แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - เด็กนอกวัด

หน้า: [1]
1



ปีนี้ตรงกับ "ปีขาล" หรือ "ปีเสือ" ส่งผลให้วัตถุมงคล และเครื่องรางของขลังในรูปแบบ "เสือ" ได้รับความนิยมอย่างมาก จนกระทั่งมีการจัดสร้างออกมาหลายรุ่น หลายสำนัก โดยเฉพาะพระเกจิอาจารย์ที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านนี้ ต่างตอบสนองศรัทธาศิษยานุศิษย์ด้วยการสร้างเครื่องรางรูปลักษณ์เสือ เพื่อให้นำไปสวมใส่ พกพา และบูชาเป็นสิริมงคลตามความเชื่อที่สืบทอดกันมาแต่โบราณกาล เหมือนเช่นเกจิอาจารย์ดังในอดีตหลายท่านนิยมสร้างกันเป็นขวัญกำลังใจแก่ชาวบ้าน

มีวัดอยู่วัดหนึ่ง ซึ่งแม้จะไม่ได้สืบสานตำนานการสร้างเครื่องรางของขลังประเภท "เสือ" มา แต่ก็สร้างความฮือฮาได้เป็นประวัติการณ์ นั่นคือ วัดตะเคียน ถ.พระราม 5 (นครอินทร์) ต.บางคูเวียง อ.บางกรวย จ.นนทบุรี วัดดีที่มีพระเกจิอาจารย์ชื่อดังนาม "พระครูปิยนนทคุณ หรือ หลวงปู่แย้ม ปิยวัณโณ" พระเถระอาวุโสรูปหนึ่งของเมืองนนท์ยุคปัจจุบัน

หลวงปู่ท่านมีชื่อเสียงทางตะกรุดที่นำไปสวมใส่ให้สุนัขแล้วเกิดประสบการณ์เหนือคำบรรยาย เมื่อไม่มีใครสามารถทำร้ายมันได้ด้วยอาวุธปืน จนเป็นที่มาของ "ตะกรุดคอหมา" ในหมู่สานุศิษย์ หลังจากนั้นท่านได้เริ่มสร้างเครื่องราง "เสือ" ก็ก่อเกิดอภินิหารในการสร้างครั้งแรกรุ่นแรก ถึงขนาด "ปืนแตก" ยิงไม่ออก จนเป็นที่มาของคำว่า "เสือปืนแตก" ส่งผลให้กลายเป็นเครื่องรางของขลังที่มีความนิยมในอันดับต้นๆ โดยถึงปัจจุบันท่านสร้างออกมาแล้วรวม 5 รุ่น
 


โดยเฉพาะรุ่น 5 ล่าสุดได้สร้างปรากฏการณ์อย่างเกินคาดหมาย ผู้คนแห่บูชาชนิดมืดฟ้ามัวดินในช่วงเทศกาลตรุษจีนวันที่ 12-13-14 ก.พ. ที่ผ่านมา ซึ่งทางวัดจัดพิธีปลุกเสกอย่างเข้มขลังด้วยพลังพระคาถาพุทธาคมของพระเกจิอาจารย์ยอดนิยมแห่งยุค นำโดย หลวงพ่อเพี้ยน วัดเกริ่นกฐิน จ.ลพบุรี, หลวงพ่อพูน วัดบ้านแพน จ.พระนครศรีอยุธยา, หลวงพ่อเพิ่ม วัดป้อมแก้ว จ.พระนครศรีอยุธยา, หลวงปู่เก๋ วัดปากน้ำ จ.นนทบุรี โดยมี พระธรรมรัตนดิลก เจ้าคณะภาค 4 วัดสุทัศน์ กรุงเทพฯ เป็นประธานจุดเทียนชัย ท่ามกลางคลื่นชนผู้เลื่อมใสในหลวงปู่แย้ม และศิษย์สายตรงจำนวนมากเข้าร่วมพิธี

หลังจากพิธีปลุกเสกเมื่อวันที่ 12 ก.พ.เสร็จสิ้น ภาพที่ได้เห็นคือการยื้อแย่งกันบูชาเสือรุ่น 5 อย่างจ้าละหวั่น แม้ทางวัดจะจัดระเบียบจัดคิวอย่างไรก็ไม่สามารถต้านทานความต้องการของลูกศิษย์ลูกหาได้ หลังจากนั้นในวันเสาร์ที่ 13 ก.พ. 2553 ซึ่งมีพิธีสะเดาะเคราะห์ต่อชะตาตามตำราของหลวงปู่แย้ม ก็ยิ่งเนืองแน่นไปด้วยผู้คนที่ดั้นด้นมาจากหลายแห่ง ส่งผลให้การจราจรติดขัดตั้งแต่ยูเทิร์นใต้สะพาน ผ่านปากทางเข้าวัดไปจนถึงลานวัด โดยเฉพาะในวัดเต็มไปด้วยรถยนต์ มอเตอร์ไซค์ คาดคะเนแล้วเพียงวันนี้วันเดียวมีคนมาร่วมงานไม่ต่ำกว่าหมื่นคน จนทำให้ลานวัดกว้างๆ ดูแคบลงทันที
 


ที่สำคัญ ตั้งแต่เช้ายันเย็น จนไปถึงช่วงดึก ผู้คนยังคงคึกคักไม่หยุด เพราะนอกจากต้องการมารับแจกฟรี!!แล้ว ยังต้องการมาบูชาเสือรุ่น 5 อีกครั้ง หลังจากผิดหวังไปเมื่อวันแรก ด้วยกระแสความศรัทธาครั้งนี้ ทำให้มีชื่อเรียกขานกันว่า "เสือวัดแตก"

อาจจะมีคำถามว่า ทำไมเสือหลวงปู่แย้ม จึงได้รับความนิยมมากมาย? คำตอบง่ายๆ ที่หลายๆ คนบอกคือ "ประสบการณ์ดี" บ้างก็บอกว่า ศรัทธาในหลวงปู่แย้ม ท่านเป็นพระปฏิบัติดี ทำสิ่งใดก็มีความขลัง ดังนั้น ไม่ว่าท่านสร้างรุ่นไหนจะสะสมไว้หมด เพราะเชื่อว่า ในอนาคตจะเป็นของหายาก ไม่ต้องไปตามเช่าหาด้วยราคาที่สูงกว่าปัจจุบัน

พระครูสมุห์สงบ กิตติญาโณ พระเลขาฯ หลวงปู่แย้ม ซึ่งถือว่ามีบทบาทในการสร้างและปลุกเสกเสือทุกรุ่นของวัดตะเคียน เปิดใจว่า ปัจจัยที่ได้จากการบูชาเสือรุ่น 1-5 ทางวัดนำไปใช้เป็นทุนทรัพย์สร้างวัดเป็นหลัก เนื่องจากมีโครงการสำคัญๆ รออยู่อีกมาก ซึ่งการสร้างทุกครั้งได้รับความเห็นชอบจากหลวงปู่แย้ม โดยท่านจะอธิษฐานจิตให้เป็นปฐมฤกษ์ เนื่องจากกายสังขารไม่ทนทานต่อการไปนั่งปรกร่วมกับสหธรรมิก ส่วนเรื่องประสบการณ์ต่างๆ นั้น ขึ้นอยู่กับความเชื่อความศรัทธา และบารมีของผู้บูชาแต่ละคน หลวงปู่แย้มท่านไม่ได้มุ่งเน้นให้ยึดติดแต่อย่างใด จุดมุ่งหมายของท่านคือการสร้างสรรค์สิ่งดีๆ เพื่อวัดและชาวบ้าน เปรียบเสมือนการคืนกำไรให้ชุมชน ที่ได้ช่วยเหลือเจือจานพระสงฆ์สามเณรในวัดสืบต่อกันมาตามยุคสมัย

สำหรับนักสะสมที่นิยม "เสือรุ่น 5" ยังมีโอกาสร่วมบุญบูชา แต่อย่าชักช้าเด็ดขาดเพราะอาจจะหมดจากวัดในเร็วๆ นี้ ซึ่งเสือรุ่นนี้ นับเป็นการพิสูจน์ให้เห็นถึงบารมีที่ไม่เสื่อมคลายของหลวงปู่แย้มอีกครั้ง ตลอด 3 วันดังกล่าวมา มียอดเงินเข้าวัดนับล้านบาท ซึ่งล้วนมาจากคำว่า "ศรัทธา" อย่างแท้จริง


ขอบคุณข้อมูลและจาก
วันที่ 03 มีนาคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 19 ฉบับที่ 7034 ข่าวสดรายวัน
หน้า 32
http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROaWRXUXdNekF6TURNMU13PT0=&sectionid=TURNd053PT0=&day=TWpBeE1DMHdNeTB3TXc9PQ==

 


2



คมชัดลึก : "งานไหว้ครูหลวงพ่อเปิ่น" หรือ "พระอุดมประชานาถ" อดีตเจ้าอาวาสวัดบางพระ อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม ที่ลูกศิษย์ขนานนามให้เป็น "เทพเจ้าแห่งลุ่มแม่น้ำนครชัยศรี" จะทำกันทุกปีในวันเสาร์ของเดือนกุมภาพันธ์ หรือเดือนมีนาคม


 สาเหตุที่ทำพิธีกันในวันเสาร์ บูรพาจารย์กล่าวไว้ว่า วันเสาร์เป็นวันที่แข็งที่สุด พิธีการอันใดที่วัดจัดขึ้นในวันนี้ จะมีกฤตยานุภาพเข้มแข็งมาก วันบูชาครูเป็นวันที่เสมือนหนึ่งเป็นการแสดงความกตัญญูกตเวทีน้อมระลึกเคารพนับถือบุญคุณของบูรพาจารย์ ครูบาอาจารย์ คณาจารย์ผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาความรู้ วิชาไสยเวท คาถาอาคม คัมภีร์ต่างๆ ให้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ตั้งมั่นกระทำแต่ความดี โดยปีนี้จัดขึ้นในวันเสาร์ที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ เวลา ๐๙.๓๙ น.

 อย่างไรก็ตาม แม้หลวงพ่อเปิ่นจะมรณภาพไปแล้ว ๘ ปี (เมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๔๕ เวลา ๑๐.๕๕ น. อายุ ๗๙ ปี ๕๔) แต่พระสงฆ์ที่เป็นลูกศิษย์ยังคงสืบทอดการสักยันต์ตามตำราของหลวงพ่อเปิ่นไว้อย่างสมบูรณ์

 ในวันไหว้ครูหลวงพ่อเปิ่น ถือเป็นวันชุมนุมลูกศิษย์นับหมื่นคน จากทั่วทุกสารทิศ ยังคงแห่ร่วมพิธีไหว้ครูกันเป็นประจำทุกปี เพื่อเป็นการระลึกถึงครูบาอาจารย์เป็นสำคัญ

 ปรากฏการณ์อย่างหนึ่ง ที่น่าสนใจในวันไหว้ครู คือศิษย์คนใดสักยันต์รูปสัตว์ชนิดใดก็จะแสดงอาการของสัตว์ชนิดนั้นๆ ตลอดช่วงพิธีไหว้ครู ซึ่งเป็นภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจ สำหรับผู้ที่ไม่เคยได้เห็นมาก่อนเป็นอย่างยิ่ง

 ลานโล่งด้านหน้ารูปหล่อหลวงพ่อเปิ่น เบียดเสียดยัดเยียด นำพานดอกไม้มาบูชาครู ส่วนภายในวงสายสิญจน์ ผู้คนนั่งเบียดเสียดแออัดกันเต็มสนามรอบสายสิญจน์ที่ดูแคบไปถนัดใจ มองนอกวงสายสิญจน์ ผู้คนมามุงแออัดทั้ง ๔ ด้าน ต่างรอคอยด้วยใจอันจดจ่อต่อพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์

 ครั้นได้ฤกษ์ พิธีเริ่มขึ้นเวลา ๐๙.๓๙ น. พระครูอนุกูลพิศาลกิจ หรือหลวงพ่อสำอาง เจ้าอาวาสวัดบางพระ ได้เดินผ่านหมู่ลูกศิษย์ที่พนมมือกราบไหว้ตลอดระยะทาง จนขึ้นสู่ปะรำพิธี หมู่ลูกศิษย์ที่อยู่ในวงสายสิญจน์ บางคนก็เกิดอาการที่เรียกว่า "ของขึ้น"

 คนที่ของขึ้น ส่วนใหญ่มักเกิดแก่คนที่มีความเลื่อมใส จิตใจตั้งมั่นยึดมั่นในครูบาอาจารย์ อ่อนไหวง่าย เมื่อหลับตาระลึกถึงครูบาอาจารย์ท่าน พวกที่สักอักขระที่เป็นรูปลักษณ์ต่างๆ เช่น สักรูปเสือเผ่น ก็กางเล็บกระโดดโจนทะยานวิ่งเข้าหาหลวงพ่อหน้าปะรำพิธี


 ขณะที่หลวงพ่อเริ่มทำการบวงสรวง จุดธูปเทียน บูชาครู บูรพาจารย์ ผู้ที่สักเป็นรูปหนุมานก็กระโดดโลดเต้นตีลังกาเข้าหา ที่สักหมูป่าก็แผดเสียงร้องก้อง วิ่งเข้าหาหลวงพ่อ บนพื้นดินก็มีคนคลานเลื้อยเหมือนปลาไหล

 ที่น่าแปลกก็คือ ภายหลังจบพิธี ไม่พบร่องรอยบาดแผล ถลอก หรือเลือดตกยางออกให้เห็นเลย  บางคนของขึ้น ก็ทำท่าทางยกมือเหมือนถือไม้เท้าเดินกระย่องกระแย่ง ลักษณะเหมือนฤาษี   ตอนนี้โกลาหลไปหมด คนที่นั่งในวงสายสิญจน์ต่างก็แตกตื่นลุกหนีคนที่ของขึ้น ต้องคอยหลบหลีกพวกที่ของขึ้น วิ่งเข้าหาปะรำพิธีกันอลหม่าน

 ภายในสนามรอบสายสิญจน์ คนที่ของขึ้นต่างก็วิ่งเข้าหาหน้าปะรำพิธี แต่ก็มีพวกลูกศิษย์ที่จิตใจแข็ง ไม่เกิดอาการของขึ้น หลายคนช่วยกันจับคนที่ของขึ้นที่มีกำลังวังชามากมาย ที่ไม่รู้ว่าไปเอามาจากไหน

 วิธีแก้ของขึ้น ก็โดยการใช้ ๒ มือ ตบที่หูเบาๆ หรือใช้มือลูบหน้าตรงจมูก หรือยกขาให้สูงกว่าตัว การไม่ให้ของขึ้นจะเตือนสติให้หายใจลึกๆ ให้ลืมตา ไม่ให้หลับตา

 เคยถามคนที่ของขึ้นว่า รู้สึกยังไง เขาก็ตอบว่า ระหว่างหลับตาอยู่ในภวังค์ สติวูบไปอย่างไม่รู้สึกตัวว่า ตัวเองทำอะไรไปบ้าง

 สำหรับอาการของขึ้นในวันไหว้ครูนั้น พระอาจารย์อภิญญา คนุตฺตโม หรือหลวงพี่ญา อธิบายว่า เกิดจากจิตและศรัทธาของผู้สักยันต์ พวกที่สักอักขระที่เป็นรูปลักษณ์ต่างๆ เช่น สักรูปเสือเผ่น ก็กางเล็บกระโดดโจนทะยานวิ่งเข้าหาหลวงพ่อหน้าปะรำพิธี ขณะที่หลวงพ่อเริ่มบวงสรวง จุดธูปเทียนบูชาครูบูรพาจารย์ ผู้ที่สักเป็นรูปหนุมานก็กระโดดโลดเต้นตีลังกาเข้าหา ที่สักหมูป่าก็แผดเสียงร้องก้อง วิ่งเข้าหาหลวงพ่อ บนพื้นดินก็มีคนคลานเลื้อยเหมือนปลาไหล

 ทั้งนี้ต้องยอมรับว่า อาการของขึ้นมีทั้งขึ้นจริงและขึ้นตามเพื่อน รายที่ขึ้นตามเพื่อน เพราะถ้าไม่ขึ้นอาจจะคิดไปเองว่าไม่ขลัง จึงต้องทำแกล้งบ้าง รายที่แกล้งขึ้นจะสังเกตได้ง่ายๆ คือ ขึ้นบ่อยครั้งมากเกินไป

 อาการของขึ้นมากที่สุด น่าจะเป็นเสือเผ่น รองลงมาเป็นฤาษี (พ่อแก่) หนุมาน ลิงลม หมูทองแดง และปลาไหล ที่เป็นเช่นนี้เพราะมีคนสักยันต์รูปเสือเผ่นมากกว่าสัตว์อื่นๆ

 ส่วนจำนวนลูกศิษย์ที่มาสักยันต์เพิ่มขึ้น มีเหตุปัจจัยหลายอย่าง อาทิ คนในสังคมปัจจุบันขาดกำลังใจ และเชื่อว่า อักขระเลขยันต์ของหลวงพ่อเปิ่นสามารถช่วยบรรเทาทุกข์ได้

 รวมทั้งการเสนอข่าวของสื่อมวลชน คำเล่าขานของคนรุ่นก่อนๆ และการคมนาคมที่สะดวกขึ้น  บางวันมีคนมาตั้งแต่ ๖ โมงเช้า สักยันต์ไปจนถึงมืดค่ำก็มี ถ้าเป็นวันเสาร์-อาทิตย์ อาจจะเป็นร้อยคน เหตุที่คนสักมากขึ้น สภาพสังคมขาดที่พึ่งทางใจ สักแล้วจะทำให้ชีวิตดีขึ้น ส่วนใหญ่จะเป็นพวกเมตตามหานิยม คุ้มครองให้เกิดความปลอดภัย

 หลวงพี่ญา พูดไว้อย่างน่าคิดว่า "ใครที่สักยันต์จากสำนักวัดบางพระ ใช่ว่าสักไปแล้วจะขลัง มีพุทธเข้มขลังเสมอไป ทั้งนี้ ต้องยึดหลักปฏิบัติอย่างเคร่งครัด คือ ๑.ศีล ๕ อย่าให้ขาด โดยเฉพาะข้อ ๓ ห้ามผิดลูกเขาเมียเขา เที่ยวซ่องโสเภณี ใครผิดข้อนี้ข้อเดียว พุทธคุณของยันต์ไม่แสดงปาฏิหาริย์  นอกจากนี้แล้ว ยังมีข้อห้ามสำหรับคนสักยันต์อีก คือ ๑.ห้ามผิดลูกเมียเขา ๒.ห้ามด่าบุพการี ๓.ห้ามกินน้ำเต้า มะเฟือง และ ๔.ห้ามลอดไม้ค้ำกล้วย ตะพานหัวเดียว


 อุปเท่ห์ของผู้ที่สักยันต์ จะต้องยึดถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ด้วยบุญญาธิการของบูรพาจารย์ คณาจารย์ที่ถ่ายทอดสู่ตัวของคนสักยันต์ ไม่ให้เสื่อมคลายความขลัง ต้องถือปฏิบัติในความดี ข้อห้ามต่างๆ ที่มีมาในสมัยโบราณ อย่างที่เรียกว่า คนดี สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ผีคุ้ม ปกป้องกันภัย เป็นข้อเตือนสติให้ตระหนักถึงผลกรรมดี กรรมชั่ว"
ขอบคุณภาพและข้อมูลโดย
0 เรื่อง ไตรเทพ ไกรงู 0
0 ภาพ ประเสริฐ เทพศรี 0[/color]

http://www.komchadluek.net/detail/20100301/50358/เสือขึ้นปีเสือวันไหว้ครูหลวงพ่อเปิ่นปี๕๓.html

3
ชาวตรังตื่น พบวัตถุโบราณ ที่ถ้ำเขาสาย (ไทยรัฐ)




          คาดเป็นเครื่องปั้นดินเผาในยุคก่อนพุทธกาล มีอายุประมาณ 3,000 - 4,000 ปี ส่วนพระดินดิบที่พบน่าจะอยู่ในยุคสมัยอาณาจักรศรีวิชัยประมาณ 1,300 ปี...

          ผู้สื่อข่าวรายงานจาก จ.ตรัง วานนี้ (24 ก.พ.) ภายหลังเกิดกระแสข่าวเรื่องการขุดค้นพบวัตถุโบราณภายในถ้ำเขาสาย ม.3 ต.บางดี อ.ห้วยยอด จ.ตรัง ซึ่งล่าสุดทางนักโบราณคดีจากสำนักศิลปากรที่ 15 จ.ภูเก็ต ได้เดินทางมาเก็บตัวอย่างสิ่งของที่พบไปเก็บรักษาไว้ที่สำนักศิลปากรที่ 15 ภายหลังเกิดกระแสข่าวดังกล่าวปรากฏว่ามีชาวบ้านที่ทราบข่าว ทยอยเดินทางเข้าไปยังถ้ำเขาสายกันอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อเวลา 11.00 น.วันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวได้เดินทางเข้าไปตรวจสอบ จากการเข้าตรวจสอบในพื้นที่พบว่าบริเวณรอบ ๆ ภูเขาสาย อยู่ในความดูแลของสำนักสงฆ์เขาสาย มีพระจำพรรษาอยู่ 3 รูป ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวถูกประกาศโดยกรมศิลปากร ให้เป็นโบราณสถาน

          พระประสิทธิ์ อาริโย หัวหน้าสำนักสงฆ์ กล่าวว่า เมื่อวันที่ 22 ก.พ.ที่ผ่านมาขณะที่กำลังปีนขึ้นไปสำรวจถ้ำบนภูเขา เพื่อจะหาที่จำพรรษา กระทั่งไปเจอถ้ำ ๆ หนึ่งบนยอดเขา จึงลองเข้าไปสำรวจดู ก็พบกับชิ้นส่วนของเครื่องปั้นดินเผา เป็นหม้อ 3 ขา ในสภาพแตกหัก และยังมีเศษชิ้นส่วนของเครื่องปั้นดินเผาที่แตกกระจัดกระจายอยู่เป็นจำนวน มาก จากนั้นจึงทำการสำรวจเข้าไปอีก ก็พบกับพระพิมพ์ดินดิบ ทั้งที่มีสภาพสมบูรณ์ และแตกหักอีกเป็นจำนวนมาก

          หัวหน้าสำนักสงฆ์เขาสาย  กล่าวต่อว่า นอกจากเศษชิ้นส่วนของเครื่องปั้นดินเผา และพระแล้วยังพบเศษชิ้นส่วนกระดูก ซึ่งเชื่อว่าเป็นกระดูกสัตว์อีกจำนวนหนึ่ง รวมถึงซากเปลือกหอยโบราณ ตนจึงแจ้งไปยัง อบต.บางดี ให้เข้ามาตรวจสอบ จากนั้นจึงแจ้งไปยังสำนักศิลปากรที่ 15 ก่อนที่เจ้าหน้าที่จากกรมศิลปากร จะเดินทางมาตรวจสอบ และยืนยันว่าเศษเครื่องปั้นดินเผาที่พบ เป็นเครื่องปั้นดินเผาในยุคก่อนพุทธกาล มีอายุประมาณ 3,000-4,000 ปี ส่วนพระดินดิบที่พบ เป็นพระที่มีการสร้างในยุคสมัยอาณาจักรศรีวิชัย ราวพุทธศตวรรษที่ 13-18 หรือประมาณ 1,300 ปีมาแล้ว

          ด้าน พระครูสุกิจวิธาน เจ้าคณะอำเภอวังวิเศษ จ.ตรัง ที่เดินทางมาชมวัตถุโบราณที่พบที่ถ้ำเขาสาย กล่าวว่า จากการสอบถามประวัติของถ้ำเขาสายจากคนเฒ่าคนแก่ในยุคก่อนหน้านี้ เชื่อว่าพื้นที่ตรงนี้เดิมในอดีต น่าจะเป็นชุมชนใหญ่แห่งหนึ่ง ที่มีความเชื่อมโยงกับโบราณสถานหลายแห่ง เช่นวัดถ้ำเขาปินะ โดยในอดีตเคยเป็นที่ประทับชั่วคราวของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 และเป็นถ้ำที่อยู่ไม่ไกลกัน

          ส่วน ร.อ.บุณยฤทธิ์ ฉายสุวรรณ นักโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ 15 จ.ภูเก็ต กล่าวว่า การค้นพบในครั้งนี้ ถือว่าเป็นการค้นพบที่สำคัญอีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากชิ้นส่วนที่พบค่อนข้างที่จะมีความสมบูรณ์ โดยสามารถตอบได้ว่าการค้นพบในครั้งนี้แบ่งออกเป็น 2 ยุคสมัยด้วยกัน หม้อสามขานั้นจะอยู่ในช่วงสมัยก่อนประวัติศาสตร์ 3,000 - 4,000 ปี และการค้นพบพระพิมพ์ดินดิบ ถือว่าเป็นช่วงที่มีความเชื่อในเรื่องของศาสนา น่าจะอยู่ในช่วงสมัยศรีวิชัย ราวพุทธศตวรรษ 13-18 โดยการค้นพบหลักฐานทางประวัติศาสตร์ทั้ง 2 สมัยในบริเวณสถานที่เดียวกัน พอจะบ่งบอกได้ว่าในอดีตที่แห่งนี้เคยเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์มาก่อน ทั้งนี้เส้นทางแห่งนี้น่าจะเป็นเส้นทางต่อเชื่อมทะเลอันดามันไปยังอ่าวไทย หรือเป็นทางผ่านไปยังจังหวัดต่าง ๆ หรืออาจจะเป็นจุดพักของมนุษย์ในช่วงเดินทาง

          ร.อ.บุณยฤทธิ์ กล่าวด้วยว่า ทั้งนี้ทราบว่าการค้นพบหม้อสามขานั้น ได้มีการค้นพบในพื้นที่ จ.กาญจนบุรี และสุพรรณบุรี บริเวณเหล่านั้นเป็นพื้นที่ราบ แต่การค้นพบที่ จ.ตรัง นั้นเป็นพื้นที่เนินเขาและอยู่ภายในถ้ำ ดังนั้นอาจจะเป็นไปได้ว่าในอดีต น่าจะมีการติดต่อแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างกัน และหม้อสามขา อาจจะเกิดขึ้นในพื้นที่ภาคใต้ก็เป็นได้ และตนเชื่อว่าถ้ำภูเขาสาย น่าจะเป็นแหล่งโบราณคดีที่สำคัญของชาติ จึงขอความร่วมมือไปยังประชาชน นักท่องเที่ยว และผู้นำท้องถิ่นให้ช่วยกันดูแลรักษา และห้ามมิให้เข้าไปขุดถ้ำดังกล่าว เพราะจะทำให้หลักฐานทางโบราณคดีเสียหายได้ หากผู้ใดฝ่าฝืนจะมีโทษตามกฎหมายทั้งจำและปรับ


ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก

ไทยรัฐ

4





คมชัดลึก :วัดประดู่ (พระอารามหลวง) ต.วัดประดู่ อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม เป็นวัดเก่าแก่ สร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ต่อมาในรัชกาลที่ ๕ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จประพาสต้นทางชลมารค มาที่วัดนี้ สมัยที่ หลวงปู่แจ้ง เป็นเจ้าอาวาส ทรงมีพระราชศรัทธาเลื่อมใสในหลวงปู่แจ้งมาก และได้ถวายสิ่งของต่างๆ ให้แก่หลวงปู่ เช่น เรือเก๋งพระที่นั่ง พระแท่นบรรทม ตาลปัตร ปิ่นโต สลกบาตร ฯลฯ ซึ่งปัจจุบันทางวัดได้สร้าง พิพิธภัณฑ์พระราชศรัทธา ร.๕ และได้เก็บรักษาสิ่งของเหล่านี้ไว้เป็นอย่างดี


  นอกจากนี้ ในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ยังเป็นที่ประดิษฐานหุ่นรูปเหมือนพระเกจิอาจารย์ใน จ.สมุทรสงคราม หลายท่านด้วยกัน อาทิ หลวงพ่ออ้น วัดบางจาก หลวงพ่อคง วัดบางกะพ้อม หลวงพ่อบ่าย วัดช่องลม หลวงพ่อใจ วัดเสด็จ หลวงพ่อเนื่อง วัดจุฬามณี หลวงพ่อหยอด วัดแก้วเจริญ หลวงพ่อคลี่ วัดประชาโฆสิตาราม สมเด็จพระธีรญาณมุนี อดีตเจ้าอาวาสวัดปทุมคงคา เจ้าคณะภาค ๑

 หุ่นรูปเหมือนพระเกจิอาจารย์เหล่านี้สร้างด้วย "ดินสอพอง" โดยหลวงพ่อพระมหาสุรศักดิ์ เจ้าอาวาสรูปปัจจุบันเป็นผู้ปั้นขึ้นเอง นับเป็นหุ่นรูปเหมือนที่ใช้วัสดุในการสร้างไม่เหมือนกับที่อื่นใด

 นอกจากหุ่นปั้นดินสอพองแล้ว ในพิพิธภัณฑ์ยังมีพระรูปเหมือนรัชกาลที่ ๕ แกะสลักจากไม้หอม ซึ่งผู้ที่เข้าภายในพิพิธภัณฑ์จะได้กลิ่นหอมตามธรรมชาติของเนื้อไม้อบอวลตลอดเวลา

 กล่าวสำหรับ หลวงปู่แจ้ง อดีตเจ้าอาวาสวัดประดู่ เป็นพระเกจิอาจารย์ที่เก่งกล้าสามารถมาก จนมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วลุ่มน้ำแม่กลอง ลูกศิษย์ของท่านที่มีชื่อเสียง คือ หลวงปู่ยิ้ม วัดหนองบัว จ.กาญจนบุรี ผู้ได้รับการถ่ายทอดวิชาอาคมต่างๆ จากหลวงปู่แจ้งอย่างครบถ้วน
 
 ในสมัยต่อมา หลวงปู่ใจ วัดเสด็จ ได้เดินทางไปขอเรียนวิชาอาคมของ หลวงปู่แจ้ง จาก หลวงปู่ยิ้ม อีกทอดหนึ่ง (สมัยนั้นลูกศิษย์สำคัญอีกท่านหนึ่งของหลวงปู่ยิ้ม ก็คือ หลวงปู่เปลี่ยน วัดไชยชุมพลชนะสงคราม (วัดใต้) จ.กาญจนบุรี)

 กล่าวโดยสรุป วิชาอาคมของสายหลวงปู่แจ้ง กำเนิดขึ้นที่ จ.สมุทรสงคราม (หลวงปู่แจ้ง วัดประดู่) ไปสู่ จ.กาญจนบุรี (หลวงปู่ยิ้ม  วัดหนองบัว) แล้วได้ย้อนกลับมาสู่ จ.
สมุทรสงคราม (หลวงปู่ใจ วัดเสด็จ) อีกครั้งหนึ่ง และได้มีสืบทอดสู่พระเกจิอาจารย์เมืองแม่กลอง จ.สมุทรสงคราม ตามลำดับมาอีกหลายท่าน

 หนึ่งในนั้นก็คือ หลวงพ่อหยอด วัดแก้วเจริญ ศิษย์เอกของหลวงปู่ใจ วัดเสด็จ  และผู้ที่ได้รับการสืบทอดวิชาอาคมเหล่านี้จากหลวงพ่อหยอด ก็คือ หลวงพ่อพระมหาสุรศักดิ์ เจ้าอาวาสประดู่รูปปัจจุบันนี่เอง (ตำราเล่มหนึ่งของหลวงปู่แจ้ง ระบุ พ.ศ.๒๔๖๐ เขียนโดยพระแจง ปัจจุบันได้ตกทอดมาถึงหลวงพ่อพระมหาสุรศักดิ์)

 นอกจากนี้ หลวงพ่อสุรศักดิ์ ยังได้เรียนวิชาการทำปลัดขิก (ท่านเรียกว่า “เจ้าทะเล”) โดยเรียนมาจาก อาจารย์เส่ง ซึ่งเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อบุศย์ วัดพรหมวิหาร จ.เพชรบุรี (หลวงพ่อบุศย์ เป็นลูกศิษย์ หลวงพ่อโศก วัดปากคลอง) หลวงพ่อจึงมีวิชาการทำตะกรุดมหาปราบ และตะกรุดลูกอมหัวใจโลกธาตุ ตะกรุดหลวงปู่ใจ ด้ายไหมเจ็ดสี ฯลฯ อย่างครบถ้วน

 ขณะเดียวกัน ยามที่มีเวลาว่าง หลวงพ่อสุรศักดิ์มักจะเดินทางไปรับใช้ หลวงปู่เจือ วัดกลางบางแก้ว จ.นครปฐม ในการทำ เบี้ยแก้ อีกด้วย โดยท่านจะเป็นผู้บรรจุปรอท และลงเหล็กจารกำกับบนแผ่นตะกั่วที่หุ้มเบี้ยแก้ โดยทำมาหลายปีแล้ว จวบจนหลวงปู่เจือมรณภาพเมื่อไม่นานมานี้

 หลวงพ่อสุรศักดิ์ เป็นศิษย์สายตรงของ หลวงพ่อสุด วัดกาหลง จ.สมุทรสาคร ก่อนที่จะก้าวไกลมาจนทุกวันนี้ รวมทั้งยังมีอาจารย์ที่เป็นฆราวาสอีกหลายท่าน เรื่องของวิชาอาคม และการสร้างวัตถุมงคล เครื่องรางของขลัง ท่านจึงมีความสามารถในทุกด้าน

 แต่ที่ผ่านๆ มา วัตถุมงคลทุกรุ่นที่หลวงพ่อสุรศักดิ์ ได้สร้างออกมาในนามของวัดประดู่นั้น ล้วนเป็นรูปเคารพของหลวงปู่แจ้ง และรูปเคารพอื่นๆ ยังไม่เคยสร้างรูปเคารพของตัวท่านเองมาก่อนเลย ทั้งๆ ที่มีลูกศิษย์ลูกหาเรียกร้องกันอย่างมากมาย

 จึงไม่น่าแปลกใจ เมื่อวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๓ นี้เอง ทางวัดได้มีประกาศการจัดสร้าง เหรียญรุ่นแรก หลวงพ่อสุรศักดิ์ ขึ้นมาเพียงวันเดียว บรรดาลูกศิษย์จากทั่วทุกสารทิศ ซึ่งได้ทราบข่าวล่วงหน้ามาแล้ว จึงแห่กันมาจองจนเหรียญหมดในวันเดียว

 จำนวนเหรียญที่สร้าง เนื้อทองผสม ๓ หมื่นเหรียญ เนื้อเงิน ๒,๕๕๓ เหรียญ เฉพาะเนื้อทองคำ สร้างเท่าจำนวนสั่งจอง โดยเปิดรับจองจนถึงวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๓ มีผู้สั่งจองทั้งสิ้น ๔๔๙ เหรียญ (เหรียญละ ๒.๕ หมื่นบาท)

 เหรียญรุ่นแรกนี้หลวงพ่อจะประกอบพิธีปลุกเสกในวันเสาร์ที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๕๓ (วันเสาร์ห้า) วัตถุประสงค์ เพื่อรวบรวมทุนทรัพย์มุงหลังคากระเบื้องกุฏิสงฆ์

 หลวงพ่อพระมหาสุรศักดิ์ อติสกฺโข ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนขึ้นดำรงสมณศักดิ์ที่ พระครูพิศาลจริยาภิรม เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๒


ขอบคุณภาพและข้อมูล
0 แล่ม จันท์พิศาโล 0
คมชัดลึกด้วยครับ :054:
 


5
คมชัดลึก :พิษณุโลกกรุแตกวัดสุดสวาสดิ์ ขุดเจอพระนางพญาสมัยอยุธยาตอนกลางใต้ฐานพระประธานพร้อมสังฆโลก

 เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 14 ก.พ.53 ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งว่าที่วัดสุดสวาสดิ์ ต.บ้านคลอง อ.เมือง จ.พิษณุโลก มีการรื้อศาลาหลังเก่าเพื่อสร้างใหม่ มีการขุดพบกรุพระนางพญาจำนวนมาก จึงเดินทางไปตรวจสอบ  พบว่าที่ภายในบริเวณวัดมีชาวบ้านจำนวนมากแห่กันมาขุดค้นหากรุพระกันตั้งแต่ตี5 โดยมีรถแบ็กโฮขุดรื้อถอนซากศาลาออกจากพื้นดิน ตลอดเวลามีชาวบ้านคุ้ยเขี่ยกองดิน พบพระเครื่องเนื้อดินเผากระจัดกระจายไปทั่วบริเวณ ชาวบ้านที่มามุงดูต่างเข้ายื้อแย่งชิงเอาไปเป็นของตัวเองจำนวนมาก ต่อมาทางวัดได้แจ้งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาดูแลความสงบ เพื่อป้องกันไม่ให้ชาวบ้านเข้ามาแย่งกรุพระของทางวัด ซึ่งก่อนหน้ามีชาวบ้านมาขุดคุ้ยได้พระไปนับพันองค์

 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สภาพที่ขุดพบกรุพระเครื่องครั้งนี้ รถแบ็กโฮขุดลึกประมาณ 3 เมตร วัตถุลักษณะเป็นโอ่งหรือไหโบราณสภาพที่แตกไปครึ่งหนึ่ง เนื่องจากถูกรถแบ็กโฮขุดไปโดนในช่วงแรก ปรากฏว่าพบกรุพระเครื่องบรรจุอยู่ข้างใน จึงได้ใช้เสียมเสาะรอบข้างเพื่อนำเอาขึ้นมาในลักษณะเหมือนเดิม แต่สภาพแตกไปแล้วครึ่งโอ่ง

 พระครูประภัศร์โสตถิคุณ เจ้าอาวาสวัด กล่าวว่า ก่อนหน้าทางวัดต้องการจะสร้างศาลาหลังใหม่ เนื่องจากหลังเดิมที่รื้อถอนอยู่ในสภาพทรุดโทรม เพราะเป็นศาลาดินเก่าแก่อายุกว่า 100 ปี ช่วงหลังมีการเทพื้นปูนแทนของเก่า จึงใช้ได้ต่อมาอีกหลายสิบปี แต่หลังจากนั้นศาลาเริ่มเสื่อมโทรมตามสภาพ จึงได้ทำการรื้อทิ้งเพื่อจะวางรากฐานสร้างหลังใหม่แทน หลังจากนั้นได้ว่าจ้างรถแบ็กโฮมาทำการขุดพื้นปูนซีเมนต์ และขุดเสาที่ฝังอยู่ใต้ดินก่อน แต่ปรากฏว่าระหว่างที่รถแบ็กโฮขุดดินมาเททิ้งมีพระติดมาจำนวนหนึ่ง จึงได้สั่งให้คนขับแบ็กโฮขุดเปิดหน้าดินเป็นบริเวณกว้างลึกลงไปประมาณ 3 เมตร พบพระบรรจุอยู่ในไหโบราณขนาดใหญ่มีพระนางพญาบรรจุอยู่เต็ม เป็นพระนางพญากรุวัดสุดสวาทที่เคยแตกเมื่อร่วม 100 ปีที่ผ่านมา เพราะสภาพพระและภาชนะที่บรรจุอยู่ในสภาพที่เปื่อยยุ่ย

 ด้านนายพลายลน ศรีเมือง กำนันตำบลบ้านคลอง กล่าวว่า หลังจากที่วัดได้เริ่มรื้อถอนศาลหลังเก่า ตนได้เข้ามาดูแลความเรียบร้อย ซึ่งได้ทำการรื้อถอนศาลามาแล้วสองวัน วันแรกไม่พบกรุพระเครื่องแต่อย่างไหน แต่ช่วงวันที่สองขณะที่รถแบ็กโฮขุดดินขึ้นมา ปรากฏว่าพระครูประภัศร์โสตถิคุณ เจ้าอาวาสวัด เห็นพระเครื่องติดมากับดินพร้อมกันด้วย จึงได้ขุดลงไปจนพบภาชนะบรรจุพระจำนวนมาก พร้อมภาชะกระเบื้องน่าจะเป็นสังฆโลก ส่วนศาลาหลังดังกล่าวปลูกสร้างมานานแล้วตั้งแต่ตนยังไม่เกิด เป็นศาลาดิน ช่วงหลังมีการปรับปรุงเทพื้นคอนกกรีต พร้อมกับนำพระประธานมาตั้งไว้กราบบูชา ซึ่งเป็นรูปปั้นหลวงงปู่โง่น และรูปปั้นสมเด็จพุทธจารย์โตพรมรังสี แต่ไม่มีการนำพระมาฝังเอาไว้ ซึ่งกระพระที่ขุดพบเป็นพระนางพญากรุวัดสุดสวาสดิ์เนื้อดินเก่า อายุน่าจะเกิน 100 ปี ตอนนี้ทางวัดและคณะกรรมการเตรียมจะนำออกมาให้บูชา เพื่อนำรายได้มาสร้างศาลาหลังใหม่

 ขณะที่อาจารย์ไพบูลย์ ปาณะดิษ ผู้รอบรู้พระเครื่อง พระบูชาไทย จ.พิษณุโลก เปิดเผยว่า เท่าที่ตนมาพิสูจน์กรุแตกที่วัดสุดสวาสดิ์ นั้นของจริง ไหที่บรรจุพระนางพญากรุนี้อายุประมาณ 400 ปี โดยสังเกตุจากเนื้อไห ที่ถูกฝังดินมานาน จนเกิดการออกซิเดชั่นของเนื้อไหจนมี 2 ชั้น คาดว่าถูกฝังในอายุสมัยอยุธยาตอนกลาง ยุคที่สมเด็จพระนเรศวรเคยสร้างพระขุนแผน กรุบ้านกร่าง จ.สุพรรณบุรี แต่พระนางพญาสุดสวาสดิ์ที่เห็นนี้ ประชาชนทั่วไปเป็นคนสร้าง จึงไม่นิยมเก็บไว้ตามบ้านเรือน ยุคนั้นเขาสร้าง 1 ธรรมขันธ์ หรือ 84 , 000 องค์ ฝังไว้ในวัด ซึ่งพระนางพญาสุดสวาสดิ์ก็ถูกฝังไว้ใต้ศาลานั่นเอง ฉะนั้นเนื้อดินพระนางพญาย่อมถูกสร้างสมัยอยุธยาตอนกลางๆเช่นกัน
 

ขอบคุณข้อมูลจาก www.komchadluek.net

6
กุมารดำ   ยอด เฮี้ยน เห็นผู้สร้างมวลสาร เกิน1000 อีก 25; 25; 25;



ลายมืออาจารย์ผู้สร้างสุดสวย และเข้มขลังcolor]

03; 04; 03;



ส่วนตัวเงียบ หรือเพราะเลื้ยงไว้ เป้นกองร้อย เลยไม่รู้องค์ไหนแสดงฤทธิ์38;
 11; 11; 11;

7











*น้อมกราบหลวงปู่เจือ ขอให้หลวงปู่พักให้สบายนะครับ*

8
ภาพหาชมยากนำมาให้ชมด้วย ความอาลัยหลวงปู่เจือ วัดกลางบางแก้ว ระหว่างจารสด เบี้ยแก้ อีกหนึ่งเอกลักษณ์ ของ หลวงปู่วัดกลางบางแก้ว




*นำมาให้ชมด้วยความอาลัยในหลวงปู่อย่างสุดหัวใจ* :054: :054: :054:

9
ช่วยดูรูปหล่อหลวงพ่อขนาดบูชา หน่อยครับ สร้างปีไหน





10
ช่วยดูเหรียญหลังนางกวัก หน่อยครับ แท้ไหม เห็นคอหลวงพ่อท่านไม่พอก อะครับ :054:







11




ชาวบ้านตื่นไหลดำน้ำพี้แห่บูชาเชื่อแคล้วคลาดปลอดภัย (ไทยรัฐ)

          ชาวบ้านอุตรดิตถ์ แพร่ น่าน ตื่น ไหลดำน้ำพี้ แห่ขอบูชาเชื่อ ช่วยให้แคล้วคลาดปลอดภัย และให้โชคลาภ ...

          เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 52 เวลา 10.00 น. ได้มีชาวบ้านจากทั่วทุกสารทิศที่อยุ่ในจังหวัดอุตรดิตถ์ ไปจนถึงจังหวัดแพร่และจังหวัดน่านจำนวนมาก ได้เดินทางมายังบ้านของนายฟุ้ง เชื้อนพคุณ อายุ 65 ปี เลขที่ 43/1 บ้านน้ำพี้ หมู่ 1ต.น้ำพี้ อ.ทองแสนขัน จ.อุตรดิตถ์ อดีตช่างตีเหล็กน้ำพี้  เพื่อขอบูชาไหลดำหรือไหลน้ำพี้ ซึ่งตั้งโชว์อยู่ในตู้กระจกบริเวณหน้าบ้านไม้ชั้นเดี่ยวโดยมีนางจำรัส เชื้อนพคุณอายุ 62 ปีภรรยาของนายฟุ้ง เป็นผู้ดูแลจากการเปิดเผยของ นายฟุ้ง กล่าวว่า "ไหลดำนี้มีมาตั้งแต่สมัยโบราณกาล แต่ยังไม่ถูกเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงให้แพร่หลายออกไป ไหลดำนอกจากจะช่วยในเรื่องของความแคล้วคลาดปลอดภัย สิ่งเร้นลับที่ชั่วร้ายเวทมนต์อวิชารวมไปถึงมนต์ดำทุกชนิด ยังป้องกันภูติผีปีศาจ ป้องกันคุณไสย์และคงกระพันชาตรีแล้ว ยังสามารถแก้โรคร้อนวิชา สำหรับคนที่เคร่งเครียดต่อการเรียนวิชาทางไสยศาสตร์จนเกิดอาการคลุ้มคลั่ง แก้พิษจากสัตว์หลายประเภท อาทิ ผึ้ง แตน ตะขาบ แมงป่อง งูมีพิษ ปลากระเบน และแง่งปลาดุกที่ปักเข้าตามลำตัว"

          ไหลดำถือเป็นธาตุที่ศักดิ์สิทธิ์ชนิดเดียวกับเหล็กไหล ผู้ที่มีไว้ครอบครองต้องเข้าถึงด้วยพลังอำนาจจิตที่บริสุทธิ์ของตนเองจากผลบุญกุศลที่ได้สร้างเอาไว้ หากใครที่คิดชั่วร้าย แม้มีไหลดำติดตัวเอาไว้ใช่ว่าจะป้องกันภัยให้กับตนเองได้ในยามคับขัน ในเรื่องโชคลาภก็จะไม่บังเกิด การที่คนเราจะนำไหลดำสิ่งของชนิดนี้มาใช้ได้ จิตของผู้ครอบครองกับไหลดำจะต้องสื่อถึงกันหรือเข้าถึงกันได้ สังเกต ง่ายๆถ้าต้องการสัมผัส ไหลดำ ให้ใช้ฝ่ามือทั้งสองข้างวางบนก้อนไหลดำหากสื่อถึงกันได้จริงเส้นขนบนแขนทั้ง สองข้างจะตั้งลุกชันขึ้นมาทันที นี้คือพลังอำนาจที่เข้าถึงกันได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ถือศีล คนธรรมดาก็เข้าถึงได้ ขอให้ทุกคนมีจิตที่แน่วแน่ไม่แปรปรวน

          สำหรับตนแล้วรู้จักคำว่าไหลดำจากการที่ทางวัดน้ำพี้ ซึ่งอยู่ใกล้บ้าน ได้มีการนำวัตถุชนิดนี้เข้ามาทำพิธีในพิธีสวดภาณยักษ์เมื่อกว่า 20 ปีที่ผ่านมา เพื่อช่วยขับไล่เสนียดจัญไร ภูมิผีปีศาจที่อาศัยอยู่ในร่างคนรวมถึงผู้ที่โดนคุณไสย์ สืบทราบว่าแหล่งแร่ไหลดำนั้นมีแหล่งอยู่ที่บริเวณถ้ำผาแดงและด้านหลังบ่อ เหล็กน้ำพี้ จึงไปสืบเสาะค้นหามาเมื่อได้แล้วก็ลองผิดลองถูกในวิชาที่ได้เรียนรู้จากครู บาอาจารย์ กระทำเป็นผลสำเร็จสามารถทำไหลดำมาได้ถึงปัจจุบันนี้ หลายคนในหมู่บ้านทราบข่าวต่างก็มีความต้องการอยากจะทำไหลดำแบบที่ตนเองทำ ก็พยายามสืบเสาะค้นหาวิธีการทำและขั้นตอนต่าง ๆ แต่ก็ไม่สามารถทำได้ ไหลดำใช่ว่าทุกคนจะทำได้เสมอไปเหมือนการทำแร่เหล็กน้ำพี้

          เหตุที่ทำไม่ได้เพราะมีขั้นตอนที่ยุ่งยากมากกว่าเหล็กน้ำพี้โดยเฉพาะการเข้าถึงธาตุ ที่ศักดิ์สิทธิ์การสื่อถึงในตัวธาตุกายสิทธิ์ของไหลดำ ขนาดตนเองเคยสอนวิธีการทำไหลดำให้กับลูกหลานคนในครอบครัวเพื่อเป็นการสืบทอด ต่อก็ยังไม่สามารถทำได้เลยเมื่อจิตใจของผู้กระทำสื่อเข้าไม่ถึงถ้าได้หิน หรือธาตุไหลดำนี้มาก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร ทำไปก็มีแต่จะเกิดการแตกหักหลายคนต้องนำหินหรือธาตุไหลดำมาวางตั้งทิ้งเอา ไว้ที่หน้าบ้านหรือภายในบ้านทิ้งเอาไว้เฉย ๆ

          นายฟุ้ง อดีตช่างตีเหล็กน้ำพี้ ปัจจุบันเป็นเจ้าของแร่ไหลดำ ที่มีแห่งเดียวในจังหวัดอุตรดิตถ์และแห่งเดียวในหมู่บ้านของบ้านน้ำพี้ กล่าวว่าไหลดำที่มีรูปร่างกลมและมีขนาดของเส้นผ่าศูนย์กลางตั้งแต่ 2-3.5 เซนติเมตร นี้ทางร้านของเรามีจำหน่ายในราคาเม็ดละตั้งแต่ 30 บาทจนถึงราคาเม็ดละ 300 บาทนอกเหนือจากจะมีติดตัวไว้เพื่อป้องกันภัยต่างๆแล้ว ยังมีการนำมาทำเป็นเครื่องประดับที่สวยงามติดตัวได้อีกโดยนำธาตุไหลดำนำมา ตกแต่งเป็นเครื่องประดับร่วมกับคริสตัลให้เป็นประเภทสร้อยคอซึ่งจากการสัง เกตุของผู้สื่อข่าวพบว่ามีก้อนหินแร่ไหลดำอยู่ด้วยกันประมาณกว่า 10 ก้อน มีหลายขนาดน้ำหนักตั้งแต่ประมาณ 0.3 กรัม ถึงขนาดก้อนใหญ่น้ำหนัก 20 กิโลกรัมวางอยู่ข้างบ้านติดกับเสาต้นไม้สักที่ใช้ทำเพิงกันสาดบริเวณหน้า บ้าน วางเรียงซ้อนกันอยู่ ก้อนหินดังกล่าวเป็นเหมือนก้อนหินทั่วไป

          นอกจากนี้นายฟุ้งยังได้เชิญชวนผู้สื่อข่าว ได้ชมวิธีการทำไหลดำจากก้อนหินแร่ไหลดำที่บริเวณด้านหลังของบ้านของตนเอง ซึ่งตั้งถูกดัดแปลงให้เป็นสถานที่ผลิตไหลดำพบว่า มีการนำก้อนหินที่มีลักษณะผิวด้านนอกมีเป็นสีขาววางไว้บนเหล็กรูปร่างคล้ายรางรถไปยาวประมาณ 40 เซ็นติเมตรและนำหัวตัดแก๊สจุดไฟให้มีความร้อนสูง นำมาเผาหรือรนก้อนหินดังกล่าวเมื่อก้อนหินดังดังกล่าวที่อ้างว่าเป็นแร่ไหล ดำหรือไหลน้ำพี้ เมื่อโดนความร้อนสูงก็จะเปลี่ยนสีเกิดเป็นสีดำแทน เมื่อใช้ความร้อนของไฟเผาต่อไปอีกก็จะกลายเป็นของเหลวมีสีดำไหลย้อยลงมายัง แผ่นเหล็กที่ถูกวางรองรับไว้ด้านล่างเมื่อของเหลวที่มีสีดำโดนความเย็นจึง เกาะตัวรวมกันเป็นก้อนกลมเหมือนก้อนนิลสีดำที่ถูกเจียรนัยแล้ว ลักษณะผิวของธาตุไหลดำนี้จะมีความมันแวววาวเหมือนกระจกจะมองเห็นภาพเงาของตน เองอยู่ภายในนั้นด้วยหลายคนที่เห็นกรรมวิธีทำต่างก็ทึ่งกับธาตุหินดังกล่าว ซึ่งก้อนหินชนิดนี้ข้างนอกดูเป็นก้อนหินธรรมดาทั่วไปเปลือกผิวข้างนอกก็ยัง ดูปกติเหมือนก้อนหินทั่วไปไม่มีการเปลี่ยนแปลง หลังมีการใช้ไฟเผาที่บริเวณก้อนหินที่เปลือกหินดังกล่าวจะเปลี่ยนสีทันที ด้านนางสุภาภรณ์ เหล่าสกุล อายุ 48 ปี ประธานกรรมการผู้จัดการ NSP เคเบิ้ลทีวี จังหวัดแพร่ กล่าวว่า เชื่อในเรื่องของไหลดำหรือไหลน้ำพี้จากบรรพบุรุษปู่ย่า ตายายพยายามสืบเสาะค้นหา เนื่องจากทราบว่าเป็นแร่ที่ศักดิ์สิทธิ์มีอานุภาพไม่ด้อยไปกว่าเหล็กไหล เพียงแต่เหล็กไหลเราเคยได้ยินต่อ ๆ กันมาเท่านั้น

          ส่วนไหลดำสามารถจับและสัมผัสของจริงได้ที่บ้านน้ำพี้ เชื่อในเรื่องของพุทธานุภาพพลังอำนาจที่สถิตย์อยู่ภายใน ทั้งในเรื่องของการป้องกันคุณไสย์และให้โชคลาภ ช่วยคุ้มครองในสิ่งต่าง ๆ ล่าสุดถูกลอตเตอรี่ รางวัลเลขท้าย 2 ตัวติดต่อกัน 2 งวดแล้วหลังจากที่นำไปบูชา ทั้งนี้ตนเองยังได้นำธาตุไหลดำไปแจกจ่ายให้กับญาติพี่น้องที่ต่างจังหวัดโดย เฉพาะญาติๆที่เป็นข้าราชการตำรวจและทหารซึ่งชาวบ้านที่มาท่องเที่ยวที่บ้าน น้ำพี้ ได้เห็นการทำธาตุไหลดำและได้รู้ถึงสรรพคุณในด้านการแก้และป้องกันคุณไสย ได้แห่ซื้อธาตุไหลดำชนิดดังกล่าวไปเป็นจำนวนมาก เพื่อนำไปฝากเพื่อนและญาติพี่น้องที่เป็นข้าราชการตำรวจ ทหาร หลายคนมีญาติปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ จ.ปัตตานี ยะลาและนราธิวาส ซึ่งทุกคนเชื่อว่าธาตุไหลดำดังกล่าวที่ซื้อไปบูชาจะทำให้เกิดความปลอดภัยจาก คมกระสุนและลูกระเบิด รวมถึงนำติดตัวไว้เพื่อเป็นวัตถุมงคลให้เกิดความแคล้วคลาดปลอดภัย แถมยังมีโชคลาภ



ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก ไทยรัฐ


12
  วันที่18/11/2552 ได้พาคุณพ่อ ไปกราบ พระครูสุจิตตาภรณ์ (อ.เจต) วัดนก  ท่านเต็มเปรี่ยมไป ด้วยตบะบารมี มากและมีเมตตา กรุณา อย่างยิ่งยวด ดูได้จาก ถาวรวัตถุที่วัดนกได้เป็นอย่างดี ไม่ เจดีย์อันสง่างาม โบสถ์2ชั้นที่สง่างดงามมาก เป็นต้น
 ท่านได้เมตตา ลงนะหน้าทองและเป่ากระหม่อม ให้คุณพ่อ และท่านได้ให้ ล็อกเก็ตมาด้วย :054:

 



  หลังจากนั้นได้เดินมาจะกลับ พ่อถามว่า พระครูสุจิตตาภรณ์ (อ.เจต) ท่านเรียนกับใครทำไมลงทองได้ ขลังนัก รู้สึกหนักศรีษะและขนตั้งชันอยู่นานขนาดเดินจะมาก็ยังสัมผัส ได้ถึงบารมี :054:

14


ประวัติ พระพิราพ" เรามารู้จักกันเถอะ...


หากเอ่ยถึง "พระพิราพ" เชื่อว่าคงมีไม่มากคนนักที่จะคุ้นเคยกับชื่อนี้... แต่กับคนในวงการนาฏศิลป์และดุริยางคศิลป์แล้ว ชื่อ "พระพิราพ" ถือเป็นชื่อที่มีความสำคัญ เป็นที่เคารพบูชาอย่างสูง และถือเป็นครูคนหนึ่ง ซึ่งคนที่ได้มีโอกาสไปชมการแสดงละคร ในโรงละครแห่งชาติ หรือเคยร่วมในพิธีครอบครูก็คงจะได้เห็นว่า ก่อนที่จะแสดงนั้นจะต้องมีการบูชาครู ซึ่งก็จะมีทั้งพระพิฆเนศ พระฤาษี พระปรคนธรรพ และครูท่านอื่นๆ อีกมาก รวมไปถึง "พระพิราพ" ซึ่งอยู่ในรูปของหัวโขนให้บรรดาศิษย์ได้เคารพกัน

"พระพิราพ" เป็นใคร มาจากไหน และเหตุใดจึงมีความสำคัญต่อวงการนาฏศิลป์และดนตรี?? ตรงนี้มีคำตอบว่า พระพิราพ คือปางหนึ่งของพระศิวะ เป็นปางที่ดุร้าย เหมือนกับพระอุมาที่มีปางเจ้าแม่กาลี พระพิราพถือเป็นเทพเจ้าแห่งความตายและสงคราม แต่อีกด้านหนึ่งก็เป็นผู้ให้ชีวิตและปัดเป่าโรคภัยได้

ส่วนเหตุที่ว่า ทำไมจึงนับถือพระพิราพว่าเป็นครูในวงการนาฏศิลป์และดนตรีนั้น เริ่มมาจากในประเทศอินเดีย ซึ่งถือว่าพระพิราพ หรือพระไภรวะนี้มีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับนาฏศิลป์ เพราะท่านเป็นผู้ให้กำเนิดท่ารำที่เรียกว่า "วิจิตรตาณฑวะ" ซึ่งเป็นท่ารำท่าหนึ่งใน 108 ท่ารำของพระศิวะ ดังนั้นจึงถือว่าท่านเป็น "นาฏราช" ที่หมู่นาฏศิลป์อินเดียให้ความเคารพเกรงกลัว เพราะถือเป็นเทพที่บันดาลความเป็นความตายได้
ส่วนในประเทศไทย ซึ่งได้รับอิทธิพลหลายๆ อย่างมาจากประเทศอินเดียนั้น ก็ได้มีการนับถือพระพิราพกันมาตั้งแต่สมัยโบราณ และมีหลักฐานแน่ชัดในสมัยรัชกาลที่ 4 ในตำราไหว้ครูฉบับของครูเกษ (พระราม) ซึ่งมี เพลงหน้าพาทย์พระพิราพเต็มองค์ที่ใช้ประกอบพิธีไหว้ครู เพลงหน้าพาทย์พระพิราพเต็มองค์นี้ถือว่าเป็นเพลงที่มีความสำคัญมาก เพราะผู้ที่จะเรียนได้ จะต้องผ่านการเรียนหน้าพาทย์ชั้นต้น ชั้นกลาง และชั้นสูง รวมทั้งต้องมีอายุ 30 ปีขึ้นไป และผ่านการอุปสมบทมาแล้วด้วย

นอกจากเพลงพระพิราพแล้ว ก็ยังมีการรำพระพิราพเต็มองค์ ซึ่งพระยานัฏกานุรักษ์ (ทองดี สุวรรณภารต) เป็นผู้ประดิษฐ์ท่ารำขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 7 และสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน ทั้งเพลงและท่ารำพระพิราพเต็มองค์นี้ ถือเป็นการบรรเลงและร่ายรำประกอบอากัปกิริยาของพระพิราพ ซึ่งเป็นอสูรเทพ เป็นภาคที่ดุร้ายของพระศิวะ ไม่ใช่เป็นเพียงอสูรธรรมดาๆ แต่ถือเป็นเทพ ดังนั้น เพลงหน้าพาทย์และท่ารำพระพิราพเต็มองค์นี้ จึงถือว่าเป็นสิ่งที่สูงสุดในวงการดนตรีและนาฏศิลป์ จะแสดงเฉพาะในงานสำคัญๆ เท่านั้น :054:


เครื่องสังเวยพระพิราพ

สำหรับบูชาพระพิราพวันแรก
1 ไข่ไก่ดิบ 5 ฟอง
2 ข้าวตอก 1 ถ้วยชา
3 น้ำผึ้ง    1 ถ้วยชา
4 ดอกไม้,พวงมาลัย รวมกันให้ได้ 3 สีขึ้นไป

คำสวดบูชาองค์พระพิราพ ที่คัดจาก สมุดพระตำรา พิธีไหว้ครู และ พิธีครอบโขน ละคร ของ พระยานัฏการุรักษ์ (ทองดี สุวรรณภารต)

๏ อิมัง พุทธัง องค์พระพิราพัง ขอเอหิจงมา
ธัมมัง องค์พระพิราพัง ขอเอหิจงมา
สังฆัง องค์พระพิราพัง ขอเอหิจงมา
พุทโธ สิทธิฤทธิ ธัมโม สิทธิฤทธิ สังโฆ สิทธิฤทธิ
สุขะ สุขะ ไชยะ ไชยะ ลาภะ ลาภะ
สัพพะธัมมานัง ประสิทธิเม ประสิทธิเต
พุทโธ สวัสดีมีไชย ธัมโม สวัสดีมีไชย สังโฆ สวัสดีมีไชย
อิมัง ปทีปัง สุรังคันธัง อธิฏฐามิ ฯ








15
ผ้ายันต์กำเนิดนารายณ์ หลวงพ่อไสว


16
ของดีขุนแผนมหาเสน่ห์เมืองปทุม




17
แป้งเสกมหานิยม มหาละลวย อีกหนึ่งของดีที่ควรหาไว้ มีจำนวนจำกัดนะครับ :015: :015:







18





พระครูสุภัททาจารคุณ (หลวงพ่อสิน ภทฺทาจาโร) เจ้าอาวาสวัดละหารใหญ่ ต.หนองบัว อ.บ้านค่าย จ.ระยอง

0 ชาติภูมิหลวงพ่อสิน 0
หลวงพ่อสิน ภทฺทาจาโร อายุ ๗๖ ปี พรรษา ๕๓ ชื่อเดิม นายสิน สุขมาก เกิดวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๔๗๑ ปีมะโรง ณ ต.หนองบัว อ.บ้านค่าย จ.ระยอง บิดา นายเซี้ย สุขมาก มารดา นางจัน สุขมาก อาชีพ ทำนา อายุ ๒๐ ปี ได้เข้าราชการทหารเกณฑ์เป็นระยะเวลา ๒ ปี
อายุ ๒๔ ปี ได้เข้าอุปสมบทเป็นพระภิกษุสงฆ์ เมื่อวันที่ ๑๔ กรกฎาคม ๒๔๙๔ เวลา ๑๕.๓๐ น. ณ วัดละหารไร่ ต.หนองละลอก อ.บ้านค่าย จ.ระยอง โดยมี พระครูวิจิตรธรรมานุวัต (หลวงพ่อรัตน์) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอธิการเพ่ง สาสโน เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระครูเกลี้ยง เป็นพระอนุสาวนาจารย์ สังกัดมหานิกาย ได้รับฉายา "ภทฺทาจาโร"

พระครูสุภัททาจารคุณ (หลวงพ่อสิน ภทฺทาจาโร) เป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่เพ่ง สาสโน อดีตเจ้าอาวาสวัดละหารใหญ่ และหลวงพ่อรัตน์ วัดหนองกระบอก ผู้สืบทอดพุทธาคมจากหลวงพ่ออ่ำ วัดหนองกระบอก เจ้าตำรับแพะเมตตาอันลือลั่นแห่งเมืองระยอง
        วัดละหารใหญ่ ตั้งอยู่ใกล้ๆ กับวัดละหารไร่ ดังนั้น หลวงพ่อสินจึงมีโอกาสไปกราบนมัสการ และรับใช้หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ เจ้าตำรับพระขุนแผนพรายกุมาร อยู่เสมอในสมัยที่หลวงปู่ทิมยังมีชีวิตอยู่
         หลวงพ่อสินเป็นพระเกจิอาจารย์ที่มีชีวิตความเป็นอยู่อย่างสมถะ เรียบง่าย ไม่ยึดติดใน ลาภยศสรรเสริญใดๆ ท่านมักจะพร่ำสอนญาติโยมที่เข้ามากราบไหว้เสมอๆ ว่า
     "คนเราจะมีความสุขสงบในสังคมได้ ต้องถือศีล ๕ เพราะทำให้สังคมสงบสุข ปิดกั้น ภัยเวรต่างๆ ได้ แต่ที่พวกเรารู้สึกว่าทำได้ยาก หรือขัดกับชีวิตประจำวัน เป็นเพราะตาใจ ของเรามันบอดแสง หรือเจ้ากรรมนายเวรมาบังจิตบังใจเรา"
     พร้อมกันนี้ ท่านได้อนุญาต ให้สัมภาษณ์แบบ "คม ชัด ลึก" ดังนี้
* วัตถุมงคลมีความสำคัญต่อคนเราอย่างไร?
* สำคัญสิโยม สำคัญที่อาตมาว่ามันก็อยู่ที่ความเชื่อของแต่ละคนนั่นแหละ ใครที่เชื่อ ใครที่ศรัทธาในสิ่งของนั้นๆ ก็จะเกิดเป็นสิริมงคล ทำให้มีความเชื่อมั่น ทำอะไรก็จะประสบความสำเร็จได้ง่าย พอไปเจอปัญหาอุปสรรคใดๆ ก็จะไม่ย่อท้อ เมื่อมั่นใจว่าวัตถุมงคลเป็นสิ่งที่จะนำพาไปสู่ชัยชนะได้มันก็จะทำให้เขามีกำลังใจในการทำหน้าที่อย่างมุ่งมั่น สิ่งที่ว่าแพ้ก็จะกลับมาชนะได้อีกครั้งเหมือนกัน
* ความอยู่ยงคงกระพัน กับหนังเหนียวเกิดขึ้นได้อย่างไรครับ?
* เครื่องรางของขลังเหล่านี้ก็เป็นความเชื่อเหมือนกัน ใครเชื่อมั่นว่ามีเครื่องรางอันนี้แล้วทำให้จิตใจเกิดมาเพื่อเป็นนักสู้ก็เป็นดังพลังให้กับคนเหล่านั้น แต่เครื่องรางเหล่านี้เมื่อมีดี ก็ต้องมีเสีย หากคนเรานำไปใช้ในทางที่ผิด ด้วยการไปรังแกคนที่อ่อนแอกว่า แบบนี้อาตมาคิดว่าเป็นความเชื่อที่ผิด ไม่ก่อประโยชน์อันใดให้กับตัวเองเลย เรียกว่าเป็นการสร้างบาปมากกว่า
* จริงๆ คนเราจะรอดตายได้ก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งวัตถุมงคลเพียงอย่างเดียว?
* ใช่ซิ!...มีวัตถุมงคลไม่บูชา ไม่ศรัทธาแบบนี้ก็ไม่รอด โยมไม่เห็นเหรอ มีคนแขวนพระติดตัวกันเยอะแยะ พอถูกยิงเท่านั้น ก็ตายกันหมด บางคนแขวนพระเป็นสิบองค์ก็ยังตายเลย (หัวเราะ) และตามความเป็นจริง ถ้าถามว่า วัตถุมงคลมีประโยชน์ต่อชาวโลกไหม อาตมาก็คิดว่ามันมีอยู่ในตัวแล้ว แต่อยู่ที่ว่าคนเราไปยึดถือในความดี หรือไปยึดถือในทางที่ผิด เบียดเบียนคนอื่น แบบนี้ก็ใช้ไม่ได้
* หลวงพ่อไปร่วมพิธีพุทธาภิเษกบ่อยไหมครับ?
* อาตมาก็มีเวลาไปร่วมงานปลุกเสกอยู่บ่อยครั้ง ส่วนใหญ่ที่ไปก็จะพบกันเป็นประจำก็คือ สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ วัดปากน้ำ หลวงปู่ทิม วัดพระขาว หลวงพ่อรวย วัดตะโก หลวงพ่อสาคร วัดหนองกรับ หลวงพ่อสวัสดิ์ วัดเม้าสุขา ตอนนี้ท่านก็มรณภาพไปแล้ว พระเทพคุณาธาร เจ้าคณะ จ.ระยอง หลวงพ่อจ้อย วัดหนองน้ำเขียว หลวงพ่อแจ่ม วัดเขาสำเภาทอง หลวงพ่อดำ วัดเขาพูลทอง หลวงพ่อเพิ่ม วัดป้อมแก้ว และก็ยังมีพระอีกหลายรูปที่มาร่วมพิธีปลุกเสกกันเป็นประจำ
* นอกจากนี้สิ่งศักดิ์สิทธิ์มีอยู่จริงไหมครับ ?
* มีจริง ดูจากคนที่ประสบอุบัติเหตุขึ้นมาแล้วไม่ตาย ไม่เป็นอะไรเลย แม้บางคนจะเถียงว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่มีตัวตน แต่ในความหมายของอาตมาคิดว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นเรื่องของจิตใจ เป็นเรื่องของการสร้างคุณงามความดี กรรมที่เป็นทั้งดีและไม่ดี สร้างบารมีให้กับตัวเอง จึงประกอบเข้าด้วยกันให้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือปาฏิหาริย์ตามที่หลายคนเข้าใจ
* แสดงว่าปาฏิหาริย์มีจริงสิครับ?
* ก็มีจริงสิ ปาฏิหาริย์ที่อาตมาว่านั้นมันเกิดจากจิตที่นิ่งสงบไร้สิ่งปรุงแต่ง ซึ่งความสุขก็เกิดจากจิตสงบ อาจกล่าวได้ว่า เป็นความสุขที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของมนุษย์ จิตเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุดของร่างกายและจิตใจ เป็นผู้นำ ส่วนร่างกายเป็นเพียงผู้ปฏิบัติตามคำสั่งของจิต อุปมาดังม้ากับคนขี่ หากว่าผู้ขี่คุมบังเหียนบังคับม้าด้วยความชำนาญ ก็จะเดินทางไปสู่จุดมุ่งหมายปลายทางได้อย่างราบรื่น
     หากว่าผู้ขี่ม้าไม่ได้รับการฝึกอย่างชำนิชำนาญ หรือตั้งอยู่ในความประมาทเกินไปก็จะพลาดท่าตกม้า หรือเดินทางไปไม่ถึงจุดหมายปลายทางที่ต้องการได้ฉันใดก็ฉันนั้น ความสุขอันเกิดจากจิตสงบ เป็นความสุขที่ซื้อหามาได้ราคาถูกที่สุด แต่กลับมีคุณค่ามหาศาลยิ่งกว่าสมบัติพัสถานใดๆ ทั้งสิ้น ความสุขของจิตที่แท้จริงจะเกิดขึ้นกับบุคคลที่หมั่นฝึกฝนหรืออบรมจิตอยู่เสมอนั้น คือ เจริญสมาธิเป็นประจำ
* เมื่อครั้งหลวงพ่อออกบวชใหม่ๆ ได้ไปเดินธุดงค์บ้างไหมครับ?
* อาตมาก็ออกเดินธุดงค์ไปทั่วเหมือนกัน ในป่าก็ไป ที่ไหนเขาว่าดีก็ไปทั้งนั้น การไปในคราวธุดงค์ ไม่ได้ไปเพื่อค้นหาอะไร เพียงต้องการความสงบความวิเวก ที่ไม่มีอะไรวุ่นวาย การเดินจึงเด
   ินไปเรื่อยๆ ไม่มีเป้าหมายชัดเจน แต่การเดินธุดงค์ ก็ไม่ได้ไปนานเท่าไร ก็ต้องกลับมายังวัด แล้วก็ได้มาเรียน วิชาต่างๆ จากพระอธิการเพ่ง สาสโน อดีตเจ้าอาวาสวัดละหารใหญ่ เพราะท่านก็ได้เรียน วิชามาจากหลวงปู่ทิม วัดละหารไร่เช่นกัน
* ระหว่างเดินธุดงค์เคยเจอผีไหมครับ?
อาตมายังไม่เคยเจอผีเลย (หัวเราะ)
* อ้าว! แล้วจริงๆ ผีมีจริงหรือเปล่าครับ?
จะว่าไปแล้วมันก็คือวิญญาณที่อยู่ในตัวเรานั่นแหละ จังหวะที่อาตมานั่งปฏิบัติธรรมกรรมฐานพวกวิญญาณเหล่านี้ก็จะมารบกวนอยู่เป็นประจำ พวกนี้ก็จะวนเวียนไปเรื่อยๆ คนเราเมื่อตายกันแล้วถ้าทำบุญมาน้อย ประกอบกับมีกรรมไม่ดีเยอะ สิ่งเหล่านี้ก็จะทำให้วิญญาณเร่ร่อนอยู่บริเวณนั้น เหมือนกับไม่มีที่ไปนั่นแหละ
* แสดงว่าการทำบุญให้กับคนตายโหงก็เป็นการปลดปล่อยดวงวิญญาณได้ใช่ไหมครับ?
อาตมาคิดว่านั่นก็เป็นความเชื่อกันว่า การถอนศพ มันก็คือการถอนดวงวิญญาณของผู้ตายให้ออกจากจุดนั้นๆ โดยเขาเชื่อกันว่า เมื่อคนเราตายจากอุบัติเหตุ หรือไม่ว่าจะเป็นกรณีใดๆ ณ ที่ใด วิญญาณของผู้ตายก็จะติดอยู่ตรงนั้น ไม่ไปไหน โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นการตายโหง ก็จำเป็นต้องทำพิธีถอนเสียก่อน วิญญาณของผู้ตายจึงจะไปจากที่นั้น ดังนั้นเมื่อจะนำศพออกไปฝังหรือเผาจึงต้องถอนให้วิญญาณไปกับศพด้วย จะได้ไปผุดไปเกิด ไม่หลอกหลอนอยู่ที่บริเวณนั้น ปัจจุบันพิธีถอนวิญญาณของคนตายยังมีให้เห็นอยู่ทั่วไป เมื่อมีคนตายจากอุบัติเหตุรถชนบนท้องถนน ญาติจะนิมนต์พระสงฆ์มาทำพิธีสวดถอน และนำธงกระดาษมาปักในสะตวง ๔ อันวางไว้ตรงจุดที่เกิดอุบัติเหตุนั้น
* วิญญาณกับหลักธรรมเกี่ยวข้องกันอย่างไรครับ?
ปัญหานี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีทัศนะเกี่ยวกับกายและจิตเป็นพุทธดำรัสว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้มิได้เรียนรู้ จะพึงเบื่อหน่าย คล้ายยินดีหรือหลุดพ้นในร่างกายอันประกอบด้วยมหาภูตทั้ง ๔ นี้ (ย่อมเป็นไปได้) นั้นเพราะเหตุไร เพราะเหตุว่า ความเจริญ ความเสื่อม การเกิด หรือการตายของร่างกายอันประกอบด้วยมหาภูต ๔ นี้ ย่อมปรากฏ (ฉะนั้น) ปุถุชนผู้มิได้เรียนรู้ จึงเบื่อหน่าย คลายความยินดีหรือหลุดพ้นในร่างกายนั้นได้" "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมชาติใดที่เรียกกันว่าจิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง การที่ปุถุชนผู้มิได้เรียนรู้ จะพึงเบื่อหน่าย คลายความยินดีหรือหลุดพ้นในธรรมชาตินั้น (ย่อมเป็นไปไม่ได้) นั้นเพราะเหตุไร เพราะเหตุว่าธรรมชาตินั้น ปุถุชนผู้มิได้เรียนรู้รวบรัดถือไว้ด้วยตัณหา ยึดถือด้วยทิฐิว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา ดังนี้ มาตลอดกาลช้านาน ฉะนั้นปุถุชนผู้มิได้เรียนรู้ จึงไม่อาจจะเบื่อหน่าย คลายความยินดี หลุดพ้นในธรรมชาตินั้นได้เลย
* แล้ววิญญาณคืออะไรกันแน่?
     อาตมาก็อยากจะอธิบายให้ฟังว่า วิญญาณจริงๆ มันก็คือ "ธาตุรู้" วิญญาณในเบญจขันธ์หมายถึง วิญญาณรู้จากของ ๒ อย่างกระทบกัน เช่น ตากับรูปกระทบกัน เกิดภูมิรู้ขึ้น เรียกว่า จักขุวิญญาณ เสียงกับหูกระทบกัน เกิดภูมิรู้ขึ้น เรียกว่า โสตวิญญาณ กลิ่นกับจมูกกระทบกัน เกิดภูมิรู้ เรียกว่า ฆานวิญญาณ
     ลิ้นกับรสกระทบกัน เกิดภูมิรู้ เรียกว่า ชิวหาวิญญาณ กายกับสิ่งสัมผัสกระทบกัน เกิดภูมิรู้ขึ้นเรียกว่า กายวิญญาณ จิตนึกคิดอารมณ์เกิดภูมิรู้ขึ้น เรียกว่า มโนวิญญาณ อันเป็นวิญญาณในขันธ์ ๕ ทีนี้วิญญาณในปฏิจจสมุปบาท หมายถึง ปฏิสมาธิวิญญาณ คือ วิญญาณรู้ผุด รู้เกิด และวิญญาณคนเราจะไปสู่ยังภพภูมิที่ดีได้ก็จะต้องทำบุญกันไว้มากๆ
* แล้วภพภูมิที่ว่าจะดีหรือไม่ดีขึ้นอยู่กับอะไรครับ?
อาตมาจะยกตัวอย่างให้เห็นกันก็คือ ภพภูมิ ของ สัตว์เดรัจฉาน ภพนี้คือ โลกของเดรัจฉานทั้งหลาย หรือ เรียกว่า "เดรัจฉานภูมิ" ปริศนาธรรม ของภพนี้ ก็คือ โมหะ คือ โง่ หลง งมงาย มีสติปัญญา ต่ำต้อย เยี่ยงสัตว์เลื้อยคลาน หรือ สัตว์ตระกูลต่ำ ทั้งหลายความหมายในภาษาธรรม ของเดรัจฉานนี้ เท่ากับ ความโง่ของคน ไม่ศึกษา ไม่ฝึกฝน ปล่อยให้ชีวิต ขาดสติปัญญา อยู่ไปวันๆ อย่างที่กล่าวเป็น ภาษาชาวบ้าน ว่า กิน ขี้ นอน สืบพันธุ์ หรือ เสพเมถุน
     อย่างสัญชาตญาณ ของสัตว์ทั่วไป มีความกลัวภัยอยู่เสมอ เพราะไม่มีสติปัญญา ที่จะรู้ได้ว่าอะไรควรจะกลัว หรือ ไม่ควรกลัว พระพุทธเจ้า เสด็จลงมาโปรดเดรัจฉานภูมิ เหมือนกัน แต่แม้ว่าพระองค์จะมีพระเมตตาแสดงธรรม ล้ำลึกเพียงใด จิตของเดรัจฉาน พอใจ หรือ จมดิ่ง อยู่กับความเป็นเดรัจฉาน อย่างไม่เปลี่ยนแปลง ทุกสิ่งทุกอย่างจึงขึ้นอยู่กับสติ และปัญญาด้วย
* คนทั่วๆ ไปจะรู้ได้อย่างไรว่า ชาติหน้าจะเกิดเป็นอะไรครับ?
เรื่องนี้อาตมาบอกไม่ได้ แต่ให้รู้เพียงว่าทำบุญเอาไว้มากๆ ก็จะได้เกิดมาเป็นคน ส่วนคนที่ทำบุญบ้างทำบาปบ้างคนพวกนี้ก็จะเกิดมาเป็นคนได้อีกต้องไปชดใช้กรรมเก่าที่ไม่ดีให้หมดก่อน ถึงจะเกิดมาเป็นคนได้อีก คนที่จนในชาตินี้ก็เป็นเพราะบุญเก่าที่ทำมันน้อย แต่คนที่รวยในชาตินี้เป็นเพราะว่าชาติที่แล้วเขาทำบุญมาเยอะ ดังนั้น ใครอยากรวยอย่าหวังแต่เล่นหวย จงเร่งทำกรรมดีสร้างกุศลเพื่อให้เป็นกุศลไปถึงภพหน้านั่นแหละโยม
* ส่วนตัวหลวงพ่อเองคิดเอาไว้หรือยังว่าจะเกิดไปเป็นอะไร?
อาตมายังไม่ได้คิดเลย เรื่องแบบนี้มันก็ขึ้นอยู่กับเวรกรรมของอาตมาด้วย จะบอกให้รู้กันเลยก็เป็นเรื่องที่ไม่สามารถตอบได้ เพราะอาตมาก็ไม่รู้ว่าคุณงามความดีที่ทำเอาไว้มันดีมากพอหรือยัง
* ตอนนี้อายุก็มากขึ้น จะอยู่ถึง ๑๐๐ ปีไหมครับ?
อาตมาว่าแล้วแต่เวรกรรม ร่างกายของเรามันไม่เที่ยง เราต้องมีชีวิตอยู่กันแบบปลงๆ จะไปบอกว่า ต้องตายหรือมีอายุเป็นร้อยปีคงไม่ได้ ตอนนี้อยู่แน่ๆ แต่ตอนนั้นไม่รู้จะอยู่หรือเปล่า (หัวเราะ)
* หลักธรรมอะไรที่หลวงพ่อให้กับญาติโยมที่มาทำบุญในวัดละหารใหญ่ครับ?
     อาตมาก็ย้ำเตือนให้กับพวกเขาอย่าไปยึดติดกับเงินทอง แต่ขอให้ยึดอยู่ในศีล ๕ แม้ว่าจะถือศีลได้ไม่ทั้งหมด หากได้เพียงบางส่วนก็ถือว่าเป็นคนที่อยู่ในศีลในธรรมเหมือนกัน ศีล ๕ เป็นศีลที่ทำให้สังคมสงบสุข ปิดกั้นภัยเวรแก่ผู้รักษาศีล ที่พวกเรารู้สึกว่ารักษายากขัดกับชีวิตประจำวัน นั่นเป็นเพราะตาใจของเรามันบอดแสง หรือเจ้ากรรมนายเวรมาบังจิตบังใจเรา ไม่ยอมให้ลุถึงซึ่งความดี
     หลายคนกว่าจะถึงดีมีสุข เจ้ากรรมนายเวรเคยดลจิตให้คิดผิด พูดผิด ทำก็ผิด ต้องตกระกำลำบากมามาก เหตุเพราะเราทำเขาไว้นี่ เขาจองเวรเราก็ลำบาก จะรักษาศีล ๕ให้ถึงความดี ก็ทำไม่ได้สักที กาย วาจา ใจ ก็เป็นเรื่องสำคัญถ้าคิดไม่ดีก็จะเป็นทุกข์ ดังนั้น การทำความดีให้อยู่ในศีล ๕ ชาตินี้ชีวิตก็จะมีแต่ความสุข


ขอขอบคุณข้อมูลจาก คมชัดลึก 

19
พอดีไปเจอ
เหรียญหมู แปดเหลี่ยม ปี2541 เนื้อ ทองแดง  ปิดทองที่ตัวหมู




กล่องเหมือนในรูปเลยครับ(VISON PLASTIC)




แต่ด้านหลังเหมือนในรูปทุกประการแต่ไม่มีโค๊ตตรงเลข5จะปลอมไหมครับ หรือ เหรียญแท้แต่ปะทองให้สวยเฉยๆ



*รูปแทนจากGoogle

20


วัตถุโบราณที่ถูกสร้างสรรค์ให้เป็นรูปอวัยวะเพศชายนั้น เป็นสัญลักษณ์แทนองค์พระศิวะที่ผู้คนนิยมสักการะบูชากันตั้งแต่อดีตโบราณตราบจนปัจจุบันนี้ด้วยความเคารพศรัทธากันอย่างกว้างขวาง

"ศิวลึงค์"เป็นเสมือนรูปเคารพแทนพระองค์ ที่มีปรากฏอยู่ในเทวสถานทุกแห่ง และก็มีธรรมเนียมประเพณีที่จะจัดพิธีกรรม เพื่อบูชาศิวลึงค์นี้โดยเฉพาะอีกด้วย

จึงกล่าวได้ว่าสัญลักษณ์ของพระศิวะมหาเทพนี้ค่อนข้างจะแตกต่างกับมหาเทพองค์อื่นๆตรงที่มีสัยลักษณ์แทนพระองค์เป็นรูปอวัยวะเพศชาย ที่ดูค่อนข้างจะพิสดารมิใช่น้อยและชวนให้ฉงนสงสัยในความเป็นมาแห่งสัญลักษณ์นี้

กำเนิดของศิวลึงค์นั้นปรากฏเป็นเรื่องราวที่ค่อนข้างจะแปลกแยกแตกต่างกันออกไป ตามแต่ละคัมภีร์ แต่ละในศาสนาต่าง ๆทางคติพราหมณ์ซึ่งบางตำราก็กล่าวว่าองค์พระศิวะนั้นทรงตั้งพระทัยที่จะประทานรูปศิวลึงค์หรือรูปเคารพที่เป็นรูปอวัยวะเพศชายที่ให้กับสาวกทั้งหลาย ทั้งปวงของพระองค์ได้สักการะบูชาแทนพระองค์



ซึ่งการที่ประทานรูปเคารพเช่นนี้ ก็เนื่องมาจากในงานบูชาตรีมูรติ หรือมหาเทพทั้ง 3 ซึ่งประกอบไปด้วยพระพรหม พระวิษณุและพระศิวะ ที่จะต้องแสดงพระวรกายให้สาวกได้เห็นเป็นบุญตา

ซึ่งพระพรหมก็จะปรากฏพระวรกายออกมาในรูปลักษณ์ที่มี 4 พักตร์ 4 กร ส่วนพระวิษณุก็จะปรากฏพระวรกายมาในรูปลักษณ์ที่เป็นมหาเทพมี 1 พระพักตร์ 2 พระกร แต่สำหรับพระศิวะนั้นทรงปรากฏพระวรกายในรูปกายที่แปลกแหวกแนวสักหน่อย คือไม่ปรากฏออกมาเป็นรูปองค์เทพโดยตรงแต่กลับแสดงพระวรกายให้ปรากฏออกมาเป็นรูปอวัยวะเพศชาย ซึ่งก็เปรียบเสมือนกับเป็นสัญลักษณ์ของผู้ชายไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือมหาเทพนั่นเอง

ดังนั้นหลังจากงานพิธีกรรมบูชาเทพตรีมูรติ หรือมหาเทพทั้ง 3 พระองค์นี้แล้ว บรรดาสาวกก็ได้สร้างศาลรูปเคารพเทพตรีมูรติทั้ง 3 ตามที่ตนเห็น ซึ่งก็คงจะหมายถึงว่าได้สร้างรูปเคารพเทพตรีมูรติทั้ง 3 ตามที่ตนเห็น ซึ่งก็คงจะหมายถึงว่าได้สร้างรูปเคารพพระพรหมเป็นรูปที่มี 4 พักตร์ 4 กร และสร้างรูปเคารพพระนารายณ์เป็นรูปมหาเทพผู้งดงามมี 1 พระพักตร์ 2 พระกร และสำหรับพระศิวะนั้นสาวกก็ได้สร้างรูปเคารพให้เป็นรูปอวัยวะเพศชายตามที่พวกตนได้พบเห็นปรากฏแก่สายตา อันเป็นรูปจำลองเป็นสัญลักษณ์แทนพระศิวะนั่นเอง

ในคัมภีร์โบราณอีกเล่มหนึ่งนั้นได้บันทึกไว้ว่า ในวันหนึ่งพระศิวะกำลังร่วมภิรมย์เสพสมกับพระแม่อุมาอัครมเหสีอย่างแสนสุขสันต์ในวิมารของพระองค์บนเขาไกรลาส แต่การเสพสมภิรมย์รักนี้ มิได้กระทำกันในห้องบรรทมส่วนพระมิได้กระทำกันในห้องบรรทมส่วนพระองค์แต่อย่างใด การสมสู่ชู้ชื่นครั้นนี้ พระศิวะและพระแม่อุมาทรงกระทำกันกลางท้องพระโรงเลยทีเดียว ดังนั้นบังเอิญเมื่อพวกทวยเทพทั้งปวงที่กำลังจะมาเข้าเฝ้าพระศิวะ ได้พบเห็นเข้าก็จึงรู้สึกว่าพระศิวะนั้นกระทำการอันไม่บังควรเป็นอย่างยิ่ง

หากทรงกระทำกันในห้องบรรทมส่วนพระองค์ ก็คงจะไม่ใช่เรื่องผิดแปลกแต่อย่างใด แต่หน้าท้องพระโรงนั้นเป็นที่เปรียบเสมือนห้องรับแขก ที่ย่อมจะต้องมีผู้คนผ่านเข้าออกได้เสมอ และเมื่อทวยเทพผ่านพบเห็นเข้าว่าองค์พระศิวะที่เป็นถึงมหาเทพผู้เป็นใหญ่แห่งเขาไกนลาส กำลังเสพสังวาสกับอัครมเหสีอย่างประเจิดประเจ้อกลางท้องพระโรงเช่นนั้นจึงพากันรังเกียจเดียดฉันและเสื่อมศรัทธาในองค์พระศิวะเป็นอย่างมาก

บรรดาทวยเทพจึงได้พากันเย้ยหยันและหมดสิ้นความนับถือ ยำเกรงในองค์มหาเทพ ต่างก็พากันยืนดูแล้วก็วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างเห็นเป็นเรื่องที่น่าสมเพชไป ด้วยเหตุการณ์เป็นเช่นนั้น พระศิวะให้ทรงอัปยศอดสู่ในพระทัยเป็นยิ่งนัก และประกอบกับความโกรธกริ้ว พระศิวะจึงทรงได้ประกาศว่าอวัยวะเพศของพระองค์นี้แหละ จะเป็นเสมือนสัญลักษณ์และตัวแทนของพระองค์ ที่บรรดามนุษย์และเทพเทวะทั้งปวง จะต้องกราบไหว้บูชาถ้าต้องการความสุขและความสำเร็จอันงดงามในชีวิต

และอวัยวะเพศหรือศิวลึงค์นั้น ก็จะมีดวงตามหาศาลล้อมรอบศิวลึงค์ถึง 1,000 ดวงตา เพื่อจะได้สามารถมองเห็นได้เด่นชัดในทุกทิศทุกทาง โดยดวงพระทัยและดวงพระวิญญาณขององค์พระศิวะจะสถิตอยู่ด้วย เพื่อคุ้มครองและอำนวยพรให้กับผู้ที่สักการะบูชาศิวลึงค์นั้น เมื่อได้ทรงแล่นถ้อยคำศักดิ์สิทธิ์มาในขณะที่กำลังเกิดความกริ้วและความอัปยศเป็นที่สุดนั้น ถ้อยคำอันศักดิ์สิทธิ์จึงได้บังเกิดสัมฤทธิ์ผลเป็นจริง




นับจากนั้นไม่ว่าจะเป็นบรรดามนุษย์ ดาบส ฤาษี หรือแม้แต่ทวยเทพบนสรวงสวรรค์ชั้นต่างๆเองก็ยังนิยมสักการะบูชา ศิวลึงค์หรือรูปเคารพที่เป็นอวัยวะเพศชาย อันเป็นเสมือนสัญลักษณ์ของพระศิวะ

เรื่องราวการกำเนิดศิวลึงค์ในบางคัมภีร์นั้น ก็กล่าวแตกต่างออกไป โดยเล่าว่าพระศิวะนั้นค่อยข้างจะมีพระอารมณ์ทางราคะค่อยข้างสูง และโปรดที่จะเสพสังวาสกับพระแม่อุมาอัครมเหสีและพระชายาองค์อื่นอีก ในทุกวี่วันเลยทีเดียว จนเป็นที่รู้กันทั่วไปในเหล่าเทพเทวะทั้งปวง

ดังนั้นบรรดาศิษยานุศิษย์หรือผู้ที่ศรัทธาในองค์พระศิวะมหาเทพ ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือทวยเทพ ที่เคารพเลื่อมใสองค์พระศิวะ จึงได้คิดประดิษฐ์วัตถุบูชาขึ้นมา โดยหวังให้เป็นสัญลักษณ์แทนองค์พระศิวะ การสรรค์สร้างรูปอวัยวะเพศหรือศิวลึงค์ จึงได้ถือกำเนิดขึ้นมา ซึ่งผู้ที่เชื่อกันว่าน่าจะเป็นคนแรกที่คิดประดิษฐ์รูปเคารพศิวลึงค์นี้เป็นนักบวชฮินดู ที่ได้พบความสุข ความสำเร็จและความรุ่งเรื่องในชีวิตมาก หลังจากที่ได้สร้างรูปศิวลึงค์แล้วทำพิธีกราบไหว้บูชาเป็นประจำ

ดังนั้นบรรดาศิษยานุศิษย์หรือชาวบ้านทั่วไป จึงได้เริ่มทำรูปเคารพเป็นรูปศิวลึงค์กันบ้างและก็ทำการสักการะบูชากันเป็นที่กว้างขวางแพร่หลายต่อหลายต่อไป จนเกิดเป็นลัทธิการบูชาศิวลึงค์ขึ้นจริงจังในยุคต่อๆมา




ในอินเดียตอนใต้จะมีการประกอบพิธีสักการะบูชาศิวลึงค์กันอย่างจริงจัง โดยจัดทำกันในเมืองที่อยู่บนยอดเขาโดยจัดเป็นประจำทุกปีเรียกกันว่าเทศกาลบูชาศิวลึงค์โยนีหรือเทศกาล KAETIKAI หรือเทศกาล SATURNALIT เทศกาลทั้ง 2 นี้ จะทำพิธีกันค่อนข้างใหญ่โตเป็นพิเศษ มีงานเฉลิมฉลองกันอย่างครึกครื้นสนุกสนาน

เครื่องบวงสรวงที่จะใช้ในพิธีกรรมนี้ก็ประกอบด้วยน้ำนมสดและพวงมาลัยดอกไม้สดเป็นพิเศษ นอกจากนั้นก็ยังมีเครื่องประกอบพิธีดังนี้

- ดอกไม้เหลือง
- ดอกไม้แดง
- ข้าวตอก
- ใบมะตูม
- หญ้าคา
- มูลโค
- มะพร้าวอ่อน
- เมล็ดธัญพืชต่าง ๆเช่น ข้าวโพดแห้ง เมล็ดข้าวแห้ง
- ธูปหอมและเทียนหอม

ในเทศกาลนี้จะมีการตั้งรูปศิวลึงค์อยู่ ณ เทวสถานกลางเมือง เมื่อมีการเฉลิมฉลองและถวายเครื่องบวงสรวงบูชาเรียบร้อยแล้ว จะมีการสวดมนต์สรรเสริญบูชาพระศิวะและศิวลึงค์ด้วย การจัดเทศกาลเพื่อสักการะบูชาศิวลึงค์ด้วยความเคารพ เลื่อมใสศรัทธาอย่างสูงนี้ บรรดาชาวบ้าน ชาวเมือง นิยมกระทำพิธีเพื่อขอพรให้เกิดความสุขและความสำเร็จในชีวิต โดยเฉพาะความอุดมสมบูรณ์ในการกระทำพืชไร่ ซึ่งสังคมของชาวอินเดียตอนใต้นั้นนิยมทำอาชีพเกษตรกรรมกันเป็นส่วนใหญ่มีการปลูกพืชไร่กันทั่วไป ดังนั้นการขอให้เกิดความอุดมสมบูรณ์แก่การเพาะปลูกที่กระทำอยู่นั้น จึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง

การประกอบพิธีเพื่อบูชาศิวลึงค์ นอกจากที่ในอินเดียตอนใต้นี้แล้ว ทุกหนทุกแห่งทั่วไผก็จะมีลักษณะการบูชาที่คล้ายคลึงกันในส่วนของการเทน้ำนมสดราดลงไปในศิวลึงค์

โดยความบริสุทธิ์ของน้ำนมนั้นเปรียบเสมือนการให้กำเนิดผลผลิตอันอุดมสมบูรณ์นั่นเอง
แต่ก็มีบางแห่งที่นอกจากจะใช้นมสดราดรดบนศิวลึงค์แล้ว ยังนิยมใช้ฝุ่นสีแดงมาแต้มทาที่ยอดปลายของศิวลึงค์ เพื่อแทนความหมายของการกำเนิดใหม่แห่งชีวิตใหม่นั่นเอง

ในการสักการะบูชาศิวลึงค์นั้น ยังมีความเชื่ออีกว่าหากบวงสรวงสังเวยด้วยศิวลึงค์ชนิดใดก็จะได้รับพรที่องค์พระศิวะมหาเทพจะประทานให้แตกต่างกันออกไป ดังเช่น

หากนำมูลโคมาสร้างสรรค์ปั้นแต่งเป็นศิวลึงค์ แล้วทำการบวงสรวงบูชาเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอก็จะทำให้บุคคลผู้นั้นมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงตลอดชีวิต มีอายุยืนไม่เป็นโรคภัยไข้เจ็บใด ๆเลย

หากนำเอาดินจากบริเวณริมแม่น้ำมาสร้างสรรค์บรรจงปั้นแต่งเป็นศิวลึงค์ แล้วทำการบวงสรวงบูชาเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอก็จะทำให้บุคคลผู้นั้นมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงตลอดชีวิต มีอายุยืนไม่เป็นโรคภัยไข้เจ็บใดๆเลย

หากนำเอาดินจากบริเวณริมแม่น้ำมาสร้างสรรค์บรรจงปั้นเป็นศิวลึงค์แล้วบวงสรวงบูชาด้วยความเคารพเสมอไป ก็จะทำให้บุคคลผู้นั้นเกิดความร่ำรวยมั่งคั่ง มีทรัพย์สินเป็นที่ดินมหาศาลเลยทีเดียว

หากนำเอาเมล็ดข้าวทั้งดิบและสุก มาสร้างสรรค์บรรจงประดิษฐ์เป็นศิวลึงค์แล้วทำการสักการะบูชา จะทำให้บุคคลนั้นหรือครอบครัวนั้น มีความสมบูรณ์พูลสุข มีข้าวปลาอาหารกินโดยบริบูรณ์ หรือทำกิจกรรมการค้าเกี่ยวกับอาหาร ก็จะมั่งคั่ง ร่ำรวยและรุ่งเรืองเป็นแน่แท้

หากนำเอาทองคำบริสุทธิ์มาสร้างสรรค์ ปั้นประดิษฐ์เป็นศิวลึงค์ แล้วทำการบวงสรวงบูชาเสมอไป ก็จะทำให้บุคคลนั้นมีความมั่นคง ร่ำรวยในระดับเศรษฐีตลอดชีวิต

หากนำไม้จันทร์มาสร้างเป็นศิวลึงค์แล้วบูชา ก็จะทำให้ผู้นั้นมีความสุขสันต์หรรษามิสร่างคลาย
หากนำเมล็ดรุทรรากษ์สร้างเป็นศิวลึงค์แล้วบูชาก็จะทำให้ผุ้นั้นมีความรอบรู้ศิลปวิทยาการทั้งปวง

ในคัมภีร์อินเดียโบราณนั้น กล่าวไว้ว่าศิวลึงค์นั้นมีชื่อเรียกแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับวัสดุที่สร้าง
ลึงค์แบ่งตามหลักของนักปราชญ์อินเดียโบราณแบ่งได้เป็น 2 ลักษณะคือ

จลลิงค คือลึงค์ที่เคลื่อนไหวได้หรือสั่นไหวได้
อจลลิงค คือลึงค์ที่เคลื่อนที่ไม่ได้

ลึงค์ที่ทำจากแก้ว เรียกว่า รัตนชะ
ลึงค์ที่ทำจากหิน เรียกว่า ไศละชะ
ลึงค์ที่ทำจากดิน เรียกว่ามรินมยะ
ลึงค์ที่ทำจากไม้ เรียกว่า มารุชะ
ลึงค์ที่ทำจากโลหะ เรียกว่า โลหชะ
ลึงค์ที่ทำขึ้นเฉพาะกิจตามวาระโอกาสต่างๆ เรียกว่า กษณิกลิงค

21

หลวงพ่อสุวรรณ ธีรสัทโธ" แห่งวัดยาง ต.ห้วยไผ่ อ.แสวงหา จ.อ่างทอง พระเกจิอาจารย์เจ้าตำรับตะกรุดโทน ได้รับการยกย่องว่าเป็นเกจิอาจารย์ระดับแนวหน้า เอกอุด้านวิทยาคมเป็นที่เลื่องลือไปทั่ว

ได้รับสมญานามจากคณะศิษยานุศิษย์ที่เลื่อมใสศรัทธาว่าเป็น "เทพเจ้าแห่งแดนวีรชนใจกล้า"

อัตโนประวัติ เกิดในสกุล บัวสรวง เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2487 ที่บ้านทับยา ต.บ้านไร่ อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี โยมบิดา-มารดา ชื่อ นายอินและนางก้อย บัวสรวง ประกอบอาชีพกสิกรรมและค้าขาย

ในช่วงวัยเยาว์ จบชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่โรงเรียนวัดบ้านไร่ ก่อนลาออกมาช่วยครอบครัวหาเลี้ยงชีพ

ย่างเข้าวัยหนุ่ม ได้ประกอบอาชีพเป็นตัวแทนขายเคมีภัณฑ์ตามที่ญาติแนะนำ

กระทั่งอายุ 42 ปี เกิดความเบื่อหน่ายทางโลกและต้องการบวชทดแทนคุณบุพการี จึงเข้าพิธีอุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดคำหยาด อ.โพธิ์ทอง จ.อ่างทอง โดยมีพระครูเกษมจริยคุณ เจ้าคณะอำเภอเมืองอ่างทอง เจ้าอาวาสวัดไทรย์ เป็นพระอุปัชฌาย์, พระครูโฆสิษโชติคุณ เจ้าอาวาสวัดคำหยาด เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระปลัดบุญยัง เขมปัญโญ วัดขุนอินทประมูล เป็นพระอนุสาวนาจารย์

เมื่ออุปสมบท ได้อยู่จำพรรษาที่วัดคำหยาด สามารถสอบได้นักธรรมชั้นเอก และออกท่องธุดงค์ไปตามสถานที่ต่างๆ ในประเทศ ครั้งหนึ่งมีโอกาสไปพำนักที่วัดพรหมประกาสิต (ถ้ำสามพี่น้อง) ต.กลางดง อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ปฏิบัติกัมมัฏฐานบำเพ็ญเพียร

เมื่อปฏิบัติธรรมสมหวัง จึงเดินทางมาจำพรรษาที่วัดคำหยาด ศึกษาร่ำเรียนสรรพวิทยาคมสายหลวงพ่อแป้น วัดบ้านไร่, หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง จ.สิงห์บุรี พระเกจิดัง ได้ถ่ายทอดวิชาให้อย่างครบถ้วน

พ.ศ.2535 คณะสงฆ์จังหวัดอ่างทอง ได้มอบหมายให้ท่านบูรณปฏิสังขรณ์วัดยาง ต.ห้วยไผ่ อ.แสวงหา จ.อ่างทอง ตั้งอยู่ริมคลองห้วยไผ่ฝั่งตรงข้ามวัดโพธิ์เก้าต้น และอนุสรณ์สถานค่ายบางระจัน อ.บางระจัน จ.สิงห์บุรี

วัดยางถูกทิ้งร้างมาตั้งแต่สมัยศึกบางระจัน เสนาสนะที่หลงเหลือมีเพียงวิหารฐานอ่อนโค้งอยู่ในสภาพปรักหักพัง ไม่มีหลังคา

หลวงพ่อสุวรรณ ได้จัดสร้างตะกรุดเมตตามหานิยม แคล้วคลาดคงกระพัน เพื่อให้บูชารวบรวมจตุปัจจัย จนสามารถก่อสร้างอุโบสถ ศาลาการเปรียญ เมรุ กุฏิสงฆ์ หอสวดมนต์ อนุสรณ์สถานวีรชนไทยใจกล้า เป็นต้น

หลวงพ่อสุวรรณ เป็นที่ยอมรับและศรัทธาของคณะศิษยานุศิษย์ เชื่อกันว่าท่านมีคาถาอาคมทรงพุทธคุณครอบจักรวาล โดยเฉพาะด้านเมตตามหานิยม และด้านมหาอำนาจปกป้องผองภัยสารพัด

วัตถุมงคลของท่าน ล้วนแต่ได้รับความนิยมจากประชาชน เนื่องจากมีพุทธคุณครอบจักร วาล โดดเด่นหลายด้าน ที่ได้รับความนิยม คือตะกรุดที่ปรากฏปาฏิหาริย์แก่ผู้บูชา เอกลักษณ์เฉพาะสร้างตามตำราพิชัยสงคราม ยันต์จารมือธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ (นะ มะ พะ ทะ) และยันต์ถอด (ทะ พะ มะ นะ) จึงเท่ากับ 16 ตาราง คือ ยันต์พระเจ้า 16 พระองค์

มียันต์อัครสาวกซ้ายขวา (ซ้าย อุมิ อะมิ) (ขวา นะมะ นะอา) และยันต์ถอด รวมทั้งยันต์แคล้วคลาด (สะ รา คา มิ) และยันต์ถอด จึงเป็นเจ้าตำรับตะกรุดโทนแห่งยุค

นอกจากนี้ วัตถุมงคลที่ได้รับความนิยมยังมีเหรียญเสมา เหรียญมหาบารมี รูปหล่อเหมือน

หลวงพ่อสุวรรณ ย้ำอยู่เสมอว่า วัตถุมงคลทั้งหลายล้วนเข้มแข็งด้วยอำนาจแห่งพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ

การเข้ากราบไหว้ขอพรจากหลวงพ่อสุวรรณ ทุกคนมีโอกาสเท่าเทียมกันหมด ไม่มีผู้ใดกีดกัน และท่านมักจะนำวิชาความรู้ด้านวิทยาคมเป็น กุศโลบายในการอบรมสั่งสอนศีลธรรมแก่ประชา ชนทั่วไป โดยให้ยึดหลักธรรมคำสั่งสอนตามแนว ทางพระพุทธศาสนา

เป็นวิถีสำคัญในการประพฤติปฏิบัติตน

ขอบคุณ ข้อมูล ข่าวสด :054:

23





ล๊อกเก็ตรูปใข่ หลวงปู่เจือ ปิยสีโล พื้นหลังสีทอง  พิมพ์ใหญ่ พระเครื่องที่หลวงปู่เจือ วัดกลางบางแก้วปลุกเสกในรุ่นไตรมาส ปี 50  จัดสร้างขึ้นในปี 2550

ด้านหน้าเป็นรูปหลวงปู่เจือครึ่งองค์ ส่วนด้านหลังอุดด้วยผงปูนของพระประธานในโบสถ์ พร้อมจาร และฝังด้วยแผ่นทองเหลืองซึ่งตอกโค้ตไว้กันทำปลอม

*ข้อสังเกตุอย่างหนึ่งก็คือ ปูนพระประธานในโบสถ์ที่ใช้อุดด้านหลังของล็อกเก็ตนี้จะมีรอยร้าวของปูนปรากฏให้เห็นอยู่ทุกองค์ครับ เนื่องจากการหดตัวของปูนที่เกิดขึ้นเมื่อปูนแห้งตัวลงครับ

25
เหรียญรุ่นแรกนี้ทำออกมาขณะที่หลวงปู่แย้มท่านอายุ 60 พรรษา และเป็นรองเจ้าอาวาสในขณะนั้น

มีเรื่องเล่าอยู่ว่า คณะลูกศิษย์ที่ได้จัดสร้างเหรียญให้หลวงปู่แย้มในครั้งนั้น ไม่ได้บอกกล่าวหลวงปู่แย้มให้ทราบก่อนล่วงหน้า แต่ได้ทำออกมาและถวายหลวงปู่แย้มเลย  ซึ่งหลวงปู่ท่านโกรธมาก เพราะท่านมีความรู้สึกว่าเป็นการมองข้าม หลวงพ่อเต๋ ซึ่งเป็นอาจารย์ของท่านและยังมีชีวิตอยู่ จึงได้เตะกล่องที่ใส่เหรียญท่านออกจากุฎิจนกระจัดกระจาย

ต่อมาหลวงพ่อเต๋ท่านทราบเรื่อง ก็ให้บรรดาลูกศิษย์เหล่านั้น ไปเก็บเหรียญของหลวงปู่มา แล้วหลวงพ่อเต๋ท่านก็อธิษฐานจิตให้ด้วยความที่ท่านเมตตาและรักหลวงปู่แย้มที่เป็นลูกศิษย์ของท่าน ก่อนที่ตัวท่านเองจะเรียกหลวงปู่แย้มมาอธิษฐานจิตอีกทีหนึ่ง ดังนั้นเหรียญรุ่นแรกของหลวงปู่แย้มนั้น หลวงพ่อเต๋และหลวงปู่แย้ม ได้ร่วมอธิษฐานจิตร่วมกัน :054:





27






*ช่วงนี้หลวงปู่ แย้มวัดสามง่ามไม่ค่อยสบาย ใครจะไปบูชาวัตถุมงคล ลองโทรสอบถามก่อนนะครับว่าท่านเรียกให้อีกครั้งไหวไหม จะได้ไม่เสียความรู้สึก*

29



หลวงพ่อสาคร วัดหนองกรับ อ.บ้านค่าย จ.ระยอง ศิษย์เอกของ "หลวงปู่ทิม
อิสริโก" อดีตเกจิอาจารย์ ชื่อดังแห่งวัดระหารไร่ จ.ระยอง ต้นตำรับ
"ขุนแผนผงพรายกุมาร" อันลือลั่นสนั่นวงการ พระเครื่อง
ได้เมตตาให้สัมภาษณ์พิเศษ ทีมข่าวพระเครื่อง "คม ชัด ลึก" เกี่ยวกับการ
สืบทอด วิชาคาถาอาคมต่างๆ จากหลวงปู่ทิม ตลอดจนการสร้างศาสนวัตถุ
โดยเฉพาะ "พิพิธภัณฑ์ยันต์" แห่งแรก และแห่งเดียว ในเมืองไทย
เชิญติดตามอ่าน กันได้โดยพลัน...
ไม่ทราบว่า หลวงพ่อไปร่ำเรียนวิชากับ "หลวงปู่ทิม วัดระหารไร่"
ได้อย่างไรครับ?
อาตมาเป็นคนที่นี่ (บ้านหนองกรับ อ.บ้านค่าย
อยู่ห่างจากวัดระหารไร่ประมาณ 10 กิโลเมตร) ไปหาท่านครั้งแรก
ตอนนั้นอาตมาอายุประมาณ 15 ปี เรียนอยู่ชั้นมัธยม
ก็เข้าไปอยู่ที่วัดระหารไร่ ไปกินนอนที่วัดเลย ไปรับใช้หลวงปู่ทิม
โดยได้ขออนุญาตจากทางบ้านแล้ว
ตอนนั้น หลวงพ่อรู้ได้อย่างไรว่าหลวงปู่ทิมมีวิชาคาถาอาคมแก่กล้า
เพราะหลวงปู่ทิมก็เพิ่งมีชื่อเสียงในช่วงที่ชราภาพมากแล้ว ซึ่งตอนที่
หลวงพ่อได้เจอท่าน ตอนนั้น หลวงปู่ทิมก็ยังไม่แก่เท่าไหร่ ใช่มั้ยครับ
อาตมาก็ดูจากที่ท่านปฏิบัติ อาตมาดู และเห็น เรื่องอย่างนี้
มันขึ้นอยู่กับสัญชาตญาณ ของแต่ละคน
เมื่อตอนที่หลวงพ่อได้พบกับ "หลวงปู่ทิม" ครั้งแรก ตอนนั้นหลวงพ่อ
รู้สึกอย่างไรบ้างครับ?
ท่านปฏิบัติดี อาตมาเห็นแล้วก็เกิดความเลื่อมใสศรัทธา
มีความรู้สึกว่าหลวงปู่ทิม ไม่ใช่พระธรรมดา
จึงได้ฝากเนื้อฝากตัวเป็นศิษย์ท่าน โดยโยมพ่อกับโยมแม่ได้
ถวายอาตมาให้เป็น "บุตรบุญธรรม" ของหลวงปู่ทิม จากนั้น จะขออะไร
จะเรียนอะไร ก็จะได้ทั้งหมด
เพราะปกติท่านจะไม่ค่อยถ่ายทอดวิชาให้กับใคร
ทำไม "หลวงปู่ทิม" จึงไม่ค่อยยอมถ่ายทอดวิชาให้ใครง่ายๆ ล่ะครับ
ท่านกลัวว่าเมื่อถ่ายทอดวิชาให้คนที่เรียนไปแล้ว กลัวไม่เอาไปใช้จริง
สมัยนั้น คงจะมีผู้คนมาขอเรียนวิชากับหลวงปู่ทิมเยอะสิครับ
ก็เยอะ แต่หลวงปู่ท่านจะดูลักษณะคนด้วยว่า ใครจริงจังจะศึกษา
คาถาอาคมก่อนเป็นอันดับแรก เพราะถ้าเรียนไปแล้วไม่เอาจริงไม่มีความสนใจ
และไม่เอาไปใช้ มันทำให้เสียเวลาในการแนะนำหรือสอน ท่านก็จะหมดกำลังใจ
คือ การที่ท่านจะท่องจำนั้นไม่ไหวแล้ว
หรือบางครั้งเรียนไปแล้วไม่เอาไปใช้
ก็ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงกับอาจารย์ผู้สอนไปด้วย ดังนั้น ท่านจะดูคน
ถ้าคนไหนจะเอาจริงๆ ก็ต้องมีความเพียรจริงๆ
นานมั้ยครับหลวงพ่อ กว่าที่หลวงปู่ทิมจะยอมถ่ายทอดวิชาให้หลวงพ่อ?
ไม่นาน เพราะว่า ท่านดูจากลักษณะว่า มีแววเอาจริง
มีแววอย่างไรครับ?
ท่านคงเห็นว่าอาตมาเอาจริง และมุ่งมั่น โดยให้อาตมาไปเขียนผ้ายันต์มา 1
บททุกวัน และก็บอกว่าให้ไปท่องจำ โดยจะต้องจำให้ได้
พอท่องจำได้แล้วก็มาท่องให้ท่านฟัง
จากนั้น ทำอย่างไรต่อครับ?
เมื่อเขียนบทที่ 1 เสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ได้เริ่มเขียนบทที่ 2
พอเขียนเสร็จแล้วก็มาทบทวนท่องให้ท่านฟังอีก ท่องจนกว่าจะจำได้
ท่านก็จะให้ท่องจำทุกบท ทำอยู่อย่างนี้ประมาณ 4-5 ปี
หลวงพ่อทำแบบนี้อยู่กี่ปีครับ
จำไม่ค่อยได้ แต่รู้ว่านานหลายปีเลยทีเดียว
ซึ่งตรงนี้ทำให้อาตมาจำคาถาได้เยอะ และทำให้อาตมาจำได้ดี
แต่คาถามีอยู่เยอะมาก ก็จำได้ไม่ได้ทั้งหมดหรอก
มันมากมายกว่าที่เราจะจำได้ จึงได้มีการซิกแซก
อาจารย์เลยท้าพูดกันง่ายๆ เลย
ทำอย่างไรครับหลวงพ่อ
พออาจารย์เผลอเราก็แอบเอาตำราเข้าห้องเลย เพราะเรารู้ว่า
ตำราเล่มไหนเราเขียนไปแล้ว เราก็จะไม่ เขียนซ้ำ จะเอาหยิบไปวางไว้เอง
ท่านไม่รู้หรอก เราก็เขียน เล่มต่อไปอีก พออาจารย์เผลอ
เราก็เอาไปไว้ที่เดิม แล้วเอาเล่มใหม่ มาเขียนต่ออีก
แต่สิ่งที่เราเรียน และท่องจำ มาทั้งหมดนั้น เราเข้าใจทุกอย่างแล้ว
พออาจารย์รู้ ท่านก็ถามว่าเอาตำราไปใช่ไหม
เนื่องจากแกสังเกตจากกองที่ตั้งหนังสือ มันไม่เรียงกัน
เราก็ยอมรับว่าใช่ แต่ก็ได้บอกท่านว่า ตำราที่เรียนกับอาจารย์
ด้วยวิธีการท่องจำอย่างเดียวคงไม่ไหว เพราะมีมากมายเหลือเกิน
จึงต้องลอก จากอาจารย์เก็บไว้ ท่านก็ไม่โกรธ
เพราะว่าท่านเข้าใจว่าเราเอาไปก็ต้องได้ใช้ ในที่สุด ท่านก็บอกว่า
ท่านก็เรียนมาแบบนี้เหมือนกัน (หัวเราะ) ถ้าอย่างนั้น
เราก็ตีจบไปเลยว่า เราไม่ผิด (หัวเราะ)
แล้วหลวงปู่ทิม ท่านไปเล่าเรียนวิชามาจากที่ไหนครับ?
หลวงปู่สิม วัดบ้านซ่อง อำเภอวันทอง จังหวัดชลบุรี
ที่เป็นศิษย์สายเดียวกับหลวงปู่ทิมก็มี หลวงพ่อโด่ วัดนามะตูม
และหลวงปู่ม่น วัดเนินตาหมาก
หลวงปู่ทิมเคยพูดถึงเรื่องอภินิหาร และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ
ให้หลวงพ่อฟัง บ้างมั้ยครับ
อันนี้ ท่านไม่เคยพูดให้ฟังเลย
แล้วหลวงพ่อไม่ถามหลวงปู่ทิมบ้างเลยหรือครับ ว่าวิชาคาถาอาคมต่างๆ
ที่เรียนมานี้ มีความศักดิ์สิทธิ์ หรือไม่ อย่างไร?
อาตมาก็ถามเหมือนกัน แต่ท่านไม่บอก ท่านบอกว่าก็ทำไปแล้วจะรู้เอง
ขอให้ฝึกจิตใจของตัวเองไปให้สงบ เดี๋ยวก็รู้เอง คนอื่นจะรู้ด้วยไม่ได้
นอกจากตัวเอง
แล้วหลวงพ่อเคยเห็น "อภินิหาร" ของหลวงปู่ทิมบ้างไหมครับ?
ไม่เคยมีนะ เห็นท่านเป็นพระธรรมดาๆ รูปหนึ่งเท่านั้น
และท่านก็เป็นพระเงียบๆ แต่ก็พอคุยได้เหมือนกัน จริงๆ
จะว่าไม่มีในเรื่องอภินิหารเลยก็ไม่ใช่นะ ก็มีเหมือนกัน
มีอภินิหารอย่างไรครับหลวงพ่อ?
ตอนนั้นเป็นเวลากลางวัน ประมาณบ่ายโมง แกเอาผ้าพาดบ่าไปสรงน้ำ
สมัยก่อนวัดระหารไร่จะมีบึง และเป็นป่าเยอะ ไม่เหมือนปัจจุบัน
แกก็ไปนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ เราก็จะเข้าไปคุยด้วย
เพราะเห็นว่าท่านนั่งตากลมอยู่คนเดียว
จากนั้นก็ได้นั่งคุยกันไปคุยกันมาตามอัธยาศัย
คุยกันเป็นชั่วโมงเหมือนกัน แล้วแกก็หยุดคุย จากนั้น
แกก็เอามือแหย่ลงไปในน้ำแล้วก็ดีด 2-3 ครั้ง
ครู่เดียวปลาก็วิ่งมาเป็นฝูงเลย
ปลาวิ่งมาหาหลวงปู่ทิมเป็นฝูงเลยเหรอครับ
ปลาหลายชนิดได้ว่ายมาหาแกนั่นแหละ อาตมาไม่ว่าอะไร ก็นั่งดูเฉยๆ
ท่านก็ดีดอีก ปลาก็วิ่งเข้ามาอีกเป็นจำนวนมาก
ด้านหน้าที่มีแต่ปลาทั้งนั้น ท่านก็ไม่ว่าอะไรเฉยอย่างเดียว
เสร็จแล้วสักพักก็ขึ้นไปบนศาลา อาตมาก็ไม่ได้ถามอะไรท่านในตอนนั้น
หลังจากนั้นประมาณ 2-3 อาทิตย์ อาตมาจึงได้เข้าไปนั่งพูดคุย
กับท่านด้านนอกกุฏิ ระหว่างคุยไปคุยมา พอได้จังหวะดี เห็นแกอารมณ์ดี
ยิ้มแย้มแจ่มใส จึงได้ถามท่านว่า
"หลวงพ่อวันที่ฉันได้นั่งคุยกับหลวงพ่อ อยู่ริมบึงวันนั้น
เพราะเหตุใดปลาถึงวิ่งมาหาได้?" ท่านก็บอกว่า "มันมาดูเรามั้ง"
ท่านก็ว่าอย่างนั้น (หัวเราะ) อาตมาก็ถามท่านต่อว่า
ผมก็เดินมาหลายครั้ง แต่ไม่เห็นปลามันวิ่งมาดูเลย
ผมว่าหลวงพ่อต้องมีอะไรสักอย่าง เมื่อคุยไปคุยมาท่าน
ก็ว่าไม่มีอะไรหรอก แต่เราก็ตื้ออยู่นาน เมื่อถามไปถามมา ก็บอกว่ามี
มีอะไรครับ
ก็มีคาถา เป็นคาถาเรียกงูเรียกปลา จากนั้นก็คุยเรื่องอื่นต่อไป
เพราะรู้แล้วว่ามีแน่ จากนั้น พออาตมาบวชมาได้ 2-3 พรรษา
ก็ได้ขอวิชานี้กับท่าน ขอนับสิบครั้งเห็นจะได้ แต่ก็ไม่ให้
ทำไมหลวงปู่ทิมจึงไม่ยอมถ่ายทอดวิชานี้ให้หลวงพ่อล่ะครับ?
เพราะว่าคงหวงวิชา แต่ที่ขอแล้วก็เฉย ถ้าแกตอบว่า อย่าเอาเลย
เราก็คงไม่ตอแยแน่ จนในที่สุด เมื่อแกใกล้จะมรณภาพ แกถึงบอกว่า
วิชานี้อย่าเอาเลย ขอให้ติดตัวแกไป
เพราะอะไรครับหลวงพ่อ
ถ้าคนเอาไปใช้ไม่มีสัจจะ ก็จะอันตรายมาก
เพราะวิชานี้ไม่ได้ใช้เรียกปลาเท่านั้น สัตว์ทุกชนิด ถ้าตั้งใจจะเอา
ก็จะได้ทุกอย่าง แม้แต่คนก็สามารถเรียกมาได้ ถือเป็นคาถาที่อันตราย
เพราะถ้านำใช้ไปในทางไม่ดี ก็อันตรายมาก สาเหตุนี้
ท่านจึงไม่ยอมให้ใครเลย
แกบอกว่าอย่าเอาเลย แต่อย่างอื่นแกให้ทุกอย่าง จริงๆ
เราเสียดายก็เสียดาย แต่แกบอกอย่าเอาเลย พอตกกลางคืนก็เอาอีกนะ
ถามแกว่า ไอ้วิชาที่ว่านี้มันเป็นอย่างไร
ผมอยากรู้วิชาที่ดีมันว่าอย่างไร ถึงผมได้ ผมก็ไม่เอาไปใช้หรอก
และจะไม่ให้ใครด้วย แกก็บอกว่า คนเราเอาแน่นอนที่ไหนได้
อนิจจังของคนไม่แน่นอน ในยามถูกใจก็ดี ในยามไม่ถูกใจก็ดี
แสดงว่าหลวงปู่ทิมกลัวจะมีคนนำคาถานี้ไปใช้ในทางไม่ชอบ?
ใช่ อาจมีการนำไปใช้อย่างไม่ถูกไม่ต้อง ความมุ่งหมายของแกรู้
ฉันก็แทงใจแกถูก (หัวเราะ) ถ้าให้ฉันแล้วเรื่องของเรื่อง คือ
แกกลัวฉันจะสึก และมันมีเขียนไว้ในสมุดข่อย แกก็ทำลายทิ้งไป แต่เราเห็น
ก็หยิบเอามาต่อกัน ผิดบ้าง ถูกบ้างแต่ก็อ่านไม่รู้เรื่อง
แต่ฉันสันนิษฐานว่า คาถานี้ ไม่น่าจะเกิน 5 คำ
แล้วพระ "ขุนแผนผงพรายกุมาร" ล่ะครับ หลวงปู่ทิมท่านทำอย่างไรครับ?
ขุนแผนนี้ท่านได้มาสร้างเมื่อปี พ.ศ. 2517
ช่วงก่อนที่แกจะมรณภาพไม่กี่ปี ที่ทำก็เพราะมีไวยาวัจกรของวัด
แกก็คิดว่าจะทำขุนแผน จึงไปปรึกษากับหลวงปู่จะทำอย่างไรดี แกก็ไม่บอก
กลุ่มพวกนี้ก็หัวใสอยู่แล้ว
ก็ไปเอาแบบที่จะสร้างขุนแผนมาให้ท่านดูว่าควรสร้างแบบไหนดี
แบบนี้ได้ไหม แบบนั้นได้ไหม ในที่สุดก็จึงได้สร้างขุนแผนขึ้นมา
เพื่อจะได้นำเงินมาก่อสร้างบำรุงวัด เนื่องจาก
เมื่อก่อนบริเวณวัดแห่งนี้เป็นป่าทั้งนั้น
หลวงปู่ทิมเป็นคนบอกให้ใช้ "ผงพรายกุมาร" มาทำใช่มั้ยครับ
ไม่ใช่ แต่มาจากลูกศิษย์ อันนี้ ก็ได้ปรึกษาหารือกันแล้ว
ว่าจะทำอย่างนี้ อย่างนี้นะ แล้วก็นำไปปรึกษาหารือกับหลวงปู่ทิม
ว่าจะทำได้ไหม แกก็บอกว่าได้ ถ้ามีความสามารถทำมาได้ แกก็ทำให้ได้
พวกลูกศิษย์ก็จึงไปจัดหากันมา เพราะคนตายสมัยนั้นเขาจะเอาฝังดิน
ไม่เหมือนสมัยนี้ที่ไม่มีการฝังแล้ว โยมปูน
สัปเหร่อของวัดในสมัยนั้นก็เป็นคนไปเอาผงพรายกุมารมา ก็จะเป็น "ลิ้น"
กับ "เส้นผม" ของเด็กที่อยู่ในท้องแม่ที่ตายท้องกลม
แต่ไม่ได้เอาหัวกะโหลกอะไร
ลูกศิษย์เป็นคนจัดการเองทั้งหมดเลยใช่ไหมครับ?
ลูกศิษย์จัดการเอง โดยท่านไม่ได้บอก พวกนั้นได้ไปขุดหากันมา
อย่างเส้นผมก็จะเอามาซอย ส่วนลิ้นก็จะเอาไปย่างแล้ว เอามาบด ให้ละเอียด
แล้วก็เอามาให้ท่าน ซึ่งทางท่านก็มีส่วนผสมอยู่แล้ว
เมื่อเอามาผสมกันแล้ว ก็ทำการปลุกเสก
ที่จริง พลังจิตของท่านที่มีเจตนาเป็นกุศลแรง เป็นสิ่งที่ดีอยู่แล้ว
ไม่จำเป็นต้องใส่ผงพรายกุมาร แต่ถ้ามีการใส่ผงพรายกุมารนี้ลงไป
เขาบอกว่าถ้าทำอะไรผิดแหวกแนว คนใหม่ๆ มันชอบ มันก็เชื่อ เป็นอุปทานไป
ตอนนั้น หลวงปู่ทิมปลุกเสกขุนแผนผงพรายกุมาร นานแค่ไหนครับ?
ท่านปลุกเสกคนเดียว ประมาณ 1 อาทิตย์เศษๆ แล้วเขาก็เอาออกมาใช้กัน
วิชาการสร้างขุนแผนผงพรายกุมารของหลวงปู่ทิม
ก็ตกทอดมาถึงหลวงพ่อด้วยใช่มั้ยครับ?
อาตมาก็ได้เรียนกับท่านมา และได้มาแบบท่านไม่ได้หวงเลย
อาตมาไม่ได้อย่างเดียว คือ คาถาที่เรียกปลาเท่านั้นแหละ
อย่างผงพรายกุมาร อาตมาก็ได้จากท่านมาบางส่วน
ก็ขอท่านไว้หลังจากที่ท่านทำพิธีปลุกเสก เพราะตอนนั้น
อาตมาก็ช่วยเขาทำอยู่ด้วย แต่ก็ได้มานิดเดียว ค่อนๆ ตลับยาหม่องเล็กๆ
พออาตมาสร้างพระขุนแผน ก็เอาผงพรายกุมารที่ได้มาใส่เป็นเชื้อ
แล้วก็จะหาผงอย่างอื่นเอามาผสมกัน
วิชาเหล่านี้ นอกจากจะมีดีตามความเชื่อของแต่ละคนแล้ว
จะมีผลที่ไม่ดีอะไรบ้างมั้ยครับ?
อะไรที่เกี่ยวกับผี มันไม่ดีหรอก บอกได้เลยว่าไม่ดี
ถ้าสมมติว่าเราทำให้ใครใช้ หากเราบังคับมันไม่อยู่ ไอ้คนใช้ก็จะอันตราย
เป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้น ฉันเรียนมาก็จริง แต่ตัวฉันไม่เอานะ
เข้ากับผี ไม่ว่าจะเป็นกระดูกหรืออะไร
หลวงพ่อก็ทำได้ แต่ไม่ทำ
ทำได้ เนื่องจากวิชาเหล่านี้เรียนมาทั้งนั้น แต่ไม่ทำ
อะไรที่เกี่ยวกับผีเป็นไม่เอา จะเป็นสีผึ้ง หรืออะไรก็แล้วแต่ ไม่เอา
มันจะเป็นอันตรายที่เกิดขึ้นได้ เพราะถ้าทำไม่ดี คนๆ
นั้นอาจถึงขั้นวิปริต เสียสติไปเลย
ส่วนพระขุนแผน พวกผงพรายกุมารนั้น ต้องเรียกว่าคนทำ คือ
หลวงปู่ทิมท่านเก่ง ท่านบังคับอยู่เลย ท่านเสกบังคับไว้เสร็จเลย ฉะนั้น
คนที่จะทำต่อไป ถ้าไม่แน่จริงอย่าไปทำ มันเป็นอันตรายถือว่าเล่นกับผีนะ
เดี๋ยวเสกบังคับไม่ได้ ก็ยุ่งเลย
แล้วคาถาที่หลวงปู่ทิมเสกบังคับเอาไว้ ไม่มีเสื่อมบ้างหรือครับ
มันไม่เสื่อมหรอก เหมือนโบราณเขาว่าไว้ว่า ถ้าทำได้แน่จริง ดีจริงๆ
มันไม่เสื่อมหรอก เช่นเดียวกับเพชรที่ตกไปในตม
เอาขึ้นมาล้างมันก็คือเพชร ไม่เสื่อมหรอก
ได้ข่าวว่า ตอนนี้ หลวงพ่อกำลังจะสร้าง "พิพิธภัณฑ์ยันต์"
ขึ้นมาที่วัดหนองกรับ ไม่ทราบว่าเป็นอย่างไรครับ?
ก็จะสร้างเป็นอาคาร 3 ชั้น ชั้นล่างก็จะเป็นกุฏิ
ไว้ต้อนรับญาติโยมที่เดินทางมาทำบุญที่วัด ชั้น 2 ก็จะทำเป็นพิพิธภัณฑ์
ส่วนชั้น 3 จะใช้เป็นที่เก็บวัตถุมงคลต่างๆ ที่ได้ปลุกเสกแล้ว
พิพิธภัณฑ์นี้จะใช้เวลาสร้างประมาณ 3 ปีได้ อาตมาคาดว่า
เดือนพฤษภาคมปีนี้จะเสร็จสมบูรณ์
พิพิธภัณฑ์ที่ว่านี้ เมื่อเสร็จแล้วจะเป็นแบบไหนครับ?
จะทำเป็นที่เก็บเฉพาะ "ยันต์" เท่านั้น
จะเป็นยันต์ขนาดใหญ่ที่ดูแล้วสวยงาม เป็นยันต์ที่อาตมาเขียนเองทั้งหมด
ส่วนใหญก็เป็นยันต์ที่ได้เรียนมาจากหลวงปู่ทิม วัดระหารไร่ ก็มียันต์
หนุมาน ยันต์ชูชก และเป็นยันต์พวกดาวเดือน ฯลฯ ยันต์ต่างๆ
ก็จะมีอยู่ในตำรา ลอกจากตำราแล้วเอาไปปั้นติดผนังเลย
และคิดว่าถ้าปั้นจะแลดูขลังกว่า จะนูนออกมาสวยกว่า
โดยจะมีการเขียนตัวหนังสือออกมาก่อน
แล้วเอามาแกะตัวหนังสือทำแม่พิมพ์เลย แล้วเทเป็นตัวๆ ไปเลย ก ข ค ง จ ธ
ท น ฯลฯ ไอ้เส้นยันต์เราก็เทเป็นร่องๆ ไป ประมาณ 40 ซม. หรือ 30 ซม.
การเขียนยันต์ หลวงพ่อเรียนจากหลวงปู่ทิมท่านเดียวเลยเหรอครับ
อาตมาก็ไปเรียนกับอาจารย์เรียง อยู่ที่กรมศิลปากรด้วย
ก็ไปเรียนกับท่านตั้งแต่อายุประมาณ 15 ปี สมัยนั้น
ท่านอาจารย์เรียงมาทำงานอยู่แถวชลบุรี
ท่านก็เริ่มให้ฝึกตั้งแต่การแกะสลักไม้ หลังจากนั้นก็ได้ฝึกเขียนยันต์
ส่วนใหญ่จะให้หัดเขียนเป็นลายไทย พวกลายกนกต่าง ๆ
ก็เรียนอยู่กับอาจารย์เรียง ประมาณ 5 ปีเห็นจะได้
ก็เป็นพื้นฐานในการเขียนยันต์ต่างๆ ในเวลาต่อมา
เครื่องรางของขลังต่างๆ มีประโยชน์อย่างไรบ้างครับหลวงพ่อ
ให้เป็นพุทธานุสติ ให้มีการระลึกถึงสิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์ คือพระพุทธ
พระธรรม พระสงฆ์ ให้ระลึกนึกถึงคุณงามความดี
ไอ้ประโยชน์ของเขามันมองไม่เห็น แต่กรณีฉุกเฉิน
มันก็สามารถทำให้เราแคล้วคลาดจากอันตรายต่างๆ ไปได้
หรือบางครั้งจากหนักก็ให้เป็นเบาได้ เรื่องแบบนี้พูดยาก
ขึ้นอยู่กับความเชื่อ หรือคนต้องประสบเอง
ในทางกลับกัน เครื่องรางของขลังต่างๆ มีโทษบ้างมั้ยครับ
ถ้านำไปใช้ในสิ่งที่ผิด ก็จะเกิดโทษ เช่น คนที่ได้เครื่องรางของขลัง
ไปแล้วคิดว่าตัวเอง ดีแล้ว เหนียวแล้ว คงกระพันแล้ว ก็เกิดความประมาท
บางทีก็ไปหาเรื่องหาราวคนอื่น อย่างนี้ก็เป็นโทษ แต่ถ้าคนเรา
เอาเครื่องราง ของขลังเอาไปใช้อย่างไม่ประมาท เอาไว้คุ้มครองตัวเอง
เอาไว้เป็นที่ระลึก เป็นพุทธานุสติ คงไม่มีปัญหา
ทีมข่าวพระเครื่อง "คม ชัด ลึก"
(เน้นคำพูด-ตัวใหญ่)พระขุนแผนผงพรายกุมารนั้น ถ้าไม่แน่จริง อย่าไปทำ
มันเป็นอันตราย ถือว่าเล่นกับผีนะ เดี๋ยวเสกบังคับไม่ได้ ก็ยุ่งเเลย
อะไรที่เกี่ยวกับผี มันไม่ดีหรอก เพราะถ้าคนทำ เสกบังคับมันไม่อยู่
ไอ้คนใช้ก็จะอันตราย"

หลวงปู่ทิม อิสริโก วัดละหารไร่
จังหวัดระยองเป็นเกจิที่ประชาชนกำลังให้ความนิยมสูงสุดอยู่ในขณะนี้ท่านเป็นพระที่มีศิลลาจารวัตรงดงามและ

มีพุทธาคมอันแก่กล้าไม่ว่าจะเป็นด้านคงกระพันชาตรี เมตตามหานิยม มหาลาภแคล้วคลาด
ซึ่งปรากฏได้ประจักษ์มาแล้วในผู้ที่เคารพนับถือและมีวัตถุมงคลของ
ลป.ทิมไว้บูชาซึ่งในปัจจุบันวัตถุมงคลของหลวงปู่เป็นที่เสาะแสวงหากันมากทั้งประชาชนทั่วไปและบุคคลในวงกา

รพระเครื่อง
ผู้ที่มีอยู่ต่างก็หวงแหนเพราะประสบการณ์ที่ประสบมาด้วยตัวเองจึงทำให้เกิดแรงศรัทธาอันสูงสุด
แม้ลป.ทิมจะล้วงลับไปแล้ว แต่ความศักดิ์ก็ยังคงอยู่ ความศรัทธาจากประชาชนมิได้ลดน้อยถอยลงแต่อย่างใด
เมื่อครั้งที่หลวงปู่ยังมีชีวิตอยู่มีลูกศิษย์ลูกหาหลวงปู่หลายท่านได้ถามหลวงปู่ว่า?หลวงปู่ครับ
เมื่อสิ้นหลวงปู่แล้วพวกกระผมจะพึ่งพิงพระรูปใดได้บ้าง?หลวงปู่ทิมได้ชี้ไปที่พระหนุ่มรูปหนึ่ง
ซึ่งในวันนั้นได้มาปฏิบัติหลวงปู่อยู่ด้วย?โน่น ท่านสาคร เขาเรียนของไว้เยอะ
ท่านสาครที่หลวงปู่พูดถึง ก็คือหลวงพ่อสาคร มนุญโญ วัดหนองกรับศิษย์เอกหลวงปู่ทิม
ที่ได้รับการถ่ายทอดวิชาอาคมไว้จนหมดสิ้น
พระครูมนูญธรรมวัตรหรือหลวงพ่อสาครศิษย์เอกผู้สืบทอดพุทธาคมจากหลวงปู่ทิม อิสริโก
เป็นผู้ฝักใฝ่ในด้านเวทย์มนต์คาถาอาคมและวิชาแพทย์แผนโบราณมาตั้งแต่เด็กๆ
นามเดิมว่า สาครไพสาลี เกิดในกระกูลชาวไร่-ชาวนา เมื่อวันอังคาร แรม ๙ ค่ำ เดือน ๓ ตรงกับวันที่ ๓
กุมภาพันธ์ ๒๔๘๑ ซึ่งตรงตามคติโบราณที่ว่าบุคคลนั้นจะมีความพิเศษอยู่ในตัว
หากถือปฏิบัติก็จะพบกับความสำเร็จเจริญยิ่งๆขึ้นไปหากร้ายก็จะร้ายอย่างหาที่เปรียบไม่ได้และบุคคลที่เกิด

ในราศีนี้จิตจะฝักใฝ่ด้านไสยศาสตร์เวทย์มนต์คาถา
โยมบิดาชื่อ นายกุ โยมมารดาชื่อนางนิด หลวงพ่อสาครเกิดที่บ้านท้ายทุ่ง หมู่สอง๒ ต.หนองกรับ อ.บ้านค่าย
(บ้านท้ายทุ่งแห่งนี้เป็นสถานที่เดียวกับบ้านเกิดของลป.ทิม)
หลวงพ่อสาครมีพี่น้องทั้งหมด๒คนคือ

๑.นางอยู่ ไพสาลี
๒.หลวงพ่อสาคร
หลวงพ่อสาครได้เข้าศึกษาเบื้องต้นในชั้นประถมปีที่ ๑
เมื่ออายุได้๕ปีที่โรงเรียนวัดหนองกรับจนจบชั้นประถมปีที่๔ เมื่อพ.ศ. ๒๔๙๐
ได้ออกมาช่วยโยมบิดา-มารดาประกอบอาชีพทำนาและเมื่อมีเวลาว่างก็จะออกเดินทางไปบ้านละหารไร่
เพื่อศึกษาวิชาไสยศาสตร์กับโยมหล่อและโยมทัต ซึ่งทั้งสองถือว่าเป็นผู้เรืองวิชาอาคมในสมัยนั้น
และเข้าปฏิบัติหลวงปู่ทิมอยู่เป็นนิจ
ซึ่งนับว่าเป็นศิษย์รุ่นเยาว์ที่หลวงปู่ให้ความเมตตาเรียกใช้อยู่เสมอด้วยนิสัยและความสนใจด้านไสยศาสตร์ม

าแต่เด็กและโตขึ้นจึงเป็นคนหนุ่มที่มีวิชาอาคมติดตัวแต่ก็ได้ใช้วิชาที่ได้ร่ำเรียนมาไปทำร้ายใครกลับมีแต

่ช่วยเหลือเพื่อนๆรุ่นเดียวกันมาตลอด
เมื่ออายุครบ ๒๐ปี
โยมมารดาและญาติพี่น้องจึงได้ร่วมกันจัดพิธีอุปสมบทให้เป็นพระภิกษุที่วัดหนองกรับเมื่อวันพุธที่ ๔
มิถุนายน ๒๕๐๑
โดยมีพระครูจันทโรทัย(หลวงพ่อดิ่ง)เป็นพระอุปัชฌายะเป็นพระกรรมวาจาจารย์และพระอธิการเคียง


วัดไผ่ล้อมเป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า?
มนูญโญ?เมื่ออุปสมบทแล้วได้เดินทางไปจำพรรษาที่วัดละหารไร่และได้ฝากตัวเป็นศิษย์ลป.ทิมเพื่อศึกษาพระธรรม

วินัยและพุทธาคมจากหลวงปู่ทิมอย่างจริงจังจึงได้รับการถ่ายทอดวิชาอาคมต่างๆจากหลวงปู่ทิมจนหมดสิ้นโดยมิไ

ด้ปิดบังแต่อย่างใดเรียกได้ว่าเรียนได้กระจ่างชัดรู้จริงสามารถปฏิบัติได้
เมื่อมีความเชี่ยวชาญในวิชาอาคมที่เรียนแล้วด้วยใจรักในด้านนี้จึงได้เสาะแสวงหาศึกษาวิชาอาคมจากลพ.เพ่ง
สาสโน วัดละหารใหญ่ ซึ่งหลวงพ่อเพ่งรูปนี้เดิมเป็นมหาดเล็กในเสด็จเตี่ยกรมหลวงชุมพรเขตดุดมศักดิ์ฯ
จึงได้ศึกษาวิชาอาคมจากหลวงปู่ศุข
วัดปากคลองมะขามเฒ่ามีวิชาด้านคงกระพันธ์เป็นเยี่ยมเขียนอักขระลงบนแผ่นตะกั่วเพียงตัวเดียวให้คนทดลองยิง

ก็ยิงไม่ออกเมื่อหลวงพ่อสาครได้ศึกษาวิชาอาคมจากหลวงพ่อเพ่งเป็นอย่างดีแล้ว
ก็ได้รับคำแนะนำจากหลวงปู่ทิมให้ไปศึกษาวิชาจากหลวงปู่หิน
วัดหนองสนมซึ่งหลวงพ่อสาครก็ได้รับความเมตตาจากหลวงปู่หินถ่ายทอดวิชาให้เป็นอย่างดีหลังจากศึกษาวิชาอาคม

จากหลวงปู่หินแล้วหลวงพ่อสาสรก็เดินทางไปศึกษาวิชากับหลวงปู่โสม วัดบ้านช่อง อ.พานทอง
จ.ชลบุรีซึ่งเป็นพระที่มีวิชาอาคมแก่กล้าอีกองค์หนึ่งของภาคตะวันออกหลวงพ่อสาครก็ได้ศึกษาจนกระทั่งจบกระ

บวนท่า ด้วยนิสัยใฝ่รู้หมั่นศึกษา
หลวงพ่อสาครได้รับการถ่ายทอดวิชาอาคมจากบรรดาเกจิอาจารย์ต่างๆอีกหลายองค์ อาทิ
พ. ศ. ๒๕๐๓ ได้เดินทางไปศึกษากับอาจารย์เชียงคำ ที่เมืองย่างกุ้ง ประเทศพม่า
พ.ศ. ๒๕๐๖ ศึกษากับอาจารย์สิน วัดนาวัง อ.บางละมุง ชลบุรี
พ.ศ. ๒๕๑๘ เดินทางไปศึกษากับอาจารย์สุพจน์ ที่ประเทศเขมร
พ.ศ. ๒๕๒๓ ศึกษากับพระอาจารย์สุมล คำเสียง ที่จังหวัดศรีษะเกษ
พ.ศ. ๒๕๒๕ ศึกษากับหลวงพ่อบุญเย็น วัดแจ้งนอก จ.นครราชสีมา
พ.ศ. ๒๕๒๖ ศึกษากับหลวงพ่อคูณ วัดบ้านไร่ อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา
พ.ศ. ๒๕๒๗ ศึกษากับหลวงพ่ออาคม วัดดาวนิมิตร จ.เพชรบูรณ์
พ.ศ. ๒๕๒๘ ศึกษากับหลวงพ่อบึม วัดปราสาทกิน จ.ปราจีนบุรี
ฯลฯ
หลวงพ่อสาครยังได้ศึกษากับเกจิอาจารย์ที่เชี่ยวชาญทางด้านไสยเวทย์ต่างๆอีกหลายท่านทั้งพระภิกษุและฆราวาส


ในปีพ.ศ. ๒๕๐๘ พระครูเกลี้ยงธรรมถีโยเจ้าอาวาสลำดับที่๙วัดหนองกรับได้มรณภาพลง
ทายกทายิกาชาวบ้านหนองกรับได้เดินทางไปหาหลวงปู่ทิมที่วัดละหารไร่เพื่ออาราธนาหลวงพ่อสาคร มนูญโญ
ให้กลับมาเป็นเจ้าอาวาสวัดหนองกรับ หลวงปู่ทิมได้อนุญาต
หลวงพ่อสาครจึงมาเป็นเจ้าอาวาสวัดหนองกรับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

ถึงแม้ว่าท่านจะมาเป็นเจ้าอาวาสวัดหนองกรับก็มิได้ทอดทิ้งหลวงปู่ทิมผู้เป็นอาจารย์ยังคงเดินทางไปกราบนมั

สการดูแลหลวงปู่อยู่เสมอจนกระทั่งหลวงปู่ทิมได้มรณภาพลงในปี๒๕๑๘หลวงพ่อสาครก็เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงใหญ่ในก

ารจัดบำเพ็ญกุศลศพหลวงปู่ทิมอย่างเต็มที่สมกับที่เป็นศิษย์ก้นกุฏิอย่างแท้จริงจนบรรดาลูกศิษย์ลูกหาอื่นๆ

ของหลวงปู่ทิมกล่าวยกย่องชมเชยหลวงพ่อสาครกันทั่ว
หลวงพ่อสาครนอกจากจะสนใจศึกษาวิชาอาคมต่างๆแล้วท่านก็มิได้ทอดทิ้งในด้านการศึกษาพระธรรมวินัย
และเมื่อรับตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดหนองกรับซึ่งเป็นวัดเก่าแก่ที่มีอายุกว่า๒๐๐ปีและเคยถูกไฟไหม้เผากุฏิเสนา

สงฆ์จนวอดวายท่านก็มิได้ดูดายเมื่อมาเป็นเจ้าอาวาสก็ได้บูรณะและสร้างเสนาสนะใหม่ขึ้นมาเพื่อให้ภิกษุสงฆ์

สามเณรและพุทธศาสนิกชนได้ใช้ปฏิบัติศาสนกิจต่อไปด้วย
ความสามารถพิเศษของหลวงพ่ออีกอย่างหนึ่งคือมีความชำนาญในด้านปฏิมากรรมและวิจิตรศิลป์
การแกะสลัก,การปั้นลวดลายและวาดภาพฝาผนังตลอดจนการลงรักปิดทอง
ท่านจึงได้ลงมือบูรณะและก่อสร้างเสนาสนะถาวรวัตถุต่างๆด้วยตัวท่านเอง
ในปีพ.ศ.๒๕๒๔ ได้รับพระราชทานเป็นพระครูชั้นโท
?พระครูมนูญธรรมวัตร?หลวงพ่อสาครได้สร้างวัตถุมงคลขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อปีพ.ศ.๒๕๐๘
มีด้วยกันสองพิมพ์พิมพ์แรกเป็นสมเด็จรัศมีมีเนื้อผงใบลานเก่าสีดำหลวงพ่อได้นำใส่บาตรแล้วเผาไฟทำให้มีเนื

้อแกร่งและอีกพิมพ์หนึ่งเป็นรูปปั้นหลวงปู่ทิมเนื้อผงใบลานสีดำเนื้อเดียวกับสมเด็จพิมพ์รัศมี
หลวงพ่อสาครได้นำออกมาแจกแก่ญาติโยมครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๐ ในงานทอดผ้าป่า
พระชุดนี้ได้ก่ออภินิหารอย่างมากมายช่วยคุ้มครองชีวิตแก่ผู้นำติดตัวมาแล้วหลายราย
ต่อมาในปี๒๕๒๔หลวงพ่อสาครได้นำผงปัถมัง,ผงอิทธิเจที่ท่านเขียนเลขยันต์อักขระต่างๆ
,ผงของของหลวงปู่.ทิม,ผงอิทธิเจหลวงพ่อเพ่ง วัดละหารใหญ่,ผงปัดตลอดอาจารย์ภูเมือง,ผงพุทธคุณหลวงพ่อสิม
วัดถ้ำผาปล่อง,ผงพุทธคุณครูบาคำหล้า จ.เชียงใหม่,ผงพุทธคุณอาจารย์มั่น,ผงวิเศษหลวงพ่อจง
วัดหน้าต่างนอกและผงของเกจิอาจารย์ต่างๆที่หลวงพ่อได้ไปศึกษามาหลวงพ่อสาครได้นำผงเหล่านี้มาสร้างเป็นสมเ

ด็จพุทธนิมิตซึ่งเป็นพระประธานในอุโบสถวัดหนองกรับหลังจากสร้างออกมาแล้วก็เป็นที่ฮือฮาขึ้นมาอีกครั้งเมื

่อทหารนาวิกโยธินนายหนึ่งได้เหยียบกับระเบิดจนตัวลอยละลิ่วเมื่อเพื่อนๆวิ่งไปดูทหารคนนั้นไม่เป็นอะไรเลย

ในคอคล้องสมเด็จพุทธนิมิตองค์เดียวเท่านั้นจึงยกโขยงมาขอสมเด็จพุทธนิมิตจากหลวงพ่อไปเป็นจำนวนมาก

หลังจากนั้นหลวงพ่อได้สร้างวัตถุมงคลขึ้นอีกหลายพิมพ์ซึ่งก็ล้วนมีประสบการณ์ทั้งสิ้นจนทำให้วัตถุมงคลเหล

่านี้หมดไปจากวัดอย่างรวดเร็ว
ในปีเดียวกัน(๒๕๒๔)หลวงพ่อสาครได้รับพระราชทานเป็นพระครูชั้นโท
หลวงพ่อได้สร้างเหรียญปิดตารุ่นฉลองสมศักดิ์ขึ้นด้านหลังเป็นยันต์ห้าเหรียญรุ่นนี้เป็นที่โจษขานกันมาอีก

รุ่นหนึ่งในบรรดาพ่อค้าแม่ค้าในจังหวัดระยองเหราะทำให้มีฐานะดีขึ้นมาทุกวันนี้เพราะเหรียญปิดตาหลวงพ่อสา

ครนี่แหละ

หลวงพ่อสาครนับว่าเป็นที่เจริญรอยตามคณาจารย์โดยแท้ด้วยศิลลาจารวัตรที่งดงามอีกรูปหนึ่งท่านเป็นพระที่สม

ถะที่มากด้วยพระธรรมวินัยมีอาคมอันแก่กล้า
หลวงพ่อสาคร มนูญโญ วัดหนองกรับนับว่าเป็นเพชรน้ำเอกอีกรูปหนึ่งที่ประชาชนให้ความเคารพนับถือ
ท่านเป็นพระผู้สืบสานอาคมจากหลวงปู่ทิมผู้เป็นอาจารย์มิขาดตกบกพร่อง

*จากหนังสือเนื่องในวาระครบ๕รอบหลวงพ่อสาคร วัดหนองกรับ*


30
องค์แรกรุ่นทอดผ้าป่า ปี46 รุ่นนี้เจตนาการสร้างดี พิธีดี จำนวนชัดเจน :016:



หลังหลวงพ่อสาครท่านจารนะเสน่ห์หาให้ครับ





องค์ที่สอง รุ่นบารมีคู่ รุ่นนี้เจตนาการสร้างดี พิธีดีโดยปลุกเสกร่วมกันสององค์คือ หลวงพ่อสาครวัดหนองกรับ และ หลวงพ่อฟู วัดบางสมัครจำนวนชัดเจน มีเกสาหลวงพ่อสาคร กับหลวงพ่อฟู และผงอิธิเจ จำนวนมาก :016: :025: :015:




หลังหลวงพ่อสาครท่านจารนะเสน่ห์หาให้ครับ







32
วันนี้ ไปวัดกลางบางแก้วมาได้บูชา รูปหล่อ เหรียญสรงน้ำ 84ปี หลวงเจือ และได้พบพี่น้อง สุดหล่อในเว็บด้วย :002: ระหว่างดูวัตถุมงคลอยู่ซักพักหนึ่งมือถือเจ้ากรรมดันหาย  :070: หายตั้งนานก็ไม่เจอสุดท้าย ได้อธิฐานบอกหลวงปู่เจือ หลวงปู่ครับวันนี้ผมมางานวัดเกิดหลวงปู่งานมงคลของหลวงปู่ บูชาวัตถุมงคลไปหลายบาท แล้วอย่าให้เสียเงินอีกเลยขอให้ได้คืนด้วยนะครับ
             :054:







สักพักปาฏิหาริย์ ก็มีจริงเจอโทรศัพท์ตกอยู่ข้างรถโดยไม่มีคนเอาไป ทั้งที่คนผ่านไปมาแยะมากๆ:073:หลวงปู่ศักด์สิทธิ์จริงๆขอได้กราบรับ


33
สุขสันต์วันเกิดหลวงพี่ขอให้หลวงพี่มีสุขภาพแข็งแรงมีความสุขมากๆนะครับ :054:




34
ตลับยาหม่องผงใบลานนี้สร้างปี 2507





35









*พุทธคุณดี มากครับ ลองหามาห้อยดูแล้วจะรู้ว่าดีเพียงใด :054:*

37


ความเชื่อเกี่ยวกับพระแม่ธรณี

การศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับพระแม่ธรณีหรือพระธรณี จะไม่มีผู้ใดได้ค้นคว้าเรื่องราวไว้มากนัก จึงผูกพันความเชื่อระหว่างศาสนาฮินดูและพุทธศาสนา แยกเป็น 2 ลักษณะ คือ

1. ลักษณะที่นำความเชื่อมาจากสิ่งมหัศจรรย์บังเกิดขึ้นเหนือธรรมชาติที่มิอาจจะหาคำอธิบายได้ จากปรากฎการณ์ที่เร้นลับ ตลอดจนการเล่าขานสืบต่อจนกลายเป็นวัฒนธรรมของท้องถิ่น และความเชื่อถือผูกให้เป็นเทพเทวา เมื่อกระทำสิ่งที่ขัดหรือผิดต่อความเชื่อมักจะมีความรู้สึกว่า ถูกฟ้าดินลงโทษและชีวิตไม่สามารถดำรงต่อไปอย่างผาสุข หรือจะรู้สึกว่าผิดบาปต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งจะเป็นสิ่งไม่มีตัวตน เช่น พื้นพิภพ , ธรณี, พื้นดิน เป็นต้น

2. ลักษณะที่กล่าวอ้างความเชื่อจาก เทศน์มหาชาติ พุทธประวัติ ปฐมสมโพธกถา เกี่ยวกับตำนานเทพ เทวดาต่าง ๆ มีเป็นรูปลักษณ์ เห็นเป็นรูปร่างของเทพ ปรากฏกายเป็นสตรี

จากลักษณะความเชื่อเกี่ยวกับพระแม่ธรณี ซึ่งเป็นลักษณะความคิด ความเชื่อ จากหนังสือนิตยสารชวนรู้เขียนโดย อาจารย์ฤดีรัตน์ กายราศ จากกองวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ เรื่องพระคงคา พระธรณี แม่โพสพ เทวดา ในวัฒนธรรมไทยได้ค้นคว้าเกี่ยวกับพระแม่ธรณีได้ชัดเจน จึงขออนุญาตอ้างอิงและนำบทความของท่านมาบางตอนเพื่อได้เห็นภาพลักษณ์ของพระแม่ธรณี ซึ่งท่านได้นำลักษณะของเทวานุสาวรีย์พระแม่ธรณีการประปานครหลวง มากล่าวและเขียนถึงภาพลักษณ์ได้ชัดเจนดังนี้

?ปรากฏการณ์ต่าง ๆ ทางธรรมชาติอันน่ามหัศจรรย์ที่บังเกิดขึ้น เป็นสิ่งที่มนุษย์แต่โบราณกาลไม่สามารถทราบหรืออธิบายได้ด้วยปัญญาและเหตุผล จึงเข้าใจว่าเกิดจากฤทธิ์และอำนาจของผีสางเทวดาที่จะบันดาลให้ทั้งคุณและโทษ ประกอบกับธรรมชาติของมนุษย์ต้องการสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจเพื่อช่วยให้เกิดความรู้สึกมั่นคงปลอดภัยว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ปกป้อง คุ้มครอง จึงเกิดคติความเชื่อว่า หากมีการบนบานศาลกล่าวเซ่นไหว้บูชาแล้ว ก็จะพ้นจากความทุกข์ยากลำบากเดือดร้อน ด้วยความเชื่อดังนี้เมื่อปฏิบัติสืบเนื่องกันมาเป็นเวลาช้านาน ก็ได้เข้าไปครอบงำอยู่ในความนึกคิดและจิตใจของคนในชาติ ในสังคมอย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ กลายเป็นมูลฐานแห่งวัฒนธรรมจารีตประเพณี เกิดเป็นพิธีรีตองต่าง ๆ ที่มนุษย์ในยุคสมัยต่อมาได้ปรับปรุงให้ประณีตงดงามขึ้น เพื่อสัมฤทธิ์ผลแห่งความเป็นสวัสดิมงคลในการดำเนินชีวิต เทวดาในวัฒนธรรมไทยก็เป็นมรดกจากสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติที่เกี่ยวข้องกับชีวิตความเป็นอยู่ ตลอดจนการทำมาหากินของคนไทยและเป็นที่น่าสังเกตว่าเทวดาที่คอยเอื้อเฟื้อดูแลทุกข์สุขของมวลมนุษย์ มักจะเป็นเทวดาผู้หญิงเสียเป็นส่วนใหญ่ ?

พระธรณี ตามคติความเชื่อของชาวฮินดูให้ความเคารพนับถือว่าแผ่นดินเป็นสิ่งค้ำจุนสรรพสิ่งทั้งปวงในโลกเปรียบเสมือนมารดาผู้ให้กำเนิดหล่อเลี้ยงโลกและแผ่นดิน จึงได้รับยกย่องว่าเป็นเทพจากธรรมชาติองค์หนึ่งเป็นเพศหญิง เรียกนามว่า ?ธรณิธริตริ? แปลว่าผู้ค้ำจุนพระธรณี แม้จะมิค่อยมีรูปเคารพอย่างแพร่หลายเช่นเทพองค์อื่นแต่ก็มีผู้ให้ความเคารพนับถือเป็นจำนวนมิใช่น้อย เพราะถือกันว่าพระธรณีสถิตย์อยู่ตามที่ต่าง ๆ ทุกหนทุกแห่ง จะทำการบูชาด้วย ข้าว ผลไม้ และนมด้วยการวางไว้บนก้อนหิน หรือประพรมลงบนพื้นดิน บางแห่งใช้เหล้าเป็นการสังเวยก็มี นอกจากนี้ชาวฮินดูยังมีการขอขมาลาโทษเมื่อจะวางเท้าลงบนพื้นดินก่อนจะลุกขึ้นในตอนเช้า วัวหรือควายที่มีลูกก่อนที่จะให้ลูกกินนมครั้งแรก เจ้าของจะปล่อยน้ำนมของแม่วัวลงบนพื้นดินเสียก่อนทุกครั้งไป ถ้าเป็นพวกชาวนาก็จะขอให้พระธรณีช่วยคุ้มครองผืนนาและวัวควาย แม้ในพระเวทก็มีการขอร้องต่อพระธรณ๊ให้ช่วยพิทักษ์คุ้มครองวิญญาณของคนตาย และต่อมาได้นับถือว่าเป็นเทพแห่งไร่นาด้วย ในแคว้นปัญจาบเชื่อกันว่าพระธรณีจะนอนหลับเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ของทุก ๆ เดือนชาวไร่ชาวนาจะหยุดไม่ทำงานในระยะนี้

เทพแห่งแผ่นดินหรือพระธรณี ไม่ค่อยมีเรื่องราวประวัติความเป็นมาปรากฏมากมายดังเช่นเทพองค์อื่น หรือมีก็สับสน เช่น บางแห่งว่าพระธรณีมีโอรสกับพระนารายณ์องค์หนึ่งคือพระอังคาร บางแห่งว่าพระอังคารเป็นโอรสของพระศิวะกับพระธรณี หรือในคติพราหมณ์พบเพียงว่าเป็นชายาของพระธุรวะหรือดาวเหนือ

 


คติความเชื่อเรื่องพระธรณีได้เผยแพร่มาสู่ไทย ก็เนื่องจากอิทธิพลคัมภีร์พระพุทธศาสนาเป็นส่วนใหญ่ นอกจากนี้ในพิธีกรรมต่าง ๆ อาทิเช่น พิธีการก่อนไปจับช้างก็มีการกล่าวบูชาพระธรณีเช่นกัน แต่ความเชื่อถือเกี่ยวกับพระธรณีในไทยก็มิได้เป็นที่แพร่หลายนัก และมีความเชื่อเช่นเดียวกับทางอินเดียว่าเป็นเพศหญิงนามพระธรณีมีปรากฎในวรรณคดีไทยหลายเรื่อง อาทิเช่น หนังสือเทศน์มหาชาติปฐมสมโพธิกถา ลิลิตตะเลงพ่าย เป็นต้น มีนามเรียกแตกต่างกันไปเช่น นางพระธรณี พระแม่วสุนธราพสุธา แปลในความหมายเดียวกันว่า ผู้ทรงไว้ซึ่งทรัพย์สมบัติหมายถึงแผ่นดินนั่นเอง สำหรับชาวไทยทั่วไปจะเรียกกันติดปากว่า แม่พระธรณีบ้าง พระแม่ธรณีบ้าง ตามความนิยม

จากเรื่องราวของพระธรณี แสดงให้เห็นว่าเป็นเทพที่รักสงบอยู่เงียบ ๆ จึงไม่ใคร่มีเรื่องราวอะไรในโลก เฝ้าแต่เลี้ยงโลกประดุจแม่เลี้ยงลูก คอยรับรู้การทำบุญกุศลของมนุษย์โลก ด้วยการใช้มวยผมรองรับน้ำจากการกรวดน้ำเสมือนกับเป็นอรูปกะ คือไม่มีตัวตนแต่เมื่อมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นหรือมีผู้ร้องขอจึงจะปรากฏรูปขึ้นมาสักครั้งหนึ่ง

พระธรณีเป็นเทวดาผู้หญิงที่มีสรีระรูปร่างใหญ่หากแต่อ่อนช้อย งดงามพระฉวีสีดำ พระพักตร์รูปไข่ มวยพระเกศายาวสลวยสีเขียวชอุ่มเหมือนกลุ่มเมฆ พระเนตรสีเหมือนดอกบัวสายคือสีน้ำเงิน พระชงฆ์เรียว พระพาหาดุจงวงไอยรา นิ้วพระหัตถ์เรียวเหมือนลำเทียน มีพระทัยเยือกเย็นไม่หวั่นไหว พระพักตร์ยิ้มละมัยอยู่เสมอ

ภาพเขียนรูปนางพระธรณีที่ถือกันว่างดงามเป็นพิเศษ คือภาพที่ฝาผนังด้านหน้าพระประธานในพระอุโบสถวัดชมภูเวก จังหวัดนนทบุรี ส่วนภาพปั้นหล่อนางพระธรณีในศิลปะไทยที่มีปรากฏอยู่จะทำเป็นรูปหญิงสาว มีรูปร่างอวบใหญ่ ล่ำสันอย่างได้สัดส่วน มีความงามประดุจเทพธิดา นั่งในท่าคุกเข่า แต่ยกเข่าขวาขึ้นสูงกว่าเข่าซ้าย บางแห่งสร้างให้อยู่ในท่ายืน แต่ที่เหมือนกันก็คือมวยผมปล่อยยาว มือขวายกข้ามศีรษะไปจับไว้ที่โคนมวยผม ส่วนมือซ้ายจับมวยผมแสดงท่ากำลังบิดให้สายน้ำไหลออกมาจากมวยผมนั้น ส่วนเครื่องทรงไม่มีแบบแผนที่แน่นอนตายตัว ตามแต่จินตนาการของผู้สร้าง บางแห่งสวมพัตราภรณ์เฉพาะช่วงล่าง แต่บางแห่งทั้งนุ่งผ้าจีบและห่มสไบอย่างสวยงาม ประดับเครื่องถนิมพิมพาภรณ์มีกรอบหน้าและจอนหูเป็นต้น

สำหรับเทวานุสาวรีย์พระแม่ธรณีในการประปานครหลวงจะมีรูปทรงแตกต่างจากรูปปั้นทั่วไป คือมีลักษณะรูปทรงสง่างาม ลำแขน องค์เอวเรียวงดงาม พระฉวีสีดำ พระพักตร์รูปไข่ มวยพระเกศายาว พระเนตรรีใหญ่คมเหลือบมองพื้นพสุธา วงหน้ารีเรียวพระโอษฐ์ยิ้มละไม เหมือนรูปภาพพระแม่ธรณีที่ฝาผนังด้านหน้าพระอุโบสถวัดชมภูเวก จังหวัดนนทบุรี

ส่วนลักษณะตามความเชื่อทางพระพุทธศาสนา จากตำนานเกี่ยวกับเทวดา มาร พรหม และจากพระนิพนธ์สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรสเรื่องปฐมสมโพธิกถาตอนมารวิชัยปริวรรต ได้กล่าวถึงพระแม่ธรณีที่ปรากฎขึ้นมาในช่วงที่สำคัญที่สุดของพระพุทธเจ้าคือ ก่อนการตรัสรู้ ได้เป็นพยานสำคัญในการปราบมารทั้งหลายทั้งปวง ดังความละเอียดต่อไปนี้



?แต่ในชาติอาตมะเป็นพระยาเวสสันดรชาติเดียวนั้น ก็ได้บำเพ็ญทานบารมีถึงบริจาคนางมัทรีเป็นอวสาน พื้นพสุธาก็กัมปนาการถึง 7 ครั้ง แลกาลบัดนี้ อาตมะนั่งเหนืออปราชิตบัลลังก์อาสน์ หมู่มารอริราชมาแวดล้อมยุทธการเป็นไฉนแผ่นพสุธาธารจึงดุษณีภาพอยู่ฉะนี้ แลพระยามารอ้างบริษัทแห่งตนให้เป็นกฏสักขีขานคำมุสา แลพื้นปฐพีอันปราศจากเจตนาได้สดับคำอาตมะในครั้งนี้จงรับเป็นสักขีพยานแห่งข้า แล้วเหยียดพระหัตถ์เบื้องขวาอันประดับด้วยจักรลักษณะอันงามดุจงวงไอยรารุ่งเรืองด้วยพระนขามีพรรณอันแดงดุจแก้วประพาฬออกจากห้องแห่งจีวร ครุวนาดุจวิชุลดาในอัมพรอันออกจากระหว่างห้องแห่งรัตวลาหก ยกพระดัชนีชี้เฉพาะพื้นมหินทรา จึงออกพระวาจาประกาศแก่นางพระธรณีว่า ดูก่อนวนิดาดลนารี ตั้งแต่อาตมะบำเพ็ญพระสมภารบารมีมาตราบเท่าถึงอัตภาพเป็นพระเวสสันดรราช ได้เสียสละบุตรทานบริจาคแลสัตตสดกมหาทานสมณะพราหมณาจารย์ผู้ใดผู้หนึ่ง ซึ่งจะกระทำเป็นสักขีพยานในที่นี้ก็มิได้ มีแต่พสุนธารนารีนี้แลรู้เห็นเป็นพยานอันใหญ่ยิ่ง เป็นไฉนท่านจึงนิ่งมิได้เป็นพยานอาตมาในกาลบัดนี้

ในขณะนั้น นางพสุนธรีวนิดาก็มิอาจดำรงกายาอยู่ได้ ด้วยโพธิสมภารานุภาพยิ่งใหญ่แห่งพระมหาสัตว์ ก็อุบัติบันดาลเป็นรูปนารี ผุดขึ้นจากพื้นปฐพียืนประดิษฐานเฉพาะพระพุทธังกุรราช เหมือนดุจร้องประกาศกราบทูลพระกรุณาว่าข้าแต่พระมหาบุรุษราช ข้าพระบาททราบซึ่งสมภารบารมีที่พระองค์สั่งสมอบรมบำเพ็ญมา



แต่น้ำทักษิโณทกตกลงชุ่มอยู่ในเกศาข้าพระพุทธเจ้านี้ ก็มากกว่ามากประมาณมิได้ ข้าพระองค์จะบิดกระแสใสสินโธทกให้ตกไหลหลั่งลง จงเห็นประจักษ์แก่นัยนาในครานี้ แลนางพระธรณีก็บิดน้ำในโมลีแห่งตน อันว่ากระแสชลก็หลั่งไหลออกจากเกศโมลีแห่งนางพสุนธรีเป็นท่อธารมหามหรรณพ นองท่วมไปในประเทศที่ทั้งปวงประดุจห้องมหาสาครสมุทร พระผู้เป็นเจ้ารักขิตาจารย์จึงกล่าวสารพระคาถาอรรถาธิบายความก็เหมือนนัยกล่าวแล้วแต่หลัง

ครั้งนั้น หมู่มารเสนาทั้งหลายมิอาจดำรงกายอยู่ได้ ก็ลอยไปตามกระแสน้ำปลาตนาการไปสิ้น ส่วนคิรีเมขลคชินทรที่นั่งทรงองค์พระยาวัสวดีก็มีบาทาอันพลาดมิอาจตั้งกายตรงอยู่ได้ ก็ลอยตามชลธารไปตราบเท่าถึงมหาสาคร อันว่าระเบียบแห่งฉัตรธวัชจามรทั้งหลาย ก็ทักทบท่าวทำลายล้มลงเกลื่อนกลาดและพระยามาราธิราชได้ทัศนาการเห็นมหัศจรรย์ ดังนั้น ก็บันดาลจิตพิศวงครั่นคร้ามขามพระเดชพระคุณเป็นอันมาก พระคันถรจนาจารย์จึงกล่าวพระคาถาสรรเสริญคุณานุภาพโพธิสัตว์อรรถาธิบายความก็ซ้ำหนหลัง

ครั้งนั้นมหาปฐพีก็ป่วนปั่นปานประหนึ่งว่าจักรแห่งนายช่างหม้อบันลือศัพท์นฤนาทหวาดไหวสะเทือนสะท้าน เบื้องบนอากาศก็นฤโฆษนาการ เสียงมหาเมฆครืนครั่นปิ่มปานจะทำลายภูผาทั้งหลาย มีสัตตภัณฑ์บรรพต เป็นต้น ก็วิจลจลาการขานทรัพย์สำเนียงกึกก้องทั่วทั้งท้องจักรวาล ก็บันดาลโกลาหลทั่วสกลดังสะท้าน ปานดุจเสียงป่าไผ่อันไหม้ด้วยเปลวอัคคี ทั้งเทวทุนทุภีกลองสวรรค์ก็บันลือลั่นไปเอง เสียงครืนเครงดุจวีหิลาชอันสาดทิ้ง ถูกกระเบื้องอันเรืองโรจน์ร้อนในกองอัคนี การอัสนีบาตก็ประหารลงเปรี้ยง ๆ เพียงพื้นแผ่นปฐพีจะพังภาคดังห่าฝน ถ่านเพลิงตกต้องพสุธาดลดำเกิงแสงสว่างหมู่มารทั้งหลายต่าง ๆ ตระหนกตกประหม่า กลัวพระเดชานุภาพแพ้พ่าย แตกขจัดขจายหนีไปในทิศานุทิศทั้งปวงมิได้เศษ แลพระยามาราธิราชก็กลัวพระเดชบารมี ปราศจากที่พึ่งที่พำนักซ่อนเร้นให้พ้นภัยหฤทัย ท้อระทดสลดสังเวชจึงออกพระโอษฐ์สรรเสริญพระเดชพระคุณพระมหาบุรุษราชว่า ดังอาตมาจินตนาการอันว่าผลทานศีลสรรพบารมีแห่งพระสิทธัตถกุมารนี้ ปรากฏอาจให้บังเกิดมหิทธฤทธิ์สำเร็จกิจมโนรถปรารถนาทุกประการ มีพระกมลเบิกบานแผ่ไปด้วยประสาทโสมนัส จึงทิ้งเสียซึ่งสรรพาวุธประนมหัตถ์ทั้ง 2,000 อัญชลีกรนมัสการ ก็กล่าวสารพระคาถาว่า นโม เต ปุริสาชญญ เป็นอาทิ อรรถาธิบายความว่า ข้าแต่พระองค์ผู้ปุริสาชาไนยชาติเป็นอุดมบุรุษราชในโลกนี้ ข้าพระพุทธเจ้าขอถวายวันทนาการชุลีพร้อมด้วยทวารทั้ง 3 คือกายวจีมโนประณามประณตในบทบงกชยุคลบาท บุคคลผู้ใดในมนุษย์โลกธาตุกับทั้งเทวโลก ที่จะปูนเปรียบประเสริฐเสมอพระองค์คงเทียมเทียบนั้นมิได้มี พระองค์ได้ตรัสเป็นพระศรีสรรเพชญ์เสร็จแจ้งจตุราริยสัจจ์ศาสดาจารย์มีพระเดชครอบงำชำนะหมู่มาร เป็นปิ่นปราชญ์ฉลาดในอนุสัยแห่งสรรพสัตวโลกจะข้ามขนนิกรเวไนย์ให้พ้นจตุรโอฆกันดารบรรลุฝั่งฟากอมฤตมหานฤพานอันเกษมสุขปราศจากสังสารทุกข์ในครั้งนี้ แลพระยาวัสวดีมารโถมนาการพระคุณพระมหาบุรุษราชด้วยจิตประสาทเลื่อมใส ผลกุศลนั้นจะตกแต่งให้ได้ตรัสแก่พระปัจเจกโพธิญาณในอนาคตกาลภายหน้า เมื่อพระยามารกล่าวสัมภาวนากถาสรรเสริญคุณพระโพธิสัตว์ แล้วก็นิวัตตนาการสู่สกลฐานเทวพิภพ?

จึงสรุปความเชื่อทั้ง 2 ลักษณะ คือ พระแม่ธรณีเป็นอรูปกะคือไม่มีรูปกาย เช่นเดียวกับพระแม่คงคา ซึ่งชาวฮินดูจะทำการสักการะได้ทุกสถานที่ เมื่อต้องการความช่วยเหลือก็อ้างเรียกได้ทุกเวลา ส่วนความเชื่ออีกลักษณะหนึ่งที่ทางศาสนาพุทธได้เชื่อตามพุทธประวัติ ที่พระแม่ธรณีได้มีพระคุณต่อพระพุทธเจ้าก่อนการตรัสรู้ดังได้กล่าวมาแล้วนั้น พระแม่ธรณีมีรูปกายผุดขึ้นมาจากพื้นปฐพีเป็นองค์ที่มีภาพเป็นนิมิตรเป็นรูปสตรีที่ทางพุทธได้กำหนดพระนามของพระแม่ธรณี คือ?นางพสุนธรี? ซึ่งเป็นองค์ตามลักษณะของรูปร่างตามพระแม่ธรณีบีบมวยผมจะประดิษฐานอยู่ใต้แท่นฐานพระพุทธเจ้า ?ปางปราบมาร? และเมื่อเกิดมหาปฐพีป่วนปั่น ด้วยอิทธิฤทธิ์ของพระแม่ธรณีบีบมวยผมน้ำมาท่วมท้นหมู่มาร มีทั้งฝนตกและน้ำท่วม และ ?ปางนาคปรก? หรือเรียกว่า ?พระอนันตชินราช? ชึ่งมีพญานาคได้มาแผ่ปกบังฝนและขดตัวยกชูบัลลังก์ขึ้นสูงจากน้ำที่ท่วมท้นขึ้นมาอย่างฉับพลัน จึงมีรูปภาพที่ตามผนังพระอุโบสถวัดต่าง ๆ ตรงข้ามกับพระประธาน พระแม่ธรณีจึงเป็นเทพผู้อุปถัมภ์พระพุทธเจ้าการบูชาจึงดูได้จากภาพพระแม่ธรณีที่ทูนบัลลังก์พระพุทธองค์สูงเหนือเศียร เป็นต้น

ธรณีนี่นี้เป็นพยานความศักดิ์สิทธิ์ของแม่โลก

พระแม่ธรณี เป็นเทพฝ่ายหญิงที่ผูกพันอยู่กับศาสนาพุทธ และคนไทยมาเป็นเวลาช้านาน ทั้งที่พระแม่ธรณีนั้นเคยเป็นเทพของศานาพราหมณ์ ? ฮินดูเคยกล่าวถึงมาก่อนเพียงแต่พระแม่พระองค์นี้ไม่ได้สร้างรูปเคารพให้เป็นที่เอิกเกริกอย่างเมืองไทย ส่วนใหญ่ถือเอาดินก้อนหนึ่งมาเป็นเครื่องบูชาแทน ? พระแม่ธรณี ? เท่านั้น ความยิ่งใหญ่ของท่านนั้นแทบไม่ต้องบรรยายถึง เพราะเหย้าเรือน ตึกรามบ้านช่อง ห้องหอเวียงวัง พร้อมด้วยสรรพสิ่งทั้งหลายในโลกนั้นตั้งอยู่บนพระวรกายของท่าน เพียงแต่ท่านไม่ได้ปรากฏรูปกายเป็นเรือนร่างให้เราสัมผัสมองเห็นด้วยตาเท่านั้นเอง

คนไทยเองสร้างรูปของพระนางในลักษณะบีบมวยผม เป็นจินตนาการที่จำลองเอาจากพุทธประวัติ ตอนพระพุทธเจ้าผจญมารมาสร้างรูปไว้สักการบูชา ปางอื่นๆ ด้วยอิริยาบถยืนก็มี แต่ไม่ค่อยเป็นที่นิยมเท่ากับการนั่งพับเพียบเท่านั้นเอง

ความจริงแล้ว ซึ่งพระแม่ธรณีนั้นเข้าใจง่ายที่สุด ไม่ต้องอธบายมากทั้ง ๆ ที่ท่านเองก็มีชื่อเรียกอื่นเหมือนกัน อาทิ พระศรีวสุนธรา , พระปฤถิวี , พระภูมิเทวี , ธฤตริ , พสุนธร , พสุนธรี

สถานภาพของพระแม่นั้นโสด ปราศจากการครองคู่กับพระสวามี !!!

แต่ตามวัฒนธรรมดั้งเดิมของคนอินเดียนั้น มักไม่ยอมให้ผู้หญิงอยู่เป็นโสด เพราะผู้หญิงที่ปราศจากคู่ครองหนึ่ง หรือ สามีตายหนึ่ง มักจะถูกประณามหยามเหยียด ดูหมิ่นดูแคลนกันไปต่าง ๆ ดังนั้น ... ในยุคแรก ๆ นั้นก็เลยไม่มีการจัดคู่ให้กับแม่ธรณี , พระแม่คงคา ซึ่งมีสถานภาพโสดด้วยกันทั้งคู่ ตำนานว่า กาลก่อนนั้น พระลักษมี , พระสรัสวดี , พระธรณี , พระคงคา นั้นร่วมอยู่ในครอบครัวเดียวกับพระวิษณุเทพ ด้วยเหตุที่มีเรื่องวิวาทกันบ่อย ๆ ตามประสาเมียทั้งหลาย พระวิษณุเทพก็เลยต้องทำหน้าที่แจกจ่ายเมียแจกพระคงคาให้กับพระศิวะ และจะยกพระปฤถิวีให้กับเทวดาองค์หนึ่ง ทำให้นางเกิดความน้อยเนื้อต่ำใจก็เลยอธิษฐานขอลงมาใช้ชีวิตบนโลก ไม่อยากหาความสำราญบนสวรรค์อีกต่อไป

ทุกวันนี้พระแม่ธรณีแทบจะหมดความสำคัญในศาสนาพราหมณ์ ? ฮินดู มีหลงเหลืออยู่บ้างก็คือ ชาวฮินดูบางคนให้ความเคารพด้วยการเอาฝ่ามือแตะพื้นธรณีขึ้นมาแตะหน้าผากเพื่อแสดงว่ายังเคารพอยู่เท่านั้นเอง หรือบางคนหลังตื่นนอนก่อนเอาเท้าแตะพื้นก็จะกล่าวคำขอขมาลาโทษ เทพชั้นรองหลายคนที่ลดบทบาทบนสวรรค์ก็เลยมาสมาทานเอาพุทธศาสนาเป็นที่พึ่ง ไม่ว่าจะเป็นพระพรหม พระอินทร์ พระแม่ธรณี เป็นต้น ผู้เฒ่าผู้แก่มักจะสอนเด็กว่า ห้ามเหยียบธรณีประตู !!

จะด้วยเชื่อว่า พระแม่ธรณีสถิตอยู่ตรงนั้น หรือเพราะไม่อยากให้เด็กสะดุดประตูก็แล้วแต่ ก็แสดงว่าพระแม่ธรณีนั้นเกี่ยวข้องกับชีวิตความเป็นอยู่ของมนุษย์ค่อนข้างมาก

นมราดพื้นบูชาแม่ธรณี

อินเดียโบราณ คนซึ่งมีอาชีพทำปศุสัตว์ ก็จะแสดงความเคารพแม่องค์นี้ด้วยวิธีการหนึ่งเหมือนกันคือ เมื่อแม่วัวสาวท้องแรกหลังคลอด และก่อนที่จะให้ลูกวัวได้กินนมจากเต้า คนเลี้ยงจะรีดนมลงพื้นเพื่อบูชาพระแม่ธรณี หรือบางแห่งก็จะตั้งเครื่องสังเวยที่พื้นดิน บูขาด้วยข้าว ผลไม้และนมสด และเอานมนั้นเทราดไปบนพื้น

เพราะการเทราดบนพื้นดินถือเป็นการบูชาแม่ธรณี ตามคติโบราณของคนอินเดียเรื่องพระแม่ธรณีเป็นเพียงแค่เรื่องเครื่องเคียงของเทวนิยมฮินดูเท่านั้น ไม่ได้แสดงบทบาทที่ชัดเจนเหมือนเทพเจ้า เริ่มต้นในสมัยสร้างโลกได้กล่าวถึงพรปฤถิวีที่จมอยู่ใต้น้ำ หลังน้ำท่วมโลกด้วยความทุกข์ทรมานจนพระวิษณุเทพอวตารเป็นหมาป่าไปงัดเอาโลกที่จมอยู่ใต้น้ำ

ขึ้นมาตั้งอยู่ดังเดิมเพื่อให้สรรพสิ่งในโลกได้ถือกำเนิดขึ้นอีกครั้งพระนางปฤถิวียังทำหน้าที่รับฝาก

ของวิเศษแบบไม่มีดอกเบี้ยอีกด้วย เช่นพระชนกของนางสีดา ฝากลูกใส่ผอบฝังดินไว้จนลูกโตเป็นสาว หรือพระศิวะฝากรัตนธนูเพื่อถวายพระราม อวตารปางหนึ่งของพระวิษณุเทพ


ธรณีนี่นี้ เป็นพยาน

เราก็ศิษย์มีอาจารย์ หนึ่งบ้าง

เราผิดท่านประหาร เราชอบ

เราบ่ผิดท่านมล้าง ดาบนี้ คืนสนอง


*ถ้าใครคิดว่าอ่านแล้วได้เป็นประโยชน์ได้ความรู้ช่วยกดขอบคุณเป็นกำลังใจให้ด้วยนะครับ :054:*

40
ขุนแผนรุ่นแรก หลวงพ่อเต๋ วัดสามง่าม เนื้อเดียวกับกุมารรุ่นแรก หลวงพ่อสร้างแจกทหารที่ไปรบสงครามอินโดจีน ล้วนรอดตายกับมาพร้อมประสบการณ์มากมาย พุทธคุณ คงกระพัน แคล้วคลาดเมตตา  :015:






41
 
:054:รำลึกถึงหลวงพ่อตัด วัดชายนา ถึงแม้ท่านจะจากไปแต่สาธุชนทั่วแผ่นดินยังมีหลวงพ่ออยู่ในใจเสมอ     :054:

พระผงรูปเหมือนนั่งขาโต๊ะรุ่นแรก  เริ่มสร้างตั้งแต่ปี 2518 แต่แจกอย่างเป็นทางการในปี 2525 งานปิดทองฝังลูกนิมิต จำนวนการสร้าง 100000 องค์ แค่บิ่นหักแตกชำรุดไปเสียเยอะ รวมทั้งได้เก็บลงกรุไว้เรื่อยมาและนำ้ำมาเป็นมวลสาร ผสมพระในรุ่นหลังๆ ด้วยครับ พุทธคุณครบทุกด้าน เน้นพุทธคุณครบเครื่องต้องรุ่นนี้ล่ะครับ  :016:






42
รำลึกถึงหลวงพ่อตัด วัดชายนา ถึงแม้ท่านจะจากไปแต่สาธุชนทั่วแผ่นดินยังมีหลวงพ่ออยู่ในใจเสมอ :054:   :054:

รุ่น1เนิ้อแดง รุ่น2เนื้อดำ รุ่น2เนื้อพิเศษผสมเพชรหน้าทั่ง










45
หลวงปู่ทวดปี2543 ของหลวงพ่อเปิ่น เนื้อดินกากยายักษ์ยังมีมีว่านต่างๆมากมาย
หลวงพ่อเปิ่นท่านแจกเป็นที่ระลึกในการบริจาคทรัพย์ระฆังใหญ่



บารมีหลวงปู่ทวด+บารมีหลวงพ่อเปิ่น แคล้วคลาดปลอดภัยจากอันตราย หายห่วง  :016:


เนื้อดินกากยายักษ์และว่านต่างๆ มีพุทธมากมาย ทั้งแคล้วคลาด ปลอดภัยอันตราย ดีเยี่ยม :015:











46
หลวงปู่ทวดรุ่น1 ของหลวงพ่อเปิ่นนี้  จัดในสร้างในปี 2540 เนื้อยาจินดามณี

บารมีหลวงปู่ทวด+บารมีหลวงพ่อเปิ่น แคล้วคลาดปลอดภัยอันตราย หายห่วง  :054:


ยาจินดามณี พุทธคุณดีทาง เมตตา โชคลาภ วาสนา  :016:







47
เหรียญรุ่นแรก หลวงพ่อแดง วัดทุ่งคอก จ.สุพรรณบุรี  จัดสร้าง ราวปี 2493







หลวงพ่อเปิ่นได้มาศึกษาวิชากับหลวงพ่อแดง วัดทุ่งคอก ตั้งแต่ยังหนุ่มก่อนเกณฑ์ทหาร ในช่วงที่ครอบครัวย้ายไปตั้งรกรากอยู่สุพรรณ  :054:


ขอน้อมกราบสักการะหลวงพ่อแดง วัดทุ่งคอก ด้วยครับ :054: :054:

48
หลวงพ่อเปิ่น รุ่น รวยซะให้เข็ด ชื่อ รุ่นนี้เป็น มหามงคลยิ่งนัก


มวลสารก็สุดยอดเต็มเปี่ยมไปด้วยพุทธคุณ ที่โดดเด่นไปทาง ด้านโชคลาภ มีทั้งผงพุทธคุณและเศษธนบัตรจำนวนมาก :015:



ด้านหน้า
เป็นรูปหลวงพ่อเปิ่น ยิ้ม ด้วยความเมตตายิ่งนัก :054:




ด้านหลัง
ได้บรรจุ ยันต์พญาเต่าเรือน ที่มีพุทธคุณ ด้านเมตตามหานิยม และโชคลาภยิ่งนัก :054:



49
เจ้าแม่กวนอิม หลวงพ่อเปิ่น รุ่นสร้างโรงเรียน ปี2533

บารมีเจ้าแม่กวนอิม+บารมีหลวงพ่อเปิ่น ท่านช่วยลูกศิษย์เสมอ :054:






50
พระหลวงพ่อเปิ่น พิมพ์นี้ จัดสร้างโดย หลวงพี่ญา แห่งวัดบางพระ ซึ่งรุ่นนี้ถือว่าสุดยอดมากๆเรียกว่าดีครบทุกด้าน
ดีใน มวลสาร เป็นเนื้อชานหมากหลวงพ่อทิม วัดพระขาว และผงพุทธคุณต่างๆอีกมากมาก

ดีนอก หลวงพี่ญาท่านได้ ให้หลวงปู่ทิม เสกที่ กุฏิ 1 พรรษา และยังมาปลุกเสกที่วัดบางพระอีก โดย คณาจารย์ต่างๆของวัดบางพระ

รูปทรงด้านหน้า ซึ่งเป็นลพ.เปิ่นออกธุดงค์ เปรียญเสมือน ลพเดินติดตามไป กับลูกศิษย์ทุกที่ ไม่ว่าจะพบกับอันตรายก็จะประสบแต่โชคลาภ




รูปทรงด้านหลัง
ได้ บรรจุ ยันต์ที่ยอดเยี่ยม สาริกา เมตตามหานิยม เสือ ตบะคงกระพัน  ปลาตะเพียน สัญลักษณ์อีก หนึ่งอย่างของลป ทิม ซึ่ง เมตตาค้า ค้าขาย ดีมาก และยันต์พุฒซ้อน สัญลักษณ์อีก หนึ่งอย่างของ ลป เปิ่น ซึ่งเป็นยันต์ที่ท่าน นำมาใช้ในการลงนะหน้าทองให้แก่ลูกศิษย์





ขอบอกว่าใครมีหลวงพ่อเปิ่น พิมพ์ธุดงค์ ใช้อยู่สุดยอด :016:

ขอกราบขอบพระคุณ หลวงพี่ญา ทั้งพระและข้อมูลด้วยครับ :054:


51
ยาจินดามณีของวัดบางพระมีประวัติการสืบทอดต่อกันมานานตั้งหลวงปู่หิม ซึ่ง เป็นสหสมิกธรรมกับหลวงปู่บุญวัดกลางบางแก้ว
พระทั้ง3องค์ทันหลวงพ่อเปิ่น หมดครับ ส่วนรายละเอียด ต้องรบกวนพี่หอมเชียง พี่อแมซิ่งด้วยครับ :114:











52
ขึ้นจากกรุปี2536 ที่โบสถ์เก่าลงสอบถามรายละเอียดที่วัดได้ครับ มีภาพกรุตอนที่เจอครับ



53
1.ขุนแผน8รอบเนื้อชานหมาก+ฝังตะกรุดทอง พ.ศ2552 ขออินกระแสกระเขาหน่อย :009: ชานหมากเป็นสัญลักษณ์ของหลวงปู่ทิม มีประสบการณ์มากมายทั้งในด้านเมตตามหานิยมและโชคลาภ ดังนั้นขุนแผนเนื้อชานหมากจึงเป็นที่นิยมและเสาะหาของลูกศิษย์มากที่สุด :016:








54


สองเกจิที่อยู่ในใจศิษย์เสมอ







ขอกราบหลวงพ่อเปิ่น หลวงพ่อทิมครับ :054:

55
ตระกรุดสามห่วง แช่น้ำหมากท่านทำแบบอยู่เพียงปีเดียว แข็ง+ขลังมาก หมากท่านเสกตลอดก่อนนำมาทำตะกรุดท่านเสกอยู่นาน **ผู้ให้ข้อมูลทิดต่อ**






56
หลวงปู่ทิมได้เมตตาจารนางกวักและวัตถุมงคลต่างๆให้และวันนั้นได้ทำบุญกับหลวงปู่
หลวงปู่:บอกแม่นางกวักนี้ดีนะโชคลาภดีท่านจารยันต์ไปตั้งหลายอย่าง
เด็กนอกวัด :ครับ
หลวงปู่:และท่านได้หยิบเหรียญกลมที่มีปลาตะเพียนล้อมรอบ
หลวงปู่:และบอกว่าเหรียญนี้ดีนะมีปลาตะเพียนตั้ง26ตัวหากินดี
เด็กนอกวัด :ให้ท่านลงกะหม่อมและกราบลา

ปรากฏว่างวดนั้นออก62จริงๆๆ



***แต่จากวันนี้จะคงหลวงปู่ไม่มีอีกแล้ว ที่จารวัตถุมงคลที่จะมาบอกแนะนำอย่างงี้อีกแล้ว ใครว่างเชิญไปฟังสวดหลวงปู่ทิมกันนะครับเป็นการแสดงความกตัญญระลึกถึงหลวงปู่กันนะครับ :054: :054:

57
คำตอบก็คือ พระเกี้ยวนาง อ.ปุ้มนั้นไง[/color






58
ตะกรุดใบลาน หลวงพ่อมี วัดมารวิชัยได้บูชามาช่วงปี39 ตอนกราบหลวงปู่ครั้งแรกที่วัด พุทธคุณหายห่วง เร็วแรง ดุจขับรถ R34 เลยครับ  รูปลักษณะภายนอกใบลานจารอักขระหุ้มตะกรุดทองแดงอีกทีข้อมูลการสร้าง อย่างไรต้องรบกวนท่าน000 ช่วยตอบหน่อยนะครับ 15;




59
เหรียญหลวงพ่อไสว นั่งตะกรุดพิสมรได้ทั้งหลวงพ่อไสว แถมยังได้ตะกรุดพิสมรด้วยแบบ2In1 :016:






60
หลวงพ่อหร่ำ วัดกร่าง ปทุมธานี ท่านเกิดเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2415 





ตรงกับวันจันทร์ขึ้น 6 ค่ำ เดือน 7 ปีวอก ท่านเป็นบุตรคนที่ 4 ในจำนวน 6 คน บิดาชื่อ นายแอบ มารดาชื่อนางเผือน ครั้งเมื่อวัยเยาว์ท่านได้ศึกษาภาษาไทย และภาษาบาลีจนแตกฉานกับพระอธิการนอมที่วัดกร่าง หลังจากนั้นจึงได้บรรพชาเป็นสามเณรจนอายุครบอุปสมบท ก็ได้ที่บ้านบางกระบือ ตำบลสามโคก จังหวัดปทุมธานี  เมื่ออายุได้ 17 ปี ท่านก็ได้บรรพชาเป็นสามเณร ที่วัดกร่าง และต่อมาเมื่ออายุครบบวชท่านก็อุปสมบทที่วัดกร่าง โดยมีพระอธิการหิน วัดสวนมะม่วง เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอธิการนอม วัดกร่างเป็นพระกรรมวาจาจารย์ ได้รับนามฉายาว่า "เกสโร" เมื่อบวชแล้วท่านก็ได้ศึกษาหาความรู้ต่างๆ จากพระอธิการหิน วัดสวนมะม่วง ผู้เป็นพระอุปัชฌาย์ และกับพระอธิการนอม อดีตเจ้าอาวาสวัดกร่าง

ครั้นต่อมาเมื่อพระอธิการนอม มรณภาพลง พระอธิการกันต์ได้เป็นเจ้าอาวาสสืบแทน แต่อยู่มาไม่นานเท่าไร พระอธิการกันต์ท่านก็ลาสิกขาบทไป คณะกรรมการวัดและชาวบ้านต่างก็เห็นพ้องต้องกันว่าควรนิมนต์หลวงพ่อหร่ำท่านขึ้นเป็นเจ้าอาวาส จึงได้นิมนต์หลวงพ่อหร่ำท่านขึ้นเป็นเจ้าอาวาสสืบแทน
หลวงพ่อหร่ำ เกสโร ท่านเป็นลูกศิษย์พระอธิการนอมและด้รับถ่ายทอกวิชาทั้งภาษาไทยและภาษาบาลี ตลอดจนพระเวทมนต์คาถาและวิชาไสยศาสตร์จนหมดสิ้น พระอธิการนอมซึ่งเป็นพระอาจารย์ของหลวงพ่อหร่ำ เกสโรนี้ ท่านเป็นพระมอญและเป็นที่นับถือเคารพและศรัทธาจากหลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติ จังหวัดอยุธยา และหลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก จังหวัดอยุธยา ซึ่งท่านได้เคยเดินทางมาศึกษาวิชาจากพระอธิการนอมนี้ด้วยเสมอ

หลวงพ่อหร่ำท่านเป็นพระที่ชาวบ้านเคารพเลื่อมใสศรัทธาในตัวท่านมากใครเป็นอะไร เจ็บไข้ได้ป่วยก็ไปให้ท่านช่วยรักษา ท่านก็จะกรุณาเมตตารักษาให้จนหายดี โดยใช้สมุนไพรต่างๆ ซึ่งท่านมีความรู้ความชำนาญอย่างยิ่ง นอกจากนี้ก็ยังมีผู้ไปให้ท่านช่วยทำน้ำพระพุทธมนต์ประพรมอาบรดให้ สำเร็จสมประสงค์ทุกรายไป ส่วนในเรื่องวัตถุมงคลนั้นท่านก็ได้สร้างไว้ให้แก่ศิษย์หลายอย่าง เช่น ตะกรุด ผ้ายันต์ รูปกระดาษ พระเนื้อดินเผาพิมพ์พระขุนแผนใบพุทรา พระพิมพ์เม็ดน้อยหน่า เป็นต้น

นอกจากนี้ก็ยังมีเหรียญอีกสองรุ่น คือเหรียญรุ่นแรกสร้างในปี พ.ศ. 2469 เนื่องในโอกาสพิธีกวนข้าวทิพย์ โดยการนำของพระมหาแหวน ได้ปรึกษาหารือและขออนุญาตจัดสร้างเพื่อสมนาคุณแด่ผู้เสียสละทรัพย์ทำบุญสร้างศาลาโรงธรรม จำนวนที่จัดสร้างเนื้อเงิน 80 เหรียญ เนื้อทองแดง 1,000 เหรียญ มีทั้งชนิดกาไหล่ทอง กาไหล่เงิน และแบบธรรมดา ส่วนเหรียญรุ่นสองนั้น คณะกรรมการวัดขออนุญาตจัดสร้างเพื่อแจกให้กับผู้มีจิตศรัทธาในการทำบุญปฏิสังขรณ์พระอุโบสถในปี พ.ศ. 2499 จำนวนทั้งสิ้น 5,000 เหรียญ

 ส่วนในวันนี้ผมจะนำรูปพระขุนแผนใบพุทรา เนื้อดินเผามาให้ชมกันครับ องค์พระอาจจะไม่สวยงามนัก เนื้อเป็นเนื้อดินเผาผสมกรวดทราย เนื้อค่อนข้างหยาบ แต่พุทธคุณนั้นเป็นเลิศครับ ดีครบทุกด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางด้านเมตตามหานิยม มหาเสน่ห์ครับ ชาวสามโคกรู้ดี เรียกว่าขุนแผนแห่งเมืองปทุมฯ ครับ ชาวบ้านแถบนั้นต่างก็หวงแหนครับ จึงไม่ค่อยได้พบเห็นกันนักครับ

ขุนแผน




ขุนแผนใบพุทรา




สาธุหลวงพ่อหล่ำ วัดกร่างด้วยอานิสงที่นำประวัติหลวงพ่อมาเผยแพร่ ขอให้ได้ขุนแผนใบพุทราแท้ๆ สวยๆๆซักองค์นะครับ 17;

61
ตะกรุด ใหญ่ ยาว ขลัง เป็นของหลวงปู่อั๊บ วัดท้องไทร พุทธคุณหลาย กันงู กันคุณไสย ยาวมากถึง60 ซม/24นิ้ว







62
จับผ่าศพหากุมารทองเร่ขายหลักล้าน


แก๊งหมอลำซิ่งสะกิดวิญญาณซื้อขายทางเน็ต
               





ตะลึง"หมอลำซิ่ง"บ้าไสยศาสตร์ยกพวกบุกป่าช้าพังโลงศพสาวตายทั้งกลม ทำพิธีสะกดวิญญาณใช้เทียนลนคางผู้ตายเพื่อเอาน้ำมันพราย และผ่าท้องศพนำกุมารทองออกมา คาดว่าต้องการนำไปเป็นเครื่องรางของขลัง ให้มีโชคลาภเมตตามหานิยม หรืออาจนำไปขายในตลาดมืดซึ่งมีการรับซื้อทางอินเทอร์เน็ตในราคาหลักล้าน เผยลูกค้าส่วนใหญ่เป็นคนสิงคโปร์และมาเลย์  ที่มีความเชื่อว่ากุมารทองทำให้การค้าขายรุ่ง เรือง ตำรวจตะครุบตัวได้ 1 คน ส่วนหัวโจก  ยังหลบหนี
 
เมื่อเวลา 15.45 น. วันที่  18 มี.ค. พ.ต.อ.ไผ่พนา เพ็ชรเย็น ผกก.สภ.น้ำพอง จ.ขอนแก่น เปิดเผยว่า ได้รับการประสานงาน ขอให้ทำการสืบสวนคดีศพถูกผ่าท้องขโมยลูก กรอกหายไป จึงสั่งการให้ชุดสืบสวนของ สภ.น้ำพอง ประกอบด้วย พ.ต.ต.สมใจ รักษ์ศิลป์ สว.สป. และ พ.ต.ต.ประสิทธิ์ ปลื้มสุด สว.สส. นำกำลังออกหาข่าวจนสามารถรู้เบาะแสแน่ชัดว่าผู้ก่อเหตุเป็นใคร
 
พ.ต.อ.ไผ่พนา กล่าวต่อไปว่า เมื่อเวลา 22.30 น. วันที่ 19 ก.พ. 52 ได้มีกลุ่มคนร้าย 5 คน ประกอบด้วย นายฉลามพล ชาภูวงษ์ อายุ 20 ปี นายสุรจิตร วงษ์ชัยยา อายุ 22 ปี นายอ๊อด ไม่ทราบนามสกุล อายุ 17 ปี นายมิว ไม่ทราบนามสกุล อายุ 20 ปี และนายพัทยา ตาแสง อายุ 22 ปี ขี่รถ จยย. 2 คัน เข้าไปจอดหน้าบ้าน นางบันดี ไกรเลิศ เลขที่ 29/1 หมู่ 6 ต.หนองกุง อ.น้ำพอง จากนั้นนายฉลามพล ซึ่งคุ้นเคยกับเจ้าของบ้าน ได้เดินเข้าไปขอยืมเคียวเกี่ยวข้าวและข้าวสารจาก นางบันดี แล้วนางบันดีได้สอบถามว่าจะเอาไปทำอะไร แต่ได้รับคำตอบจากผู้ยืม ว่าเอามาเลยไม่ต้องถาม
 
เมื่อนายฉลามพล ได้สิ่งของตามประสงค์แล้ว ก็เดินทางเข้าไปในบริเวณวัดอิสาณ ต.ท่ากระเสริม ตรงเข้าไปยังสถานที่บรรจุศพของนางสวย (นามสมมุติ) อายุ 20 ปี ซึ่งเสียชีวิตด้วยโรคลมชัก ขณะตั้งท้องได้ 4 เดือน จากนั้นนายสุรจิต ได้ทุบซีเมนต์ที่ทำบล็อกสำหรับเก็บโลงศพ และนายฉลามพลได้ทำพิธีเรียกสะกดวิญญาณศพ โดยใช้เทียนไขลนไปที่ปลายคางผู้ตาย เพื่อทำน้ำมันพราย หลังเสร็จจากการทำน้ำมันพราย ก็ได้นำเคียวผ่าท้องศพ นำทารกที่ตายในครรภ์ของนางสวย หรือ ?กุมารทอง? ออกมาไว้ในย่าม แล้วใช้ใบมะพร้าวและใบกล้วยมาปิดสถานที่เก็บศพ ก่อนแยกย้ายหลบหนี
 
ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัวนายสุรจิตร ไว้ได้ และแจ้งดำเนินคดีข้อหาลักทรัพย์และทำให้เสียทรัพย์ ส่วนพรรคพวกที่เหลือยังอยู่ระหว่างการหลบหนี จากการสอบสวนนายสุรจิตรให้การรับสารภาพว่า ก่อนเกิดเหตุพวกตนนั่งดื่มเหล้ากันอยู่ที่บ้านหนองนกเขียน จากนั้น นายฉลามพลซึ่งเป็นอาจารย์ทางไสยศาสตร์ได้ชักชวนให้ไปหาของดีที่วัดอิสาณ ก่อนแยกย้ายกันหลบหนี
 
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า นายฉลามพลมีอาชีพเป็นหมอลำซิ่งออกแสดงตามงานต่าง ๆ ส่วนการลนน้ำมันพรายและผ่าท้องศพนำกุมารทอง ออกไปนั้น คาดว่าคงต้องการนำมาเป็นเครื่องรางของขลังในการประกอบพิธียกครูของคณะหมอลำ เพื่อเรียกให้คนดูมาดูเยอะ ๆ และให้มีโชคลาภเมตตามหานิยม หรืออาจนำไปขายในตลาดมืดซึ่งมีการรับซื้อทางอินเทอร์เน็ต ในราคาหลักล้านบาท โดยลูกค้าส่วนใหญ่เป็นพ่อค้าชาวสิงคโปร์ และมาเลเซีย ซึ่งมีความเชื่อว่าถ้ามีกุมารทองจะทำให้การค้าขายเจริญรุ่งเรือง
 
ทางด้านนายหนุ่ม (นามสมมุติ) อายุ 25 ปี สามีของนางสวย ผู้ตาย กล่าวว่า หลังจากคนร้ายย่องมาผ่าท้องภรรยา วันแรกก็เข้ามาเข้าฝันว่า ลูกของเราเป็นผู้ชายหน้าตาน่ารัก ตอนนี้ตนคิดถึงลูก อยากได้ลูกกลับคืนมา ขอให้ติดตามลูกกลับคืนมาให้ด้วย และในฝันภรรยายังบ่นว่าร้อนที่คาง ทรมานมาก จึงได้แจ้งให้แม่ยายทราบ จากนั้นจึงได้ประสานให้ตำรวจดำเนินคดีและได้เผาศพภรรยาไปเมื่อวันที่ 20 ก.พ. ที่ผ่านมา หลังจากนี้ไปตนจะบวชเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับภรรยาและลูก ส่วนเรื่องการติดตามจับกุมผู้ก่อเหตุขอให้เป็นหน้าที่ของตำรวจ.

อ้างอิงจาก หนังสือพิมพ์เดลินิวส์



63
ชุดนี้เด็ดมากมีตระกรุดที่หลวงปู่จารมือเองทุกดอก

สีผึ่งชุดนี้ทำจากสีผึ่งเทียนชัยแท้ๆ เสกมาเป็นระยะเวลาพอสมควร :054:








64
เนื่องในวันพฤหัสที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2552 วันคล้ายวันเกิดหลวงพ่อสำอางค์ ปภสฺสโร? เจ้าอาวาสวัดบางพระ จังหวัดนครปฐม

ซึ่งมีสมาชิกไปร่วมงานได้บ้างไม่ได้บ้างส่วนกระผมไปร่วมงานไม่ได้จึงขออวยพร หลวงพ่อสำอางค์ ผ่านกระทู้นี้เลยนะครับ

ขออำนวนาจสิ่งศักดิ์ทั้งสากลโลก และหลวงพ่อเปิ่นช่วยอวยพร ให้หลวงพ่อสำอางค์มีสุขภาพแข็งแรงเป็นที่เคราพสืบต่อไปนานๆครับ
:054:




65
ประวัติ โดยสังเขป หลวงพ่อสำอางค์ วัดบางพระ จ.นครปฐม



1.ชื่อ

พระครูอนุกูลพิศาลกิจ ฉายา ปภสฺสโร อายุ55 พรรษา 35
วิทยฐานะ น.ธเอก วัดบางพระ อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม
ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง เจ้าอาวาสวัดบางพระ

2.สถานะเดิม
ชื่อ สำอางค์ นามสกุล ปานอำพันธ์
เกิด ปีมะเส็ง วันที่ 19 มีนาคม พ.ศ 2496
บิดาชื่อ นาย ฉาย มารดาชื่อ นางปลั่ง   บ้าน่เลขที่ 25 ม.2
ต.บางพระ อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม

3.บรรพชา/อุปสมบท
ปีฉลู วันที่ 15 กรกฏาคม พ.ศ2516
ณ.วัดบางพระ อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม

พระอุปัชณาย์
พระครูสุพจน์ สุทนฺโต วัดละมุด ต.วัดละมุด อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม
                 (ภายหลังได้รับพระราชทานตั้งสมณศักดิ์ เป็น พระครูสุพจน์วราภรน์)

พระกรรมวาจาจารย์ พระใบฏีกาเปิ่น ฐิตคุโณ วัดโคกเขมา ต.แหลมบัว อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม
 (ภายหลังได้รับพระราชทานตั้งสมณศักดิ์ เป็น พระอุดมประชานาถ)

พระอนุสาวนาจารย์ พระเสริม ภทฺทาจาโร วัดบางพระ อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม.

4.วิทยฐานะ
  พ.ศ2508 สำเร็จชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนวัดบางพระ อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม
  พ.ศ2528 สอบได้นักธรรมชั้นเอก สำนักศาสนศึกษา วัดบางพระ สำนักเรียนคณะจังหวัดนครปฐม
การศึกษาพิเศษ ภาษาขอมไทย พิมพ์ดีด
ความชำนาญการ ด้านนวกรรม

5.งานปกครอง
พ.ศ2523 ได้รับแต่งตั้งเป็นพระกรรมวาจาจารย์
พ.ศ2523 ได้รับแต่งตั้งเป็นรองเจ้าอาวาส วัดบางพระ
พ.ศ2545ได้รับแต่งตั้งเป็นรักษาการแทนเจ้าอาวาส วัดบางพระ อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม
พ.ศ2545ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาส วัดบางพระ อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม
[/color]

6.สมณศักดิ์

พ.ศ2533ได้รับแต่งตั้งเป็นฐานานุกรม"พระสมุห์"ของพระครูสิริชัยคณารักษ์ เจ้าคณะอำเภอคณะนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม
พ.ศ2536ได้รับแต่งตั้งเป็นฐานานุกรม"พระครูใบฏีกา"ของพระวิสุทธิวงศาจารย์ พระราชาคณะ เจ้าคณะรองชั้นหิรัณยบัตร
เจ้าคณะภาค14 วัดเทพธิดา กรุงเทพมหานคร
พ.ศ2543ได้รับพระราชทานตั้งสมณศักดิ์ เป็น พระครูสัญญาบัตรรองเจ้าอาวาสชั้นราษฎร์ ในราชทินนาม ที่พระครูอนุกูลพิศาลกิจ


ท่านมีจิตใจที่เป็นกุศลสร้างสาธาณะประโยชน์มากมาย



66
ผมส่งPMตอบกลับผู้ร่วมงานไม่ได้ครับ

ถูกจำกัดช.ม1ส่งได้แค่10ข้อความ ช่วยปลดล็อกให้ผมด้วยครับ


67
จากการโหวตเสียงจากพี่น้องชาวเว็บบอร์ดบางพระในการ?นัดรวมพล ชาวเว็บบอร์ดบางพระ? เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา ได้รับเสียงตอบรับความสนใจเข้ามาอย่างต่อเนื่อง แสดงถึงพลังความสามัคคีอันยิ่งใหญ่จากบารมีหลวงพ่อเปิ่นและอัธยาศัย เป็นมิตร ของพวกเราชาวเว็บบอร์ดบางพระ http://www.bp.or.th/webboard/index.php/topic,7043.0.html

ในขณะเดียวกัน ความเมตตาตอบรับจากหลวงพี่ญา ที่มิเคยย่อท้อปฏิเสธความเหนื่อยยากใดๆ เลยแม้แต่น้อย.. เพียงเพื่อศิษยานุศิษย์ทุกท่านมีความสุขกันถ้วนหน้า?. เมื่อผม ?เด็กนอกวัด? เข้าไปนำเสนอโครงการนี้กับท่านเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา?

การรวมพลชาวเว็บบอร์ดบางพระนั้น ถือเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เว็บไซท์วัดบางพระ เกิดขึ้น
จึงได้ริเริ่ม ?งานรวมพลชาวเว็บบอร์ดบางพระ? ทั้งนี้เพื่อกระชับความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ดังนั้น ผมจึงแบ่งกำหนดการเป็น 2 ส่วน ดังนี้

1. กำหนดการ ?รวมพลชาวเว็บบอร์ดบางพระ (ครอบเศียรฤาษี+ลงนะมหาเสน่ห์+สาลิกาลิ้นทอง) ครั้งที่ 1?
วันที่      เสาร์ที่ 7 มีนาคม 2552
เวลา      07.00 น. - 08.50 น.
สถานที่    กุฎิหลวงพี่ญา

07:00 น.   พี่น้องชาวเว็บบอร์ดบางพระ รวมพล พูดคุย ตามอัธยาศัย
พบกันที่ ?เขื่อนริมน้ำหน้าข้างกุฏิใหญ่? เตรียมตัวเข้าพิธี

07:20 น.   พี่น้องชาวเว็บบอร์ดบางพระ ทยอยเข้าพิธีครอบเศียร+ลงนะมหาเสน่ห์+สาลิกาลิ้นทอง ณ. กุฎิ
หลวงพี่ญา โดยเรียงลำดับแถว ตามหมายเลขคิว จากการประกาศทางเว็บบอร์ดอย่างเป็นทางการ
รับวัตถุมงคลที่ระลึก  จาก เด็กนอกวัด (ชิน)
08:50 น.   เสร็จพิธีครอบเศียร+ลงนะมหาเสน่ห์+สาลิกาลิ้นทอง โดย หลวงพี่ญา
      พี่น้องชาวเว็บบอร์ด พูดคุย ตามอัธยาศัย

09:00 น.   พี่น้องชาวเว็บบอร์ดบางพระ แยกย้ายร่วมพิธีไหว้ครูตามปกติ

11.00 น.   เสร็จพิธีไหว้ครูของวัดบางพระ
      
พักผ่อนตามอัธยาศัย

2. กำหนดการ ?รวมพลชาวเว็บบอร์ดบางพระ (อาหารเย็น) ครั้งที่ 1?
วันที่      เสาร์ที่ 7 มีนาคม 2552
เวลา      12.00 น.- 17.00 น.
สถานที่       ร้านหมูกะทะอาป๋า ริมทางรถไฟ ท่านา

12.00 น.   พี่น้องชาวเว็บบอร์ดบางพระ พบปะกันอีกครั้ง
                              ( สรุปจำนวนคน-สถานที่ -วิธีการเดินทาง)

17:00 น.   ร่วมรับประทานอาหารเย็นร่วมกัน ณ. ร้านหมูกระทะ  อาป๋า ริมทางรถไฟ ท่านา

      (กำหนดค่าใช้จ่ายไม่เกิน 200 บาท/ท่าน โดยช่วยกันออกค่าใช้จ่ายตามจำนวนคนที่ไป)

                                เดินทางกลับโดยสวัสดิภาพ


A. ข้อตกลงการลงทะเบียนเพื่อร่วมงาน ?รวมพลชาวเว็บบอร์ดบางพระ(ครอบเศียร+ลงนะมหาเสน่ห์+สาลิกาลิ้นทอง) ครั้งที่ 1? ?   รวมพลชาวเว็บบอร์ดบางพระ (ครอบเศียร+ลงนะมหาเสน่ห์+สาลิกาลิ้นทอง) ครั้งที่ 1? ขอสงวนสิทธ์เฉพาะ สมาชิกเว็บบอร์ดวัดบางพระที่ลงทะเบียนล่วงหน้าแล้วเท่านั้น
?   ค่าครูพิธีครอบเศียร+ลงนะมหาเสน่ห์+สาลิกาลิ้นทอง ครั้งนี้ชาวเว็บบอร์ดบางพระทำบุญตามกำลังศรัทธา
?   กรุณาตรงต่อเวลา

วิธีการลงทะเบียน
?   โพส ชื่อเล่นลงในกระทู้  และ PM เบอร์มือถือ ถึง เด็กนอกวัด

หมายเหตุ : การ ?โพส ชื่อเล่น? นั้น เพื่อความสะดวกในการตอบรับ เพื่อป้องกันความเข้าใจผิดเพราะชื่อแฝงบางท่านอาจเป็นภาษา สำนวน ที่คาดเดายาก เช่น godkung อาจเรียกภาษาไทยว่า กอดกุ้ง หรือ ก๊อดกุง เป็นต้น

วิธีการรับบัตรคิว
?   เมื่อท่านทำการโพสชื่อในกระทู้ +ส่งPM ถึงเด็กนอกวัดเรียบร้อยแล้ว ท่านจะได้รับ PM ตอบรับยืนยันการลงทะเบียน ให้ถือว่าการลงทะเบียนเสร็จสมบูรณ์
?   เราจะทำการประกาศรายชื่อพร้อมระบุหมายเลขคิวให้ทราบทุกวัน?
 
หมายเหตุ:  จำนวนจำกัดเพียง 100 คนเท่านั้น
B. ข้อตกลงการลงทะเบียนเพื่อร่วม ?งานรวมพลชาวเว็บบอร์ดบางพระ (อาหารเย็น) ครั้งที่ 1??   ?รวมพลชาวเว็บบอร์ดบางพระ (อาหารเย็น) ครั้งที่ 1? เป็นการสังสรรค์ของชาวเว็บบอร์ดบางพระ  ด้วยการรับประทานอาหารเย็นกันอย่างบรรยากาศง่ายๆ เป็นกันเอง  เพื่อสนับสนุนให้ทุกคนมีโอกาสรู้จักกันมากขึ้น
?   เฉพาะชาวเว็บบอร์ดบางพระที่ตกลงร่วมกันออกค่าอาหาร เพื่อสนับสนุนให้ทุกคนมีโอกาสรู้จักกันมากขึ้น

หมายเหตุ :   - งานอาหารเย็นขึ้นอยู่กับความสมัครใจของชาวเว็บบอร์ดบางพระ
- ท่านที่สนใจ สามารถลงทะเบียนล่วงหน้าด้วยการโพสข้อความต่อจากกระทู้นี้


ตัวอย่างการโพสข้อความในกระทู้ เพื่อลงทะเบียนล่วงหน้า (อาหารเย็น)
      
1. เด็กนอกวัด         ชื่อ ชิน    a. ตกลงร่วมทั้งสองงาน

a. ตกลงร่วมทั้งสองงาน
b. ตกลง งานรวมพลชาวเว็บบอร์ดบางพระ (ครอบเศียร+ลงนะมหาเสน่ห์+สาลิกาลิ้นทอง) ครั้งที่ 1
C. ตกลงร่วมงานรวมพลชาวเว็บบอร์ดบางพระ (อาหารเย็น) ครั้งที่ 1
ดังนั้น ท่านที่สนใจลงทะเบียนลำดับต่อไป กรุณาโพสข้อความต่อ ดังนี้

2.  Cho Presley      ชื่อ  โชว    b. ตกลง งานรวมพลชาวเว็บบอร์ดบางพระ (ครอบเศียร+ลงนะมหาเสน่ห์+สาลิกาลิ้นทอง) ครั้งที่ 1
ดังนั้น ท่านที่สนใจลงทะเบียนลำดับต่อไป จะโพสข้อความต่อไป ดังนี้
3. Ack01   ชื่อ น้องเอ็กส์ C. ตกลงร่วมงานรวมพลชาวเว็บบอร์ดบางพระ (อาหารเย็น) ครั้งที่ 1 ตัวอย่างการโพสข้อความใน PM เพื่อลงทะเบียนร่วมงานรวมพลชาวเว็บบอร์ดบางพระ

1. เด็กนอกวัด         ชื่อ ชิน    เบอร์มือถือ 081-8300-808
            a. ตกลงร่วมทั้งสองงาน


ขอเชิญลงทะเบียนได้เลยครับ!

ทองที่เสกและจารด้วยหลวงพี่ญา วัดบางพระ





และหลวงปู่อั๊บ วัดท้องไทรเมตตาเสกให้อีกเที่ยว












ของที่ระลึกแผ่นยันต์หอมเชียง












68
ใครมีประสบการณ์ ของพ่อ แม่พระสีสะแลงแงง ของวัดสามง่ามบ้างครับ
ทั้งผ้ายันต์และเนื้อดินเลยนะครับ


69
ผมว่าน่าจะมีการจัดรวมพลชาวเวปวัดบางพระผมถ้าท่านใดมีความดิดอะไรช่วยกันเสนอความคิดกันมานะครับ 02;


1.ความส่วนตัวผมน่าจะจัดวันที่7/03/2552 เนื่องจากวันไหว้ครูมีสมาชิกรวมตัวกันมากน่าจะรวมตัวช่วงบ่ายได้พอสมควร


2.วันอาทิตย์ที่8/03/2552 วันหยุด


.ใครอยากให้กิจกรรมนี้เกิดช่วยโพส และช่วยกันแนะนำกันด้วยนะครับ

70
หนังเสืออักขระสายวัดสะพานสูง โดยหลวงตาเปรื่อง วัดบางจาก จ.นนทบุรี

เสกหนังเสือไฟก่อนนำมาตัดทำตะกรุด





จารกำกับก่อนนำมาตัดทำตะกรุด


จารด้วยตนเอง อย่างตั้งใจ








จารเสร็จเสกทีละชิ้นอย่างตั้งใจก่อนนำไปเข้าพิธีใหญ่




71
เหวัชระ







เหวัชระ (Hevajra) เป็นยิดัมที่ได้รับการนับถืออย่างกว้างขวางในกลุ่มผู้นิยมพุทธตันตระ ถือเป็นภาคดุร้ายของพระอักโษภยะพุทธเจ้า ในงานพุทธศิลป พระองค์ทรงมีพระวรกายสีฟ้า มี 8 พระเศียร แต่ละเศียรมีพระเนตรสามดวง มีพระหัตถ์ 16 กร แต่ละพระกรทรงถือถ้วยหัวกะโหลกที่มีสิ่งต่างๆ บรรจุไว้ภายใน ในแปดพระกรขวา ประกอบด้วย ช้าง ม้า ลา มนุษย์ อูฐ โค สิงโต และแมว ส่วนแปดพระกรซ้าย ประกอบด้วย โลก น้ำ อากาศ ไฟ ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ พระยม (เทพเจ้าแห่งความตาย) และพระเวสสุวรรณ (เทพเจ้าแห่งความมั่งคั่ง) โดยที่สองฝ่าพระบาทหน้าเหยียบอยู่บนร่างมนุษย์หรือซากศพชายหญิงไว้อันหมายถึงอวิชชา บ้างก็กล่าวว่าฝ่าพระบาทของพระองค์เหวัชระมีเทพประจำรักษา ได้แก่ พระพรหม พระยักษา พระยม และพระอินทร์ ไม่ใช่ฝ่าเท้าของนางฑากิณีหรือโยคินี พระองค์ทรงอยู่ในท่าร่ายรำแบบอรรธปรยังก์หรือโอบรัดศักติมีพระนามว่า พระแม่วัชรนิรทย (Vajra Nairatmya) นอกจากนี้ พระองค์ทรงมีเทพสตรีหรือที่เรียกว่านางโยคินีแปดตนเป็นบริวาร นางโยคินีเหล่านี้มีหน้าที่ทำลายล้างอวิชชาหรือสิ่งชั่วร้ายและรักษาทิศทั้งแปดของจักรวาล ถือกำเนิดขึ้นจากญาณของเหวัชระ

ฑากิณี (Dakini) บ้างก็กล่าวว่าคือพระแม่ผู้เดินหนในนภากาศ มีหน้าที่ในการปฏิบัติธรรมแห่งตันตระ โดยมีรากฐานเดิมเป็นยักษ์จึงมีชื่อเรียกอีกนามหนึ่งว่า ?นางโยคินี? (Yogini) แม้ว่านางฑากิณีและนางโยคินีจะมีความหมายเดียวกัน แต่โดยนัยแล้วฑากิณีจะมีอาวุโสกว่านางโยคินี ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นผู้ช่วยมหาสิทธาและดิยัม อีกทั้งยังเป็นผู้เก็บรักษาคำสอนและปกป้องช่วยเหลือผู้ปฏิบัติให้บรรลุผล แต่ในคติศาสนาพราหมณ์ถือว่าเป็นบริวารของพระแม่กาลี ฑากิณีมีด้วยกัน 5 ตระกูลตามฌานิพุทธเจ้าห้าพระองค์ ได้แก่ ตระกูลปัทมา ตระกูลพุทธะ ตระกูลวัชระ ตระกูลอัญมณี และตระกูลกรรมา (กรรม) อย่างไรก็ตาม ฑากิณีในตระกูลวัชระทั้งแปดองค์ที่เป็นบริวารของดิยัมเหวัชระ ประกอบด้วย

1) นางเคารี (Gauri) ประจำทิศตะวันออก ผิวสีดำ ถือถ้วยหัวกระโหลกในมือขวาและถือปลาในมือซ้าย
2) นางเฉารี (Chauri) ประจำทิศใต้ ผิวสีทองแดง ถือกลองในมือขวา และถือหมูป่าในมือซ้าย
3) นางเวตาลี (Vetali) ประจำทิศตะวันตก ผิวสีแดงส้ม ถือเต่าในมือขวา และถือถ้วยหัวกระโหลกในมือซ้าย
4) นางฆษมารี (Ghasmari) ประจำทิศทิศเหนือ ผิวสีเขียว ถืองูในมือขวา และถือถ้วยหัวกระโหลกในมือซ้าย
5) นางปุกกาสี (Pukkasi) ประจำทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ผิวสีน้ำเงิน ถือสิงโตในมือขวา และถือขวานสั้นในมือซ้าย
6) นางชาพารี (Shabari) ประจำทิศตะวันออกเฉียงใต้ ผิวสีขาวขุ่น ถือนักบวชในมือขวา และถือพัดในมือซ้าย
7) นางฉนฑลี (Chandali) ประจำทิศทิศตะวันตกเฉียงใต้ ผิวสีเทา ถือกงล้อในมือขวา และถือคันไถในมือซ้าย
8.) นางโทมพี (Dombi) ประจำทิศทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ผิวสีเหลืองทอง ถือวัชระในมือขวา และถือปลาในมือซ้าย

ในงานพุทธศิลป์ ดังภาพทังก้าซ้ายมือ ศิลปะแบบทิเบต คริตสศวรรษที่ 14 เป็นมณฑลของดิยัมองค์พระเหวัชระที่โอบกอดพระแม่ศักติท่ามกลางนางฑากิณีประจำทิศทั้ง 8 องค์ ส่วนภาพขวามือ คือ นางโยคินีมีนามว่า วัชรโยคินี (Vajrayogini) หรือวัชรวาราฮี (Vajravarahi) ในท่าร่ายรำอรรธปรยังก์ที่เริงร่าอยู่บนร่างศพ ซึ่งเป็นคู่พระบารมีของยิดัมจักรสัมวารา สวมมงกุฏที่ทำด้วยหัวกระโหลกห้าหัว มือขวาถือขวานสั้นชี้ลงพื้น ส่วนมือซ้ายถือถ้วยกระโหลก ที่ข้อศอกพับประคองคฑาสามง่ามที่ปลายยอดเสียบหัวกระโหลกสามหัวไว้ สวมสร้อยสังวาลประดับด้วยหัวกระโหลก และสวมข้อเท้าทั้งซ้ายขวา ภายใต้รัศมีของเพลิงไฟแห่งปัญญา

ดังนั้น จึงไม่เข้าใจว่าแปลมาจากแหล่งไหนครับ ถึงกลายเป็นว่านางโยคินีทั้งแปดประทับอยู่บนเทพเจ้าฮินดูที่เป็นอวิชชา

  เหวัชระยิดัมองค์สำคัญในการปฏิบัติพุทธตันตระ พระองค์มีรูปกายสีน้ำเงินเข้ม
มุมมองในผู้ศึกษาพุทธธรรมได้แบ่งแยกอย่างชัดเจนว่าอนัตตาและอารมณ์ฝ่ายดีเป็นอริยะชนผู้มีคุณความดี เป็นผู้มีธรรมะผู้สัมพันธ์ด้วยจึงเป็นอริยะชนด้วย แต่ในด้านตรงข้าม อัตตาและอารมณ์ฝ่ายร้ายเป็นความชั่วร้ายเป็นทุรชนที่จะต้องทำลายทิ้งหรือเก็บกดคุมขัง เพื่อมิให้ผู้ที่สัมพันธ์ด้วยกลายเป็นผู้ชั่วร้าย ความขัดแย้ง การต่อสู้ จึงบังเกิดขึ้นตลอดเวลา แต่เจตนารมณ์ในพุทธรรมมุ่งเน้นในสันติวิธีมากกว่าการต่อสู้และความขัดแย้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งความขัดแย้งนั้นเกิดขึ้นภายในตัวผู้ศึกษาธรรม ยิ่งไม่ควรบังเกิดขึ้น ด้วยว่าการต่อสู้กันนั้นในที่สุดตัวเราโดยองค์รวมจะเป็นผู้ถูกทำลายเอง ในมุมมองของพุทธตันตระ จึงมุ่งสู่ศูนยตาสภาวะ สภาวะที่ไม่ได้อยู่เองโดดๆเป็นสภาวะที่สัมพันธ์ แอบอิงกัน เป็นสภาวะแห่งการมองอัตตา อนัตตา อารมณ์ดี อารมณ์ร้ายตามความเป็นจริงแห่งธรรมชาติ ที่ต้องสัมพันธ์กัน เปิดโล่ง โปร่งใส เมื่อดวงตาแห่งธรรมเปิด มองเห็นศูนยตาสภาวะ พุทธภาวะก็บังเกิด ผู้เปิดดวงตาแห่งธรรมก็คือองค์ยิดัม แท้จริงแล้วองค์ยิดัมก็คือ รากฐานแห่งพลัง อัตตา อนัตตา อารมณ์ทั้งหลายทั้งปวงนั่นเอง ดังนั้นเมื่อพลังแห่งอัตตา อนัตตา อารมณ์ทั้งมวล สัมพันธ์กันอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา พุทธภาวะก็บังเกิด ยิดัมก็คือวัชรธรรมกาย หรือพุทธภาวะนั่นเอง

72
ลายเมฆเกีอบ2เมตร
ได้มาเกือบ9ปีแล้ว






หนังเสือไฟทังตัว2เมตรหน่อยๆ พร้อมเล็บ.


73
กราบหลวงปู่ช้างได้ลงทองมาด้วย 37;








จารวัตถุทาน้ำมันจารวัตถุมงคล



วัตถมงคลที่มาจำหน่าย



เจ้าสัวขุนแผน





ที่หลังมีคนเอาขุนแผนกุมารห้าองค์๕ออกมา  เลยบอกหลังปูไม่ต้องจาร นะชาลิติ แล้วก็ยิ้ม





แต่ก็แถมมาให้ด้านหน้า



แต่ด้านหลัง คืออะไร....




หลวงพี่ญา และท่านพี่อ.ผู้ภาวนาในยาม.. พุธ โธ อยู่เสมอ





ถ่ายอะไรไม่รู้....




แต่ดูเหมือนโฟกัสมาแถวๆๆนี้

74
ในคัมภีร์โบราณ ได้กล่าวไว้ว่าผู้ใดหวังความเจริญในลาภยศ ทรัพย์สินเงินทอง อำนาจวาสนา
ให้บูชารูปท้าวเวสสุวรรณ หรือ ท้าวกุเวร
ท้าวกุเวร มีอีกพระนามหนึ่งที่รู้จักกันดีคือ ท้าวเวสสุวรรณ หรือ ท้าวเวสวัณ เป็นอธิบดีแห่งอสูรย์หรือยักษ์ หรือเป็นเจ้าแห่งผี เป็นหนึ่งในบรรดาท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่ ผู้คุ้มครองและดูแลโลกมนุษย์ สถิตอยู่บนสวรรค์ชั้นจาตุทรงอิทธิฤทธิ์อานุภาพมากประทับ ณ โลกบาลทิศเหนือ มียักษ์เป็นบริวาร ดูแลปกครองรับผิดชอบมีอาณาเขตใหญ่โตมหาศาล กว้างขวาง และเป็นใหญ่ เป็นหัวหน้าท้าวจตุโลกบาลทั้ง 4

ท้าวจาตุมหาราช ๔ คือ


ท้าวธตรฐ รักษาโลกด้านทิศตะวันออก
ท้าววิรุฬหก รักษาโลกด้านทิศใต้
ท้าววิรูปักษ์ รักษาโลกด้านทิศตะวันตก
ท้าวกุเวร รักษาโลกด้านทิศเหนือ
ท้าวเวสสุวรรณได้บำเพ็ญบารมี มาหลายพันปี รับพรจาก พระอิศวร พระพรหม ให้เป็นเทพแห่งความร่ำรวย เป็นเทพแห่งขุมทรัพย์ เป็นมหาเทพแห่งความร่ำรวย มั่งคั่ง รักษาสมบัติของเทวโลก ทั้งเป็นเจ้านายปกครองดูแลพวกยักษ์ ภูติผีปีศาจทั้งปวง นอกจากนี้ท่านยังดูแลปกป้องคุ้มครอง พระพุทธศาสนา ท้าวกุเวร องค์นี้มีกล่าวถึงในอาฏานาฏิยปริตว่านำเทวดาในสวรรค์ชั้นจตุมหาราชิกา มาเฝ้าพระพุทธเจ้าและได้ถวายสัตย์ที่จะดูแลพระพุทธเจ้าและเหล่าสาวก ไมให้ยักษ์หรือบริวารอื่นๆของท้าวจตุโลกบาลไปรังควาญ































75
บทความ บทกวี / ทายนิสัยจากสีรถ
« เมื่อ: 04 ก.พ. 2552, 04:41:12 »
คนเรามักเลือกสิ่งของตามสีที่ตัวเองชอบ รถยนต์ก็เช่นกันครับ วันนี้เรามาดูกันดีกว่าว่า สีรถที่คุณใช้อยู่ บ่งบอกถึงตัวตนของคุณได้ว่าอย่างไรบ้าง 36;

รถสีขาว เขาและเธอจะล้ำเลอในเรื่องความสะอาดสะอ้าน ติดจะสมถะสันโดษอีกต่างหาก จิตใจก็เยือกเย็นมากแถมใจอ่อนไหวง่าย ไม่ข่มเหงใครก่อนเพราะเป็นคนอ่อนโยนด้วย

รถสีเขียวเป็นคนค่อนข้างปราดเปรียว แต่ไม่เฉี่ยวโฉบหวือหวา ชอบอิสระเสรี สิ่งไรที่จำเจล่ะก็ เขาหรือเธอจะขอหลีกเลี่ยงทันควัน ทว่าเป็นคนพิถีพิถัน มั่นใจในตัวตน และเป็นคนมีความคิดสร้างสรรค์

รถสีดำ จำไว้เลยว่าเขาหรือเธอ จะเป็นคนหนักแน่น ดังแผ่นหินแผ่นเหล็ก เล็กๆ ไม่ทำ สีดำ คือ สีของทิฐิประเภทดื้อรั้น ไม่หวั่นไหวรักใครรักจริงรักรักนาน

รถสีแดงชอบสำแดงความโลดโผนคล่องแคล่ว แล้วยังแบบว่าข้าเด่นคนเดียว ถ้านำได้ ทำได้ จะไม่ลังเลให้เสียเวลา ถ้าจะมีปัญหาทุกข์ยากลำบากลำบน ก็เผชิญได้สบายดี เพราะไม่มีอดีตสำหรับเขาและเธอผู้เลือกเท่าไหร่

รถสีเทาเบ้าหลอมคล้ายคลึงกับสีขาว ไม่ชอบก้าวก่ายเรื่องใครแต่ใครอย่าแหย่ล่ะ จะเดินหนีเอาดื้อ ๆ หรือไม่ก็ชกหน้าคนที่มาหาเรื่องซะที่สองที่ก่อนจะตีจาก เพราะพูดมากไม่เป็น ทั้งที่ใจเย็น

รถสีฟ้าและสีน้ำเงิน รสนิยมเหลือรับ รักครอบครัวเหลือร้าย จิตใจสุขุมคัมภีรภาพ สามารถรับรู้หรือล่วงรู้จิตใจคนใกล้ชิดได้ดี

รถสีส้มอารมณ์ดีร่าเริง รักความถูกต้องยุติธรรม แม้น้ำใจจะดี แต่ก็ติด ๆ เจ้าโทสะอยู่มาก รักคนยากสักนิด ความคิดก้าวหน้า และชอบทำมากกว่าพูด

รถสีชมพูรู้อยู่ว่าเธอหรือเขาเป็นเจ้าแห่งความละเมียดละไมในความรัก เจ้าอารมณ์ไม่น้อย พูดจาทันคนแต่งตัวทันสมัย มาด ทันตา รวมความว่าเป็นคนทันยุคทุกด้าน

รถสีม่วงลึกลับ ลึกซึ้ง และร้าย รักง่าย แต่โกรธง่ายเบื่อง่าย แต่โกรธง่ายหายยาก และรังเกียจเรื่องการถูกยุ่มย่ามตามตอแย แต่มีอุดมการณ์การทำงานพอควร

รถสีเหลืองฉลาดปราดเปรื่องทะเยอทะยานไปสู่การงาน ซึ่งนำผลประโยชน์และความสำเร็จก่อนอื่นใด หัวใจน่ะเหรอ เขาและเธอวางท่าบังตาได้ดียิ่งยวด แต่แอบเจ็บปวดทุกคราว แล้วก็ก้าวเดินต่อไปขณะที่ใจเจ็บๆ เหมือนเดิม

รถสีน้ำตาลรักการมีระเบียบแบบแผน หนักแน่นด้วยภูมิปัญญาในความคิด แต่จิตใจหนักข้างไปทางอนุรักษ์นิยม ชื่นชมของเก่าแก่ เผลอ ๆ อาจจะแบไต๋หัวใจว่ารักคนสูงอายุซะด้วย



รถสีทอง
คล่องตัวพอดูในหัวหู ไม่ค่อยจะถือสาหาความใคร เพราะหัวใจชอบความสนุกสนาน ชอบหว่านเงินเดินนำหน้า ด้วยว่าเป็นคนกว้างขวาง

รถสีเงิน (บรอนซ์) ร้อนแรงภายใน จิตใจแกร่งกร้าวเอาไหนเอากันบางด้านดูครื้นเครงไม่เลว แม้รู้ว่ามีเปลวไฟในความรัก เธอและเขาก็อยากจับมันเล่นซะยังงั้น และยังดันจับใหม่ไม่เข็ดขยาดซะด้วยสิ


แม่นหรือไม่ช่วยโพสบอกกันด้วยครับ :114:

76
ของเจ้าคุรนรหรือเปล่าไม่แน่นใจเคยเห็นของท่านแบบผง







ไม่ทราบว่าวัดไหนพิมพ์คล้ายหลวงพ่อยิด วัดหนองจอก










77
การวิเคราะห์เส้นทางชีวิต

เมื่อทำความรู้จักกับตัวตนของบุคคลนั้นๆ แล้ว เราลองมาคำนวณ master numbers เพื่อการวิเคราะห์เส้นทางชีวิต
โดยใช้ตัวเลขวัน เดือน ปีเกิด มาแยกหา master numbers เช่น

คุณเกิดวันที่ 15 สิงหาคม 2516 ก็แปลกตัวเลขเป็น 08 / 15 / 1973 หา master numbers ได้
8 / 6 / 2 และ master numbers สุดท้ายคือ 8+6+2= 16 นั่นก็คือ 7 นั่นเอง

เมือได้ master numbers แล้วก็จะวิเคราะห์เส้นทางชีวิตได้ดังนี้

1 เส้นทางชีวิตของคุณถูกกำหนดโดยเป้าหมายในชีวิต คือความเป็นปัจเจกภาพของคุณเอง คุณต้องหัดเรียนรู้ 2 สิ่ง
สำคัญ คือ การยืนหยัดด้วยตัวเอง และการนำทางชีวิตให้ตัวเอง คุณมีแนวโน้มว่าจะประสบความสำเร็จถ้าได้เป็นผู้นำ แต่อาจ
จะล้มเหลวเมื่อต้องเป็นผู้ตาม สิ่งที่ต้องระมัดระวังคือความคิดแบบตัวเองเป็นใหญ่ เห็นแก่ตัว อีโก้สูง มั่นใจในตัวเองเกินไป

2 เส้นทางชีวิตของคุณถูกกำหนดด้วยนิสัยที่เป็นคนละเอียดอ่อน จึงมักจะมีผู้คนเข้ามาหาเพื่อขอความช่วยเหลือ
หรือเข้ามาผูกสัมพันธ์ด้วย คุณควรมอบความจริงใจแก่ผู้อื่น และช่วยเหลือผู้อื่นอย่างเต็มที่ เรื่องผลประโยชน์ เงินทอง
และการทำธุรกิจการค้าอาจจะไม่ราบรื่นเท่าที่ควร แต่คุณจะยังคงมีความสุขได้กับมิตรภาพและความรักมากมาย

3 เส้นทางชีวิตของคุณถูกกำหนดด้วยนิสัยชอบแสดงออก ทักษะในการเข้าสังคม พบปะผู้คนจำนวนมาก พรสวรรค์
ของคุณคือทำให้ตนเองและผู้คนที่อยู่รอบข้างสนุกสนานได้เสมอๆ จะเป็นการดีถ้าคุณได้เรียนรู้การพูด การเขียน การแสดง
เพิ่มเติมขึ้นไปอีกซึ่งถ้าคุณนำพลังและพรสวรรค์นี้มาใช้อย่างเป็นชิ้นเป็นอัน ก็อาจจะทำให้คุณเป็นนักพูด นักดนตรี นักเขียน
หรือศิลปินได้เลย

4 เส้นทางชีวิตของคุณถูกกำหนดด้วยความเจ้าระเบียบ เอาจริงเอาจัง เคร่งเครียด เมื่อตัดสินใจอะไรลงไป คุณก็จะ
เดินหน้าต่อไปไม่หยุด จึงควรจะฝึกความอดทน อดกลั้น และเรียนรู้การวางแผน และการจัดระบบงานที่ดี ต้องระวังว่า
ด้วยนิสัยแบบนี้อาจจะทำให้คนอื่นๆ มองว่าคุณเป็นคนน่าเบื่อ โลกแคบ ใจแคบเกินไป

5 เส้นทางชีวิตของคุณถูกกำหนดด้วยนิสัยที่รักการผจญภัย รักสิ่งแปลกใหม่ คุณคงไม่ยอมทำงานประจำซ้ำซาก
ในออฟฟิศ แต่ชอบที่จะออกไปผจญภัย ได้เจอสถานการณ์ใหม่ๆ แต่ถ้าปล่อยชีวิตให้เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ อาจจะหลงทาง และไม่สามารถรู้ถึงความต้องการของตนเองจริงๆ คุณควรจะหาตัวเองให้พบเสียก่อน แล้วจึงสนุกและผจญภัยกับมันได้อย่าง
เต็มที่

6 เส้นทางชีวิตของคุณถูกกำหนดด้วยความรับผิดชอบ ช่วยเหลือผู้อื่น ดีต่อครอบครัว และเพื่อนบ้าน คุณจะต้องเรียนรู้
เรื่องความพอดี พอเหมาะพอสมสำหรับการกระทำสิ่งต่างๆ การการทุ่มเทเพื่อผู้อื่นเป็นสิ่งที่ดี แต่ไม่ควรให้มันมากเกินไป

7 เส้นทางชีวิตของคุณถูกกำหนดด้วยความเฉลียวฉลาดล้ำลึก ช่างคิด วิเคราะห์ จะเป็นการดีถ้าคุณได้มีเวลาอยู่กับ
ตัวเอง เพื่อคิดคำนวณ พินิจพิเคราะห์เรื่องต่างๆ หลีกเลี่ยงความสับสนวุ่นวาย และเสียงอึกทึกครึกโครมต่างๆ ต้องระวังว่า
คุณอาจจะมีเพื่อนน้อยสักหน่อย เป็นคนมองโลกในแง่ร้าย และปิดตัวเองมากไป

8 เส้นทางชีวิตของคุณถูกกำหนดด้วยความทะเยอทะยาน จึงเหมาะที่จะเป็นนักธุรกิจ คุณรักการแข่งขัน และมักจะ
ได้รับชัยชนะมีอำนาจและทรัพย์สินเงินทองมากมาย แต่ถ้าจะให้ดี คุณควรจะได้หัดเรียนรู้เรื่องจิตใจและจริยธรรมให้มาก
ต้องระวังไม่ให้วัตถุทรัพย์สินเงินทอง มาลวงตาให้คุณหลงใหลมอมเมา

9 เส้นทางชีวิตของคุณถูกกำหนดด้วยมนุยษธรรม ธรรมชาติ และปรัชญา คุณไม่ค่อยสนใจเรื่องเงินทองวัตถุ คุณจึง
เหมาะที่จะเป็นผู้พิพากษา อาจารย์ ครูสอนศาสนา หรืออาชีพที่ได้ "กล่อง" มากกว่าเงิน ซึ่งอาจจะรู้สึกผิดหวัง ว่าตนเอง
ไม่เหมาะกับการเอาตัวรอดในสังคมที่แก่งแย่งชิงดีกันในปัจจุบัน

10 และ 22 อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้นว่าเลข 9 11 และ 22 มีความใกล้เคียงกัน คือการก้าวเข้าสู่เรื่องอุดมคติ
จิตวิญญาณ พลังอันสูงส่ง ผู้ที่มีตัวเลข 11 และ 22 จะมีเส้นทางชีวิตที่ดื่มด่ำอยู่กับเรื่องนามธรรม ซึ่งถ้าคุณตั้งเป้าหมาย
ชีวิตไว้สูงเกินไป ก็อาจจะสร้างปัญหาให้กับตนเองและผู้คนรอบข้าง แต่ขอให้มั่นใจไว้เถอะว่าคุณมีความพิเศษอยู่ในตัว
เพียงแต่จะนำออกมาใช้ให้เหมาะสมได้อย่างไรเท่านั้น



? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ?
 
 

78
บทความ บทกวี / ชื่อคุณบอกอะไร
« เมื่อ: 03 ก.พ. 2552, 06:32:02 »
ชื่อคุณบอกอะไร
ความมหัศจรรย์ของศาสตร์แห่งตัวเลข

คุณรู้หรือไม่ว่าตัวเลขที่เราเห็นกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันมีอีกด้านหนึ่งที่เป็นศาสตร์ที่สัมพันธ์เกี่ยวข้องกับชีวิตของแต่ละคน
มีผลต่อความคิดอ่าน บุคลิกภาพ และเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดในอนาคตต่อตัวบุคคลผู้นั้นเรียกกันว่า ศาสตร์แห่งตัวเลข
(Numerology) โดยตั้งอยู่บนฐานความเชื่อเบื้องต้นว่า ตัวเลขสามารถถ่ายทอดแบบแผนของความเป็นไปในจักรวาลนี้
ตัวเลขจึงสามารถเผยให้เห็นความเป็นไปของแต่ละบุคคลได้


ตัวเลขที่นำมาใช้ในศาสตร์แห่งตัวเลข เรียกว่า master numbers ได้แก่เลข 1-9, 11 และ 22 โดยคำนวณมาจาก
วัน เดือน และปีเกิดรวมไปถึงการแปลงตัวอักษรของชื่อและนามสกุล

วิเคราะห์แก่นแท้ของตัวบุคคล

การวิเคราะห์แก่นแท้ของบุคคล หรือ The Essences ทำได้โดยการคำนวณชื่อและนามสกุลดั้งเดิมที่พ่อแม่คุณตั้งให้
จะให้ความแม่นยำมากกว่า แปลงตัวอักษรภาษาอังกฤษจากชื่อและนามสกุล ให้กลายเป็นตัวเลข ดังนี้

1 2 3 4 5 6 7 8 9
A B C D E F G H I
J K L M N O P Q R
S T U W X Y Z   

เริ่มจากเขียนชื่อ นามสกุลของคุณเป็นภาษาอังกฤษแปลงเป็นตัวเลขตามตารางข้างบนเช่น

นายสมสกุล บุญเลิศ เขียนเป็นภาษาอังกฤษได้ Somsakul Boonlert แปลงเป็นตัวเลขได้ดังนี้


1+6+4+1+1+2+3+3+2+6+6+5+3+5+9+2=59


ขั้นต่อมา คือการคำนวณตัวเลข 59 ให้เป็น master numbers คือ 5+9 = 14 และ 1+4 = 5 ตามลำดับ


ลองนำตัวเลขที่ได้ มาวิเคราะห์แก่นแท้ของตัวท่านเอง


1 คุณเป็นคนมีความคิดริเริ่ม และสามารถขยายความคิดนั้นต่อไป ให้กลายเป็นโปรเจ็กต์ใหญ่ได้อย่างต่อเนื่อง
ไม่ใช่ในช่วงสั้นๆ เท่านั้น


2 เพื่อนๆ คบรอบข้าง และเพื่อนร่วมงาน มีส่วนสำคัญต่อความสำเร็จในชีวิตของคุณ มักจะมีผู้ต้องการความช่วยเหลือ
จากคุณและก็มักจะต้องการผู้อื่นเช่น กันการควบคุณอารมณ์ตนเองเป็นเรื่องสำคัญสำหรับคุณ


3 คุณต้องการใช้ชีวิตอย่างมีความสุข สนุกสุดเหวี่ยงคบหาสมาคมกับเพื่อนฝูงมากมาย มีคนรักพร้อมกันได้หลายๆ คน
การแสดงออกและทักษะในการเข้าสังคมจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมากสำหรับคุณ


4 เรื่องราวต่างๆ ที่เข้ามาในชีวิตคุณ มักเป็นเรื่องซีเรียสและต้องการให้คุณชำระสะสางให้ลุล่วง คุณจึงมักจะเป็น
คนที่ชอบลงมือทำ อยู่กับความเป็นจริง และมุ่งมั่นทำงานหนัก บางครั้งก็รู้สึกว่าชีวิตน่าเบื่อหน่ายและน่าเศร้าบ้าง


5 คุณมักจะได้พบกับเรื่องราวที่ไม่คาดฝัน เจอะเจอประสบการณ์แปลกๆใหม่ๆ ในชีวิตมักจะมีความเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
ควรระมัดระวังในการใช้ชีวิตให้เตรียมรับมืออยู่เสมอ และตั้งอยู่บนความไม่ประมาท


6 ชีวิตของคุณจะมั่นคง สม่ำเสมอ เป็นคนชอบอยู่กับบ้าน รักครอบครัว มีหน้าที่ให้รับผิดชอบมากมาย ถ้าได้ใช้ชีวิตคู่
กับคนที่เหมาะสม ชีวิตคุณจะราบรื่นอย่างมาก


7 คุณรักการเรียนรู้ ต้องการเข้าใจชีวิตและโลก การศึกษาธรรมะและปรัชญาจะช่วยไขข้อข้องใจต่างๆ ให้แก่คุณได้มาก
แต่ควรจะไม่ลืมที่จะไปคบหาสมาคมกับผู้คนอื่นๆ บ้าง ซึ่งก็นับเป็นการแลกเปลี่ยนความรู้ที่ดี ไม่แพ้การศึกษาด้วยตัวเอง


8 คุณเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับเรื่องอาชีพ การงานสถานภาพทางสังคม ความร่ำรวย หน้าตา ซึ่งทำให้คุณต่อสู้ดิ้นรน
ทะเยอทะยาน และประสบความสำเร็จได้ในที่สุด แต่ควรระวังว่า ถ้าเกินพอดี ก็จะกลายเป็นพวกวัตถุนิยม


9 และ 11 22 มีความใกล้เคียงกัน ตัวเลข master numbers ที่มากขึ้น แสดงให้เห็นถึงความใฝ่ฝัน ความสูงส่ง
และพลังอำนาจ
 
ลองทดสอบกันดูนะครับ

? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ?

79
พระภควัมบดี
ตามความเข้าใจดั้งเดิมโดยทั่วๆ ไปเข้าใจกันว่า พระปิดตาหรือพระปิดทวารทั้งเก่าเป็นพระมหาอุตม์จะอุดโชคอุดลาภต่างๆ เช่นเดียวกับพระรอด ซึ่งมักจะเข้าใจกันว่า โชคลาภต่างๆ ระรอดพ้นไปหมด ยังเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง

คำว่า ?อุตม์? กับ ?อุด? มีความหมายต่างกัน
?อุตมะ? มีความหมายว่าสูงยิ่ง เลิศ มากมาย บริบูรณ์
?อุตมัตถ์? มีความหมายว่าผลอันยอดเยี่ยม
?มหา? มีความหมายว่ายิ่งใหญ่
?อุด? มีความหมายว่า จุกกันจุดช่อง จุดให้แน่น

ดังนั้น ?มหาอุตม์? จึงมีความหมายว่า ผลอันยอดเยี่ยมและยิ่งใหญ่ และเป็นความหมายที่ถูกต้องกว่าคำที่ว่า ?มหาอุด? เช่นเดียวกับคำว่า ?รอด? หรือทางเหนือเขียนว่า ?ลอด? ซึ่งหมายถึงมีขนาดเล็ก
 

พระมหาอุตย์ จึงมีความหมายว่า พระนั้นๆ มีพุทธานุภาพอันยอดเยี่ยมและยิ่งใหญ่ ซึ่งมีความหมายที่ถูกต้องกว่าคำว่า ?มหาอุด? ซึ่งหมายถึงยิงไม่ออก ยิงไม่เข้า

พระมหาอุตม์ หรือพระปิดตาหรือพระปิดทวาร หรือพระปิดทวารทั้งเก้า หรือพระสังกัจจายน์ ก็คือพระอรหันต์องค์เดียวกัน ซึ่งเป็นสาวกของพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าชื่อว่า ?พระภควัมบดี? หรือที่เรียกว่า พระควัมปติมหาเถโร? แต่อยู่ในพุทธลักษณะแตกต่างกันไป

- ปางปิดตา
- ปางปิดทวารทั้งเก้า
- ปางอุ้มท้องหรือสังกัจจายน์

ดังนั้น ที่ถูกที่ควรพระภควัมบดี ควรจะเป็น ?พระมหาอุตม์? ซึ่งหมายถึงเป็นพระที่ยอดเยี่ยมดีทุกอย่างมากกว่าคำว่า ?พระมหาอุด? ที่มีความความเฉพาะดีทางคงกระพันเท่านั้น

คำว่า ?อุตมะ? เป็นคำที่มาจากภาษาสันสกฤต ตรงกับคำในภาษาไทยว่า ?อุดม? พระภควัมบดี จึงเป็นพระที่อุดมไปด้วยความดีทุกอย่าง ทุกทางโดยสมบูรณ์เช่นเดียวกับสมเด็จ ขอสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังษี นับว่าใช้ได้ทุกทางที่เรียกว่า ?ครอบจักรวาล? เช่นเดียวกับยาไทย คือ ยาดำ ยาเขียว สามารถรักษาได้หลายๆโรค ไม่ใช้เป็นพระ ?อุด? ดังมีความเข้าใจกันโดยทั่วๆ ไปแต่เพียงอย่างเดียวด้วยประการฉะนี้

จากการพิจารณาความหมายดังกล่าวมาแล้วจะเห็นได้ว่า พระภควัมบดีไม่ได้เป็นพระอุดโชคลาภตลอดจนผู้มีครรภ์ พระจะอุดไม่ให้ผู้มีครรภ์สามารถคลอดบุตรได้ถ้าจะเทียบกับพุทธานุภาพของพระภควัมบดีเป็นโอสถ โอสถนี้ก็จะสามารถรักษาได้สารพัดโรค ซึ่งถ้าพระเกจิอาจารย์ได้สร้างและปลุกเสกตามแบบฉบับมาตรฐานพระคณาจารย์แต่ครั้งโบราณกาล เว้นเสียแต่พระเกจิอาจารย์บางองค์บางท่านจะดัดแปลง ประจุเวทมนตร์คาถา โดยที่พระเกจิอาจารย์ท่านนั้นจะเลือกเอาดีทางหนึ่งทางใดโดยเฉพาะเท่านั้น เป็นต้นว่าประจุเวทมนตร์คาถาทางคงกระพันหรือทางแคล้วคลาดแต่เพียงอย่างเดียว ถ้าจะเปรียบพระภควัมบดี ก็เหมือนกับยันต์ที่มีพุทธคุณใช้ได้ทุกทาง อาทิเช่น

?พระยันต์มหาโสรฬมงคล? ตามแบบฉบับของปู่เอี่ยม วัดสะพานสูง นนทบุรี ลงแผ่นโลหะใช้ทำตะกรุด ตะกรุดโทน

?พระยันต์ไตรสรณาคม? ตามแบบฉบับของพระพิมลธรรม (นาค) วัดแจ้ง กรุงเทพ ลงแผ่นหนังหนาผากเสือ ใช้ทำตะกรุด

?พระยันต์อิสะสติ? ตามแบบฉบับของหลวงพ่อวัดมะขามเฒ่า ชัยนาท ลงแผ่นโลหะใช้ทำตะกรุด

?พระยันต์พุดซ้อน? ตามแบบฉบับของสมเด็จพระวันรัตน์ (แดง) วัดสุทัศน์ ลงแผ่นโลหะใช้ในการหล่อพระ ลงแหวนก็มี

พระยันต์เหล่านี้ในอุปเท่ห์สิทธิการิยะ และในทางปฏิบัติที่ประสบกันมาสามารถใช้ได้ดีทุกทางจนเรียกได้ว่า ครอบจักรวาลกันเลยทีเดียว

ในหลักใหญ่ของพระพุทธานุภาพของพระภควัมบดี สามารถแยกออกได้ ๓ ประการ ตามตำราแต่ครั้งโบราณกาล กล่าวถึงการสร้างพระภควัมบดี ดังนี้

ประการที่หนึ่ง ?ให้มีสง่าราศีเป็นสิริมงคล และมหาอำนาจเปรียบดังราศีของพระภควัมบดี?
ประการที่สอง ?ให้มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดและฉับพลันเปรียบดังพระสารีบุตร ผู้ทรงด้วยปัญญา?
ประการที่สาม ?ให้มีโชคลาภสีกการะ ดุจดังพระศิวลี ผู้เพรียบพร้อมไปด้วยลาภ สักการะนานัปการ?

ดังจะกล่าวถึงรายละเอียดในการสร้างพระภควัมบดีตามแบบคณาจารย์โบราณกาลต่อไป

พระภควัมบดี ตามภาษาบาลีเรียกว่า ?พระภควัมปติ มหาเถโร? มีพุทธลักษระงดงามละม้ายคล้ายสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถือว่า พระภควัมบดีเป็นอัคราสาวองค์หนึ่ง เพรียบพร้อมไปด้วยความเฉลียวฉลาด สามารถอธิบายธรรมได้ดียอดเยี่ยมกว่าพระสาวกองค์อื่นๆ ถือกำเนิดตระกูลพราหมณ์-ปุโรหิตกัจจายนะโคตร์ แห่งเมืองอุเชนี เนื่องมาจากวรรณะของท่านงดงามดังทองท่านจึงมีนามว่า ?กาญจน? ได้ศึกษาไตรเทพจนเจนจบ ได้เป็นพราหมณ์ปุโรหิตแทนบิดา ในสมัยพระเจ้าจันทร์ปัตโชติ ต่อมาได้ฟังธรรมในสำนักพระศาสดาจนบรรลุเป็นพระอรหันต์ ภายหลังจึงได้อุปสมบทด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทาเนื่องจากพระภควัมบดีมีผิวเหลืองดังทอง และรูปร่างละม้ายคล้ายคลึงกับพระพุทธเจ้า ฉะนั้นเมื่อไปยังแห่งหนตำบลใดก็ตามไม่ว่าเทพยดาหรือมนุษย์ต่างแซ่ซ้องสรรเสริญว่าพระพุทธเจ้าเสด็จมา ท่านจึงเห็นว่าไม่เป็นการอันสมควรเป็นแน่แท้จึงได้อธิษฐานตัวท่านเอง ให้มีร่างกายเตี้ย พุงพลุ้ย ดูน่าเกลียดจากการเนรมิตตัวท่านเองในครั้งนี้ จึงทำให้พระคณาจารย์ต่างๆ ทำรูปเคาระ ในพุทธลักษณะปางต่างๆ อาทิเช่น ปางปิดตา ปางปิดทวารทั้งเก้า และปางสังกัจจายน์เป็นต้น

การสร้างพระภควัมบดีตามตำราโบราณ

ตามตำราโบราณให้ใช้รากหิงหายผี หรือรากรักซ้อนที่ดอกบานชี้ไปทางตะวันออก มาแกะเป็นรูปพระปิดตานั่งสมาธิราบขนาดเล็กใหญ่ตามที่ต้องการ หรือตามขนาดรากไม้ทั้งสองที่หามาได้ถ้าเอาไว้ที่บ้านเรือนก็ให้มีขนาดใหญ่สำหรับตั้งไว้บูชา ถ้าต้องการนำติดตัวห้อย ก็ให้มีขนาดเล็กกระทัดรัด เพื่อสะดวกในการนำติดตัวไปไหนๆ แล้วคว้านใต้ฐานองค์พระให้กว้างพอดีขนาดบรรจุของตามที่ตำรากำหนดไว้ คือ

- ยอดรักซ้อน ๑
- ยอดชัยพฤกษ์ ๑
- ยอดราชพฤกษ์ ๑
- ยอดสวาท ๑
- ยอดหิงหายผี ๑
- ยอดกาหลง ๑
- ยอดมะยม ๑
- พระธาตุสารีบุตร
- พระธาตุสิวลี
- กระดาษว่าวลงพระยันต์ตามตำราการสร้างพระภควัมบดี

เอาส่วนยอดไม้มงคลต่างๆ บดให้ละเอียดรวมกับพระธาตุสารีบุตร และพระธาตุสิวลีห่อด้วยกระดาษว่าวที่ลงยันต์ตามตำรากำหนดไว้ ประจุเข้าใต้ฐานพระภควัมบดีที่คว้านไว้แล้วอุดด้วยชันนะโรงใต้ติน หรือขี้ครั่งที่จับต้นพุทราให้แน่นจากนั้นอาจจะลงรักปิดทองทั้งองค์ให้สมกับพระนามพระภควัมบดีที่มีนามว่า ?กาณจน? แต่ตอนประจุนี้ ควรดูฤกษ์ยามให้ดีกำหนดพระสงฆ์เก้ารูปเจริญพระพุทธมนต์ในขณะที่ประจุ จัดตั้งพิธีปลุกเสกขึ้น นำพระภควัมบดีแช่ลงในน้ำมัน ๙ กลิ่น ปลุกเสกในพระอุโบสถ จนกระทั่งเกิด ?อุคหนิมิตร? พระภควัมบดีซึ่งวางนอนราบอยู่ ตอนปลุกเสกจะลุกขึ้นตั้งหมด จึงจะแล้วเสร็จตามพิธี

พระภควัมบดีสร้างขึ้น ถ้าเป็นองค์เล็กๆ ก็ใช้นำติดตัว โดยแขวนห้อยคอ ส่วนที่สร้างขึ้นเป็นองค์ใหญ่ก็ใช้บูชาที่บ้าน โดยที่คาถาสวดบูชาทุกค่ำเช้า ก็จะประสบลาภผล พูนทวีหาที่สุดมิได้ ดั่งพระสิวลีมหาเถโร ในสมัยพุทธกาลนั้นเปี่ยมไปด้วยลาภนานัปการ

การบรรจุพระธาตุพระสารีบุตรและพระธาตุสิวลี
เนื่องมาจากคติของพระคาณจารย์ของพระคณาจารย์เหล่านั้นคือ

การประจุพระธาตุพระสารีบุตร ถือเคล็ดว่ามีปัญญาเฉลียวฉลาดเพราะพระสารีบุตรเป็นเอกทัคคะในด้านนี้

ส่วนพระธาตุสิวลี ซึ่งเรียกกันว่า ?พระฉิม? หรือ ?พระฉิมพลี? เป็นพระที่มีลาภไม่ขาดมือ ไม่มีสาวกองค์ใดร่ำรวยลาภเสมอเหมือน ทรงผนวชในสำนักพระสารีบุตร และได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ขณะที่ปลงผมอยู่

ด้วยเหตุที่กล่าวนี้จึงทำให้พระคณาจารย์ครั้งโบราณยึดการประจุพระธาตุของทั้งสองสาวก เพื่อเป็นการเพิ่มความขลังให้แก่พระภควัมบดีที่สร้างขึ้น นับได้ว่าพระคณาจารย์เหล่านั้น ท่านเป็นนักออกแบบที่ดี ทั้งในทางวิชาการและด้านปฏิบัติได้อย่างยอดเยี่ยม ในเวลาต่อมาได้หาพระธาตุของสาวกทั้งสองยากมาก พระเกจิอาจารย์จึงใช้กระดาษว่าวจารึกนามพระอรหันต์ทั้งสองพระองค์บรรจุแทนพระธาตุ


และต่อมาอีกก็มีเกจิอาจารย์ได้สร้างจากผงมหาราช ปัทมังอิธิเจและผงพุทธคุณต่างๆ นำมาผสมน้ำมันตั้งอิ๊วบ้าง ผสมรักบ้างอัดขึ้นเป็นองค์พระ เช่นพระของหลวงพ่อแก้ว วัดเครือวัลย์ ชลบุรีของหลวงปู่เอี่ยม วัดสะพานสูงนนทบุรี ของหลวงปู่เอี่ยม วัดหนังบางขุนเทียน ของหลวงพ่อสุขวัดอู่ทอง ชัยนาท ของหลวงพ่อจีนวัดท่าราช แปดริ้ว และของหลวงพ่อปู่ไข่ วัดเชิงเสน กรุงเทพฯของหลวงพ่อยิ้ม วัดหนองบัวกาญจนบุรี หลวงพ่อจันทร์ วัดนางหนู ลพบุรี หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง สิงห์บุรี หลวงพ่อขำ วัดแก้ว ธนบุรี ฯลฯ

นอกจากนี้ยังมีการสร้างด้วยปัญโลหะ นวโลหะ สำริด เมฆสุทธิ์เมฆพัด ตะกั่ว ทองแดง เงิน ทองคำ งาช้าง ฯลฯ เช่นของ หลวงปู่เอี่ยม วัดหนัง บางขุนเทียน หลวงพ่อทับ วัดอนงค์ ธนบุรี หลวงพ่อทัพ วัดทองบางกอกน้อย หลวงพ่อนาค วัดห้วยจรเข้ นครปฐม หลวงพ่อทา วัดพะเนียงแตก นครปฐม หลวงพ่อบุญ วัดกลางบางแก้ว นครชัยศรี หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ นครสวรรค์ หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง นครปฐม

วัสดุที่จัดสร้างมักจะหาจากแหล่งที่พระเกจิอาจารย์จำพรรษาอยู่ อาทิเช่น หลวงพ่อวัดมะขามเฒ่านิยมสร้างพระภควัมบดีจากรากไม้หิงหายผี เพราะบริเวณวัดและอาณาเขตใกล้เคียงจากวัดสิงห์ถึงอุทัยธานี มีเถาไม้หิงหายผีอยู่มาก หรือจำพวกเนื้อเมฆพัดมักจะสร้างแถบนครปฐม เพราะแถบนั้นนิยมพวกเนื้อเมฆพัด เช่นพระวัดห้วยจรเข้ ของหลวงพ่อนาค หรือหลวงพ่อแช่มวัดตาก้อง หรือหลวงพ่อทา วัดพะเนียงแตกเป็นต้น นอกจากนี้พวกที่สร้างจากผงพุทธคุณต่างๆ ก็มักนิยมสร้างกันแถวเมืองชลฯ เช่นของหลวงพ่อแก้ววัดเครือวัลย์ ซึ่งได้รับความนิยมสูงสุดจนกลายเป็นแฟชั่นของเมืองชลใครเห็นพระปิดตาก็มักจะเรียกว่าพระหลวงพ่อแก้วไปหมด เรียกโดยความไม่เข้าใจ ที่แท้ก็เป็นพระภควัมบดีนั่นเอง

ตามตำราโบราณกาลกล่าวไว้ว่าบุคคลใด หรือครอบครัวใดมีพระภควัมบดี สวดมนต์บูชาทุกเช้าค่ำจะปราศจากทุกข์โรคโศกภัยเจริญด้วยลาภยศสรรเสริญ แคล้วคลาดจากศาสตราวุธ คุ้มกันได้สารพัด เอาพระภควัมบดีแช่น้ำมันเสกด้วยพระคาถาเสกน้ำมัน น้ำมันนั้นจะใช้ได้ในทางเมตตามหานิยมอย่างดีเลิศ ติดต่อหรือเข้าหาผู้ใหญ่ก่อให้เกิดความรัก ความเมตตาอย่างได้ผล จะมีลาภสักการะไม่ขาดมือ เนื่องจากพุทธานุภาพ ๓ ประการ คือ

๑. ความงามซึ่งได้จากบารมีของพระภควัมบดี
๒. ความมีสติ และปัญญาหยั่งรู้ ได้จากบารมีของพระสารีบุตร
๓. ความอุดมสมบูรณ์ด้วยลาภได้จากบารมีของพระสิวลี

ด้วยบารมีของพระอรหันต์ทั้งสามที่พระคณาจารย์ได้ประจุลงในพระภควัมบดี จึงก่อให้เกิดพุทธานุภาพ ดังได้กล่าวมาแล้วขอให้ท่านผู้มีพระภควัมบดีบูชาทุกเช้าค่ำ จะก่อให้เกิดสิริมงคลแก่ตัวเองพระภควัมบดีจะไม่อุดมโชคลาภและสิ่งดีงาม แต่จะขจัดความไม่ดีงามความไม่เป็นมงคลแก่ท่านออกไปโดยสิ้นเชิง อย่าได้ไปหลงเชื่อพวกอคติ ประเดี๋ยวท่านจะต้องนำพระปิดตา ปิดทวารทั้งเก้าไปทิ้งตามวัดตามโคนต้นโพธิ์ เพราะจะไม่เป็นมงคล ปรากฏว่ามีจำนวนไม่น้อยที่หลงเชื่องมงาย ขนาดที่วัดบวรนิเวศน์มีนับสิบองค์ แล้วพวกอคติเหล่านั้น ก็ได้ไปเก็บพระบัวเข็มซึ่งเป็นพระของมอญ และได้รับตกทอดจากบรรพบุรุษมาหลายชั่วอายุคน อยู่ๆ ต้องมาเสียของตกทอดมรดกด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ คือนำพระบัวเข็มไปให้นักเลงพระเช่า บางองค์มีราคายับหมื่นบาททีเดียว กลายเป็นเรื่องเศร้าใจแก่ผู้พบเห็นเป็นอย่างยิ่งฉะนั้นขอให้ระมัดระวังอย่าได้เข้าใจผิดนำพระปิดทวารทั้งเก้าของวัดหนัง วัดทองฯลฯ ไปไว้ตามโคนโพธิ์ โดยเชื่อคนยุยงว่าไม่เป็นมงคลก็ได้ กว่าจะรู้เรื่องก็เข้ากับคติที่ว่า ?พรุ่งนี้ก็จะสายไปเสียแล้ว?


?????????????????????????


80
หลวงปู่มี วัดมารวิชัย




ลองใช้ไปหน่อยของท่านดีจริง




หลงปู่กาหลง  2สี




สีผึ่งเจ็ดเจ้าเสน่ห์ ของพ่อประครอง 



หลวงปู่ทิม เทพเจ้า แห่งเมตตา








หลวงพ่อเงิน วัดถ้ำน้ำ สีดำมีองเปลวท่านควักจากกระปุกของท่ามาให้เพิ่ม




ใตรมีสีผึ่งเด็ดๆมาโพสกันได้นะครับ

81
ได้มาช่วงปีใหม่วันที่1/มค/50พร้อมกับลงพระลักษณ์กับหลวงปู่กาหลงคืนนั้นเสกครอบเกือบชั่วโมง

พระลักษณ์รุ่นแรก







โค๊ตชัดๆ







พระลักษณ์หลวงพ่อตัดวัดชายนา พิมพ์นำฤกษ์






ด้านหลังยันต์นะหน้าทององค์ที่ 28





ใครจะสร้างเราไม่สนเพราะล.พ ตัดจารให้2แกล้ม







แถมวันนั้นลงนะหน้าทองตอนแรกถามมึงจะเอาไปทำไมวะมีประโยชน์อะไรนะหน้าทองนี่   เมตตามหานิยมเอาไปติดต่อลูกค้าครับท่าน แล้วท่านก็ไม่ว่าอะไรหยิบแผ่นทองมาเสกแปะให้3แผ่น และพรมน้ำมนต์ให้อีกด้วย :054:


83
วันที่25/06/2552 ครอบครูที่กุฎิอาจารย์ ติ่ง มีใครไปบ้างครับ  แต่ค่าพานครูปีนี้เท่าไหร่ไม่ทราบ ใครทราบช่วยบอกด้วยคับ:054:

84






ช่วยกันวิจารย์เต็มที่ :054:

85
พี่ๆช่วย ดูเหรียญหลวงพ่อนั่งหนุมาน ให้หน่อยคับ เพี่งค้นเจอ :054:






86
ไหว้พระราหูวัดที่ ศรีษะทอง




จารกะลาตาเดียว



โดยพระอาจารย์ที่เคราพรัก



และยังมีกะลาตาเดียวแกะเป็นราหูขนาดพกแต่ยังไมได้ถ่ายรูป รอก่อน

87
ผู้หญิงขึ้นค่อมของจะเสื่อมไหม พี่สมาชิกคิดว่ายังไง ประมาณว่าขึ้นให้ แต่ไม่ที่สักด้านคงกระพันนะ   :104:

แล้วถ้าอวัยวะที่ต่ำกว่าเอวโดนตรงที่สัก พี่สมาชิกคิดว่ายังไง ของจะเสื่อมเปล่า :008:


แล้วใช้ลิ้นเลีย  :040:อวัยวะที่ต่ำกว่าเอว พี่สมาชิกคิดว่ายังไง ของจะเสื่อมเปล่า :008:


 
คำถามเสียวไส้แต่หลายๆคนก็อยากรู้ 05;

88
ถ้าท่านเป็นคนโบราณ  มีเรื่องไปสู้รบหรือทะเลาะกับศัตรูอย่างไรก็แล้วแต่  ท่านสามารถจับศัตรูมาได้ แต่เนื่องจากศัตรูเป็นคนหนังเหนียว เอามีดเอาดาบฟันแทงอย่างไร กลับฟันแทงไม่เข้า ถามว่าท่านจะฆ่าศัตรูนั้นให้วายปราณได้อย่างไร

คนสมัยโบราณมีความเชื่อและมีวิธีจัดการอะไรกันแปลกๆนะครับ          เขาเอาของแหลมตำรูทวาร !

เป็นวัฒนธรรมหรือวิถีชีวิตแบบเก่าที่ฟังแล้วหวาดเสียวจริงๆ  และเพราะความหวาดเสียวนี่แหละครับ ผมจึงประทับใจ จดเรื่องแทงทวารเป็นตัวอย่างกันลืมไว้สองสามกรณี

ตัวอย่างหนึ่งได้แก่กรณีขุนศรีในเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผนซึ่งว่ากันว่าเป็นเรื่องมีมาแต่ครั้งกรุงเก่า  แต่บทเสภาที่เอาพิมพ์ให้อ่านกันอยู่นี้ แต่งเมื่อราวสมัย ร.2-3   หรือเมื่อเกือบ 200 ปีมาแล้ว

            พูดง่ายๆว่าเป็นร่องรอยของชีวิตจริง   เคยมีการปฏิบัติกันมาแล้วจริงๆ

            เปิดไปดูเสภาตอน 2 เลย   ในนั้นเขียนว่าเมื่ออ้ายโจรจันศรบ้านโป่งแดงยกพวกไปปล้นบ้านขุนศรีวิชัย บ้านรั้วใหญ่ สุพรรณบุรี พอเอาขวานจามบ้านขุนศรีวิชัยยิงปืนบุกเข้าไปได้แล้ว ขุนศรีวิชัยไม่ยอมให้จับตัว กระโดดหนีออกจากเรือนไปเลย  อยู่ทางนี้อ้ายจันศรจับนางเทพทอง ผู้ภรรยา กับขุนช้าง ลูกขุนศรีวิชัยกับนางเทพทองได้

            ฝ่ายขุนศรีวิชัย หนีออกจากเรือนแล้ว ไม่คิดถอย กลับคุมชาวบ้านมาสกัดตัดทางพวกโจร  เมื่อพวกโจรมาถึงก็เกิดการสู้รบกันอย่างรุนแรง  ชาวบ้านถูกฆ่าล้มตายหลายคน ขุนศรีวิชัยไม่ย่อท้อ ถือหอกสู้กับอ้ายจันศรอย่างสุดฤทธิ์  แต่ที่สุดก็เคราะห์ร้ายเสียจังหวะ  กอดปล้ำแล้วล้มกลิ้ง  ถูกโจรรุมจับตัว จากนั้นอ้ายเหล่าร้ายใจทมิฬก็จัดการเด็ดชีวิตขุนศรีวิชัย

            ทว่าไม่ง่ายอย่างที่คิดเลย....เอาดาบสับเข้าที่หัวกลับหาเข้าไม่   ผูกคอแทงผึงก็ไม่เข้า กลับสะท้อนราวแทงขอนไม้  เอาดาบฟันเข้าที่บ่าล่ะ    ดาบกลับหักยับเยิน   ขโมยว่าอ้ายนี่มันดีครัน  หอกดาบหักสะบั้นยับเยินไป   จึงมัดตีนคุดคู้ดังหมูปิ้ง  ทั้งแทงทั้งยิงหาเข้าไม่   อ้ายขโมยอิดหนาระอาใจ  นี่จะทำอย่างไรพอได้คิด

            ?จึงเอาหลาวตำรูทวารไป  ขุนศรีวิชัยก็ดับจิต  ตายอยู่กลางป่าหลับตามิด   อ้ายขโมยทำฤทธิ์ยิงปืนไฟ?   เมื่อพวกโจรไปแล้ว นางเทพทองกับขุนช้างลูกน้อยมาพบศพเข้าก็

ร่ำไห้แทบขาดใจ   จนคลายโศกลงได้บ้างแล้วก็ช่วยกันกับบ่าวไพร่หามศพไปฝัง ได้เวลาสมควร จึงทำพิธีเผาตามประเพณี

            ต่อไปลองดูหนังสือ พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา  คำว่าพระราชหัตถเลขา หมายความว่า เป็นพระราชหัตถเลขาในรัชกาลที่ 4 ทรงตรวจแก้ไขต้นฉบับที่กรมหลวงวงศาธิราชสนิทเป็นผู้จัดทำถวาย    ถ้าท่านมีฉบับสำนักพิมพ์คลังวิทยา จัดพิมพ์เมื่อ พ.ศ.2516 ให้ดูในเล่ม 2 หน้า  289  เป็นเหตุการณ์ พ.ศ.2309 ตอนกรุงศรีอยุธยาใกล้จะแตกเต็มที

            ท่านว่าเมื่อพระยากำแพงเพชร(พระเจ้าตากสิน) เป็นนายกองทัพเรือสู้กับพม่า  พระยากำแพงเพชรให้พระยาเพชรบุรี (เรือง) เป็นกองหน้า  หลวงศรเสนีเป็นกองหนุน ยกทัพเรือออกไปจากอยุธยาไปพบกันที่วัดป่าแก้ว คอยตีเรือฝ่ายพม่าที่จะมีไปมาหากัน

            ฝ่ายกองทัพพม่า ยกขึ้นมาแต่ค่ายบางไทร กับค่ายขนอนหลวง วัดโปรดสัตว์มาถึงกลางทุ่งตรงวัดสังฆวาส  พระยาเพชรบุรีให้ทหารแจวเรือรบ 5 ลำของตนเข้าตีเรือพม่า   ได้รบกันเป็นสามารถ ทำให้ทหารล้มตายลงทั้งสองฝ่าย    แต่เรือพม่ามีมากกว่า และเรือฝ่ายไทยจอดรอดูเสีย หาเข้าช่วยอุดหนุนไม่  พม่าเอาหม้อดินดำติดเพลิงทิ้งลงในเรือพระยาเพชรบุรี ดินลวกเอาไพร่พลป่วยโดดลงน้ำ พม่าได้ทีก็ฆ่าฟันทหารไทยในเรือในน้ำตายเป็นอันมาก

            จากนี้พระราชพงศาวดารกล่าวว่าพม่าจับตัวพระยาเพชรบุรีได้ พระยาเพชรบุรีอยู่ยงคงกระพันฟันแทงไม่เข้า

            ?จึงเอาไม้หลาวเสียบแทงทางทวารหนักถึงแก่ความตาย?   เป็นที่น่าสลดใจ

            นี่จะเห็นได้ว่าแม้พม่าก็รู้คติเดียวกันกับไทย   แสดงว่าเป็นทางแก้แบบโบราณที่ใช้กันทั่วไป   แต่เรื่องอยู่ยงคงกระพันถึงขนาดฟันแทงไม่เข้านั้น เป็นเรื่องมหัศจรรย์   ไม่รู้จะพิสูจน์ได้อย่างไร

            สุดท้าย เป็นเรื่องใกล้ปัจจุบันมาก ถ้าเป็นเรื่องจริงก็เท่ากับว่ายังมีการแทงทวารกันเมื่อราว 40 กว่าปีมานี้เอง เรื่องนี้เกี่ยวกับเสือใหญ่แห่งสุพรรณบุรีคือเสือฝ้ายตัวลือ   ผมเคยได้เนื้อเพลงเรื่องเสือฝ้ายมาจากพ่อไสว  วงษ์งาม พ่อเพลงเพลงอีแซว    ตั้งแต่ พ.ศ.2526  เคยถอดเทปลงหนังสือสุพรรณฝันหวาน และเคยเอาไปรวมเล่มในหนังสือ ดาวร้ายในอดีต   ท่านที่สนใจเนื้อเต็มขอให้ไปหาอ่านดู

            จะสรุปเอาแต่เนื้อความสำคัญคือเสือฝ้ายเป็นเสือเพราะทะเลาะกับผู้ใหญ่เบี้ย อำเภอเดิมบางจนถูกจับขังคุก   ครั้นออกจากคุกแล้ว เสือฝ้ายอาฆาตผู้ใหญ่เบี้ยก็ไปฆ่าผู้ใหญ่เบี้ยตาย แล้วหนีเข้าป่าเข้าดงเป็นเสือไป

            หลังจากปล้นฆ่าอยู่นาน นายตำรวจคนดัง คือร้อยเอกยอดยิ่งก็ไปตามจับเสือฝ้ายจนกระทั่งได้ตัว    ร้อยเอกยอดยิ่งพาเสือฝ้ายไปยิงที่อำเภอวิเศษชัยชาญ จังหวัดอ่างทอง เข้าใจว่าสมัยนั้นคงเป็นยุคปราบอันธพาลอย่างจริงจัง  ตำรวจจึงสามารถใช้อาญาสิทธิ์จัดการขั้นเด็ดขาดได้เพื่อให้โจรผู้ร้ายเกรงกลัว

            พ่อไสวเล่าว่าถึงเวลายิง  เสือฝ้ายเป็นคนอยู่ยงคงกระพัน  ยิงทางไหนก็ยิงไม่เข้า ตำรวจจึงจัดการเอาตัวมัดเข้ากับต้นพุทรา    จากนั้นก็ใช้วิธีโบราณคือ ....................

?ยิงไม่ตายคราวนี้ต้องใช้เหล็กแดง 

เข้ามาทิ่มมาแทง ถึงจะตาย

            เสือฝ้ายก็เลยตายลงไปเป็นผี

            มาจนป่านฉะนี้มีกันที่ไหน....?

            ฟังเพลงอีแซวแล้วอยากถามคนวิเศษชัยชาญอีกทีว่าเรื่องนี้จริงหรือไม่จริง?

ที่มา เขียนเมื่อ วันอังคารที่ 5  มีนาคม พ.ศ.2545 แฟ้มAN782กุลสตรี8แทงก้น


89
 "ตรุษจีน" เป็นเทศกาลสิริมงคลของคนไทยเชื้อสายจีนและบุคคลทั่วไป ที่มีความเชื่อในสิ่งศรัทธา ซึ่งชาวจีนสืบทอดเป็นประเพณีมายาวนาน โดยในแต่ละปี แต่ละคน แต่ละครอบครัวอาจประสบอุปสรรคชีวิตไม่เหมือนกัน เมื่อมาถึงปีใหม่ก็ต้องการขจัดปัดเป่าอุปสรรค และให้ชีวิตในปีใหม่มีความสมปรารถนา ด้วยเหตุนี้จึงมีการไหว้เทพเจ้า ไหว้สิ่งสิริมงคล เพื่อเสริมดวงชะตาและโชคลาภให้กับชีวิต . . .  ว่าแล้วตรุษจีนปีนี้เราขอแนะนำและขอพาไปรู้จักวัดจีนสถานที่น่าไปทำบุญ น่าไปไหว้เทพเจ้า และสิ่งศักดิ์สิทธิ์กันค่ะ

วัดมังกรกมลาวาส (วัดเล่งเน่ยยี่)

          วัดมังกรกมลาวาส หรือ วัดเล่งเน่ยยี่ เป็นวัดสังกัดจีนนิกาย ตั้งอยู่บนถนนเจริญกรุง ระหว่างซอยเจริญกรุง 19 และ 21 ในเขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานคร เป็นที่คุ้นเคยในหมู่ชาวไทยเชื้อสายจีน และชาวจีนจากต่างประเทศ หลายคนรู้จักวัดแห่งนี้ในนาม "วัดมังกร" เพราะคำว่า "เล่ง" หรือ "เล้ง" ในภาษาจีนแต้จิ๋ว แปลว่ามังกร ส่วนคำว่า "เน่ย" แปลว่า ดอกบัว และคำว่า "ยี่" แปลว่า วัด แต่ชื่อวัดอย่างเป็นทางการคือ "วัดมังกรกมลาวาส" ได้รับพระราชทานจาก พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5

          วัดนี้ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2414 (ประมาณ 130 ปี ล่วงมาแล้ว) ใช้เวลาก่อสร้าง 8 ปีกว่า  มีลักษณะสถาปัตยกรรมเป็นแบบทางจีนตอนใต้ของสกุลช่างแต้จิ๋ว โดยวางแปลนตามแบบวังหลวง คือ มีวิหารท้าวจตุโลกบาลเป็นวิหารแรก ตรงกลางเป็นพระอุโบสถ ข้างหลังพระอุโบสถเป็นวิหารเทพเจ้า การสร้างใช้ไม้และอิฐเป็นวัสดุสำคัญ

          จากประตูทางเข้า เข้าไปจะถึงวิหารท้าวจตุโลกบาล จะเห็นเทพเจ้า 4 องค์ (ข้างละ 2 องค์) ในชุดนักรบจีน และถืออาวุธและสิ่งของต่างๆ กัน เช่นเครื่องดนตรี ดาบ พิณ เจดีย์ทรงสูง คนจีนเรียกว่า "ซี้ไต๋เทียงอ้วง" หมายถึง เทพเจ้าที่ปกปักษ์รักษาคุ้มครองทิศต่างๆ ทั้ง 4 ทิศ

          ถัดจากวิหารท้าวจตุโลกบาล คือ อุโบสถ เป็นที่ประดิษฐานของพระประธานของวัด คือ พระศากยมุนีพุทธเจ้า คนจีนเรียก "ทีหุกโจ้ว" มีทั้งหมด 3 องค์ พร้อมพระอรหันต์อีก 18 องค์ เรียกว่า "ตึ่งนั้ง" หรือคนจีนว่า "จับโป่ยหล่อหั่ง"

          ทางด้านขวามีเทพเจ้าต่างๆ หลายองค์ เช่น เทพเจ้าคุ้มครองดวงชะตา คนจีนเรียกว่า "ไท้ส่วยเอี๊ย" เทพเจ้าแห่งยาหรือหมอเทวดา "หั่วท้อเซียงซือกง" และที่นิยมไหว้ขอพรมากคือ เทพเจ้าแห่งโชคลาภ "ไฉ่ซิ้งเอี๊ยะ" เทพเจ้าเฮ่งเจีย คนจีนเรียกว่า "ไต่เสี่ยหุกโจ้ว" พระสังขจาย หรือ "ปู๊กุ่ยหุกโจ้ว" "กวนอิมเนี้ย" หรือ เจ้าแม่กวนอิม "แป๊ะกง" และ "แป๊ะม่า" รวมเทพเจ้าในวัด จะมีทั้งหมด 58 องค์ กลิ่นธูปและควันเทียนยังไม่เคยจางหายไป ตราบเท่าความศรัทธาของมนุษย์ยังอยู่คู่โลก

          ทั้งนี้ วัดมังกรกมลาวาส (วัดเล่งเน่ยยี่) เปิดให้สะเดาะเคราะห์ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 06.00น. - 18.00 น. สถานที่ตั้ง 423 ถนนเจริญกรุง เขตป้อมปราบ กรุงเทพฯ 10100 โทร. 0-2222-3975, 0-2226-6553

วัดบรมราชากาญจนาภิเษกอนุสรณ์ คณะสงฆ์จีนนิกายรังสรรค์

          วัดบรมราชากาญจนาภิเษกอนุสรณ์ คณะสงฆ์จีนนิกายรังสรรค์ ตั้งอยู่ที่ตำบลโสนน้อย อำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี พื้นที่เดิมก่อนเคยเป็นโรงเจขนาดเล็ก มีพื้นที่ประมาณ 2 ไร่เศษ เป็นโรงเจที่ชาวบ้านบางบัวทองให้ความศรัทธามาช้านาน ต่อมาคณะสงฆ์จีนนิกายมีปณิธานจะพัฒนาที่ส่วนนี้ให้เป็นวัดที่สมบูรณ์ เพื่อสร้างเป็นวัดเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช เนื่องในวโรกาสเถลิงถวัลย์ครองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี วัดนี้มีพื้นที่ทั้งหมด 12 ไร่ โดยคณะสงฆ์จีนนิกายมอบให้

          ทั้งนี้ พระคณาจารย์จีนธรรมปัญญาจริยาภรณ์ (พระอาจารย์เย็นเชี้ยว) เป็นผู้ดำเนินการก่อสร้างและมีพระมหาคณาจารย์จีนธรรมสมาธิวัตร เป็นประธานที่ปรึกษา พร้อมทั้งพุทธบริษัทไทย - จีน ร่วมกันสร้างเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสอันเป็นมหามงคลสมัยปีกาญจนาภิเษก

          อย่างไรก็ตาม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชานุญาตให้สร้างวัด และพระราชทานนามว่า "วัดบรมราชากาญจนาภิเษกอนุสรณ์ คณะสงฆ์จีนนิกายรังสรรค์" ท่านแก้วขวัญ วัชโรทัย เลขาธิการสำนักพระราชวัง เป็นผู้ดำเนินการขออนุญาตสร้างวัดบรมราชากาญจนาภิเษกอนุสรณ์ฯ จึงนำมาซึ่งความปิติยินดีของชนชาวไทยเชื้อสายจีน และความซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณที่มีต่อคณะสงฆ์จีนมาโดยตลอด

          วัดบรมราชากาญจนาภิเษกอนุสรณ์ เปิดให้เข้าชมทุกวัน ระหว่างเวลา 08.00 - 18.00 น.

 วัดกัมโล่วยี่

          วัดกัมโล่วยี่ หรือ วัดทิพยวารีวิหาร สร้างในสมัยกรุงธนบุรีในปี พ.ศ. 2319 รัชสมัยของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ทรงพระราชทานที่ดินฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาให้เป็นที่อาศัย ต่อมาในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ องค์เชียงสือนัดดาเจ้าเมืองเว้ ได้เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารและได้ลักลอบหนีกลับเมือง กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ทรงแคลงพระทัยชาวญวนจึงได้มีพระราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้กลุ่มชนชาวญวนซึ่งมีอยู่มากในบริเวณนั้น ย้ายออกไปอาศัยอยู่ที่อื่น เพื่อให้ห่างจากพระนคร ชุมชนบริเวณนี้ซึ่งเคยเป็นที่อาศัยของคนไทย คนจีน และคนญวน เชื้อสายพุทธจึงอยู่ในความเงียบสงบ วัดทิพยวารีวิหาร (กัมโล่วยี่) ในขณะนั้นจึงมีสภาพคล้ายรกร้าง ไม่มีพระสงฆ์จำพรรษาเลยอีกนานหลายปี

          จนถึงประมาณปี พ.ศ.2439 พระอาจารย์ไหซัน พระภิกษุจีนชาวมณฑลหูหนาน ได้จาริกมาจำพรรษาที่วัดทิพยวารีวิหารแห่งนี้ ท่านจึงได้ทำการบูรณปฏิสังขรณ์ขึ้นมาใหม่ และได้ชักนำคนไทย - คนจีนในเขตนั้น อันมีนายเช็งเต็ก แซ่เจี่ย และนางซิ่วออม แซ่ตัน สองสามีภรรยาคหบดีผู้กว้างขวางในกลุ่มชาวจีน ในย่านตลาดมิ่งเมืองเป็นแกนนำ ต่อมาทายาทของครอบครัวท่านทั้งสองนี้ ได้รับพระราชทานนามสกุลจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่6 ว่า "เศวตมาลย์"

          พระอาจารย์และประชาชนในครั้งนั้น ได้ร่วมกันบูรณปฏิสังขรณ์วัดใหม่ทั้งวัด จนวัดอยู่ในสภาพสมบูรณ์สวยงาม พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) จึงได้ทรงพระราชทานสมณศักดิ์ให้อาจารย์ไหซัน เป็นหลวงจีนธรรมรสจีนศาสน์ ปลัดซ้ายจีนนิกายดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาส และได้ทรงพระราชทานนามวัดกัมโล่วยี่ให้ใหม่ว่า "วัดทิพยวารีวิหาร" ตรงกับ พ.ศ.2452 เหตุที่ให้ชื่อวัดเป็นเช่นนี้ เพราะที่วัดนี้มีบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ หรือบ่อน้ำทิพย์อยู่นั่นเอง ตั้งแต่นั้นมาคนทั้งหลายจึงเรียกวัดกัมโล่วยี่ หรือวัดน้ำทิพย์นี้เป็น "วัดทิพยวารีวิหาร"  อันเป็นวัดในสังกัดคณะสงฆ์จีนนิกายจนถึงปัจจุบัน

          สำหรับท่านที่สนใจจะไปสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในวัดทิพยวารีวิหารหรือวัดกัมโล่วยี่ ไปได้ที่ สถานที่ตั้ง 119 ซอยทิพยวารี ถนนตรีเพชร เขตพระนคร (บ้านหม้อ) กรุงเทพฯ 10200  โทร. 0-222-5988

ศาลเจ้าพ่อเสือ ตั้งอยู่เลขที่ 468 ถนนตะนาว ใกล้เสาชิงช้า เป็นศาลเจ้าชาวจีนที่เก่าแก่ และมีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่งในเมืองไทย เป็นศาลเจ้าที่ประดิษฐานเฮี้ยงเทียนเซียงตี่ และรูปเจ้าพ่อเสือ หรือที่คนจีนเรียกว่า "ตั่วเล่าเอี้ย" (บ้างก็เรียกเฮี๊ยงเทียนเสี่ยงตี) เป็นศาลที่ทั้งคนจีนและคนไทยให้ความเคารพ และมากราบไหว้กันนานเป็นร้อยปี ศาลเจ้าแห่งนี้สร้างโดยชาวจีนแต้จิ๋ว เดิมตั้งอยู่บริเวรถนนบำรุงเมือง เมื่อมีการขยายถนนในสมัยรัชกาลที่ 5 จึงย้ายมาสร้างใหม่ ที่บริเวณทางสามแพร่ง ถนนตะนาว เขตพระนคร

          ลักษณะอาคารสร้างตามรูปแบบศาลเจ้าที่นิยมทางภาคใต้ของจีน เทพเจ้าประจำศาลคือ "เสียนเทียนซั่งตี้"  หรือที่คนไทยเรียกว่า "เจ้าพ่อเสือ" นั่นเอง เรื่องราวตำนานของเจ้าพ่อเสือที่ชาวบ้านย่านนี้เล่าขานนั้น เชื่อมโยงกับหลวงพ่อพระร่วง วัดมหรรณพ์ สะท้อนถึงความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องชาวไทย และชาวจีนในละแวกนี้ที่มีมาช้านาน

          วิธีสักการะ ไหว้ด้วยธูป 18 ดอก ปัก 6 กระถาง เทียนแดง 1 คู่ และพวงมาลัย 1 พวง  การสักการะเจ้าพ่อเสือ จะต้องซื้อเครื่องเซ่น ซึ่งประกอบด้วย หมูสามชั้น ไข่ดิบ และข้าวเหนียวหวาน ชุดเล็กราคา 20 บาท และชุดใหญ่ ราคา 50 บาท

          สำหรับเวลาที่เหมาะสมสำหรับการเดินทางไปสักการะ คือ ช่วงเวลา 06.00 - 17.00 น. ทุกวัน ควรเดินทางด้วยรถประจำทางหรือรถแท็กซี่จะสะดวกกว่า เนื่องจากสถานที่จอดรถมีจำนวนจำกัด


เจ้าพ่อเห้งเจีย

          เจ้าพ่อเห้งเจีย หรือซุนหงอคง เป็นเทพผู้ประทานความสุขและเป็นผู้กำจัดเหล่าปีศาจร้าย ชนชาวจีนจึงนิยมกราบไหว้และบูชามาก ปัจจุบันศาลเจ้าหลายแห่งจะมีรูปเคารพของเทพวานร หรือเจ้าพ่อเห้งเจีย เพื่อไว้ให้คนที่เลื่อมใสศรัทธามีโอกาสเข้าไปสักการะขอพร

          ตำนานเจ้าพ่อเห้งเจียกล่าวกันว่า กำเนิดจากหินชนิดหนึ่งที่ถูกแสงสุริยันจันทราอาบมานานกว่าพันปี และแล้ววันหนึ่งก็แตกออก และมีลิงตัวหนึ่งกระโดดออกมาจากหินก้อนนั้น เจ้าลิงตัวนั้นได้บุกขึ้นไปเขาฮัวกั่วซาน (เขาผลไม้) ซึ่งมีลิงอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก และตั้งตัวเป็นใหญ่มีฉายานามว่า "มุ้ยเกาอ๋อง"

          วันหนึ่งมุ้ยเกาอ๋องเห็นลิงในฝูงตัวหนึ่งตายลงด้วยความแก่ชรา จึงเกิดความวิตกและคิดจะหาทางแก้ไขที่จะทำให้ตนเองไม่ต้องเจ็บหรือตาย จึงออกจากฝูงเดินทางเสาะแสวงหาไปเรื่อยๆ ในที่สุดก็พบกับเซียน "โผเถโจ๊ซือ" (สุภูติ) และได้ฝึกวิชาคาถาอาคมต่างๆ จนมีอิทธิฤทธิ์สามารถแปลงกายได้ 72 ร่าง กระโดดตีลังกาคราหนึ่งได้ไกลกว่า 300 ลี้ พร้อมกับได้ชื่อใหม่ว่า "ซุนหงอคง" เมื่อฝึกวิชาสำเร็จแล้วก็เกิดลำพองใจ เกิดร้อนวิชาออกอาละวาดไปทั่วไม่เว้นแม้กระทั่งสวรรค์หรือบาดาล ทำให้ 3 โลกปั่นป่วนไปหมด

          ร้อนถึงเง็กเซียนฮ่องเต้ต้องส่งทหารสวรรค์และเทพต่างๆ ไปจับซุนหงอคง นอกจากจะจับไม่ได้แล้ว กลับถูกซุนหงอคงเล่นงานจนแตกกระจายไปหมด ในที่สุดเง็กเซียนฮ่องเต้ต้องยอมแพ้ให้ยกซุนหงอคงขึ้นเป็นใหญ่ พร้อมแต่งตั้งให้เป็น "มหาเทพฉีเทียนต้าเซิ้น"

          แต่ซุนหงอคงก็ยังเหิมเกริมไม่เลิก ในที่สุดองค์ยูไลต้องเสด็จมากำราบด้วยตัวเอง โดยจับซุนหงอคงไว้ให้ภูเขาหินทับขังไว้นานถึง 500 ปี และกำหนดไว้ว่าผู้ที่จะช่วยออกมาได้คือพระถัมซังจั๋ง และซุนหงอคงต้องยอมบวชเป็นลูกศิษย์รับใช้พระถังซัมจั๋งไปชมภูทวีป (อินเดีย) และต้องคุ้มครองพระถังซัมจั๋งไปตลอดทางด้วยจึงจะเป็นอิสระ

          ทั้งนี้ ศาลเจ้าเง็กฮกตึ๊ง (เจ้าพ่อเห้งเจีย) ตั้งอยู่ที่สวนผัก ตลิ่งชัน ซอย 19 กรุงเทพฯ โทร. 02 435-1143, 02 8842522-3


 ศาลเจ้าพ่อกวนอู

          ท่านกวนอู หยุน ฉาง (ภาษาจีนกลางเรียกนามท่านว่า กวนอี่ว์) เป็นพี่น้องร่วมสาบานกับเล่าปี่ และเตียวหุย ตามพงศาวดารเรื่องสามก๊ก หน้าท่านแดงตลอดเวลาเหมือนพุทราสุก มีหนวดเครางดงาม มีง้าวเป็นอาวุธคู่กาย ท่านมีความรอบรู้ด้านการทหารมาก มีพาหนะสุดยอด คือ ม้าเซ็กเทา ท่านร่วมชีวิตในการศึกร่วมกับเล่าปี่ด้วยความซื่อสัตย์จงรักภักดีและกล้าหาญ หลังจากท่านสิ้นชีวิตลง ท่านได้รับการยกย่องว่าเป็นเทพเจ้าแห่งคุณธรรม และมีความซื่อสัตย์สูงส่ง

          ภายในศาลเจ้าพ่อกวนอู ประดิษฐานรูปปั้นของท่าน และด้านข้างมีรูปปั้นเทพเจ้าม้า (เบ๊เอี๊ย) เซ่นไหว้รูปม้าพร้อมกับเขย่าลูกกระพรวน ซื้อผักให้เทพเจ้าม้า และถวายของไหว้ได้ ณ ศาลแห่งนี้ ศาลเจ้าพ่อกวนอู (บางคนเรียกศาลเจ้าพ่อม้า) ผู้หลักผู้ใหญ่เก่าๆ มักแนะนำให้ลูกหลานมาไหว้ท่านทุกปี

การไหว้เจ้าพ่อกวนอู สำหรับบุคคลเกิดดวงชะตาธาตุต่างๆ

           เจ้าพ่อกวนอูเป็นธาตุไฟ คนที่เกิดธาตุน้ำมาไหว้แล้วจะดี
           เจ้าพ่อกวนอูเป็นธาตุไฟ คนที่เกิดธาตุทองหากเป็นข้าราชการมาไหว้จะดี                                     
           เจ้าพ่อกวนอูเป็นธาตุไฟ คนที่เกิดธาตุดินมาไหว้แล้วจะเกิดอำนาจบารมี                       
           เจ้าพ่อกวนอูเป็นธาตุไฟ คนที่เกิดธาตุไฟมาไหว้แล้วจะทำให้มีความเชื่อมั่นดีขึ้น
           เจ้าพ่อกวนอูเป็นธาตุไฟ คนที่เกิดธาตุไม้มาไหว้แล้วจะทำให้ใจเย็นขึ้นรอบคอบมากขึ้น

          สถานที่ตั้งศาลเจ้าพ่อกวนอู : ตรอกโรงโดม ซอยอิสรานุภาพ เดินตรงจากศาลเจ้าเล่งบ๊วยเอี๊ยมาเล็กน้อย ถนนเยาวราช กรุงเทพฯ


วัดจีนประชาสโมสร

          วัดจีนประชาสโมสร จังหวัดฉะเชิงเทรา หรือวัดเล่งฮกยี่ ที่ขยายมาจากวัดมังกรกมลาวาสในจังหวัดกรุงเทพมหานคร เริ่มสร้างในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พ.ศ. 2449 เป็นวัดจีนเก่าแก่แห่งศาสนาพุทธนิกายมหายาน ภายในวัดจีนมี พระพุทธรูป เทพเจ้า เจ้าแม่กวนอิม และเทพอื่นๆ ภายในวัด ถือเป็นวัดจีนเพียงแห่งเดียวในจังหวัดฉะเชิงเทรา มีระฆังใบใหญ่หล่อจากชาวจีนแต้จิ๋ว มีน้ำหนักกว่า 1 ตัน ที่รอบระฆังมีอักษรมหาปรัชญาปารมิตราสูตร ถ้าผู้ใดตีระฆังก็ฟังเหมือนกับการสวดมนต์ธรรมะ ในวัดมีพระประธาน ซึ่งได้นำมาจากประเทศจีน เมื่อครั้ง 100 กว่าปีมาแล้ว

          ทั้งนี้ วัดจีนประชาสโมสร ตั้งอยู่ที่ ถนนศุภกิจ ต.บ้านใหม่ อ.เมือง จังหวัดฉะเชิงเทรา

          นี่เป็นวัดจีนที่ทีมงานแนะนำมาบางส่วนเท่านั้นค่ะ ความจริงแล้วยังมีสถานที่ และวัดอีกจำนวนมากที่เพื่อนๆ สามารถไปทำบุญ และไหว้เพื่อเสริมสิริมงคลให้กับชีวิตได้ ?


ที่มาthaiweekender.com  วิกีพีเดีย

90
        ตรุษจีน เป็นวันสำคัญของจีนที่มีมาแต่โบราณที่เรียกว่า "กว้อชุนเจี๋ย" หรือ "กว้อเหนียน" เล่ากันว่าในสมัยโบราณ ในป่าทึบแห่งหนึ่ง มีสัตว์ป่าที่ดุร้ายและน่ากลัวมากตัวหนึ่ง เรียกว่า "เหนียน" มันออกอาละวาดกินคนเป็นประจำ พระเจ้าจึงลงโทษมัน อนุญาตให้มันลงมาจากเขาได้เพียงหนึ่งครั้งใน 365 วัน

           ดังนั้น เมื่อฤดูหนาวใกล้จะผ่านไป ฤดูใบไม้ผลิเวียนมาใกล้ เหนียน ก็จะออกมาทำร้ายผู้คน เพื่อป้องกันการมาของ เหนียน ทุก ๆ ครัวเรือนจึงต่างสะสมเสบียงอาหาร และกับข้าวจำนวนหนึ่งไว้ในบ้าน เมื่อถึงตอนค่ำของวันที่ 30 เดือน 12 ก็จะปิดประตูและหน้าต่างเอาไว้ ไม่หลับไม่นอนตลอดคืน เพื่อต่อสู้กับ เหนียน จนกระทั่งถึงรุ่งเช้าก็จะเป็นวันแรม 1 ค่ำ เดือน 1 เมื่อ เหนียน กลับไปแล้ว ทุก ๆ ครัวเรือนก็จะเปิดประตูออกมาแสดงความยินดีต่อกัน ที่โชคดีไม่ได้ถูก เหนียน ทำร้าย

           ต่อมาพบว่า เหนียน มีจุดอ่อน มีอยู่ครั้งหนึ่ง เมื่อ เหนียน มาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง มีเด็กกลุ่มหนึ่งกำลังหวดแส้เล่นกัน เมื่อ เหนียน ได้ยินเสียงแส้ดังเปรี้ยงปร้างก็เลยตกใจเผ่นหนีไป เมื่อ เหนียน ไปถึงหมู่บ้านอีกแห่งหนึ่ง เห็นมีชุดเสื้อผ้าสีแดงตากอยู่หน้าบ้านของครอบครัวหนึ่ง สีแดงฉูดฉาดนั้น ทำให้ เหนียน ตกใจและเผ่นหนีไปอีก เมื่อ เหนียน มาถึงหมู่บ้านแห่งที่สาม ปรากฏว่าไปพบเห็นกองเพลิงกองหนึ่งบนถนน แสงเพลิงที่เจิดจ้าทำให้ เหนียน ต้องเผ่นหนีไปอีก ตั้งแต่นั้นมา ผู้คนต่างรู้ว่า แม้ว่า เหนียน จะดุร้ายแต่มันก็กลัวสีแดง เสียงดัง และไฟ ทำให้ผู้คนสามารถคิดหาวิธีกำจัด เหนียน ได้โดยไม่ยากนัก

           เมื่อวันส่งท้ายตรุษจีนเวียนมาอีกครั้งหนึ่ง ทุก ๆ ครัวเรือนจึงต่างนำกระดาษสีแดงมาติดไว้บนประตูหน้าบ้าน แขวนโคมไฟสีแดง พร้อมกับจุดประทัดและตีฆ้องรัวกลองอย่างต่อเนื่อง เมื่อ เหนียน มาถึงในตอนเย็น เห็นทุก ๆ ครัวเรือนมีแสงไฟสว่างไสว มีเสียงประทัดดังสนั่นจึงตกใจเผ่นหนีกลับเข้าป่าไป และไม่กล้าออกมาอาละวาดอีก ทุก ๆ คนจึงผ่านพ้นคืนแห่งอันตรายไปอย่างปลอดภัย เมื่อฟ้าสางแล้ว ผู้คนจึงออกมาจากบ้าน กล่าวคำอวยพรซึ่งกันและกันอย่างมีความสุข พร้อมกับการนำอาหารออกมารับประทานร่วมกันอย่างสนุกสนาน 

           ต่อมา วันดังกล่าวจึงกลายมาเป็นวันเฉลิมฉลองที่มีแต่ความสุขที่เรียกกันว่า "ตรุษจีน"

ตรุษจีนในภาษาจีน

ตรุษจีน หรือ เทศกาลฤดูใบไม้ผลิ (ตัวเต็ม: 春節, ตัวย่อ: 春节, พินอิน: Chūnjíe ชุนจีเหย๋) หรือ ขึ้นปีเพาะปลูกใหม่ (ตัวเต็ม: 農曆新年, ตัวย่อ: 农历新年, พินอิน: Nónglì Xīnnián หนงลี่ ซินเหนียน) และยังรู้จักกันในนาม วันขึ้นปีใหม่ทางจันทรคติ เป็นวันขึ้นปีใหม่ตามประเพณีของชาวจีนในจีนแผ่นดินใหญ่ และชาวจีนโพ้นทะเลทั่วโลก เทศกาลนี้เริ่มต้นในวันที่ 1 เดือน 1 ของปีตามจันทรคติ (正月 พินอิน: zhèng yuè เจิ้งยวี่เย่) และสิ้นสุดในวันที่ 15 ซึ่งจะเป็นเทศกาลประดับโคมไฟ (ตัวเต็ม: 元宵節, ตัวย่อ: 元宵节, พินอิน: yuán xiāo jié หยวนเซียวจีเหย๋) 

          คืนก่อนวันตรุษจีน ตามภาษาจีนกลางเรียกว่า 除夕 (พินอิน: Chúxì ฉูซี่) หมายถึงการผลัดเปลี่ยนยามค่ำคืน และคืนนี้จะเป็นวันสุดท้ายของปีนั่นเอง ซึ่งเป็นคืนที่ครึกครื้นที่สุด ใครที่ไปทำงานห่างจากบ้านเกิด ต่างก็พยายามอย่างสุดความสามารถที่จะกลับมาฉลองวันปีใหม่ที่บ้าน ตอนกินอาหารมื้อค่ำ คืนก่อนขึ้นปีใหม่จีน ทุกคนในครอบครัวต่างนั่งกันพร้อมหน้าล้อมโต๊ะอาหาร ต่างชนแก้วอวยพรปีใหม่กัน ทานมื้อค่ำเรียบร้อยแล้ว บางคนก็ดูทีวี บางคนก็ฟังเพลง บางคนก็นั่งคุยกัน บางคนก็เล่นหยอกล้อกับเด็กๆ บ้านเต็มไปด้วยรอยยิ้ม และเสียงหัวเราะ 

          พอถึงเที่ยงคืน คนจีนทางเหนือก็จะเริ่มทำเกี๊ยว (เจี้ยวจึ) คนจีนทางใต้ ก็จะปั้นลูกอี๋ทำน้ำเชื่อม ทำไป ชิมไปทานไป ครึกครื้นอย่างยิ่ง เช้าวันรุ่งขึ้นแต่เช้า ทุกคนจะตื่นแต่เช้า เยี่ยมเพื่อนบ้าน เพื่อนฝูงอวยพรปีใหม่ :114:

91
 ทุกคนจะไม่พูดคำหยาบหรือพูดคำที่ไม่เป็นมงคล ความหมายเป็นนัย และคำว่า สี่

         ซึ่งออกเสียงคล้ายความตายก็จะต้องไม่พูดออกมา ต้องไม่มีการพูดถึงความตายหรือการใกล้ตาย และเรื่องผีสางเป็นเรื่องที่ต้องห้าม เรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นในปีเก่าๆ ก็จะไม่เอามาพูดถึง ซึ่งการพูดควรมีแต่เรื่องอนาคต และทุกอย่างที่ดีกับปีใหม่และการเริ่มต้นใหม่

 ไม่ร้องไห้

          หากคุณร้องไห้ในวันปีใหม่ คุณจะมีเรื่องเสียใจไปตลอดปี ดังนั้นแม้แต่เด็กดื้อที่ปฎิบัติตัวไม่ดีผู้ใหญ่ก็จะทน และไม่ตีสั่งสอน

 แต่งกายสะอาด แต่ไม่ควรสระผม

          การแต่งกายและความสะอาด ในวันตรุษจีนเราไม่ควรสระผมเพราะนั้นจะหมายถึงเราชะล้างความโชคดีของเราออกไป เสื้อผ้าสีแดงเป็นสีที่นิยมสวมใส่ในช่วงเทศกาลนี้ สีแดงถือเป็นสีสว่าง สีแห่งความสุข ซึ่งจะนำความสว่างและเจิดจ้ามาให้แก่ผู้สวมใส่ เชื่อกันว่าอารมณ์และการปฏิบัติตนในวันปีใหม่ จะส่งให้มีผลดีหรือผลร้ายได้ตลอดทั้งปี เด็ก ๆ และคนโสด เพื่อรวมไปถึงญาติใกล้ชิดจะได้ อังเปา ซึ่งเป็นซองสีแดงใส่ด้วย ธนบัตรใหม่เพื่อโชคดี

 ปรึกษาชินแสเกี่ยวกับการเดินออกจากบ้าน

          ตรุษจีนกับความเชื่ออื่น ๆ สำหรับคนที่เชื่อโชคลางมาก ๆ ก่อนออกจากบ้านเพื่อไปเยี่ยมเยียนเพื่อนหรือญาติ อาจมีการเชิญซินแส เพื่อหาฤกษ์ที่เหมาะสมในการออกจากบ้านและทางที่จะไปเพื่อเป็นความเป็นสิริมงคล

 บุคคลแรกที่พบและคำพูดที่ได้ยินคำแรกของปีมีความหมายสำคัญมาก 

          ถือว่าจะส่งให้มีผลได้ตลอดทั้งปี การได้ยินนกร้องเพลงหรือเห็นนกสีแดงหรือนกนางแอ่น ถือเป็นโชคดี

 ห้ามเข้าไปในห้องนอนคนอื่น

          การเข้าไปหาใครในห้องนอนในวันตรุษถือเป็นโชคร้าย ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นคนป่วยก็ต้องแต่งตัวออกมานั่งในห้องรับแขก

 ไม่ควรใช้มีดหรือกรรไกรในวันตรุษ

          เพราะเชื่อว่าจะเป็นการตัดโชคดี ทุกวันนี้ไม่ใช่ว่าชาวจีนทุกคนจะคงยังเชื่อตามความเชื่อที่มีมาแต่ทุกคนก็ยังคงยึดถือ และปฎิบัติตาม เพราะสิ่งเหล่านี้เปรียบเสมือนธรรมเนียม และวัฒนธรรม โดยที่ชาวจีน ตระหนักดีว่าการปฏิบัติตามขนบธรรมเนียมมาแต่เก่าก่อนเป็นการแสดงถึงความเป็น ครอบครัวและเอกลักษณ์ของตน


92
อยากได้จิ้งจก 2หางโปรดแนะนำหน่อยครับ หาบูชาได้ที่ไหน ของวัดอะไร

93
หลวงพ่อ พิมพ์มาลัย นามเดิมคือ พิมพ์ โยมบิดาชื่อ พา โยมมารดาชื่อ อ่วม ชื่อสกุล มาลัย เกิดปี ๒๔๔๑ ที่บ้านหนองรี ต.บ้านเลือก อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
รับราชการทหารในหน่วยเสนารักษ์ที่ราชบุรีอยู่ ๖ ปี เกิดความเบื่อหน่ายในชิวิตฆารวาสจึงลาออกมาบวชที่วัดตโนดหลวง เพชรบุรี
มี พระอาจารย์แช่ม วัดบางนา เป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงพ่อทองศุข วัดตโนดหลวง เป็นพระกรรมวาจา ได้ฉายาว่า มาลโย
จำพรรษาอยู่วัดตโนดหลวงโดยมี หลวงพ่อทองศุข ประสิทธิ์ประสาทสรรพวิชาต่างๆอย่างเต็มที่โดยไม่ปิดบัง และท่านก็เรียนอย่างวิริยะอุตสาหะ
จนสำเร็จและเข็มขลังจนเป็นที่ไว้วางใจของ หลวงพ่อทองศุข ขนาดให้ท่านซึ่งบวชไม่นานสักยันต์ครูในสายวัดตโนดหลวงแทนท่านได้
หลวงปู่พิมพ์ท่านมีศักดิ์เป็นหลานเพราะโยมแม่ของท่านเป็นพี่สาวของหลวงพ่อทองศุขครับวิชาฝังเข็มทองท่านเรียนมาจาก พระอาจารย์สมพงษ์ วัดหนองไม้เหลือง จ.เพชรบุรี
มีเอกลักษณ์เฉพาะคือหากทำสำเร็จเข็มทองที่ประจุอาคมจะสามารถวิ่งผ่าน ชั้นหนังไปยังส่วนต่างๆของร่างกายโดยไม่เกิดอันตราย ซึ่งแตกต่างจากการฝังเข็มทั่วไปคือเป็นเข็มตายอยู่กับที่
ท่าน เรียนอย่างวิริยะมานะเป็นที่สุดคือต้องฝึกกันอย่างจริงจังยากที่จะสำเร็จ กันง่ายๆเมื่อสำเร็จท่านยังต้องธุดงค์เพื่อหาที่บำเพ็ญเพียรเพื่อให้จิตใจ เข็มแข็ง จนสามารถเสกเข็มที่แช่ในน้ำมันงา
ลอยขึ้นมาได้จนมีอำนาจเดินหนได้เองอย่าง มหัศจรรย์ ซึ่งใช้เวลาถึง ๑๗ ปี ในดินแดนกระเหรี่ยง ท่านละสังขารในวัยชราเมื่ออายุ ๗๘ ปี เมื่อวันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๑๙

                   

94
วันที่ 26 มี.ค 2552 ไหว้ครูเข็มทอง วัดหนองม่วง จ.ราชบุรี

มีครอบเศียรพ่อแก่ โดยอ.ป้อมให้ด้วย :054:


บัตรเชิญอาจารย์ ป้อมยังไม่พิมพ์แต่กำหนดวันแล้วคับ

95
หลวงปู่ฤทธิ์ รตนโชโต
วัดชลประทานราชดำริ
อ.กระสัง จ.บุรีรัมย์




--------------------------------------------------------------------------------


หลวงปู่ฤทธิ์ รตนโชโต


ท่านผู้อ่านบางท่านยังอาจจะไม่เคยได้ยินกิตติศัพท์หรือแม้กระทั่งชื่อของหลวงปู่ฤทธิ์มาก่อน แต่สำหรับผู้ที่อยู่ในเขตจังหวัดบุรีรัมย์และสุรินทร์กับผู้ที่นิยมวัตถุมงคลของเกจิอาจารย์ยุคปัจจุบันแล้ว หลวงปู่ฤทธิ์ท่านมีชาวบ้านชาวช่องนับถือและรู้จักกันดีเป็นอย่างยิ่ง มีลูกศิษย์ลูกหาที่นำวัตถุมงคลของท่านมาบูชา ติดตัว ติดบ้าน ติดร้านกันมาก วัตถุมงคลของท่านเป็นที่แพร่หลายมานับสิบปีโดยเฉพาะ :

กิตติศัพท์หลวงปู่ฤทธิ์เป็นที่เลื่องลือมานานหลายสิบปีในจังหวัดแถบอีสาน แต่ในปัจจุบันชื่อเสียงของท่านได้ระบือ ไป ไม่แค่เพียงทั่วประเทศไทยตั้งแต่เหนือจรดใต้เท่านั้น ยังแผ่ขยายออกไปประเทศต่างๆ อาทิเช่น :- ลาว ฮ่องกง ไต้หวัน สิงคโปร์ และสหรัฐอเมริกา เป็นต้น อันเป็นการบอกเล่าและถ่ายทอดประสบการณ์ของวัตถุมงคลหลวงปู่ฤทธิ์ สู่กันและกันจากปากสู่ปากมากกว่าการเกิดจากการโฆษณาประชาสัมพันธ์ในหนังสือต่าง ๆ

หลวงปู่ฤทธิ์ท่านเป็นพระเกจิดังเชื้อสายเขมรที่มีความเชี่ยวชาญด้านคาถาอาคมทั้งของไทย ลาว และเขมร อย่างหาผู้เทียบเคียงไม่ได้ ท่านเป็นพระที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตาอย่างสูง ไม่ว่าจะเป็นใครมาจากไหนฐานะ เป็นอย่างไร หลวงปู่ท่านจะให้การต้อนรับพูดคุยด้วยเป็นอย่างดี ไม่จำเป็นต้องนั่งรถยนต์ราคาแพงๆไปกราบ ท่านแล้วถึงจะได้พบหลวงปู่ นอกจากจะได้รับการต้อนรับขับสู้จากท่านอย่างไม่ถือเนื้อถือตัวแล้ว หลวงปู่ยังจะ ปลุกเสกวัตถุมงคลในมือของท่านอีกอย่างดีก่อนมอบให้ บางครั้งท่านก็จะจารเป็นยันต์ให้ บางครั้งท่านก็จะพรมน้ำมนต์ให้ วัตถุมงคลของท่านถือว่าเป็นสุดยอดไม่ว่าจะได้โดยตรงจากมือหรือที่ศูนย์พระเครื่องต่างๆก็ตาม ยังไม่พบว่าวัตถุมงคลของท่านมีของปลอมหรือเสริมโดยที่หลวงปู่ยังไม่ได้ปลุกเสก บรรดาผู้ที่บูชาวัตถุมงคลของท่าน ต่างก็พบกับอภินิหารแบบพลิกชะตาชีวิตให้อย่างทันตาเห็น ไม่ว่าจะเป็นทางด้าน เมตตา มหานิยม โชคลาภ ค้าขาย เรียกเงินเรียกทอง เป็นต้น แม้ว่าทุกวันนี้จะเป็นยุค ไอเอ็มเอฟ ที่เศรษฐกิจฝืดเคือง ทำมาหากินลำบากกันถ้วนหน้า แต่คนที่บูชาวัตถุมงคลหลวงปู่ฤทธิ์มักจะได้พบกับสิ่งแปลกประหลาด เช่น ค้าขายดีขึ้นอย่างผิดปกติ มีโชคได้ลาภ ลองปืนไม่ออก เป็นต้น

หลวงปู่ฤทธิ์เกิดวันอาทิตย์ที่ 13 เดือน 6 (พฤษภาคม) แรม 8 ค่ำ ปีมะเส็ง พ.ศ. 2460 ณ ตำบลทุ่งมน อำเภอประสาท จังหวัดสุรินทร์ ท่านบวชเณรเมื่อปี 2482 และบวชเป็นพระที่วัดเพชรบุรี ต.ทุ่งมน จ.สุรินทร์ เมื่อปี 2483 โดยมีหลวงพ่อแปะ วัดปราสาทธนาพร(บ้านพลวง) อำเภอประสาท เป็นพระอุปปัชฌาย์ หลังจากนั้นท่านมาจำพรรษาที่วัดปราสาทธนาพร เพื่อ ศึกษาพระธรรมกับหลวงพ่อแปะอยู่ 3 ปีจึงได้ย้ายไปจำวัดอยู่ที่วัดพลับ ตำบลทุ่งมน อีก 4 ปี หลวงปู่ฤทธิ์ย้ายไปอยู่ วัดบ้านกระนัง ตำบลปรือ อำเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย์ เมื่อปี 2490 ระหว่างที่อยู่วัดนี้ท่านได้ออกธุดงค์ไปเสาะแสวงหา ความรู้ทั้งทางธรรมและทางไสยศาสตร์ทั่วเขตอีสานจนตลอดเข้าไปในประเทศลาวและเขมร ท่านได้พัฒนาวัดบ้านกระนัง จนเจริญ มีลูกศิษย์ลูกหามากมาย

ในปี พ.ศ.2535 ท่านจึงได้ย้ายมาสร้างวัดชลประทานราชดำริ ที่บ้านกระทุ่ม ตำบลสูงเนิน อำเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย์ ตามพระราชดำริและได้จำพรรษาอยู่ที่นี่มาจนถึงปัจจุบัน เนื่องจากวัดชลประธานราชดำริเพิ่งเริ่มก่อตั้งมาไม่นาน ยังขาดถาวรวัตถุในวัดอยู่เป็นอันมาก ซึ่งในขณะนี้หลวงปู่ได้กำลังก่อสร้างศาลาการเปรียญเพื่อใช้เป็นที่อบรมพระสงฆ์และสามเณร รวมทั้งกุฏิสงฆ์ 2 ชั้น ก็กำลังก่อสร้างอยู่เช่นกัน ซึ่งปัจจัยในการก่อสร้างนั้นได้จากการให้บูชาวัตถุมงคล รวมถึงการที่บรรดา ลูกศิษย์ร่วมทำบุญในการทอดกฐินและการทอดผ้าป่า สำหรับท่านผู้อ่านที่ต้องการทำบุญและรับวัตถุมงคลที่ช่วยเหลือ ท่านได้จริงๆ ในยุคไอเอ็มเอฟ โปรดอย่าลืมนึกถึง หลวงปู่ฤทธิ์ รตนโชโต พระเกจิชื่อดังชาวเขมรแห่งวัดชลประทานราชดำริ จังหวัดบุรีรัมย์

ประสบการณ์ของวัตถุมงคลรุ่นก่อนๆ ของหลวงปู่ฤทธื์ที่มีประสบการณ์เป็นที่กล่าวขานทั้งในหมู่ลูกศิษย์และบุคคลที่ได้ บูชาวัตถุมงคลของหลวงปู่ไปแล้ว

ผ้ายันต์กิ่งแก้ว เป็นผ้ายันต์ที่มีผลในหลายๆด้าน ตามลักษณะการพับผ้ายันต์ ซึ่งรวมทั้ง เมตตา/มหานิยม คุ้มครองใน ด้านการเดินทาง โชคลาภ มหาอำนาจและอื่นๆอีกมากมาย จะเน้นมากทางด้านโชคลาภ และ เมตตา/มหานิยมคนที่ใช้แล้ว พบว่ามีคนมาติดพันมากมายเป็นต้น



96
วันอังคารที่ 13 ม.ค 2552 ขอเชิญทำบุญคล้ายวัน มรณะ ล.พเงิน วัดดอนยายหอม
ณ.วัดดอนยายหอม จ.นครปฐม

97
ช่วงปีใหม่นี้หยุดพี่น้องในเวปมีกิจกรรมอะไรหรือไปไหนกันบ้างคับ

เป็นไอเดียให้

98
ขอกราบสวัสดี ปีใหม่ พระอาจารย์ทุกท่าน  ทั้ง อ.ญา อ.ต๋อย อ.ติ่ง อ.นัน หลวงพ่อสำอางค์ และพระอาจารย์ที่วัดบางพระทุกท่านเลยครับ :054:



99
ขอสอบถามว่าชูชกนี้สร้าง ปีไหน จำนวน เท่าไหร่ มีเนื้ออะไรบ้าง และรุ่นนั่งแบมือสร้างปีไหน จำนวน เท่าไหร่  มีเนื้ออะไรบ้างจะบูชาได้ที่ไหน






100
พรุ่งนี้วันที่ 27/12/2008อย่าลืมไปวัดตะเคียน จ.นนทบุรี หลวงพี่สงบแจกเสือทองแดงรุ่น3เนื่องในโอกาสฉลองพระครู  เดี๋ยวจะอดเสือทองแดงนะคับฟรี ทั้งอาหารเครื่องดื่ม

101
ศาลา


เดินออกกำลัง





ปลุกเสกวัตถุมงคลอย่างตั้งใจ10กว่านาที





ชานหมากสดก่อนให้เสกนานเกือบ5นาที





ถวายเสื้อหนาวหมวกไหมพรมถุงเท้า ท่านว่าดีกูกำลังหนาวอยู่เลย และได้ให้พระผงองค์นี้มาพร้อมกับไปเลื่ยมขึ้นคอเลยงูหรือสารพัดศัตรูไม่ต้องกลัวมันแพ้มึงแน่น






วัตถุมงคลที่น่าเก็บและพอหาได้1.รูปหล่อรุ่นชนะมารสร้างเมื่อหลวงพ่ออายุ80ปี เสกเป็นพรรษา2.เหรียญนารายณ์ทรงครุฑ ล.พ ขึ้นชื่อมานานแล้วคนแถววัดเล่าให้ฟังเคยโดนงูกัดแล้วเอาเหรียญดูดพิษงูถึงร.พหมอบอกพิษหมดเล่นเอางง3.เหรียญดอกบัวเอกลักษณ์ของล.พนะ วัดหนองบัว4.ฤาษีเสกนานและวันไหว้ครูของวัดนี้ล.พนะ ครอบหัวพ่อแก่ทุกปี  *ล.พครอบเองทุกคน  จะครอบอีกที วันที่5/04/2552









102
วิธีการคัดของเช่น พระที่ห้อย รอยสัก มีวิธีใดบางที่จะถูกคัดจะได้ระวังและมีวิธีแก้อย่างไรถ้าถูกคัดของออกแล้ว


103
ชุ้มประตูวัด




บรรยายกาศหน้าวัด





รูปหล่อใหญ่






วิหารที่เก็บสังขารล.พกวย



กราบสังขารล.พ





ดูชัดๆ



ผ้ายันต์ทันล.พ





104
อยากได้
สีผึ้งช่วยแนะนำหน่อยคับ ว่าควรบูชาของอาจารย์ท่านใด บูชาได้ที่ไหน :054:

105
            วัตถุประสงค์ในการจัดสร้าง
            - เพื่อนำรายได้บูรณะเสนาสนะ วัดบางสมัคร จ.ฉะเชิงเทรา

            พิธีพุทธาภิเษก
            - อธิษฐานจิตเดี่ยว โดย หลวงพ่อฟู วัดบางสมัคร
            - เทวาภิเษก และ สวดมหาราช โดยพระคณาจารย์ผู้เรืองวิทยาคมแห่งยุค
            - นพเคราะห์เทวาภิเษก โดยพระครูภาวนาโสภณ (หลวงพ่อพร) ผู้สื่อถึงเทพบนสวรรค์
               ผู้เป็นเจ้าพิธีใหญ่นพเคราะห์เทวาภิเษกทั่วประเทศ ผู้มีชื่อเสียงโด่งดังถึงต่างประเทศ


 
หลวงพ่อฟู อติภทฺโท หรือ พระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณพระมงคลสุทธิคุณ
เจ้าอาวาสวัดบางสมัคร อ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา
เทพเจ้าแห่งปลัดขิกอันลือลั่น ผู้มากด้วยเมตตาบารมี

 

         ท่านเกิดเมื่อวันอาทิตย์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ.24665 อุปสมบทเมื่อ 1 พฤษภาคม พ.ศ.2485 ณ วัดบางสมัคร
โดยมีพระครูพิบูลย์คณารักษ์ (หลวงพ่อดิ่ง) วัดบางวัว เป็นพระอุปัชฌาย์ ปัจจุบันอายุ 86 ปี 66 พรรษา หลวงพ่อฟู
เป็นพระสุปฏิปันโน ผู้เปี่ยมด้วยเมตตามหานิยม อาคมเข้มขลัง สืบทอดพุทธาคมจากครูบาอาจารย์ที่โด่งดังหลายรูป
ทั้งศึกษาด้วยตนเองกับอาจารย์ หรือศึกษาต่อจากอาจารย์ที่ได้รับการถ่ายทอดวิชามารวมทั้งวิชาจากโยมฆราวาส
ุเช่น สายหลวงพ่อดิ่ง วัดบางวัว พระอุปัชฌาย์ ที่เมตตาและถ่ายทอดวิชาให้ทั้งหมด, หลวงพ่อปาน วัดบางเหี้ย,
ศึกษาต่อจากหลวงพ่อจอม, หลวงพ่อเหลือ วัดสาวชะโงก, ได้วิชาจากโยมฆราวาส หลวงพ่อคง วัดวังสรรพรส ทั้ง
วิชาเสืออาคม เสือสมิง ปลัดขิก, หลวงพ่อเริ่ม วัดจุกกะเฌอ ซึ่งถ่ายทอดวิชาหน้าผากเสือ และปลัดขิกหลวงพ่ออี๋
วัดสัตหีบ อันลือลั่น นอกจากนี้หลวงพ่อฟูยังศึกษาเพิ่มเติมกับอาจารย์จำนวนมาก ทั้งพระเกจิอาจารย์และญาติโยม
ฆราวาสโดยไม่ถือตัว

         หลวงพ่อฟู เป็นพระที่มีเมตตาธรรมสูงมากโดยไมม่แบ่งชั้นวรรณะ ไม่ยึดติดและถ้ามีโอกาสได้กราบไหว้จะ
เห็นถึงเมตตาบารมีจากองค์หลวงพ่อที่ลูกศิษย์ไปกราบมารู้ถึงเมตตาบารมีของท่านเป็นอย่างดี ทุกวันนี้หลวงพ่อฟู
อายุย่าง 87 ปีแล้ว ท่านก็ยังคงหมั่นศึกษาทบทวนเพิ่มเติมไสยเวทย์อยู่ตลอดเวลา น่ากราบไหว้บูชายิ่งจึงไม่น่าสงสัย
ว่าวัตถุมงคลของท่านผู้คนนำไปบูชาจึงพบประสบการณ์ต่างๆ มากมาย ทั้งในเรื่องเมตตามหานิยม โชคลาภ แคล้ว
คลาดปลอดภัย รวมทั้งอยู่ยงคงกระพันชาตรี วัตถุมงคลหลวงพ่อฟูส่วนใหญ่จะจัดสร้างคราวละไม่มาก ลูกศิษย์
บางท่านจึงไม่มีโอกาสได้ไว้บูชา ครั้งนี้นับเป็นโอกาสดที่จะได้ร่วมทำบุญกับหลวงพ่อ และร่วมงานบุญวัดเกิด
แซยิด 87 ปี ณ วันที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2551 กับหลวงพ่อด้วย

 


ท้าวเวสสุวรรณ เทพเจ้าแห่งทรัพย์สินเงินทอง ผู้มีอำนาจเหนือมนุษย์ เหนือภูติผีปีศาจ
(The Tao-Wesuwan : God of Treasures & Money who has power beyond any devils)

         ท้าวเวสสุวรรณ หรือท้าวกุเวรมหาราช เป็นหนึ่งในสี่ท้าวจตุโลกบาลที่ปกปักษ์ดูแลรักษาโลกทั้ง 4 ทิศ ให้พ้น
จากพยันตรายต่างๆ ที่จะเกิดกับชาวโลก คือ

         1. ท้าวธตรฐ ปกครองดูแลทางทิศตะวันออก
         2. ท้าววิรูปักษ์ ปกครองดูแลทางทิศตะวันตก
         3. ท้าววิรุฬหก ปกครองดูแลทางทิศใต้
         4. ท้าวเวสสุวรรณ ปกครองดูแลทางทิศเหนือ

         ท้าวเวสสุวรรณ จัดเป็นท้าวจตุโลกบาลที่มีผู้กราบไหว้บูชามากที่สุด มีความเชื่อว่าท้าวเวสสุวรรณบำเพ็ญตบะ
อยู่หลายพันปี เป็นที่โปรดปรานของพระพรหม พระพรหมจึงประทานพรให้เป็นอมฤต (ไม่ตาย) เป็นท้าวโลกบาล
ครองทางทิศเหนือ และเป็นเจ้าแห่งทรัพย์สินเงินทอง

         ท้าวเวสสุวรรณ มีชื่อเรียกหลายชื่อด้วยกัน เช่น ธนบดี, ธเนศวร, ยักษราช, มยุราช, รัตนครรภ, อิศะสขี,
ท้าวกุเวร, ท้าวโพศพมหาราช บางท่านเขียนท้าวเวสสุวัณ เป็น "ท้าวเวสสุวรรณ" ก็มี ตามประวัติท้าวเวสสุวัณ
เป็นยักษ์ที่ใจดี มีคุณธรรม คนโบราณมักสร้างรูปเคาพรของท่านไว้เป็นที่พึ่งทางใจ กราบไหว้บูชา ขอพรความ-
สำเร็จ นอกจาท้าวเวสสุวัณจะเป็นเจ้าแห่งทรัพย์สินเงินทองแล้ว ยังเป็นเจ้าแห่งภูติผีปีศาจ เจ้าแห่งยักษ์ มีอำนาจ
เหนือมนุษย์ แม้แต่คนโบราณมักเขียนรูปท้าวเวสสุวรรณแขวนอยู่เหนือเปลสำหรับเด็กอ่อน เพื่อป้องกันอันตรายจาก
ภูติผีและยักษ์ที่จะมาทำร้าย วัตถุมงคลท้าวเวสสุวรรณจึงมีพุทธคุณในทางคุ้มครองป้องกันสรรพภัยต่างๆ ทั้งชิวิต
และทรัพย์สิน ช่วยป้องกันอุปัทวอันตราย การกระทำย่ำยีด้วยคุณไสยมนต์ดำภูติผีต่างๆ และบันดาลความร่ำรวย
โชคลาภเงินทอง

         หลวงพ่อฟู วัดบางสมัคร เป็นพระที่มีเมตตาบารมีมาก หากพบเห็นลูกศิษย์ที่มากราบไหว้ถูกคุณไสยมา ท่าน
ก็เมตตารักษาให้ด้วยการขจัดปัดเป่าความอัปมงคล ไล่เสนียดจัญไร และความลึกลับชั่วร้ายในทางคุณไสยด้วยวิธี
การทางสมาธิ พลังจิต และเวทย์มนตร์คาถาอาคมที่มีพุทธคุณยิ่ง หลวงพ่อฟูจึงดำริให้สร้างองค์ท้าวเวสสุวรรณ
เพื่อช่วยขจัดปัดเป่าทุกข์โศกโรคภัย และช่วยคุ้มครองทรัพย์สินเงินทองให้มีโชคลาภ ครั้งนี้ถือเป็นโอกาสที่ดี เพราะ
จัดสร้างด้วยเนื้อโลหะซึ่งหลวงพ่อลงอักขระอธิษฐานจิตให้เป็นพิเศษ จากเดิมหลวงพ่อจะสร้างด้วยไม้แกะแต่ไม่เคย
เพียงพอกับความต้องการของลูกศิษย์ และหลวงพ่อบอกว่าเนื้อโลหะนี่สิดี ลงอักขระได้เต็มที่ ประจุอาคมได้เต็มพลัง
ดังเช่นท้าวเวสสุวรรณของเจ้าคุณศรีสนธิ์ วัดสุทัศน์ที่ปัจจุบัยมีการบูชากันถึงองค์ละหลายหมื่น องค์สวยๆ บูชากัน
เป็นหลักแสนบาททีเดียว

106



หลวงพ่อรับพัดที่ วัดพระพุทธบาท จ.สระบุรี

ใครจะร่วมเดินทางไปกับหลวงพ่อมีรถรับส่งรถออกเวลาประมาณ 8.30น

เวลา 13.00นรับพัดที่ วัดพระพุทธบาท จ.สระบุรี

เวลา16.00นถึงวัดร่วมฉลอง

107
ขอข้อมูลที่อยู่ตาหล่อน จ.ชัยนาทหน่อยคับว่าถ้าขับรถ มาจากสายเอเชียไปยังไงต่อ หรือจากวัดหลวงพ่อกวยไปยังไง

1.ควรไปวันไหนดี

2.ต้องเตรียมอะไรบ้างค่าครูเท่าไร

3.ถ้าท่านใดมีเบอร์ตติดต่อตาหล่อน โดยตรงเอาไว้เผื่อหลงทางหรือจะว่างวันไหนทางช่วยส่งทาง ก็ได้ถ้าไม่สะดวกลงเบอร์Pm

108
ผ้ายันต์พี่พิทยาธร ที่จารสีทองลายมือ อ.ทูลเมตตาจารให้เต็มสูบ :114:




ผ้ายันต์บัวบังใบ หลวงพ่อไสว  วัดปรีดาราม




ผ้ายันต์พี่พิทยาธร ผ้าปู อ.ออด วัดหมู





ผ้ายันต์นะหน้าทองจันทร์เพ็ญ
ได้มาเมื่อวันลอยกระทงที่ผ่านมา










ใครผ้ายันต์ด้านเมตตาช่วยนำให้ชมกันบ้างนะ

109
วันที่3 ธ.ค 2551 ใครไปงานพิธีพุทธาภิเสกใหญ่ที่วัดสามง่าม บ้างครับ :017:

110
ช่วยแนะนำหน่อยว่ายันต์อะไรที่สมาชิกคิดว่าเสน่หแรงที่สุด ประมาณว่าสักเสร็จไม่นานก็ได้แฟน :025:

111
ที่นำพระลงไม่ได้จะนำอวดแต่อยากใช้ดูเป็นคววามรู้มากกว่าและผมก็ได้ท่านสิบทัศและเอ็มไร่ขิงตอบกระทู้เลยมีกำลังใจหา ลพ.เงิน วัดดอนยายหอมมากขึ้น :054: ติชม กันเต็มที่ทุกท่านคับ

สิบทัสหล่อดีไหมอยากทราบการดูเนื้อดิน เมตพัด บ้างแนะนะด้วย





หน้าวัวใหญ่แม่นบ่อ






หันข้าง80ปีมาทรงยาวกว่านี่ใช่ไหมและมีเนื้อกะไหล่ทองไหม






เสมาปีไหนดีไหมคับ






ลายเซ็นปี09






ขอประวัติการสร้างหน่อย






112
องค์นี้ขุนแผน หลวงพ่อเปิ่น บรรจุกรุ วัดโคกเขมา
องค์นี้ อ.ติ่ง ที่รักให้มาพร้อมน้ำมันมหาเสน่ห แป้งมหาเสน่หลงยันต์อิเจ ก็เจิมน้ำมันทาแป้ง ลงทองสูตร อ.ติ่งท่าน เลย




113
เนี่องในวันที่11 พ.ยหรือทางจันทรคติตรงกับวันลอยกระทง ที่ผ่านมาเป็นวันคล้ายมรณะพระครูสถิตโชติคุณ(หลวงพ่อไสว ฐิตวณฺโณ)          วัดปรีดาราม จ.นครปฐม

ขอระลึกถึงครูอาจารย์ที่ดีหน่อยนะครับ

การตบนะหน้าทองที่ขึ้นชื่อลือชา

114
รบกวนพี่ๆ ช่วยดูหลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอมหน่อยครับ

115
ถึงเพื่อนครูบาอาจาย์ ผมทำโทรศัพท์หายโปรด โทรมาบอกหน่อย 04112377

116



เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจากนายนรินทร มณีรัตน์ อายุ 25 ปี ชาวชุมชนศรีทรายมูล เขตเทศบาลนครเชียงราย ว่าพบจิ้งจก 2 หัว ไปตรวจสอบพบว่านายนรินทรขังไว้ในแก้ว ความยาวลำตัว 2-3 เซนติเมตร ทั้ง 2 หัวต่างก็ส่ายไปมาและแลบลิ้นได้ สามารถชูคอพร้อมกันทั้ง 2 หัว สร้างความงุนงงแก่ผู้พบเห็นเป็นจำนวนมาก

นายนรินทรกล่าวว่า เป็นพนักงานไร่แม่ฟ้าหลวง ต.งิ้ว อ.เมือง ขณะดูแลพิพิธภัณฑ์ไม้สักใกล้กับหอแก้ว ปรากฏว่าจิ้งจกตกใส่บ่าจึงใช้มือจับมาดูถึงกับตกใจ เมื่อพบว่ามี 2 หัว กลัวว่าจะตายจึงเก็บมาเลี้ยงไว้

117
วันเสาร์ที่11 ก.พ 2549 เชิญเพื่อนๆร่วมทำบุญหล่อพระพุทธเจ้า5พระองค์ที่วัดนกร่วมกันนะครับ
มีปัญหาโทรถามรายละเอียดที่วัดนกได้เลย024107849

118
นาฬิกา นอกจากเป็นเครื่องบ่งบอกเวลาแล้ว นาฬิกายังจัดได้ว่าเป็น วัตถุมงคลและเป็นสัญลักษณ์ แห่งโชคลาภมากมาย อีกเช่นกัน บ้างก็ว ่านาฬิกาเป็นลักษณะของ ความก้าวหน้า ความเจริญรุ่งเรือง ของพลัง ความสามารถหมุนเวียนไปได้อย่างทั่วถึง เสียงของนาฬิกาจึงเป็นพลัง แห่งความตื่นตัว กระฉับกระเฉงอยู่เสมอ โดยเฉพาะนาฬิกาโบราณ

นายสรรเสริญ เล่ห์จันทร์พงษ์ หรือที่รู้จักกันในนาม "ช่างอั๋น" ผู้สืบทอด การซ่อมนาฬิกาโบราณจาก "ช่างเซ็ง วัดคฤหบดี" บอกว่า ความเชื่อเรื่อง นาฬิกาเริ่มตั้งแต่การจัดตำแหน่งของนาฬิกาในบ้านที่มีความ สำคัญมาก ไม่ควรวางตำแหน่งของนาฬิกาที่ฝาผนังด้านขวาของบ้าน ไม่ควรแขวน นาฬิกา หรือเมื่อเปิดประตู เข้าบ้านต้องไม่เห็นนาฬิกาเผชิญหน้ากับเรา พอดี บ้างก็ว่า นาฬิกาตรงกับประตูบ้านเป็นสัญลักษณ์ของ การหมด อายุขัย

ปัจจุบันยังมีคนที่เชื่อถือในความเชื่อสัญลักษณ์สิริมงคลที่แฝงอยู่ในนาฬิกา นาฬิกาที่ดีต้องไม่หยุด เดิน ที่เรียกว่า นาฬิกาตาย เมื่อนาฬิกาเดินจึงเป็นความหมายแห่งพลัง ความก้าวหน้า บ้างก็ว่า พลังที่ดีต้องมีการ หมุนเวียนหยิน-หยาง พลังในทางมือและทางสว่าง นาฬิกาน่าจะเป็นสัญลักษณ์ ตรงนี้ได้ดี เมื่อสองพลังนี้ สมดุลกันโบราณว่า จะนำโชคลาภมาให้

จากประสบการณ์การเป็นช่างซ่อมนาฬิกาโบราณ ช่างอั๋นได้รวบรวม ๙ ความเชื่อเกี่ยวกับนาฬิกา พร้อมกับ อธิบายให้ฟังว่า

๑.นาฬิกาที่เดินนานที่สุด บางคนเชื่อว่านาฬิกาที่เดินนานที่สุดเป็น สัญลักษณ์แห่งอายุยืน ความปลอดโปร่ง สบายใจ ความเข้มแข็ง พลังแห่งความกระตือรือร้น ไม่เฉื่อยชา นาฬิกาประเภทที่เดินยาว นานที่สุดก็คือ นาฬิกาสี่ร้อยวัน ตั้งโต๊ะที่มีครอบแก้ว โดยไขลานเพียง ครั้งเดียว

แต่ยังมีนาฬิกาที่เดินนานที่สุด ที่นักสะสมนาฬิกามักบอกว่า เดินกันชั่วชีวิต คือ นาฬิกา Almos เป็นนาฬิกาที่ เดินด้วยความกดอากาศหรืออุณหภูมิ โดยใช้หลักการในทุกๆ ๔ นาที อุณหภูมิของอากาศจะเปลี่ยนขึ้นลงตลอดเวลา

๒.เสียงตีของนาฬิกา เป็นสัญลักษณ์แห่ง เกียรติยศ ชื่อเสียงเกรียงไกร สร้างพลังที่ดีให้แก่บ้าน เกิดความสำราญ บานใจ ทั้งยังดึงดูดพลังที่ดีเข้าบ้าน ทำให้เกิดความร่มเย็นเป็นสุข และมีโชคลาภ ที่ค่อนข้างเงียบ ไร้เสียงกระดิ่งใส ไร้เสียงเพลง ถือว่าไม่ดีนัก คนในบ้านจะอับโชค ในขณะที่บางคน เชื่อว่า นาฬิกาไม่ตีเป็นสัญลักษณ์แห่ง ความเหนื่อย ไม่มีเวลาพักผ่อน มีแต่ ความเร่งร้อนแห่งการ รอคอย 

๓.หน้าปัด นาฬิกาก็เหมือนคน ความสง่างามก็อยู่ที่หน้า บ่งบอกถึง ความมั่นคง หรือ หนักแน่น ความสมบูรณ์ เหมือนกับเด็กทารกที่อ้วนจ้ำม่ำ ดูแล้วเป็นมงคลในด้านโชคลาภ อุดมสมบูรณ์ ความรุ่งเรือง บางคนเชื่อว่า หน้าที่ดีคือ หน้ากระเบื้อง เพราะกระเบื้องจะมีความเงางามสดใส ไม่ หมัวหมองง่ายเหมือนหน้าประเภทอื่น ดูแลสบาย สีสันสดใส สวยงาม ให้เกิดความสุข โชคดี และความคงทนกว่าหน้าประเภทอื่น แต่ถ้าแตก ก็เลิกกัน

๔.สีมงคลประจำวันเกิด หลายคนเชื่อว่า สีประจำวันเกิดน่าจะเป็นสีที่ส่งผลต่อความเจริญ ประจำ ราศีเกิดของคนนั้น หน้าปัดของนาฬิกาที่มีสีต่างๆ นักสะสมเชื่อว่า น่าจะเลือกตามสีประจำวันเกิด เช่น สีเหลืองประจำวันจันทร์ วันอังคารสีชมพู วันพุธสีเขียว

แต่ยังมีพิเศษอีกอย่างคือ หน้าครีม เหลืองอ่อน ระหว่างเลขที่หน้าปัดจะมีรูปสัญลักษณ์สีแดงคล้าย ซิ่ว หรือ ตราลูกเสือ ตรงนี้นักสะสมเรียกว่าหน้ามี ซิ่ว ซึ่งหมายถึง เทพแห่งโชคลาภ หนึ่งในสาม คือ ฮก ลก ซิ่ว เชื่อว่าบันดาล โชคและความสุขให้ครอบครัว สุขภาพแข็งแรง

๕.ม้าและนกอินทรี บางคนเรียกว่าหัวโขนบนนาฬิกาที่อยู่ด้านบนสุดของนาฬิกา มีความเชื่อว่า ม้าเป็นสัญลักษณ์แห่ง ความโชคดี สำเร็จ แต่ต้องเป็น ม้าสีทอง สีเงิน และ สีน้ำตาล บันดาลชัยชนะ ส่วนสีดำไม่เหมาะ นกอินทรี เป็นสัญลักษณ์แห่ง ความสง่างาม วาสนาสูง การเริ่มต้นที่ดีของความ รุ่งเรือง นกที่มีท่วงท่าว่ากำลังจะบินเข้าบ้าน หมายถึง โชคลาภเข้ามาสู่ บ้านเรือน ถ้าเป็นรูปอื่น เช่น สิงโต จะให้มงคลด้านความเข้มแข็ง เป็นผู้นำ การนับถือจากคนรอบข้าง

๖.กระจกเจียระไน หมายถึง กระจกที่นำไปเจียระไนลบเหลี่ยม หักเหแสงแวววาวเหมือนเพชร เหมือนคริสตัลมีความ เชื่อว่า เป็นพลังของแสงสะท้อนกับแก้วแล้วกระจายพลังที่ดีไปรอบๆ ขจัดพลังลบให้ออกไปจากบ้าน จะประสบความรุ่งเรือง เฟื่องฟู ฐานะการเงินมั่นคง ความสำเร็จ อย่างสูง แต่ต้องเช็คทำความสะอาดกระจกให้เงางามอยู่เสมอ

๗.พระจันทร์ยิ้ม เชื่อว่า พระอาทิตย์-พระจันทร์ เป็นตัวแทนแห่งพลัง หยิน-หยาง หมุนเวียนสับ เปลี่ยนกัน ถือว่าเป็น มงคลนัก เต็มไปด้วยพลัง แห่งความกระตือรือร้น ไม่เฉื่อยชา พระจันทร์เป็น สัญลักษณ์แห่ง ความ ร่มเย็นจิตใจที่อ่อนโยน และจะนำเรื่องความรักความเมตตามาสู่ท่านด้วย ถึงว่า ทำไมนาฬิกาพระจันทร์ยิ้มถึงแพงและหายาก ก็เพราะเป็นแบบ นี้นี่เอง

๘.นาฬิกาโป๊ยก่วย หมายถึง นาฬิกา แปดเหลี่ยม มีลักษณะเหมือน ยันต์แปดทิศ ของคนจีนที่ใช้เป็น สัญลักษณ์สำหรับ แก้อาถรรพณ์ต่างๆ เช่น ทางสามแพร่ง ถนนพุ่งเข้าบ้าน จึงใช้ลักษณะแปดเหลี่ยม แก้ไข ฮวงจุ้ยที่เสีย นาฬิกาแปดเหลี่ยมคน สมัยก่อนจึงเชื่อว่า เหมือนยันต์ แปดทิศ แต่มีพลังหยิน-หยาง แฝงอยู่ในตัวสมบูรณ์ และเสียงตีตามความเชื่อที่กล่าวมาแล้ว จะสังเกตว่าคนจีนสมัยก่อนนิยม นาฬิกาแปดเหลี่ยมกันมาก นอกจากนาฬิกาแปดเหลี่ยมแล้ว คนจีนเชื่อว่านาฬิการูปทรงกลม คล้ายเหรียญสตางค์จะนำลาภผลมาให้

๙.คำอวยพรอันเป็นมงคล สมัยก่อนเมื่อมีการเปิดกิจการร้านค้า ส่วนใหญ่จะนำนาฬิกาตั้งพื้น (ชิกโซ่) เป็นของขวัญที่ ระลึกวันเปิดร้านใหม่ และกระจกด้านหน้าที่มีข้อความเขียนคำอวยพรเป็นภาษาจีน ซึ่งล้วนแต่เป็นคำมงคลเกี่ยวกับโชคลาภ ความเจริญรุ่งเรือง ร้อยละเก้าสิบของนาฬิกาประเภทนี้จะมี คำอวยพรทั้งนั้น นักสะสมบางคนชอบเก็บสะสมคำอวยพรไว้ ซึ่งเป็นความหมายที่ดี

นาฬิกาเซี่ยงไฮ้ของจีน จะมีกระจกเขียนลายสี หรือคำอวยพรตัวโตๆ สวยงามแปลกตาไปอีกแบบหนึ่ง นาฬิกาเซี่ยงไฮ้ จีนบางเรือนก็เขียนเป็นลาย ราศีประจำวันเกิด ที่เคยพบเห็นมี ปีวัว ปีเสือ ปีมังกร ปีงูเล็ก ปีลิง แต่หายากมาก นาฬิกาประเภท นี้กำลังตามเก็บรูปมาให้ท่านดูในโอกาสต่อไป น่าจะ เป็นลักษณะมงคลที่ดีอีกแบบหนึ่ง

"๙ ลักษณะนาฬิกาที่เป็นมงคลตามตัวอย่างที่กล่าวมานี้ เป็นเพียงความเชื่อในส่วนหนึ่ง ซึ่งจริงๆ แล้วยังคงมีมากกว่านี้ ที่หลายท่านมองเห็นในสิ่งที่ดีที่เป็นมงคลของนาฬิกา ในท้ายสุดของปีเรื่อง ของสิริมงคลน่าจะเป็นเรื่องที่น่าพูดถึงกับทุกท่าน มากที่สุด" ช่างอั๋น กล่าวทิ้งท้าย



119
ศ.โรเบิร์ต เพาเวลล์ นักชีววิทยาจากมหาวิทยาลัยอะวิลา และ โรเบิร์ต เฮนเดอร์สัน หัวหน้าผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์ชุมชนมิลวอกี้ ในสหรัฐอเมริกาค้นพบจิ้งจกพันธุ์ใหม่บนเกาะกวานา ในหมู่เกาะบริติชเวอร์จิน ทะเลแคริบเบียนตอนใต้ สถานที่ศึกษาสัตว์เลื้อยคลาน

รายงานการค้นพบจะตีพิมพ์ในวารสารวิทยาศาสตร์ฉบับธันวาคมนี้ โดยเพาเวลล์กล่าวว่า จิ้งจกที่พบมีลำตัวเป็นสีเขียวแซมด้วยแดงดำและจุดสีขาว มีขนาดตัวเล็กบางตัวมีความยาวลำตัวแค่หนึ่งนิ้ว

นายเพาเวลล์นั้นตื่นเต้นมากที่ไปเจอมัน ขณะกอบซากพืชและใบไม้ขึ้นมาเต็มกำมือแล้วค่อยๆ สอดส่ายสายตามองหาจิ้งจกอย่างระมัดระวัง สิ่งที่ยากที่สุดคือถือมันไว้โดยไม่ไปดึงโดนหนังมันเข้า

เพาเวลล์เชื่อว่าจิ้งจกชนิดใหม่อยู่ในกลุ่มหายากและใกล้จะสูญพันธุ์ ตอนนี้ยังไม่ได้ตั้งชื่อสายพันธุ์ให้ เพียงนำตัวมันไปอยู่ที่พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ธรรมชาติของมหาวิทยาลัยแคนซัสเพื่อศึกษาต่อไป
ในอนาคตคาดว่า...

120
พระอธิการเกษม หรือ หลวงพ่ออั้บ เขมจาโร เจ้าอาวาสวัดท้องไทร อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม กล่าวว่า วัดได้ จัดสร้างรูปเหมือนนั่งหมูทองแดง มีทั้งเนื้อทองเหลือง รมดำ เนื้อเงิน พระปิดตาเศรษฐี พระผงว่านหน้าเสือ รุ่นแรก ตะกรุดป้องกันสัตว์มีพิษ และกะลาตาเดียว โดยปัจจัยที่ได้จะนำไป สร้างอาคารเรียน ๓ ชั้นให้กับ โรงเรียนวัดท้องไทร ซึ่งสอนตั้งแต่ระดับอนุบาล จนถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ โดยได้ตั้งงบประมาณไว้ ๓ ล้านบาท เนื่องจากอาคารเก่า ได้ชำรุดทรุดโทรมลงมาก ทำให้ที่เรียนไม่เพียงพอตามจำนวนจริง

หลวงพ่ออั้บ มิได้โด่งดังเหมือนกับพระเกจิอาจารย์รูปอื่นๆ หากแต่วัตรปฏิบัติ และการช่วยเหลือญาติโยม ที่เจ็บป่วย ด้วยโรคร้ายต่างๆ รวมทั้งวัตถุมงคล ที่ท่านปลุกเสกนั้น เป็นสิ่งที่ลูกศิษย์ลูกหาตระหนักดี ถึง เกียรติคุณดังกล่าว อาจเรียกได้ว่าหลวงพ่อ เป็นพระเกจิอาจารย์ที่ดังแบบเงียบๆ ก็ว่าได้

วัตถุมงคลที่โด่งดังอย่างหนึ่ง ของหลวงพ่ออั้บ คือ ตะกรุดกันงู นอกจากนี้หลวงพ่ออั้บ ยังสนใจศึกษาตำรายา สมุนไพรไทย และท่านก็ได้นำมาใช้รักษาโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ เช่น มะเร็ง อัมพฤกษ์ อัมพาต ฯลฯ จวบจนปัจจุบัน

หลวงพ่ออั้บ เป็นศิษย์ผู้สืบทอดวิชาคาถาอาคม มาจากหลวงพ่อน้อย วัดธรรมศาลา อดีตพระเกจิอาจารย์ชื่อดัง ต้นตำรับเหรียญหล่อหน้าเสือ ที่มากด้วยพุทธคุณ

อย่างไรก็ตาม ผู้มีจิตศรัทธาสอบถามเส้นทาง ไปกราบนมัสการ หลวงพ่ออั้บได้ที่วัดท้องไทร ต.แหลมบัว อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม โทร.๐-๓๔๒๐-๘๓๘๗, ๐-๙๐๘๒-๔๗๕๐, ๐-๙๑๑๖-๗๘๘๙๐, ๐-๑๐๑๖-๐๓๗๘


121
จะปิดบอร์ดเก่าไหม ???

หน้า: [1]