547) เด็กแถวบ้านผมชื่อเก๋ ซึ่งผมก็สนิทมาตั้งแต่เขายังเด็กๆเคยเลี้ยงเขาบ้างเป็นบางครั้งคือสนิทกันมาก  ตอนนี้เขาอายุครบ 20 ปีเต็มแล้ว เป็นหนุ่ม ช่วงสงกรานตเขาออกไปเล่นน้ำกับเพื่อนๆ คือนั่งหลังรถกะบะแล้วก็ตะเวนเล่นน้ำไปทั่ว พอกลับมาถึงบ้านคนอื่นๆก็เขาบ้านกันหมดแต่เก๋ขอนอนพักอยู่หลังรถก่อนบอกว่าเมาไปหน่อยของีบนิดนึง
แต่เขาหลับแบบไม่ตื่นมาอีกเลยจนถึงทุกวันนี้ เขาหลับแล้วก็ตายไปโดยหมอก็ไม่กล้าระบุสาเหตุตรงๆ แค่บอกว่าขาดอากาศหายใจ
ตอนนี้ละที่ผมเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยเพราะอยากรู้สาเหตุที่แท้จริง แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบใดๆ

ผมเริ่มถามเด็กพวกที่ไปเล่นน้ำด้วยกันกับเก่ ก็ได้ความว่า เก๋ก็ไม่ได้เมามากนัก แต่คงเล่นมากไป แต่ทุกคนก็ไม่เป็นอะไร บางคนตั้งข้อสังเกตุว่ารอบๆคอเหมือนมีรอยคล้ำๆ บางคนก็บอกว่า ไอ้หนุ่ม เพื่อนมันที่ตายก่อนหน้านี้มาเอามันไปเป็นเพื่อน
แต่มีผู้ใหญ่บางคนบอกไว้ว่า มันโดนลมเพลมพัดเหมือนเพื่อนของมัน แถวบ้านเรามีคนเล่นของแน่ๆ เพราะเคยเห็นดวงไฟสีแปลกๆผ่านหน้าต่างบ้าน

เอาละยิ่งพูดยิ่งไปกันใหญ่ แต่สิ่งที่ผมคิดมากกว่าก็คือ เด็กแถวบ้านผมตายไป 2 คนติดๆ คนหนึ่ง เพิ่งย้ายมาไม่นาน อีกคนอยู่ที่นี้ตั้งแต่เกิด  แต่สิ่งหนึ่งที่ผมเพิ่งรู้ก็คือ ทั้ง 2คนตายเหมือนกัน

เรื่องเจ้าเก๋ตายนี้ทำเอาผมลำบากไปเหมือนกันเพราะไม่กล้ากลับบ้านดึก เพราะชอบมาเรียกกินเหล้าอยู่บ่อยๆ
ผมเลยแก้ปัญหาด้วยการเมากลับเช้าไม่ก็เมาไม่กลับแทน

เรื่องนี้ก็เงียบไปนานพอดู จนเมื่ออาทิตยที่ผ่านมานี้เอง

   ยายเหลียวก็เกิดล้มนอนฟุบอยู่คาจอมปลวกที่แกเคยไปถางหญ้าไว้ คราวนี้แกไม่ไหวนอนพะงาบๆพี่น้องลูกหลานมาดูใจแกเป็นครั้งสุดท้ายผมเองก็ไปดูเหมือนกันเห็นว่าแกไม่รอดแน่เพราะแกเพ้อว่าไอ้เก๋จะมารับแกแล้ว เขียนไปนี้เสียวหลังไป
แม่ผมนี้ละครับฮีโร่ตัวจริง แกไปหาคนทรงเจ้าที่หนึ่ง แล้วเขาก็บอกมาว่าถ้าเอาออกจากบ้านยายเหลียวตายแน่ ถ้าไม่อยากให้ตาย ก็ให้ยายเหลียวทำบุญเป็นพระประธาน 1 องค เขาบอกว่าบ้านที่ยายเหลียวปลูกไปขวางทางที่เขาเดินทางประจำ วันดีคืนดีก็เข้าตัว เพราะวันพระ เขาจะปล่อยให้บริวารออกมาข้างนอกบ้าง
น่าแปลกที่แม่ผมถามยังไงเขาก็ไม่บอกว่า ใครเป็นตนเล่นของ แบบนี้วันดีคืนดีก็ต้องมีคนโดนของแบบที่เรียกว่าลมเพลมพัดกันอีกแน่ๆ

  หลังจากแม่ผมไปเรี่ยไรเงินมาได้บ้างก็เอาไปให้ลูกยายเหลียวไปซื้อพระขนาดหน้าตัก12นิ้วไปถวายวัด อาการแกก็หายเป็นปลิดทิ้ง แปลกนะผมยังงงกับเรื่องนี้อยู่ เพราะหลังจากเรื่องนี้เกิดขึ้นก็มีคนพูดให้ฟังว่า เคยเห็นกันทั้งนั้นแต่ไม่กล้าพูด บางวันก็เห็นหมาดำตัวใหญ่บ้าง เห็นดวงไฟใหญ่ลอยช้าๆบ้าง

จบนะ

ที่มา
http://topicstock.pantip.com/chalermthai/topicstock/A3270366/A3270366.html

ทรงกลด:
ลมเพ ลมพัด คืออะไร ?

อันดับแรกก็คือว่าบรรดาหมอไสยศาสตร์วิชาการเขาเรียกง่ายๆว่า มันร้อนเมื่อมันร้อนถึงเวลาถึงวาระอย่างเช่นทุกวันอังคารหรือวันเสาร์เขาจะต้องทำการปล่อยของนั้นออกไปถ้าเขาไม่ปล่อยของนั้นออกไปของนั้นจะเข้าตัวเขาเองเขาก็ต้องทำพิธีของเขาไปสิ่งทั้งหลายที่เขาปล่อยไปนี้เรียกว่า"ลมเพ​-​ลมพัด" ถ้าหากว่าใครมีเคราะห์กรรม​ ​สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เมื่อไปถึงมันจะกระทบทำให้เกิดเสียงดังอย่างเช่นเหมือนยังกับใครสาดทรายใส่หลังคากราวไปเลย​...​หรือไม่ก็มีเสียงใครเคาะข้างฝาโป๊กเป๊กตุ้บตั๊บ​

สมัยนี้เป็นยุคใหม่ บางท่านก็อาจจะคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ หรือเรื่องไม่มีอยู่จริง...แต่สําหรับผม คิดว่าเชื่อไว้ก็ดีไม่เสียหาย เพราะบางทีเราก็ได้รับรู้และหาวิธีแก้. เพราะสิ่งแบบนี้ มันอาจจะเป็นอาถรรพ์ อย่างใดอย่างหนึ่ง ของพวกเล่นของ และร้อนวิชา.

เพื่อนเคยเป็นไหมครับ...บางครั้งเราไปในที่แปลกๆในยามค่ำคืน แล้วรู้สึก หนาวๆ บางทีก็ขนลุก ใจหวิวๆ ครั่นเนื้อครั่นตัว...ถ้ามีเด็กไปด้วย จะร้องกลัว..และไม่ค่อยยอมเดิน..หรือไปในที่ต่างๆ พอกลับมาบ้าน เด็ก งอแง ร้องไห้ไม่หยุด หรือฝันร้าย ละเมอ โหวกเหวกกลางดึก อะไรทํานองนี้..

วันนีมาด้วยวิธีแก้ อาถรรพ์ ลมเพ-ลมพัด ครับ.
(ถ้าเพื่อนๆที่เข้ามาอ่าน หาว่าผมเพ้อเจ้อ...อิอิ อย่าต่อว่าผมนะครับ)

การแก้มี 2 วิธี

1.ให้ไปทําบุญถวายสังฆทาน อุทิศส่วนกุศลให้ภูติ ผี วิญญาณทั้งหลายที่ตามติดตัวมา มารับส่วนกุศลนี้..และด้วยอํานาจพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ และพระสงฆ์คุณ ช่วยปกป้องคุ้มครองรักษาให้ปลอดภัยจากอันตรายทั้งหลาย ทั้งปวงด้วย.

2.หาที่ข้ามเรือ ให้ได้ 3 ท่าข้ามเรือ...เมื่อนั่งเรือข้ามฟากไปแล้ว อย่านั่งเรือข้ามกลับ ถ้าจะกลับมาที่เดิม ก็นั่งรถกลับมา. ยิ่งมือได้สัมผัสกับน้ำยิ่งดีใหญ่ครับ...และในใจให้คิดถึงแม่คงคา ช่วยรับสิ่งไม่ดีไปด้วย....ยิ่งเด็กที่งอแงมากๆ...รับรองได้ ว่าหายงอแง จริงๆ.และขอบอกว่าไม่จําเป็นต้องเอามือเด็กโดนน้ำก็ได้นะครับ...เดี๋ยวจะตกน้ำ ตกท่า..เอามือเราก็พอ...
เคยอ่าน วิธีแก้มีเยอะเป็นสิบวิธีเลยครับ
ที่มา
http://sbntown.com/forum/showthread.php?t=5089

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

Go to full version