ตถาอาศรม ริมฝั่งโขง
๑๗ กันยายน ๒๕๕๓
.....รอยทาง.....
เมื่อวานเป็นวันพระขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๑๐ ตื่นนอนตามเวลาปกติ
ทำกิจวัตรส่วนตัวเสร็จแล้ว ไหว้พระสวดมนต์ นั่งสมาธิเจริญจิตภาวนาจนถึงเช้า
ลงไปช่วยจัดเก็บกวาดจัดศาลา เพราะญาติโยมจะลงมาทำบุญตักบาตรกันที่วัด
ทำพิธีในภาคเช้าเสร็จประมาณ ๐๘.๔๕ น. แล้วลงไปดูช่างทำงานการก่อสร้าง
ัแท็งค์น้ำ ซึ่งอยู่ในขั้นตอนการก่ออิฐ ลงไปกำหนดจุดวางท่อน้ำทิ้งและท่อส่งน้ำ
ตอนบ่ายช่างมาย้ายจานดาวเทียม เพราะจุดเดิมนั้นไม่มีสัญญาน เนื่องจากต้นไม้บัง
กำลังทำงานกันอยู่เกิดฝนตกลงมา ต้องหยุดพักกันไประยะหนึ่ง ฝนหยุดตกจึงทำ่ต่อ
ไปเสร็จเอาตอนเวลา ๑๘.๓๐ น. ได้เวลาทำวัตรสวดมนต์เย็นพอดี จึงลงไปทำกิจ
วัตรของสงฆ์ในภาคค่ำ เสร็จแล้วกลับขึ้นศาลาที่พัก ปฏิบัิติ่อจนสมควรแก่เวลา
จึงได้เข้าจำวัตรพักผ่อน
.....รอยธรรม....
" ทุกข์ไม่มา ปัญญาไม่มี บารมีไม่เกิด " เป็นคำสอนที่กล่าวกันมานานแล้ว
และเป็นความจริงมาตลอด เพราะว่ามนุษย์นั้นในยามที่มีความสุขมักจะหลงเพลิดเพลิน
ลืมคิดถึงธรรม ดั่งที่เคยเขียนโศลกธรรมบทหนึ่งไว้ว่า...ตราบใดที่ยังมีหนทางไป ใจย่อม
ไม่นึกถึงพระธรรม แ่ต่เมื่อคุณชอกช้ำ พระธรรมคือที่พึ่งสำหรับคุณ ...และโศลกธรรมอีก
บทหนึ่งที่เขียนไว้ว่า...เมื่อยังไม่ถึงกาลเวลาที่เหมาะสม จิตย่อมเข้าไม่ถึงธรรม จึงยากที่
จะอธิบายให้เข้าใจได้ อดทนรอให้เขามีความพร้อมจึงกล่าวธรรม...เหตุที่ยกโศลกธรรม
ทั้งสองบทมากล่าวอ้างถึงก็เพราะว่า มีญาิติโยมมาถามว่าทำไมไม่รับเทศน์ตามงานต่างๆ
ที่เขานิมนต์ ก็ตอบญาติโยมไปว่าเทศน์ไม่เป็น เป็นแ่ต่บรรยายธรรม เพราะว่าการเทศน์นั้น
้ต้องมีรูปแบบและพิธีการ และส่วนใหญ่ในปัจจุบันนั้นกลายเป็นเพียงกิจกรรมประกอบพิธี
เพราะว่าผู้ที่มาฟังนั้นส่วนใหญ่ไม่ได้ั้ตั้งใจที่จะมาฟังธรรม แ่ต่จะมาเพื่อร่วมงานกับเจ้าภาพ
เป็นส่วนใหญ่ แ่ต่งานบรรยายธรรมนั้น มันบอกชัดว่า้คนที่มานั้นต้องมาฟังธรรม คือคนที่ไม่
พร้อมจะไม่มา การกล่าวธรรมจึงมีประโยชน์กว่า เพราะว่าผู้ฟังมีความตั้งใจและใคร่ที่จะฟัง
ซึ่งมันตรงกับลักษณะของเราคือ...ไร้รูปแบบ แ่ต่ไม่ไร้สาระ ธรรมะที่ไร้รูปแบบ เรียบง่าย
แต่ไม่ใช่มักง่าย...จะเน้นเป็นรายบุคคลที่เขาสนใจและเข้ามาหาเพื่อปรึกษาและขอคำแนะนำ
เพราะว่าแต่ละคนนั้นมีภูมิธรรมที่แตกต่างกัน ปฏิบัติมาไม่เหมือนกัน จะไม่ใช้การบรรยาแบบ
เหวี่ยงแห แ่ต่จะเน้นเป็นรายบุคคล ซึ่งจะได้ผลที่แตกต่างกันมาก เพราะได้สรุปมาจากการที่
เคยเป็นพระนักเทศน์มาระยะหนึ่ง และได้หยุดรับงานเทศน์ รับแต่งานบรรยายธรรมเพียงอย่างเดียว
ธรรมะจากหลวงพ่อจำเนียร สีลเสฏโฐ วัดถ้ำเสือฯ
" ทุกอย่างล้วนเป็นครูที่สอนธรรมให้แก่เรา ไม่ว่าความดีหรือความชั่ว ล้วนแล้วแ่ต่เป็นครู
สอนให้เรารู้ว่านี่คือความไม่ดี เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ สอนให้รู้ว่านี่คือความดี เป็นสิ่งที่ควรกระทำ
ความดีและความเลว มีไว้ให้เปรียบเทียบกัน ธรรมะนั้นเป็นของที่เกิดขึ้นเอง เกิดขึ้นทางจิต
พระพุทธเจ้าตรัสรู้ทางจิต บรรลุธรรมทางจิต ด้วยการฝึกจิต ธรรมะต้องเกิดจากการภาวนา
จึงจะมีประโยชน์ ส่วนธรรมะที่จำเขามา อันเกิดจากสัญญามีค่าน้อยกว่า ธรรมะที่เกิดจากจิต "
.....รอยกวี.....
มากมายหลายหลากเรื่องราว
ข่าวคราวของโลกที่สับสน
ล้วนเกิดจากกิเลสของคน
วุ่นวายสับสนเพราะไม่รู้จักพอ
ไม่มีก็อยากจะได้ มีแล้วก็อยากจะได้ต่อ
เพราะว่าใจนั้นไม่รู้จักการเพียงพอ
จึงก่อให้เกิดความวุ่นวาย...
กิเลสทั้งหลายนั้นเกิดที่จิต
เกิดจากความคิดที่หลากหลาย
ความอยากที่มีอยู่มากมาย
ขวนขวายเพื่อให้ซึ่งได้มา
สนองความปรารถนาของตนเอง
ไม่เกรงกลัวและละอายต่อบาปกรรม
ทำทุกวิถีทางเพื่อให้จะได้มาซึ่งตัณหาของตนเอง
ความสุขและความสำเร็จของชีวิต
อยู่ที่จิตนั้นคิดว่าเพียงพอแล้ว
ไม่ดิ้นรนขวนขวายแสวงหา
เพื่อให้ได้มาเพื่อสนองกิเลส
ดำเนินชีวิตไปตามบทบาทและหน้าที่
รู้จักความพอดีพอประมาณในตน
ชีวิตของทุกคนก็จะพบกับความสุข....
.............................
ด้วยความปรารถนาดีและไมตรีจิต
รวี สัจจะ-สมณะไร้นาม
๑๗ กันยายน ๒๕๕๓ เวลา ๐.๕๘ น. ณ ศาลาน้อยริมน้ำโขง ชายขอบประเทศไทย