ผู้เขียน หัวข้อ: เกร็ดธรรมะ....หลวงพ่อพุธ ฐานิโย (5)  (อ่าน 1945 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ต่อจากตอนที่ 4
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=23320
====================================


ศีล ๕ เป็นกฎธรรมชาติ

   กิเลสแม้ว่ายังไม่หมด โลภ โกรธ หลง ยังมีอยู่ ผู้มีศีลเขาจะใช้กิเลสให้ถูกทาง พอจิตคิดจะทำผิดขึ้นมาพั๊บ! มันจะได้สติระลึกว่าสิ่งนี้ไม่ควรแก่เรา แล้วมันจะหยุดทันที เพราะฉะนั้น การปฎิบัติธรรมนี่ต้องให้จิตเป็นไปเองโดยอัตโนมัติ อย่าไปแต่ง แต่ว่าให้มั่นคงในการฝึกสติ สติรู้ๆๆ จิตระลึกในสิ่งใดให้มีสติรู้อยู่กับสิ่งนั้นตลอดเวลา แล้วเราจะได้หลักปฏิบัติซึ่งไม่ขัดต่อการทำงาน ในเมืองไทยนี่เขาสอนกันว่า ผู้ภาวนาต้องสละกิจการงานหมดทุกสิ่งทุกอย่าง ภาวนานี่ทำได้แต่ในวัดอย่างเดียวเท่านั้น ไปสอนคนให้เข้าใจผิดหมด คนที่เรียนหนังสือสูงๆ เรียนจบปริญญามา ทุกคนฝึกสมาธิมาแล้วทั้งนั้นแหละ ไม่มีสมาธิเรียนจบปริญญามาได้อย่างไร ไม่มีสมาธิทำงานโหญ่โตได้อย่างไร

   สมาธิเป็นหลักธรรมสาธารณะทั่วไป ไม่สังกัดศาสนาและลัทธิใดๆ ทั้งสิ้น ผู้ไม่มีศาสนาก็ทำสมาธิได้ แต่ความแตกต่างมันอยู่ตรงศีลเท่านั้น ในศาสนาคริสต์ เขาก็มีศีลของเขา ๑๐ ข้อ ในศาสนาพุทธมีศีลเบื้องต้น ๕ ข้อ ศีลปาณาติบาตของศาสนาพุทธ ฆ่าคน ฆ่าสัตว์ บาปทั้งนั้น แต่ศาสนาคริสต์ฆ่าสัตว์เป็นอาหารไม่เป็นบาป เพราะพวกนี้มันเกิดมาเป็นอาหารของมนุษย์ เขาว่าอย่างนี้ อันนั้นเป็นความเข้าใจของเขา แต่แท้ที่จริงขึ้นชื่อว่าการฆ่า ไม่ว่าสัตว์เดรัจฉานหรือมนุษย์ บาปด้วยกันทั้งนั้น อย่างศาสนาคริสต์ว่าล้างบาปๆ เราไปตำหนิเขาว่าบาปที่ทำแล้วจะล้างได้อย่างไร เราไม่เข้าใจในความหมายของเขา ล้างบาปนี่เหมือนกับพระแสดงอาบัติ เป็นการสารภาพบาปเมื่อเราได้ทำผิดอย่างนั้นๆ ต่อไปนี้เราจะสำรวมไม่ทำอีกแล้ว มันผิดเพียงแค่นั้นเอง เราในฐานะคนต่างศาสนา ก็ไปหาจุดด้อยของเขา ยกเป็นปัญหาขึ้นมาโจมตี อย่างของเขาก็หาจุดด้อยของเราเป็นจุดโจมตีอีกเหมือนกัน

    เขาเชื่อว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างโลกสร้างมนุษย์ เขามาพูดว่าพระพุทธเจ้าของเราเป็นแต่เพียงผู้มาประกาศธรรมะเท่านั้นเอง ไม่ใช่ผู้วิเศษอะไร และก็ไม่สามารถสร้างอะไรขึ้นมาได้บนโลกนี้ เขาว่าอย่างนั้น มันก็ถูกอย่างที่เขาว่า เพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านก็ไม่เคยประกาศว่าท่านสร้างอะไร แต่ประกาศและยืนยันว่าเราสามารถรู้ความจริงของธรรมชาติและกฎของธรรมชาติ กายกับใจเป็นสภาวธรรม สถานการณ์และสิ่งแวดล้อมเป็นสภาวธรรม สิ่งนี้คือธรรมชาติ ทีนี้ธรรมชาติทุกสิ่งทุกอย่างต้องมีกฎประจำ กฎธรรมชาติ สิ่งที่ว่านี้ก็คือ เกิดขึ้น ทรงอยู่ สลายตัว ภาษาทางแขกเรียกว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

ศีล ๕ พาพ้นภัย

   ถ้าเราจะปฎิบัติดี ปฏิบัติชอบ ศีล ๕ ข้อนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก คฤหัสถ์กินข้าวเย็น ไม่มีในคัมภีร์ใดที่พระพุทธเจ้าเทศน์เอาไว้ว่าตกนรก ถ้าหากละเมิดศีล ๕ ข้อ ข้อใดข้อหนึ่งล่ะตกนรกทันที ทำไมพระพุทธเจ้าจึงสอนให้รักษาศีล ๕ โดยวิสัยของพระพุทธเจ้า ทรงไว้ซึ่งพระกรุณาคุณ พระองค์ทรงปรารถนาให้มนุษย์มีความรักกัน นี่คือคำตอบ รักษาศีล ๕ ไปทำไม ต้องการความรัก ความรักที่เกิดขึ้นจากคุณธรรม เป็นความรักที่ประกอบไปด้วยความเมตตาปรานี รักได้ทุกคน เมื่อเรามีศีล ๕ ศีล ๕ ก็เป็นคุณธรรมประกันความปลอดภัยของสังคม การไม่ฆ่าเป็นการเคารพในสิทธิของผู้อื่น การไม่ลักขโมยเป็นการเคารพในสิทธิของคนอื่น กาเมสุมิจฉาจาร มุสาวาทก็เคารพในสิทธิของผู้อื่น สุราไม่มัวเมา เคารพในสิทธิของตัวเองและผู้อื่นด้วย เมื่อเป็นเช่นนั้นก็เป็นมูลฐานให้เกิดระบอบประชาธิปไตย

    เพราะฉะนั้น ในเมื่อมีศีล ๕ แล้วก็ไม่ต้องกังวล เป็นการตัดกรรมตัดเวร เมื่อเราไม่ฆ่าใคร ใครหนอจะมาคิดฆ่าเรา เมื่อเราไม่เบียดเบียนข่มเหงรังแก ใครหนอจะมาคิดร้ายต่อเรา เราก็อยู่สบาย อยู่ป่าก็สบาย

   คนมีศีลบริสุทธิ์นี่ แม้แต่เสือมันก็ไม่กัด หลวงตาสนอยู่เมืองอุบลเมื่อก่อนนี่ เดิมทีเดียวท่านเป็นนักเลงโตขนาดจี้ปล้นชั้นเสือ ภายหลังมากลับอกกลับใจ นึกถึงบาปบุญคุณโทษ เพราะไปติดคุกอยู่ ๑๔ ปี พอออกจากตะรางไปยกมือไหว้ขอบริขารเขา บอกว่า โอ๊ย เพิ่งออกจากคุกมาเดี๋ยวนี้ อยากจะบวช ไม่มีบริขารจะบวช ขอบริขารไปบวชหน่อย คนขายบริขารก็จัดให้ ถ้าไม่ให้ก็กลัวมันจะทำร้ายเอา พอได้แล้วแกก็ไปหาอุปัชฌาย์ อุปัชฌาย์ก็บวชให้ด้วยความจำใจเหมือนกัน พอบวชแล้วท่านก็ศึกษาพระธรรมวินัยข้อวัตรปฏิบัติ พอมีความรู้ความเข้าใจพอสมควรแล้วไปธุดงค์อยู่ในดงบั๊กอี่ ดงบั๊กอี่มีอาณาเขตตั้งแต่อำเภออำนาจเจริญไปถึงอำเภอมุกดาหาร เมื่อก่อนทางรถยนต์ก็ไม่มี มีแต่ทางเดินเท้า มีคนไปสร้างกรงเอาไว้ เอาไม้เป็นท่อนๆ ไปฝังๆ เรียงกัน จนสัตว์ใหญ่ๆ เข้าไม่ได้ ใครเดินทางมาจะต้องรีบเร่งให้ถึงที่ตรงนั้น มานอนอยู่ในกรงนั่น มิฉะนั้นเสือมันเอาไปกินหมด

    ทีนี้หลวงตาสนแกไป แกก็ไปนอนอยู่บนก้อนหิน กลดไม่กาง เดือนหงายๆ ตกกลางคืนเสือมันออกมาเป็นฝูง ท่านก็บอกว่า "เสือเอ๊ย! ... มากินมันเสีย บักอันนี้มันเป็นโจรฆ่าผู้ฆ่าคนมามากแล้ว มากินเสียให้มันหมดกรรมหมดเวรไปหน่อย" เสือมันก็ไม่กิน ท่านบอกว่า ธรรมดาเสือเมื่อมันเห็นคนเห็นสัตว์มันจะหมอบทำท่าขู่ แต่นี่มันมาแล้วมานั่งเฝ้าเหมือนหมาเฝ้าบ้าน นั่งยองๆ เหมือนหมานั่งเฝ้าบ้าน บางตัวเดินไปหัวมันสูงกว่าหัวเรา เวลามันนั่งอยู่ ท่านเดินเข้าไปหามัน จะเอามือไปตบหัวมัน มันก็กระโดดเข้าป่าไป แทนที่มันจะกัดท่าน มันไม่กัด ท่านจึงมาพูดเล่นๆ ตลกๆ ว่า "เออ! ไอ้ของที่เราสละทิ้งแล้วนี่ แม้แต่สัตว์เดรัจฉานมันก็ไม่เอา ของทิ้งแล้ว"

เพราะฉะนั้น ศีลนี่เป็นหลักธรรมประกันความปลอดภัย ตัดกรรมตัดเวร ตัดผลเพิ่มของบาปกรรม ทอนกำลังกิเลส

ที่มา
http://www24.brinkster.com/thaniyo/dhamma0843.html
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว....ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา...สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา...กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: เกร็ดธรรมะ....หลวงพ่อพุธ ฐานิโย (5)
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 02 ก.ค. 2554, 09:43:28 »
แสวงหาอย่างมีขอบเขต

    ธรรมชาติของสังคม สังคมทั้งหลายตกอยู่ในอำนาจของโลกธรรม ความมีลาภ เสื่อมลาภ ความมียศ เสื่อมยศ มีสุข ทุกข์ สรรเสริญ นินทา สิ่งเหล่านี้ทุกคนมีสิทธิเสรีภาพในการแสวงหา

    เราจะแสวงหาอย่างไร ในฐานะที่เราเป็นนักปฎิบัติ เป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้า พระองค์ให้เรามั่นคงในศีล ๕ ข้อ ความโลภ ความโกรธ ความหลงมีอยู่ เป็นสิ่งกระตุ้นเตือนความรู้สึกของเราให้มีความทะเยอทะยานในความอยากได้อยากดีอยากมีอยากเป็น แต่ความทะเยอทะยานนั้นต้องมีขอบเขต ขอบเขตคืออะไร ขอบเขตก็คือศีล ๕ ข้อนั่นเอง เพราะฉะนั้น ศีล ๕ ข้อเป็นศีลที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติขึ้นตามกฎของธรรมชาติ

   เรามีกายกับใจ ในกายของเรามีใจเป็นใหญ่ ใจเป็นผู้บงการให้กายทำทุกสิ่งทุกอย่าง ให้วาจาพูดทุกสิ่งทุกอย่าง ในเมื่อใจเป็นผู้บงการแล้ว กายทำอะไรลงไป พูดอะไรออกไป ใจเขาจะเก็บเอาไว้โดยอัตโนมัติ เขาจะเก็บผลงานของเขาบันทึกเอาไว้ การทำบาปทำกรรมต่างๆ นี่ ที่ว่าเป็นบาปเป็นกรรม ควรสังวรระวัง ควรงดเว้น ควรระวังรักษา มีแต่ละเมิดศีล ๕ ข้อเท่านั้น ศีล ๕ ข้อ นี่เป็นกฎธรรมชาติ คนศาสนาพุทธทำก็บาป ศาสนาคริสต์ทำก็บาป คนไม่มีศาสนาทำก็บาป บาปตัวนี้ใครเป็นผู้แต่งใครเป็นผู้สร้างขึ้น ไม่มีใครแต่ง ไม่มีใครสร้าง เป็นสิทธิหน้าที่ของแต่ละบุคคลสร้างขึ้นมาเอง เพราะเป็นผลงานของตัวเองที่ทำลงไป ในเมื่อเป็นผลงานที่ทำลงไปโดยใจเป็นผู้สั่ง ใจเขาจะต้องเก็บผลงานนั้นไว้โดยกฎธรรมชาติของเขา อย่างสมมุติว่าเราไปฆ่าใครตายสักคนหนึ่ง เรานึกว่าเราทำเล่นๆ เราไม่ต้องการผลงาน มันก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ มันจะต้องวิ่งเข้ามา เป็นผลงานที่เก็บเอาไว้ภายในใจ

สำคัญที่ใจ

   บางคนทำอะไรมีพิธีรีตองอย่างเคร่ง แต่ว่าใจไปอยู่ที่อื่น มันก็ไม่เกิดประโยชน์ ก็เหมือนๆ กับอีตา ๒ คน เป็นเพื่อนทอดแหด้วยกัน เขาทำบุญมหาชาติ เลิกทอดแหสักวันเถอะ ไปเอาบุญกับเขาบ้าง ฉันไม่ไปหรอก ฉันจะไปทอดแห เออ..ถ้างั้นไปซะ กันจะไปฟังเทศน์ ไอ้หมอฟังเทศน์ เขาตีฆ้องโม้ง.. โอ๊ย.. พวกเวรเอาปลาตัวใหญ่ๆ ไปหมดแล้วน้อ ไอ้เจ้าหมอทอดแหยกมือไหว้ สา..ธุ นึกถึงบุญถึงกุศล เวลาตายไปแล้ว หมอไปฟังเทศน์ตกนรก หมอทอดแหขึ้นสวรรค์ นิยายปรัมปรานี่ ท่านว่าไว้เพื่อสอนเป็นคติเตือนใจให้พิจารณา อย่าทำอะไรอย่างงมงาย

เข้าใจให้ถูก

ถ้าใครยังคิดว่าสมาธิต้องนั่งขัดสมาธิหลับตาภาวนา คนนั้นยังโง่อยู่ ถ้าผู้ใดเข้าใจว่าสมาธิเราทำได้ตลอดเวลาทุกลมหายใจ ผู้นั้นเข้าใจถูก สมาธิคือการกำหนดสติรู้อยู่ในชีวิตประจำวัน ในปัจจุบันตลอดเวลา เมื่อเรามีสติรู้อยู่ตลอดเวลาว่าเราทำอะไร มันไม่ใช่ความประมาท เราปฏิบัติธรรมหามรุ่งหามค่ำ ผลลัพธ์ที่เราต้องการคือความมีสติอย่างเดียวเท่านั้น เราสร้างสติเพื่ออะไร เพื่อให้จิตของเรามีความเข้มแข้ง ถ้าเรามีสติแล้วจิตของเราแข็งเหมือนเหล็กกล้า


งานศพที่เป็นบุญ

งานศพที่ดีที่สุด..ที่ถูกต้องที่สุด เป็นบุญกับคนตายที่ลุด ส่วนอามิสก็ทำบุญอุทิศให้ ส่วนที่ดีที่สุดสวดมนต์ ภาวนา แผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลให้ แล้วจารีตประเพณีอะไรที่มันเอิกเกริกที่นอกเหนือไปจากทางบุญนั่น ถ้าเราตัดออกได้ยิ่งดี เช่น มหรสพมาฉลองในงานศพ อะไรต่างๆ เป็นต้น

อย่ายึดติด

    ฤกษ์งามยามดีมันก็มีทั้งคุณทั้งโทษ ทีนี้สังคมเขานิยมกัน เราจะไปขัดขวางเขาก็ไม่ได้ แต่ว่าเขาพาทำอะไรทำไป แต่เราอย่าไปยึด แม้แต่เขาชวนเข้าโบสถ์ คริสต์ อิสลาม เรากราบเราไหว้ใด้ แต่เรานึกถึงพระเจ้าของเรา กราบลงที่ไหนก็ถูกพระพุทธเจ้าที่นั่น


ที่มา
http://www24.brinkster.com/thaniyo/dhamma0843.html

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: เกร็ดธรรมะ....หลวงพ่อพุธ ฐานิโย (5)
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: 02 ก.ค. 2554, 09:50:51 »
ตรวจสอบด้วยเมตตาดีกว่านินทาว่าร้าย

   การตรวจสอบไม่ใช่การลบหลู่ดูหมิ่น การตรวจสอบไม่ใช่เรื่องจับผิด ถ้าเห็นอะไรที่ผิดพลาดไม่สมควร เราพุทธบริษัทก็กล่าวตักเตือนกันได้ด้วยความเมตตาสงสาร แต่อย่าไปติฉินนินทา ถ้าติฉินนินทาแล้วบาป แต่ว่าการตักเตือนครูบาอาจารย์หรือผู้หลักผู้ใหญ่ อย่าไปตักเตือนโดยตรง ใช้วิธีถามปัญหา พระทำอย่างนั้นๆๆ ผิดหรือเปล่า ถ้ามันไปตรงกับความประพฤติของท่าน ถ้าท่านหวังดีต่อพระธรรมวินัย ท่านรู้สึกเอง คือว่าความผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ นี่ อย่าว่าแต่ปุถุชน พระอรหันต์ก็ยังผิด นิสัยวาสนาพระสาวกละไม่ได้เด็ดขาด มีพระพุทธเจ้าองค์เดียวเท่านั้น พระสารีบุตรอรหันต์เดินตามหลังพระพุทธเจ้าไป ทุกองค์เขาเดินลุยน้ำไป แต่ร่องน้ำมันพอกระโดดข้ามได้ พอถึงพระสารีบุตรกระโดดข้ามปั๊บ พระภิกษุกระโดดนี่มันเป็นอาบัติทุกกฏ ทีนี้พระพุทธเจ้าหันมาทัก สารีบุตรนี่เคยเป็นลิงมาแต่ชาติก่อน นิสัยลิงยังติดอยู่ ท่านก็เทศน์ว่า นิสัยวาสนาพระสาวกละไม่ได้เด็ดขาด มีพระพุทธเจ้าองค์เดียวเท่านั้น

ความรักคือยอดปรารถนาของสังคม

   ศาสนาพุทธ พระพุทธเจ้าสอนให้เราสร้างความรัก ความเมตตาปรานี จุดแรกที่สุดนี่ให้สร้างความรักก่อน ทำไมจึงต้องสร้างความรัก คนเรารักกันแล้วมันจับมือกัน ช่วยกันสร้างสรรค์ประเทศชาติบ้านเมืองให้เจริญ ในทางคณะสงฆ์ ถ้าคณะสงฆ์มีความรัก ความเมตตาปรานีกัน ก็ร่วมกันทำงานพระศาสนาให้เจริญ เพราะฉะนั้นความรักจึงเป็นยอดปรารถนาของสังคม ทีนี้ในวงการหนึ่ง ๆ สถาบันหนึ่งๆ ถ้าเราไปรุมเกลียดคนสักคนหนึ่ง หรือคนทั้งหลายต่างคนต่างเกลียดขี้หน้ากัน ชวนกันทำงานมันก็ไม่ร่วมมือกัน ทีนี้สิ่งที่จะได้รับคืออะไร บ้านเมืองล่มจม คณะสงฆ์ต่างคนต่างขัดผลประโยชน์กัน ต่างทะเลาะวิวาทกัน ผลลัพธ์คืออะไร คือศาสนาล่มจม นี่สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ในฐานะที่เราเป็นชาวพุทธ เราควรจะคิดให้มากๆ


อย่านับขั้นสมาธิ

   สมาธิมีขั้นเดียว คือสมาธิ มันจะก้าวไประดับไหน ก็คือสมาธิอันเดียว อย่าไปนับขั้นนับตอนอะไร ขอให้มันเป็นสมาธิ เมื่อจิตเป็นสมาธิแล้วเราละบาปได้หรือเปล่า ศีล ๕ เราบริสุทธิ์หรือเปล่า เอากันที่ตรงนี้เป็นเครื่องตัดสิน เรื่องของสมาธิใครจะไปถึงขั้นใดตอนใด ถ้าจิตไม่บริสุทธิ์ไม่มีทาง

   ในสังคมของพุทธบริษัทที่เราต้องวุ่นวายกันอยู่นี่ เพราะศีลมันไม่เสมอกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระเจ้าพระสงฆ์นี่ องค์หนึ่งกินนมตอนเย็นได้ แต่อีกองค์หนึ่งกินไม่ได้ พอมาเจอกันเข้าท่านก็เถียงกัน องค์หนึ่งจับจ่ายใช้สอยด้วยมือตนเองไม่ได้ แต่อีกองค์หนึ่งทำได้ มาเจอกันเข้าท่านก็เถียงกัน เพราะฉะนั้น ไม่ว่าการปกครองบ้านเมืองปกครองศาสนา บ้านเมืองกฎหมายรัฐธรรมนูญนั่นแหละเป็นหลักสำคัญ ทางศาสนาศีลคือวินัยเป็นหลักสำคัญ กฎหมายก็ดี ศีลคือวินัยก็ดี เป็นหลักที่เราจะปรับความประพฤติให้มีพื้นฐานเท่าเทียมกัน ถ้าเราไปยิ่งหย่อนกว่ากันแล้วก็มีการปรักปรำกัน

   แต่ทางกฎหมายปกครองบ้านเมือง ในเมื่อมีคดีเกิดขึ้นก็ต้องมีโจทก์มีจำเลย มีหลักฐานพยาน แต่ศีลคือวินัยที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัตินี่ ตัวเองเป็นโจทก์ตัวเอง ตัวเองเป็นจำเลยตัวเอง ตัวเองเป็นหลักฐานพยานตัวเอง คือตัวเองต้องพิจารณาตัวเองว่ามีความบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์ เพราะฉะนั้น เราปฏิบัติสมาธิ จิตของเราจะไปถึงสมาธิขั้นใดตอนใด กี่ขั้นกี่ตอนก็ตาม ผลลัพธ์ก็คือว่าเราละความชั่ว นี่มันอยู่ที่ตรงนี้ ทีนี้หลักการพิสูจน์ว่าเราละความชั่วได้หรือเปล่า ถ้าสมมติว่าเรามีครอบครัว เราไม่แอบไปหากำไรนอกบ้าน นั่นแสดงว่าเราบริสุทธิ์แล้ว ดูกันง่ายๆ อย่างนี้ อย่าไปดูให้มันลึกนัก สำคัญที่ปัจจุบัน

ต้นตำรับ

หลักศาสนาพุทธนี่แหละเป็นหลักประชาธิปไตยที่แน่นอนที่สุด แต่คนไทยเราไม่รู้จักเอาคุณค่าจากสิ่งที่ตัวมีอยู่ แม้แต่คัมภีร์การศึกษา ปรัชญา จิตวิทยา ตรรกวิทยา อะไรต่างๆ ที่ฝรั่งพิมพ์หนังสือมาขายให้เรานี่ มันไปจากคัมภีร์พระไตรปิฎกของพระพุทธศาสนาทั้งนั้น


ที่มา
http://www24.brinkster.com/thaniyo/dhamma0843.html

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: เกร็ดธรรมะ....หลวงพ่อพุธ ฐานิโย (5)
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: 02 ก.ค. 2554, 09:55:11 »


โลภแต่ไม่บาป

   พระไปเทศน์ว่า โยม.. โยม อย่าโลภมากนัก อย่าไปเชื่อพระ พระสอนศาสนาผิด ถ้าใครบอกว่า โยม มีความโลภ อยู่ในใจนั่นน่ะจะหาผลประโยชน์อะไรอย่าลืมนึกถึงศีลถึงธรรมเน้อ อันนี้เชื่อได้ เราจะโลภแค่ไหน เราจะแสวงหาผลประโยชน์อันใด ถ้าไม่ผิดศีล ๕ ข้อใดข้อหนึ่ง เชิญตามสบาย ไม่ต้องเกรงใจ พระพุทธเจ้ามีแต่ยกย่อง ท่านไม่ด่าดอก ทำไมล่ะ ในคำสอนของ พระองค์ท่านมี เรามีหลักฐาน

   ใครต้องการผลประโยชน์ในปัจจุบัน อุฏฐานสัมปทา จงหมั่นขยันในการแสวงหาผลประโยชน์ ถ้าความโลภ มันไม่ดี ทำไมพระพุทธเจ้าจะสอนให้เราหมั่นขยันล่ะ พระองค์ให้ระวังเพียงแค่ว่า ต้องการผลประโยชน์อันใด อย่าทำผิดศีลธรรมและกฎหมาย ปกครองบ้านเมือง ถ้ามันไม่ผิด ใครจะทะเยอทะยานไปแค่ไหนจรดฟ้าจรดแขนก็เชิญตามสบาย พระองค์กลับจะยกย่องว่าเป็นคนรู้จักหา เอาผลประโยชน์โดยชอบธรรม

    ทีนี้พอได้มาแล้วพระองค์ว่า อารักขสัมปทา จงรู้จักรักษานะ แน่ะ... สอนให้เราตระหนี่ เพราะพระองค์รู้ว่า คนไม่ตระหนี่ไม่มีทางเป็นเศรษฐีได้ นี่เรียนธรรมะต้องส่องให้มันจบ
ในเมื่อพร้อมด้วยทรัพย์สมบัติ เกียรติยศ และอำนาจ กัลยาณมิตตตา จงสร้างความดีกับเพื่อนบ้าน ให้เพื่อนบ้านเขารัก เคารพบูชา เราจะได้มีกำลังช่วยรักษาชีวิตและทรัพย์สมบัติของเรา
สมชีวิตา เลี้ยงครอบครัว ตลอดจนบริวารที่เกี่ยวข้องให้สุขสบายตามสมควร อันนี้คือหลักของพระองค์ท่าน
พอท่านว่า อย่าโลภๆๆ วันนี้ไปทำงานจะได้เงินสักล้านสองล้าน ได้สักหมื่นสองหมื่นก็พอแล้ว ขืนไปทำมากกว่านี้มันผิดความโลภ พระพุทธเจ้าจะด่า นั่นเข้าใจผิด อันใดที่ไม่ผิดศีลธรรมกฎหมายปกครองบ้านเมือง ทำมันลงไป พวกหวังรวยด้วยการค้ายาเสพติด ค้ายาบ้าหรืออะไร ทุจริตด้วยประการต่างๆ นี่ อันนั้นมันผิดศีลธรรม เราอย่าไปเอา

แก้กรรม

   วิถีชีวิตของคนเราจะผิดหวังสมหวังมีสุขมีทุกข์มั่งมียากดีมีจนอย่างไร มันขึ้นอยู่กับกฎของกรรม แต่ถ้าไปหาหมอโหรเขาว่าดวงชะตามันตก แต่แท้ที่จริงกฎของกรรมอันเป็นบาปซึ่งเราอาจจะทำแต่ชาติก่อนภพก่อนมันให้ผล แล้วทีนี้เราจะไปแก้กรรม แก้ผลของกรรมนี่มันแก้ไม่ได้ ใครทำกรรมใดไว้ก็ต้องได้รับผลของกรรมนั้น จะดีก็ตามชั่วก็ตาม แต่พิธีกรรมที่เขาให้ทำนั้น บางอย่างถ้ามันถูกต้องเป็นแนวทางแห่งบุญกุศล พอเราทำแล้วมันได้บุญ บุญนี้ก็ต่อวิถีชีวิตของเราให้ยืนยาวไปอีกพักหนึ่ง เมื่อหมดบุญแล้วกรรมเก่าที่มันวิ่งตามอยู่เหมือนกับหมาไล่เนื้อ มันทันเมื่อไรมันก็กระโดดกัดเมื่อนั้น

   เพราะฉะนั้น การสะเดาะเคราะห์ การแก้กรรมแก้เวร เราจะตัดกรรมตัดเวรก็รักษาศีล ๕ ให้บริสุทธิ์ ทีนี้กรรมที่เราทำนั้น ผลของมันไม่มีใครตัดได้ แต่เวรคือความผูกพยาบาทอาฆาต อันนี้ เราสามารถตัดได้ถ้าหากว่าเราพูดจาตกลงกันได้ เช่นอย่างคนข้างบ้านเคยด่ากันอยู่ทุกวันๆ ๆ ต่างคนต่างก็อาฆาตพยาบาทจองเวรซึ่ง กันและกัน ถ้าหากว่าเราคุยกันรู้เรื่องแล้วเรายกโทษให้กัน อันนี้เรียกว่า ตัดเวร คือตัดความผูกพยาบาทอาฆาต แต่ว่าผลกรรมที่เราด่าเขา เขาด่าเรา นั่นมันตัดไม่ได้


ที่มา
http://www24.brinkster.com/thaniyo/dhamma0943.html

ออฟไลน์ saken6009

  • อย่ากลัวคนจะมาตำหนิ แต่จงกลัวว่าตัวเองจะทำผิด อย่ากลัวที่จะรับรู้ความบกพร่องของตน แต่จงกลัวว่าตนจะเป็นคนที่ดีได้ไม่จริง
  • ก้นบาตร
  • *****
  • กระทู้: 893
  • เพศ: ชาย
  • ชีวิตของข้า เชื่อมั่นศรัทธา หลวงพ่อเปิ่น องค์เดียว
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: เกร็ดธรรมะ....หลวงพ่อพุธ ฐานิโย (5)
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: 02 ก.ค. 2554, 11:01:15 »
เกร็ดธรรมะ..หลวงพ่อพุธ ฐานิโย ภาค5
                                               
ขอบคุณท่าน ทรงกลด ที่นำบทความธรรมะที่ดีมากมาให้พี่น้องศิษย์วัดบางพระได้อ่านครับ :053: :053:
 
ติดตามอยู่ครับ อ่านแล้วเพลินดีมากๆครับ และ ได้สาระความรู้มากๆครับผม :016: :015:
 
(ขออนุญาตเข้ามาอ่าน เพื่อเป็นความรู้ ขอบคุณครับผม) :033: :033:
   
   
 

กราบขอบารมีหลวงพ่อเปิ่น คุ้มครองศิษย์ทุกๆท่าน ให้แคล้วคลาด ปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวง สาธุ สาธุ

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: เกร็ดธรรมะ....หลวงพ่อพุธ ฐานิโย (5)
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: 02 ก.ค. 2554, 11:37:52 »
อนุญาตนำธรรมะข้อนี้มาฝากท่าน saken6009 ท่านปุญฺญานุสฺสติ(สิบทัศน์)และญาติธรรมชาววัดบางพระทุกท่าน......ก่อนนอน

=================
ใจใส กายสุข

   ถ้าเราสามารถทำใจให้ว่างๆ ได้บ่อยๆ สุขภาพร่างกายจะแข็งแรงสมบูรณ์ เพราะใต้สมองของคนเรามันมีสารอยู่ตัวหนึ่ง ถ้าเวลาใจว่างมันจะกระจายออกมาทำงาน จะทำให้สุขภาพร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ หลวงพ่อนี่วิ่งอยู่ไม่หยุด ถ้าไม่อาศัยภาวนาแล้ว ล้มไปนานแล้ว ในร่างกายของคนเรานี่มันมีสิ่งที่ช่วยตัวของเขาเองอยู่ตลอดเวลา แต่เราไปมองข้าม มีอะไรนิดหน่อยวิ่งหาแต่หมอวิ่งหาแต่ยา มันก็เลยเคยตัว ยาทั้งหลายนี่ถ้ากินมากมันทำให้ติด ยาแก้ปวดนี่ไม่กินแล้วอยู่ไม่ได้ พระองค์หนึ่งติดยาแก้ปวด ตื่นเช้ามาลุกแทบไม่ไหว พอได้ยานี่เม็ดหนึ่ง ลุกขึ้นมาครองผ้าไปบิณฑบาตได้ แต่ไม่ได้กินแล้วลุกไม่ขึ้น ฉะนั้น หลวงพ่อนี่เป็นหวัดเป็นไข้นิด ๆ หน่อย ๆ ไม่ฉันยาหรอก นั่งสมาธิ ถ้าไม่หายจริงๆ นั่นแหละจึงจะยอมฉันยา ทุกวันนี้เป็นเบาหวาน ถ้าลำพังตัวเองแล้วไม่สนใจกับมันหรอก มีแต่คนอื่นมาเคี่ยวเข็ญให้ไปหาหมอ เอาหมอมาหาบ้าง ไปหาหมอบ้าง

 เพราะฉะนั้น ให้พยายาม ถ้าอยู่ว่าง ๆ นั่งดูนอนดูลมหายใจเฉย.. อย่าไปกังวลถึงอะไรเลย พุทโธก็ไม่ต้องว่า ยุบหนอพองหนอ สัมมาอรหังก็ไม่ต้องว่า ดูลมหายใจมันเฉยๆ นี่ ทีนี้จิตของเรามีพลัง ถ้าหากว่าเราตั้งใจกำหนดรู้สิ่งใดสิ่งหนึ่งในกายของเรา มันจะเกิดพลังงาน พลังจิตมันมาประสานกับวัตถุคือร่างกาย มันทำให้เกิดประโยชน์แก่ร่างกาย

   หลวงพ่ออ่านคัมภีร์ธรรมะ ก็อ่านคัมภีร์หมอด้วย เพราะว่ามันใกล้กัน เรียนธรรมะ ปฏิบัติธรรมะ เป็นหลักสูตรรักษาใจ วิชาแพทย์เป็นสูตรสำหรับรักษาร่างกาย เพราะฉะนั้น ถ้าเราเข้าใจทั้งสองอย่างแล้วก็สบาย

   หลวงพ่อป่วยเป็นวัณโรคที่เมืองอุบลฯ เมื่ออายุ ๒๒ ปี ภาวนาลูกเดียว ภาวนาจนกระทั่งตัวหาย พอตัวหายบ่อย ๆ ใจมันก็ทะนงขึ้นมา โรคภัยไข้เจ็บมันเป็นที่กาย มันไม่ได้เป็นที่ใจ ภายหลังมา ถ้ามันหงุดหงิดรำคาญเพราะความเจ็บป่วย ใจมันมักจะนึกว่า ฉันไม่ได้จ้างแกมาเกิด ไม่ได้จ้างแกมาตาย อยากตายเชิญเลย มันท้าทายอย่างนี้ มันก็สบาย บางทีก็ลองตายเล่น ๆ ลองดู วิธีตายเล่นๆ นี้ทำยังไง ภาวนาจนกระทั่งจิตมันสงบ ต่างกายตัวตนหายไปหมด เหลือแต่จิตดวงเดียวสว่างไสวอยู่ อันนี้เขาเรียกว่าตายเล่นหรือหัดตายก่อนที่เราจะตายจริง เมื่อเราตายมันก็มีลักษณะอย่างนี้เหมือนกัน ถ้าจิตเข้าสมาธิ มันไม่สัมพันธ์ กับร่างกาย มันแยกตัวออกไปอยู่ต่างหาก นั่นคือตาย แต่ในช่วงนั้นเราไม่รู้หรอกว่าเราตาย คนเราทุกคนตายไม่รู้ตัวว่าตัวตาย ฉะนั้นบางคนไม่รู้ว่าตัวตายยังไม่ได้ไปไหน บุญบาปยังไม่ให้ผล จึงไปเที่ยวเคาะประตูบ้านก๊อกๆ แก๊กๆ อยู่นั่น เขาถือว่าเขาเป็นคนอยู่ คนตายธรรมดาพอวิญญาณออกจากร่างมีตัวมีตนเดินออกหนีไป ถ้าอยู่ในสมาธิ ละเอียด มีแต่จิตวิญญาณลอยออกไปเป็นดวงสว่าง เพราะฉะนั้นการปฏิบัติสมาธิคือการหัดตายเอาไว้ก่อนที่เราจะตายจริง

  การพักผ่อนในสมาธิมีคุณค่ากว่าการนอนหลับธรรมดา เมื่อก่อนนี้อยู่กับหลวงปู่เสาร์ ท่านนอนดึ้ก..ดึก แต่เสร็จแล้วเรานอนก่อนท่าน ท่านตื่นก่อนเราทุกที ถามว่าหลวงปู่นอนวันละกี่ชั่วโมง บางทีชั่วโมงเดียว บางทีก็ ๒ ชั่วโมง บางที ๓ ชั่วโมง แต่ไม่เคยเกิน ๓ ชั่วโมง อยู่ได้ยังไง


ที่มา
http://www24.brinkster.com/thaniyo/dhamma0943.html
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02 ก.ค. 2554, 11:39:45 โดย ทรงกลด »