:059:อ้างถึง"นิมิตรสมาธิ" ที่ท่านสมาชิก"derbyrock" ได้ตั้งกระทู้ขึ้นมานั้น จึงอยากจะอธิบายขยายความ เพื่อความรู้ความเข้าใจในผู้ใฝ่ธรรมทั้งหลาย โปรดใช้วิจารณญาน ในการคิดพิจารณา "อย่าเชื่อทันทีที่ได้ยินหรือได้ฟัง เพราะอาจจะทำให้ท่านงมงาย...อย่าปฏิเสธทันทีที่ได้ยินหรือได้ฟัง เพราะอาจจะทำให้ท่านเสียประโยชน์...ควรคิดพิจารณาหาเหตุผลเสียก่อน จึงจะเชื่อหรือปฏิเสธ"
เมื่อเราภาวนาเพื่อให้จิตเป็นสมาธินั้น ถ้าจิตของเราเข้าสู่ความสงบ มันจะเข้าสู่ "องค์ฌาน" ซึ่งอารมณ์ฌานนั้นประกอบด้วย
๑.รูปฌาน=อาศัยรูปหรือสัญลักษณ์เป็นอารมณ์ เช่น กสิน๑๐
๒.อรูปฌาน=อาศัยความรู้สึกและการระลึกเป็นอารมณ์ เช่น อนุสติ ๑๐
ถ้าเราปฏิบัติโดยอาศัยสัญลักษณ์หรือรูปเป็นอารมณ์ เมื่อจิตเราเข้าสู่ความสงบภาพนั้นจะชัดเจนยิ่งขึ้น ตามสภาวะธรรมที่เกดขึ้น ซึ่งเราจะรู้จะเห็นเฉพาะรูปที่เราเพ่งมองอยู่ จะไม่มีรูปอื่นเข้ามาในอารมณ์นั้น
หากเราปฏิบัติโดยอาศัยการระลึกรู้ เมื่อจิตเข้าสู่ความสงบ ความรู้สึก(ตัวรู้)เราจะชัดเจนยิ่งขึ้น คือรู้ในสิ่งที่ละเอียดมากขึ้น ไม่มีภาพใดๆเกิดขึ้นในอารมณ์ รู้เห็นความเป็นไปในความว่าง
นิมิตรสมาธิจะเกิดขึ้นได้ ต้องอาศัยความว่าง ว่างจากการปรุงแต่งอารมณ์ และจะเกิดขึ้นในขณะเราเผลอสติ ซึ่งจะเป็นขณะที่กำลังเปลี่ยนอารมณ์ ระหว่าง ฌาน ๓ ไปสู่ ฌาน ๔(ระหว่างอารมณ์สุขกับเอตคตารมณ์) นิมิตรที่เกิดขึ้นนั้นอาจจะมาจากสัญญาเก่าในอดีตชาติหรือปัจจุบันชาตินี้ที่ผ่านมา หรืออาจจะเกิดจากการอธิษฐานจิตของเรา ในสิ่งที่เราต้องการจะรู้(เพราะเมื่อเราเผลอสติ จิตจะออกจากกาย) อาจจะย้อนไปสู่อดีต หรือข้ามไปสู่อนาคต หรืออาจจะไปกระทบกับคลื่นสัญญานจิตของผู้อื่น ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นได้แล้วแต่เหตุและปัจจัยในขณะนั้น
นี่คือ"นิมิตรที่เกิดในขณะที่จิตเป็นสมาธิ"
ส่วนใหญ่ที่เราเข้าใจว่าเป็นนิมิตรนั้น มันเกิดจากสัญญา(ความจำของเรา ที่เคยได้ยินได้ฟังได้เห็นมา) แล้วเราจินตนาการณ์สร้างมโนภาพขึ้นมาตามสิ่งนั้น(เรียกว่าอุปาทานนิมิตร)เกิดจากจิตเราไปปรุงแต่งให้มันเห็น ซึ่งจะเป็นในขณะที่จิตเริ่มเข้าสู่ความสงบ(อารมณ์ปิติ ฌาน ๒) ซึ่งในขณะนั้นจิตมีกำลังสมาธิแล้ว(มีพลังจิต) เราไปสร้างภาพนิมิตรแล้วจิตของเราเข้าไปปรุงแต่ง มันจึงเห็นเป็นเรื่องเป็นราวเหมือนกับเหตุการณ์เกิดขึ้นจริง(เรียกว่าการสะกดจิตตัวเองให้เห็นภาพนิมิตร) ซึ่งถ้าทำอย่างนั้นมันจะเห็นจริง แต่สิ่งที่เห็นนั้นอาจจะไม่จริง เพราะมันเป็นสิ่งที่เราสร้างขึ้นมา(มันไม่ได้เกิดขึ้นมาในขณะที่จิตกำลังว่าง)
ฉะนั้นเราต้องแยกแยะให้ออกว่า นิมิตรนั้นเกิดขึ้นมาในขณะใด อะไรเป็นเหตุ อะไรเป็นปัจจัย เกิดจากสัญญาใต้จิตสำนึก หรือเกิดจากการอธิษฐานจิตของเรา (โดยการใช้วิมังสาในอิทธิบาท ๔) ใคร่ครวญ ทบทวน พิจารณาหลังจากออกมาจากอารมณ์สมาธิ แล้วเราจะเข้าใจในนิมิตรที่เกิดขึ้น ว่ามันมาจากไหน ของจริงหรือของไม่จริง
ในสมัยที่ข้าพเจ้าเริ่มปฏิบัติธรรมใหม่ๆ(สมัยที่อยู่สวนโมกขพลาราม)ข้าพเจ้าได้ถามหลวงพ่อพุทธทาสว่าทำไมนั่งภาวนาไปไม่เห็นอะไรเลย คนอื่นเขาเห็นโน้นเห็นนี่ แต่เรากลับไม่เห็นอะไร ซึ่งท่านได้เมตตาตอบให้ว่า " ดีแล้วที่ไม่เห็นอะไร ถ้าเห็นไปมันจะวุ่นวาย และจิตเราอาจจะไปยึดติดในสิ่งที่เห็นนั้น ทำให้มันเสียเวลาในการปฏิบัติ " จากตำตอบของพระเดชพระคุณหลวงพ่อนั้น ข้าพเจ้าจึงได้นำมาบรรยายขยายความ ให้ท่านทั้งหลายได้พิจารณา
นิมิตรทั้งหลายคล้ายกับดอกไม้ริมทางเดิน ถ้าเราไปหลงเพลินหยุดดูมันอยู่ ก็จะทำให้เสียเวลาในการเดินทาง ทำให้ไปสู่จุดหลายล้าช้า
และอาจจะสำคัญผิดคิดว่าถึงจุดหมายแล้ว(อยู่ข้างทาง ไม่ห่างจากจุดเริ่มต้นเท่าไหร่ ยังเดินได้ไม่ไกล และไม่ใช่ที่สุดของการปฏิบัติธรรม)
:054:ด้วยความปรารถนาดีแก่ผู้ที่ใฝ่ธรรมทั้งหลาย
รวี สัจจะ-สมณะไร้นาม
๖ กรกฎาคม ๒๕๕๒ เวลา ๒๑.๕๑ น. ณ กุฏิน้อยริมฝั่งโขง ชายแดนประเทศไทย