หมวด มิตรไมตรี > รวมสมาชิก (มิตรไมตรี)
ลมเพลมพัด?
ทรงกลด:
3. หรืออาจใช้วิธีอาบน้ำกลางแจ้ง
เตรียมน้ำอาบ 1 ถัง ใส่ยอดทับทิม และกำเช่า ( ชะเอม ) 5 ก้าน
สถานที่อาบ ต้องเป็นพื้นดินชั้น 1 กลางแจ้งเท่านั้น
เวลาใกล้เที่ยงให้กางผ้าใบรอบตัว โดยเปิดส่วนหัวเพื่อให้แสงอาทิตย์ส่องลงมา
พอเวลาเที่ยงตรง 12.00 น. ให้ตักน้ำอาบตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า อย่างน้อย 3 ครั้ง
ตั้งใจทำน้ำมนต์ด้วยความเคารพในคุณพระรัตนตรัย ใช้อิติปิโสฯ ทั้งหมดก็ได้ เอาน้ำมนต์นั้นราด รดหรือให้เขารับประทานก็จะแก้ได้ หรือไม่ก็ไปหาพระที่คุณธรรมพอทรงความดีพอให้ทำน้ำมนต์รดให้ราดให้ ก็สามารถแก้ได้ถอนได้ไสยศาสตร์จริง ๆ แล้วไม่น่ากลัว เพราะว่ากำลังใจของเขาเข้าถึงจุดสูงสุดของการภาวนาไม่ได้ เนื่องจากจิตที่มุ่งร้ายต่อผู้อื่น คิดร้ายต่อผู้อื่นทำให้ขาดตัวอุเบกขาในอารมณ์ฌาน ถ้าไม่มีฌานจะเข้าถึงกำลังสูงสุดไม่ได้ เราภาวนาให้กำลังใจทรงตัว แค่เกินอุปจารสมาธินิดหนึ่งไม่ต้องถึงปฐมฌาน ของเขาก็ทำอะไรเราไม่ได้แล้วแต่อย่าเผลอสติ ถ้าเผลอสติ จะโดนได้
หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเคยแนะนำว่า ให้เราภาวนาในตอนเช้าให้กำลังใจทรงตัว แล้วอาราธนาบารมีพระ คือว่ามีพระเครื่องติดตัว ตั้งใจขอบารมีพระให้คุ้มครองเรา ภาวนาให้กำลังทรงตัว แล้วกลืนน้ำลาย ๓ ครั้ง จะสามารถป้องกันอันตรายพวกเหล่านี้ได้ทั้งวัน สำคัญอยู่ว่ากำลังใจของเราทรงตัวไหม ? แก้ได้ถ้าสมาธิเราดีพอ ตั้งใจขอบารมีพระทำน้ำมนต์ด้วยตัวเองก็ได้ อิติปิโสฯ ทั้งจบน่ะง่ายที่สุด
ที่มา
http://www.horolive.com/astrology/r-tun.html
ทรงกลด:
สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนมีนาคม พุทธศักราช ๒๕๔๔
ถาม : ทีนี้พวกที่เล่นไสยศาสตร์ พวกอาคมอะไรอย่างนี้จะมีการปล่อยของตามวันพระ ช่วงวันพระเราจะทำอย่างไรที่จะไม่ให้โดนของที่เขาปล่อย หรือว่าช่วยคนที่ถูกของที่ปล่อยออกมาแล้ว ให้เขาทุเลาลง ?
ตอบ : แยกเป็น ๒ ประเด็น อันดับแรกก็คือว่า บรรดาหมอไสยศาสตร์ วิชาการเขาเรียกง่าย ๆ ว่า มันร้อน เมื่อมันร้อนถึงเวลาถึงวาระ อย่างเช่น ทุกวันอังคารหรือวันเสาร์ เขาจะต้องทำการปล่อยของนั้นออกไป ถ้าเขาไม่ปล่อยของนั้นออกไป ของนั้นจะเข้าตัวเขาเอง เขาก็ต้องทำพิธีของเขาไป สิ่งทั้งหลายที่เขาปล่อยไปนี้เรียกว่า ลมเพ-ลมพัด ถ้าหากว่าใครมีเคราะห์กรรม สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เมื่อไปถึงมันจะกระทบ ทำให้เกิดเสียงดัง อย่างเช่น เหมือนยังกับใครสาดทรายใส่หลังคากราวไปเลย...หรือไม่ก็มีเสียงใครเคาะข้างฝาโป๊กเป๊ก ตุ้บตั้บ
โบราณถึงได้แนะนำว่า ถ้าได้ยินเสียงอะไรผิดปกติอย่าไปเอ่ยปากทัก ถ้าหากว่าเอ่ยปากทักของดีแค่ไหนก็คุ้มไม่ได้ เหมือนกับเราเป็นเจ้าของบ้านแล้วเราเปิดประตูบ้านให้โจรมันเข้ามา ตำรวจเขาเห็นเจ้าของบ้านเต็มใจต้อนรับ คิดว่าคนรู้จักกันก็ไม่มายุ่งด้วย
ประเด็นที่สอง ถ้าหากว่าถ้าเรากลัวจะโดนของนั้น อันดับแรกอย่าไปเอ่ยปากทักอะไรง่าย ๆ อันดับที่สอง พยายามภาวนาให้กำลังใจของเราทรงตัว จะได้มีสติอยู่กับตัวเราเสมอ ไม่ตกใจอะไร ถ้าตกใจง่าย ๆ เอ่ยปากทักอะไรขึ้นมา เขาจะเข้าแทรก เข้าสิง เข้าทับได้ หรือว่าจะมีผลให้ร้ายได้ในตอนนั้น
ส่วนอีกเรื่องหนึ่งที่เราว่าจะช่วยคนเหล่านี้ได้อย่างไร ถ้าเขาโดนแล้ว ตัวเราเองถ้ามั่นใจตัวเองว่าเราทรงความดีระดับหนึ่ง เอาแค่ว่าทรงปฐมฌานได้ก็พอ ทรงปฐมฌานตั้งใจทำน้ำมนต์ด้วยความเคารพในคุณพระรัตนตรัย ใช้อิติปิโสฯ ทั้งหมดก็ได้ เอาน้ำมนต์นั้นราด รดหรือให้เขารับประทานก็จะแก้ได้ หรือไม่ก็ไปหาพระที่คุณธรรมพอทรงความดีพอให้ทำน้ำมนต์รดให้ราดให้ ก็สามารถแก้ได้ถอนได้
ไสยศาสตร์จริง ๆ แล้วไม่น่ากลัว เพราะว่ากำลังใจของเขาเข้าถึงจุดสูงสุดของการภาวนาไม่ได้ เนื่องจากจิตที่มุ่งร้ายต่อผู้อื่น คิดร้ายต่อผู้อื่นทำให้ขาดตัวอุเบกขาในอารมณ์ฌาน ถ้าไม่มีฌานจะเข้าถึงกำลังสูงสุดไม่ได้ เราภาวนาให้กำลังใจทรงตัว แค่เกินอุปจารสมาธินิดหนึ่งไม่ต้องถึงปฐมฌาน ของเขาก็ทำอะไรเราไม่ได้แล้วแต่อย่าเผลอสติ ถ้าเผลอสติ จะโดนได้
หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเคยแนะนำว่า ให้เราภาวนาในตอนเช้าให้กำลังใจทรงตัว แล้วอาราธนาบารมีพระ คือว่ามีพระเครื่องติดตัว ตั้งใจขอบารมีพระให้คุ้มครองเรา ภาวนาให้กำลังทรงตัว แล้วกลืนน้ำลาย ๓ ครั้ง จะสามารถป้องกันอันตรายพวกเหล่านี้ได้ทั้งวัน สำคัญอยู่ว่ากำลังใจของเราทรงตัวไหม ? แก้ได้ถ้าสมาธิเราดีพอ ตั้งใจขอบารมีพระทำน้ำมนต์ด้วยตัวเองก็ได้ อิติปิโสฯ ทั้งจบน่ะง่ายที่สุด
ถาม : ถ้าเราไปช่วยเขาแล้ว กลัวว่าของนั้นจะเข้ามาที่ตัวเรา
ตอบ : ตอนที่เราช่วยเขาไม่เข้าหรอกเพราะว่าบารมีพระ ถ้าเรายึดมั่นจริง ๆ ของนั้นจะสลายตัวไปเลย แต่พวกท่านทั้งหลายที่เล่นไสยศาสตร์ มักจะรู้ว่าใครเป็นคนช่วย บางทีเขาเลี้ยงผีไว้ด้วย
ผีฟ้องเขาก็หันมาเล่นงานเราแทน เราเองน่ะโอกาสเผลอมันมี เหมือนคนจ้องขโมยกับคนระวังไม่ให้โดนขโมยของ ให้คนระวังระวังอย่างไรเดี๋ยวก็พลาดจนได้ เพราะฉะนั้นถ้าไม่ใช่กรรมอันเนื่อง
กันมาจริง ๆ ประเภทมาล้มพราด ๆ มาดิ้นอยู่ตรงหน้า อย่าไปยุ่งกับเขาเลย อันตรายเปล่า ๆ
ถาม : ถ้าเราจำเป็นจริง ๆ ที่จะต้องช่วย มีวิธีที่จะป้องกันตัวเราในระยะยาวอย่างไร ?
ตอบ : ทำตะกรุดหรือผ้ายันต์ด้วยพุทธมนต์ ถ้าอาราธนาพระสงเคราะห์ได้ก็วิเศษเลย ติดตัวไว้บอกให้อาราธนาทุกวันและอย่าเอาออกจากตัวจะป้องกันได้ ถ้าหมดท่าจริง ๆ ก็พระเครื่อง
จากสำนักที่เรามั่นใจว่าท่านทำขึ้นมาด้วยคุณพระรัตนตรัยแน่ ๆ บอกให้ติดตัวไว้และอาราธนาทุกวัน ป้องกันได้
ที่มา
http://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=1178
ทรงกลด:
สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ ๒
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนมีนาคม พุทธศักราช ๒๕๔๔
ถาม : มีคนเขาเกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้นเจ้าค่ะ มีญาติของเขาอยู่คนหนึ่ง ตอนสี่ทุ่มนี่ยังคุยกันแบบคนปกติอยู่ดี ๆ พอใกล้ห้าทุ่ม เขาเกิดอาการมึนงงศีรษะ แล้วมีอาการพูดจาเพ้อเจ้อ พูดอะไรไม่รู้เรื่องเลย
ทางบ้านบอกว่า ดูอาการแล้วไม่ไหวแน่ ก็เลยพาส่งโรงพยาบาล พอพามาถึงโรงพยาบาลหมอตรวจแล้ว มีน้ำบวมอยู่ในสมอง แล้วหมอบอกว่า คนนี้จะอยู่ได้ไม่ถึงเจ็ดวันค่ะ
ญาติของเขาจึงพาไปหา... ไม่ทราบว่าเขาไปหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์อะไรที่ไหนเจ้าค่ะ หลังจากนั้น ๓ วัน สมองที่บวมอยู่ที่หมอบอกว่าคนนั้นจะเสียชีวิต ก็ยุบลง แล้วหมอก็ไล่บอกว่ากลับบ้านได้แล้ว ไม่เสียชีวิตแล้ว ทีนี้ไม่ทราบว่าพลังอะไรที่มีผลให้เป็นอย่างนั้นได้เจ้าคะ ?
ตอบ : ของลักษณะนั้น อาจจะโดนไสยศาสตร์ที่โบราณเขาเรียกว่า "ลมเพลมพัด"
ลักษณะของการโดนลมเพลมพัด จะทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยพิลึกพิลั่นเกิดขึ้นกับร่างกาย หมอทั่ว ๆ ไป เขาตรวจเขาจะหาสาเหตุไม่ออก หรือว่าถึงรู้สาเหตุเขาก็รักษาไม่ได้
คราวนี้พอเข้าไปในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ หรือหลวงปู่ หลวงพ่อที่ท่านมีความสามารถก็ดี ของพวกนี้ไม่สามารถต้านทานอำนาจความดีได้ ก็จะสลายตัวไป เท่ากับว่าหายเป็นปกติ
ถาม : พวกนี้เสื่อมลงไปได้ใช่ไหมเจ้าคะ?
ตอบ : ได้จ้ะ...ถ้าหากว่าเจอของที่มีอานุภาพสูงกว่าข่มเข้าก็ไม่เหลือ
อย่างในงานเป่ายันต์เกราะเพชรที่ผ่านมา มีพวกที่โดนของไปร่วมงาน อาการก็หายไปหลายคน
ถาม : ผมไปที่วัดป่าถ้ำอาชาทองครับ หลวงพ่อครูบาท่านบอกว่า ท่านโดนของแบบว่าประจำเลย ถ้าเกิดเวลาเผลอสติของนี่จะเข้าตัวทันที ทำไมถึงเข้าได้ละครับ เพราะว่าท่านรับยันต์เกราะเพชรเหมือนกัน ?
ตอบ : เรื่องของยันต์เกราะเพชรนั้น สำคัญตรงที่ว่า เราได้อาราธนาหรือเปล่า ?
หลวงพ่อฤๅษีฯท่านถึงได้ย้ำนักย้ำหนาว่า ตอนเช้าต้องภาวนาอิติปิโสฯ ให้อารมณ์ใจทรงตัวแล้วตั้งใจนึกถึงพระ กลืนน้ำลาย ๓ ครั้ง จะคุ้มครองได้ทั้งวัน
ที่มา
http://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=2370
pronpinun:
:086:
ทรงกลด:
--- อ้างจาก: pronpinun ที่ 13 มิ.ย. 2554, 02:25:16 --- :086:
--- End quote ---
เกิดอะไรขึ้นครับ :062:
===================================================================
เรื่อง : นาคบาศ
. ค รู บ า ฟ้ า ผ่ า ค รู บ า ฟ้ า ผ่ า แดดยามเย็นสาดแสงเศร้า ๆ เข้ามาทางหน้าต่างตะ วันตก แสงบางส่วนตกต้องร่างผอมบางของพ่อดูเศร้าหมอง พ่อนอนแบ็บติดฟูกผืนบางซึ่งปูลาดกับพื้น ร่างกายท่อนบนพ้น ขอบผ้าผวยดูผ่ายผอม กระดูกสีข้างขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวตามลม หายใจ เหงื่อผุดพราวตามหน้าผาก ซอกคอ พับแขนและรักแร้ "พ่อ"
. ผมเรียกเบา ๆ เอื้อมมือไปหมายจะลูบเช็ดเหงื่อไคลให้ แต่เปลี่ยนใจไปหยิบพัดกาบหมากมาโบกพัดให้แทน
. ลมลูบผ่านผ้าผวยผืนบางซึ่งคลุมร่างท่อนล่าง ผิวผ้ามีริ้ว คลื่นพลิ้วไหวอยู่บ้าง ผมเลิกผ้าแผ่วเบา รู้สึกสะท้อนใจเมื่อเห็น โคนขาหลวมโพรก หัวเข่าปูดโปน และปลีน่องร่วนคลาย "พ่อ"
. แดดยามเย็นสาดแสงหม่นเศร้า พ่อยังไม่รู้สึกตัว ยังนอน แผ่หราท่าเดียวเฉกเช่นทุกวันที่ผ่านมา พ่อนอนมาร่วมสองเดือน แล้ว พ่อล้มป่วยลุกไม่ขึ้นมาร่วมสองเดือนแล้ว สงสัยจะเป็นอัม พาต แต่พ่อไม่เชื่อว่าตัวเองเป็นอัมพาต พ่อเชื่อว่าพ่อถูกของ หรือโดนคุณไสยประเภทลมเพลมพัด พ่อพูดว่า
. "พ่อขุดแต่งฝั่งเหมืองอยู่ดี ๆ จู่ ๆ ก็มีผึ้งมาต่อยหลังขา ต่อย แรงเหมือนโดนคนถีบ พ่อหน้าคะมำตกฝั่งเหมือง แล้วพ่อก็ลุก ไม่ขึ้นมาแต่วันนั้น"
. พ่อขยับตัว ครู่ต่อมาก็ลืมตาขึ้น แดดอ่อนโรยเลยจากตัว พ่อไปตกต้องข้างฝา ลมนอกบ้านลูบระยอดไผ่เกิดเสียงซ่าซู่ พ่อ ยันตัวลุกนั่งด้วยแรงแขน ผมรีบเลื่อนหมอนสอดรองข้างหลัง พ่อ พ่อมองชุดนักเรียนชั้นมัธยมปลายของผมแล้วถามว่า "มีใครได้ข่าวครูบาฟ้าผ่าบ้างไหม ท่านล่องลงมาละยัง" "ยังเลยพ่อ" ผมถอนใจ เลื่อนตาลงต่ำมองขาผอมลีบ ของพ่อ "ผมว่าไปโรงยาเถอะพ่อ ไม่ไปมันไม่หาย"
. "มึงอย่ามาอวดรู้กว่ากู" น้ำเสียงน้ำคำของพ่อเปลี่ยนเป็น หงุดหงิดฉุนเฉียวขึ้นมาทันที "กูเป็นพ่อหมอ กูรู้ตัวกูดี ไอ้หมอ สมัยใหม่จะมารู้เรื่องรู้ราวอะไรกับคุณไสยลมเพลมพัด ดีไม่ดี มันเอามีดตัดขากูทิ้ง"
. พ่อเอื้อมหยิบบุหรี่พื้นเมืองมาจุดสูบ ควันยาสีเทาทึบแผ่ เป็นผืนเมื่อผ่านแดด บ้านเงียบ มีแต่เสียงนกเขาขันมากุ๊กกรู กุ๊กกรู ไม่มีเสียงแม่ พี่สาว พี่เขย มีแต่เสียงนกกับเสียงลมพาน ยอดไผ่ไหวเอน "แม่มึงไปไหน ไอ้หล้า" "ไม่รู้เหมือนกัน กลับมาผมก็ไม่เห็นแม่แล้ว" "ผัวขาแข็งลุกไม่ขึ้น ไม่ยอมมาอยู่ใกล้ใช้สอย กูยังไม่ ตาย เสือกกลัวผีกูกันหมด" "พ่อกินน้ำไหม น้ำเย็น ๆ นะพ่อ ผมจะตักให้"
. "มึงอีกคน จะไปไหนก็ไป ไม่ต้องมาเคล้าแข้งเคลียขาเป็น ลูกหมาลูกแมว ไปพ้นหน้าพ้นตากูก่อนไอ้หล้า อยากได้อันใดกู ค่อยเรียกเอา" ชานหลังโปร่งโล่ง แดดยามเย็นเลยพื้นชานไปสาด จับฝาเรือน เรือนนี้เป็นเรือนไม้กระดานหลังเก่า สร้างมาแต่เมื่อ ไรผมเองลืมเลือนไปแล้ว ดูเหมือนจะยี่สิบปีแล้วกระมัง ก่อนผม เกิดเสียอีก พอจำความได้ผมก็อยู่เรือนหลังนี้แล้ว ยังมั่นคงแข็ง แรงดีมาก แม่รักและเอาใจใส่เรือนเหมือนเอาใจใส่ลูก ๆ แม่บอก ว่า
. "น้ำเหื่อน้ำแรงพ่อเอ็งทั้งนั้น มีอยู่ครั้งหนึ่ง คนบ้านหล่าย เหมืองเป็นโรคขาลากขาคู้ ไปรักษาถึงโรงยาก็ไม่หาย พ่อเอ็งเทียว ไปตกยามันอยู่ครึ่งปีก็หาย เรือนมันเก่า มันจะสร้างเรือนใหม่ มันเลยขายให้พ่อเอ็งครึ่งราคาเท่านั้น"
. ไม้กระดานชานหลังเป็นไม้หนาตีห่างกันขนาดนิ้วมือลอด ได้ ตากแดดมาครึ่งวัน นั่งลงจึงอุ่นก้น เอนหลังพิงโอ่งน้ำก็รู้สึก อุ่นหลัง ชานเรือนลมโกรกแรง กลับจากโรงเรียนผมชอบมานั่ง ตรงนี้ ทบทวนบทเรียนบ้าง ทำการบ้านบ้าง มันโปร่งโล่งลมพัดเย็น ดี ข้อสำคัญคือเวลาพ่อเรียก ผมลุกแล่นไปหาได้เร็วทันใจพ่อ
. ตั้งแต่ลุกไม่ขึ้นในช่วงสองเดือนมานี้ พ่อขี้มักหงุดหงิดฉุน เฉียวง่าย หากพ่อโมโหขึ้นมา อย่าว่าแต่ผมหรือพี่เลย แม้แต่แม่ก็ ยังเข้าหน้าไม่ติด นอกจากนี้ ผมว่าพ่อเป็นคนดึงดื้อถือทิฐิ อย่าง เรื่องเจ็บป่วยคราวนี้ ไม่ว่าผมหรือพี่หรือแม่จะอ้อนวอนขอร้อง ให้พ่อไปโรงพยาบาลอย่างไร พ่อก็ยังยืนยันว่าไม่อยู่คำเดียวนั่น เอง "ไอ้หล้า เอาน้ำมันมนต์ให้พ่อ"
. เสียงพ่อเรียกหา ผมยกขวดโหลจุน้ำมันมนต์เข้าไปใน ห้อง น้ำมันมนต์มีตัวยาประกอบอาคมตามความเชื่อถือแบบพื้น บ้าน เหมือนจะมีสมุนไพรชนิดหนึ่งชื่อหญ้าเอ็นยืดอยู่ด้วย นอก นั้นผมจำไม่ได้
. พ่อเปิดฝาโหล เอาไม้ชุบลงจุ่มน้ำมันแล้วเอาขึ้นมาเกลือก ทาที่ต้นขา ดวงหน้าในแสงใกล้ค่ำดูเหี่ยวตอบ ลูกคนเล็กของ พ่อรี ๆ รอ ๆ จะออกไปทำการบ้านต่อก็กลัวโดนดุ จะอาสาทา น้ำมันให้ก็กลัวไม่เป็นที่ถูกใจ พ่อหมอเงยหน้าขึ้น สีหน้าดูผ่อนคลาย พูดกับผมว่า "พ่อฝันว่าครูบาฟ้าผ่าล่องลงมาเมืองเราแล้ว"
. ผมมองเห็นอะไรบางอย่างคล้ายประกายแวววับในดวงตา พ่อ พ่อมักฝันถึงครูบาฟ้าผ่า ล่วงเลยมาถึงวันนี้คืนนี้ ครูบาฟ้า ผ่าคล้ายจะเป็นความหวังอันสุดท้ายของพ่อ อื่น ๆ ใด ๆ นอก จากปาฏิหาริย์จากครูบาฟ้าผ่า พ่อคงเลิกหวังไปแล้ว
. ตอนป่วยใหม่ ๆ พ่อยังมีความหวังหลายอย่าง แต่ละอย่าง ก็ทดลองมาจนหมดเงินหมดทองไปหลาย ยาพื้นบ้าน ยาผีบอก ผีกล่าวใด ๆ พ่อก็ได้ทดลองมาหมด เจ้าพ่อเจ้าแม่สำนักไหนที่ คนลือว่าดี พ่อก็กระเสือกกระสนไปจนถึง นอนไปบนรถกระบะ เหมาเช่าราคาแพง ค่าหยูกยาก็ใช่ว่าจะถูก กี่เจ้าต่อกี่เจ้า กี่หมอ ต่อกี่หมอ ทั้งหมอยา หมออาคม หมอสวดถอนเรียกพรหม เรียกพรายอะไรก็รักษามาหมด ไม่กระเตื้องขึ้นเลย "ลมเพลมพัดคืออะไรพ่อ"
. ครั้งหนึ่ง ตอนป่วยได้ไม่นานผมเคยถาม พ่อตอบทำนอง ว่า ลมเพลมพัดคือการถ่ายเทคาถาอาคมหรือคุณไสยที่ร้อนแรง เกินไปให้ออกไปจากตัวเสียบ้าง หากไม่ถ่ายออกไป คุณไสยจะ กลับเข้าเล่นงานตัวเอง
. "มันไปกับลม ไม่เจาะจงว่าจะเล่นงานใคร ใครโดนเข้าท่าน ถึงเรียกว่าลมเพลมพัด" "พ่อล่ะ พ่อเคยถ่ายเทออกไปบ้างไหม" "พ่อก็เคยถ่าย ของพ่อยิ่งร้าย เป็นคาถาพญาเสือโคร่ง หากไม่ถ่ายพ่ออาจกลายเป็นเสือสมิงไปนานแล้ว"
. พ่อหมดเปลืองค่ารักษาไปเยอะ ผมว่าถ้าไปรักษาที่โรง พยาบาลอาจสิ้นเปลืองน้อยกว่านี้ด้วยซ้ำ อาจหายดีตั้งนานแล้ว ด้วยซ้ำ แต่จนแล้วจนรอดพ่อก็ยังไม่ยอมเข้าโรงพยาบาลอยู่นั่น เอง พ่อคงดึงดื้อถือทิฐิว่าตัวเองเป็นพ่อหมอ หากพ่อยอมเข้า โรงพยาบาลแล้ว ต่อไปคงไม่มีใครเชื่อถือในวิชารักษาแบบพื้น บ้านของพ่อ
. วันคืนล่วงเลยมา พ่อเกือบปลงใจยอมรับเสียแล้วว่าคง ต้องง่อยหงิกเสียขาไปตลอดชีวิต แต่แล้วอยู่มาวันหนึ่งพ่อก็ฝัน ถึงครูบาฟ้าผ่า ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาพ่อก็ตั้งตาคอย คอยแล้ว คอยเล่า คอยทั้งที่ไม่รู้ว่าครูบาฟ้าผ่าเป็นใครอยู่ที่ไหน มีตัวตน อยู่หรือตายไปแล้ว
. "คนลือกันว่าท่านเป็นตนบุญวิเศษ" พ่อบอก "ฟ้าผ่าผ่าลง ปลายไม้ ต้นไม้ไหม้ กลดไหม้ แต่ตนท่านเข้าฌานล้ำลึก สุดแต่ ฟ้าก็ผ่าไม่ถึงท่าน ท่านล่องลงมาแล้ว ท่านบอกพ่อว่าจะเอายามา ให้พ่อ"
. วันแล้ววันเล่า พ่อยังคงจดจ่อรอคอยบุคคลในความฝัน ช่วงนั้นผมเองห่างพ่อไปบ้างเพราะการบ้าน รายงานและกิจกรรม เสริมหลักสูตรพันตีนพันมือไว้ยุ่งเหยิง การเรียนก็หนักหน่วง ช่วงนั้น กำหนดสอบแข่งขันทักษะทางวิทยาศาสตร์ก็ใกล้เข้า มา เหตุนี้เอง เด็กมัธยมปลายโปรแกรมวิทยาศาสตร์จึงไม่ค่อย ว่าง ประเดี๋ยวเคมี ประเดี๋ยวชีวะ ประเดี๋ยวฟิสิกส์ แม้โรงเรียน ที่ผมเรียนเป็นเพียงมัธยมระดับตำบลเท่านั้น แต่อาจารย์ก็ตั้ง หวังไว้มากเหมือนกัน ท่านว่าอย่างน้อย ๆ พวกเราคนใดคนหนึ่ง น่าจะได้เหรียญทองแดงในระดับจังหวัดสักเหรียญ จะได้เป็น เยี่ยงอย่างแก่เด็กรุ่นน้องสืบไป "ไอ้หล้า เอากลักยาให้พ่อ"
. เย็นวันหนึ่งที่พ่อป่วยมาแล้วร่วมสี่เดือน พ่อก็เรียกใช้ผม เฉกเช่นปรกติ ผมวางแบบทดสอบความพร้อมทางวิทยาศาสตร์ ไว้กับพื้นชาน แล้วลุกไปหยิบกลักยาสูบเข้าไปให้ "ครูบาฟ้าผ่าไม่มาเข้าฝันพ่ออีกหรือ" "บ่มา"
. พ่อถอนใจยาว ก้มหน้าซ่อนสีหน้าเศร้าหมอง มวนบุหรี่ เหมือนคนใจลอย จุดดูดจนแก้มตอบวาบ ไม่เฉพาะเพียงร่าง ท่อนล่างเท่านั้นที่เหี่ยวฝ่อ ร่างท่อนบนก็พลอยทรุดโทรมไปด้วย แก้มเหี่ยวมีรอยเป็นริ้ว ผมหงอกขาว ตามัวขุ่นแดงเหมือนคน นอนไม่หลับ อาการเบื่ออาหารกำเริบหนัก แกงนกเขียวเคยเป็น ของโปรดกลับบอกว่าเหม็นเขียว ลาบหมู ลาบงัว ลาบควาย เคยกินจนปากเปรอะกลับบอกว่าเหม็นคาว "แต่ผมฝันนะพ่อ ฝันว่าครูบาฟ้าผ่ามาแล้ว ในฝันท่านยัง ยิ้มให้ผมเลย" "หือ? จริงหรือ เอ็งหลอกพ่อหรือเปล่า ไอ้หล้า" "ผมฝันจริง ๆ ท่านบอกว่าให้พ่อกินข้าวกินปลามาก ๆ เสร็จภาระทางต้นแม่น้ำ ท่านจะล่องตามแม่น้ำลงมา"
. เงยหน้าสบตาพ่อ ผมฝันถึงท่านจริง ๆ ผมเองไม่เคยเห็น ท่าน แต่จากปากคำของพ่อที่พร่ำบอกกรอกหูอยู่แทบทุกเมื่อเชื่อ วัน ผมอาจเกิดการยอมรับจนเก็บเอาไปฝันถึงท่านก็เป็นได้ "สาธุ" พ่อจ้องหน้าผมนานแล้วยกมือขึ้นจบ "ครูบาเจ้าจง มาโปรดข้าเจ้าให้หายวันหายคืนทีเทอะ"
. น้ำเสียง สีหน้าและแววตาของพ่อส่อแววลิงโลดจนเหมือน มันจะกระโดดออกมาเต้น อารมณ์ขุ่นมัวเหมือนจะหายไป พ่อสูบ บุหรี่วาบ ๆ อิ่มควัน และคงจะอิ่มใจด้วยกระมัง พ่อเล่าเรื่องครู บาฟ้าผ่าด้วยน้ำเสียงนอบน้อมศรัทธาว่า ท่านจะเป็นคนเชื้อใด ชาติใดไม่ชัด ท่านขึ้นล่องโปรดคนตั้งแต่ลุ่มน้ำปิงขึ้นไปถึงลุ่ม คงเหนือไกลไปโพ้น อยู่เมืองเรา ท่านพูดคำเรา เข้าเมืองม่าน ท่านพูดคำม่าน ตกแดนกูลาท่านพูดกูลา คำเล่าลือถึงอภินิหาร ของท่านมีหลากหลายใช่แต่เพียงฟ้าผ่าไม่ตายเท่านั้น เขาว่า ท่านมีวิชาล่องหนหายตัว มีวิชาย่นย่อพสุธา บางครั้งเดินไปบน ยอดหญ้า บางครั้งฝนตกแต่ไม่เปียก เขาว่ามีเทวดากางร่มทิพย์ บังฝนให้ท่าน ทุกเช้าพ่อจะตื่นเช้ากว่าใครเพื่อน
. ตื่นแล้วมักเร่งแม่ให้รีบนึ่งข้าวต้มแกงเตรียมใส่บาตรพระ บางเช้าพบพระแปลกหน้า พ่อก็มีอาการปากสั่นมือสั่น ยกก้อน ข้าวขึ้นจบแล้วถามว่า สาธุเจ้าคือครูบาฟ้าผ่าใช่หรือไม่ ครั้นได้รับ คำปฏิเสธพ่อก็ยังไม่หมดความหวัง ยังคงตั้งใจ มุ่งมั่นและเชื่อ มั่นว่าขาของพ่อจะหาย จะลุกเหินเดินได้ด้วยฤทธิ์อำนาจของ ครูบา "ท่านต้องมา ไม่มาวันนี้ก็มาวันหน้า"
. พ่อดูมีน้ำมีนวลขึ้นมาบ้าง ตั้งแต่วันที่ผมฝันว่าครูบาฟ้า ผ่ากำชับให้พ่อกินข้าวมาก ๆ พ่อก็กินข้าวกินปลาได้เยอะขึ้น ฝืนใจกิน กระเดือกลงคอลวก ๆ เครื่องดื่มบำรุงกำลังจำพวก ไมโลโอวัลตินที่พี่เขยซื้อมา แต่ก่อนพ่อไม่ยอมแตะจนมันแห้งแข็งคากระป๋อง ตอนนี้พ่อยอมรับมันแล้ว แม่จะเป็นคนชงให้ วันละสองเวลา ตอนเช้าก่อนใส่บาตรพระกับตอนกลางคืนก่อน นอน
. เช้าวันหนึ่ง สีหน้าพ่อดูคึกคักแจ่มใสกว่าวันก่อน ๆ พ่อ สั่งให้ผมกับพี่เขยพยุงพ่อไปนั่งตั่งหน้าบ้าน แดดส่องอ่อน ๆ แถว แนวพระเณรเดินคุมบาตรย่างผ่าน พ่อใส่บาตรนอบน้อมตั้งใจ จนพระเณรผ่านไปหมดแล้วพ่อก็ยังไม่ยอมลุก "ขึ้นบ้านเถอะพ่อ" "เดี๋ยวก่อน รอก่อน ครูบาฟ้าผ่าท่านอาจจะมาวันนี้"
. วันนั้นท่านไม่มา พ่อไม่หมดหวัง ความหวังอาจริบหรี่ลง แต่คงไม่หมดเสียทีเดียว วันต่อมาผมไม่ทราบ เพราะรอจนสาย แดดงายแจ่มกล้าท่านก็ไม่มา ผมต้องรีบไปโรงเรียนแล้ว ต่อมา อีกวันเป็นวันเสาร์ พ่อรออยู่จนสาย จนข้าวเหนียวในกล่องเย็น ลงท่านก็ยังไม่มา "พาพ่อขึ้นเรือนเถอะ ไอ้หล้า" "เดี๋ยวก่อนพ่อ" พี่เขยทักท้วง "มาโน่นอีกองค์"
. พี่เขยชี้ พ่อมีอาการขนลุก พ่อยกมือจบตั้งแต่พระแปลก หน้ารูปนั้นยังอยู่แต่ไกล ท่านเดินเข้ามา ดูชรา เนิบนาบ อ่อนโยน จีวรท่านเป็นสีฝาด สายตาสรุปสำรวม พ่อมีอาการปีติน้ำตา ไหล พ่อยกกล่องข้าวเหนียวขึ้นจบ มือสั่นปากสั่น "ครูบาฟ้าผ่า ตนท่านมาโปรดข้าเจ้าแล้ว"
. ท่านละสายตาจากปากบาตรขึ้นมองหน้าพ่ออยู่อึดใจหนึ่ง สายตาท่านแจ่มใส ปากท่านยิ้มน้อย ๆ ผมเองแม้เป็นเพียงนัก เรียนมัธยมปลาย แต่ผมก็พบเห็นพระเณรมามากพอสมควร ผมยังไม่เคยเห็นพระรูปใดน่าเลื่อมใสอย่างท่าน "สาธุ ครูบาเป็นเจ้า" พ่อยกมือจบท่วมหัว "ข้าเจ้ารอครูบา มาร่วมสามสี่เดือนแล้ว ในที่สุดตนท่านก็มาโปรดข้าเจ้าให้หาย ให้ลุกเหินเดินได้อย่างเก่า"
. ท่านรับของที่ใส่บาตร สายตาแน่วนิ่งสำรวมเหมือนจะอ่าน หัวจิตหัวใจของพ่อ "โยมเป็นอะหยังหือ" "ข้าเจ้าโดนของ มีคนเสกของมาเข้าตัวข้าจนตกลงเหมือง แล้วก็ลุกไม่ขึ้นร่วมสี่ห้าเดือนมาแล้ว ขาหดลีบหมดแล้ว"
. ท่านนิ่งไปอีก สายตาแจ่มใสยังมองนิ่งที่หน้าพ่อ มองอยู่ นาน พ่อเองก็มองตอบท่าน สายตาพ่อเหมือนมีถ้อยคำพร่ำวอน อ้อนขอ มือพ่อยังยกพนมไม่ยอมลดลง น้ำตาพ่อเริ่มเอ่อซึมออก มาอีก ในที่สุดท่านก็ถอนใจยาว ๆ แล้วบอกว่า "อาตมาปักกลดอยู่ที่ป่าช้า ก่อนเพลโยมไปหาอาตมานะ" ก่อนเพลวันนั้นผมกับพี่เขย กับคนอื่น ๆ พาไปพบ ท่าน ครูบาฟ้าผ่าเอาห่อผ้าเล็ก ๆ ให้พ่อห่อหนึ่ง กำชับให้เอาแช่ น้ำกินหลังอาหารวันละสามมื้อ ให้พ่อรักษาศีลภาวนา ถ้าทำอย่าง นี้ได้ทุกวันจนครบร้อยวัน พ่อก็จะหายจากคุณไสยที่พ่อเข้าใจ ว่าตัวเองถูกกระทำ
. ตั้งแต่วันนั้น พ่อก็ถือปฏิบัติตามคำของครูบาฟ้าผ่าโดย เคร่งครัด ข้าวปลาเคยแตะนิดต้องหน่อยกลับกินได้มาก พ่อมี ความหวัง พ่อมักอารมณ์ดี ไม่ขี้หงุดหงิดฉุนเฉียวง่าย ทุกคืน พ่อจะไหว้พระภาวนาทำสมาธิ ไม่กระวนกระวาย ไม่ซัดลมหาย ใจเสียงดังเฮือก ๆ ต่อไปแล้ว
. ผ้าห่อนั้นเป็นผ้าสีกรักคล้ายฉีกจากชายจีวรของท่านขนาด สักฝ่ามือ ห่อหุ้มสิ่งที่เป็นยาหรือเป็นของดีวิเศษไว้ภายใน ขนาด ใหญ่เท่าลำไยทั้งเปลือกเห็นจะได้ ผมเองอยากรู้อยากเห็นรุน แรง อยากแก้เส้นด้ายมัดกระจุกออกดูให้รู้แล้วรู้รอดว่าเป็นอะไร แต่พ่อไม่ยอมให้แก้
. ใกล้ฝาที่พ่อนอนจะมีชอล์ควางอยู่ ทุกคืนพ่อจะขีดหนึ่ง ขีด ครบสิบขีดก็มีเส้นยาวกำกับอยู่ข้างใต้
. เย็นวันหนึ่ง ขณะผมนั่งทำรายงานวิชาวิทยาศาสตร์ก็มีเสียง เรียกร้อนรนแกมตื่นเต้นจากห้องพ่อ "ไอ้หล้า ไอ้หล้าโว้ย มานี่เร็ว" "อะไรพ่อ"
. แสงยามเย็นส่องลอดเข้าหน้าต่างทำให้ห้องสว่าง พ่อนั่ง เอน ๆ พิงฟูก เอาสองตาจ่อจ้องหัวแม่ตีนตัวเอง "ไอ้หล้า หัวแม่ตีนพ่อดุกดิกได้แล้ว"
. จริง ๆ ด้วย หัวแม่เท้าของพ่อกระดุกกระดิกได้จริง ๆ พ่อจ้องมองเหมือนมองสิ่งประหลาดมหัศจรรย์อะไรสักอย่าง พ่อมีอาการขนลุกขนชันขึ้นทั้งตัว ยกมือขึ้นจบท่วมหัว "สาธุ ครูบาฟ้าผ่าโปรดพ่อได้แล้ว ครบร้อยวันพ่อต้องเดิน ได้แน่ ๆ ไอ้หล้า" หญ้าเอ็นยืดกับตัวยาอื่น ๆ ซีดจางลงมากแล้ว ห่อ ผ้าแต่เดิมเป็นสีกรักก็กลายเป็นสีน้ำตาลซีด ๆ พ่อเริ่มดีขึ้น เรื่อย ๆ อารมณ์ดี ใจคอเยือกเย็น เนื้อหนังเริ่มกลับคืนมาตาม จำนวนขีดในกระดานชนวนที่เพิ่มขึ้น กระทั่งถึงขีดที่เจ็ดสิบ กว่า ๆ ขาของพ่อก็เริ่มขยับได้
. ข่าวว่าพ่อขยับขาได้ด้วยเดชะบารมีครูบาฟ้าผ่าแพร่ลาม ไปรวดเร็ว พี่น้องชาวบ้านมากหน้าหลายตาต่างแวะเวียนมาหา ต่างเล่าลือแซ่ซ้องถึงความศักดิ์สิทธิ์ของท่าน บ้างก็ว่าตัวตน ของท่านผุสลายไปนานแล้ว เหลือแต่จิตวิญญาณคุมรูปสังขาร มาโปรดสัตว์ผู้ทุกข์ บ้างก็ว่าท่านสำเร็จเป็นอรหันต์ไปแล้ว บ้าง ก็สับสนปนมั่ว จับเอาท่านไปปนกับหลวงปู่แหวน ปนกับครูบา ศรีวิชัยก็มี
. ถึงรอยขีดที่เก้าสิบ พ่อก็เริ่มสาวฝาลุกขึ้นได้ เริ่มหัดเดิน กระย่องกระแย่งอย่างเด็กหัดเดิน แรก ๆ ก็บ่นอู้ว่าปวดชาเหมือน ขามัดพอกด้วยทั่งเหล็ก ความมั่นใจและศรัทธาในตัวครูบาเพิ่มพูน มากยิ่งขึ้น ใช่แต่เพียงพ่อเท่านั้นที่เคารพศรัทธา พี่น้องเหนือใต้ ใกล้ไกลได้รู้ว่าพ่อเดินได้เพราะเมตตาบารมีครูบาฟ้าผ่า พี่น้อง ไกลใกล้ต่างศรัทธาในท่านหนักแน่นยิ่งขึ้น
. ส่วนตัวพ่อเอง พ่อมักไหว้หาท่านอยู่ตลอด หลุดปากหลุด คำถึงท่านทีไรก็ยกมือท่วมหัว
. ผมเองยังจำได้ถึงสีหน้าอิ่มเอมเต็มไปด้วยความหวังของ พ่อ ช่วงนั้นผ่านพ้นการแข่งขันทักษะทางวิทยาศาสตร์นานแล้ว ผมเองไม่ได้ไปแข่งหรอกเพราะสู้เพื่อนไม่ได้ ผมอยู่กับพ่อมาก ขึ้น ผมเห็นพ่อกินได้มาก ออกกำลังมาก หลับนอนก็มากกว่าแต่ ก่อน เนื้อหนังกำลังแข้งกำลังขาของพ่อเพิ่มขึ้น น้ำนวลขึ้นหน้า จนเกือบจะเป็นพ่อคนเดิมเมื่อปีก่อน กระทั่งรอยขีดขึ้นไปเกือบ ครบร้อยพ่อก็ลงกระไดได้ พ่อใช้ไม้ค้ำยันรักแร้พาร่างออกเดิน บางวันเดินไกลไปถึงป่าช้า ไปนั่งภาวนาหงายมือซ้อนกันที่พระ ธุดงค์เคยปักกลด
. วันที่รอยขีดครบร้อย เย็นวันนั้นผมง่วนอยู่กับการเก็บ ตัวอย่างหินทำรายงานส่งอาจารย์ พ่อเดินมาต่อหน้า ยื่นไม้ยัน รักแร้ให้แล้วบอกว่า "เอาไปเก็บบนยุ้ง พ่อเลิกใช้แล้ว"
. คืนนั้น พี่น้องชาวบ้านต่างมาอัดอออยู่เต็มโถงเพื่อชมดู ของดีวิเศษที่ครูบาฟ้าผ่ามอบให้พ่อ พ่อจุดธูปเทียนอธิษฐานถึง ท่านแล้วเอาห่อผ้ามากำไว้ หัวขาวหัวดำมุงล้อมร่างพ่อเป็นชั้น ๆ ปมด้ายเปื่อยยุ่ยถูกแก้ออกช้า ๆ คนข้างหลังกลัวจะเห็นไม่ชัดก็ ลุกยืนชะเง้อข้ามหัวคนข้างหน้า เสียงพูดคุยจอแจขาดหายไปชั่ว ขณะ ห่อผ้าคลี่ออก แล้วกรวดเม็ดขาวก็ปรากฏแก่ตา เสียงฮาฮือ ดังขึ้น มีคนขอจับขอคลำแต่พ่อไม่ยอมให้ใครแตะต้อง พ่อห่อไว้ ในผ้าขาวตามเดิม บอกให้ผมเอาไปเก็บบนหิ้งพระเหนือหัวนอน พ่อ
. รายงานเรื่องหินในท้องถิ่นยังไม่เสร็จ ผมเริ่มสองจิตสอง ใจ ใจหนึ่งอยากเอากรวดกลมเกลี้ยงเม็ดนี้ไปปรึกษาวิเคราะห์ กับอาจารย์ แต่อีกใจกลับคัดค้าน ในที่สุดผมตัดสินใจวางหินไว้ บนหิ้งพระ ยอบตัวลงนั่งกับพื้นแล้วก้มกราบ น้อมจิตรำลึกถึง ครูบาฟ้าผ่าองค์นั้น .
--จบ--
ที่มา
http://www.matichonbook.com/mail.php?send=2&id=470426103242
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
[*] หน้าที่แล้ว
Go to full version