ผู้เขียน หัวข้อ: ธรรมะหรรษา..........หลวงตากับเจ้าแกละ  (อ่าน 2329 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
หลวงตากับเจ้าแกละ

เช้าวันหนึ่งก่อนที่หลวงตาจะออกไปบิณฑบาต
พอดีเห็นใบไม้ร่วงอยู่เต็มลานวัด ท่านจึงบอกเจ้าแกละให้ไปกวาดลานวัด
เพื่อญาติโยมเวลามาทำบุญเห็นลานวัดสะอาดสะอ้านจะได้สบายอก สบายใจ

พอหลวงตาบิณฑบาตกลับมาก็พบว่าที่ลานวัดยังไม่ได้กวาดแต่อย่างใด

หลวงตาจึงเรียกเจ้าแกละมาถามว่า
หลวงตา : นี่..เจ้าแกละ ฉันบอกให้แกช่วยกวาดใบไม้ลานวัด ทำไมแกไม่ยอมกวาดล่ะ
เจ้าแกละ : โธ่.. จะกวาดไปทำไมหลวงตา กวาดแล้ว เดี๋ยวใบไม้มันก็ร่วงอีก


หลวงตาได้ฟังเจ้าแกละเถียงก็ไม่ว่าอะไร

หนึ่งชั่วโมงต่อมา หลังจากที่พระทุกรูปฉันอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ก็ถึงเวลาของศิษย์วัดที่จะได้รับประทานอาหารกันบ้าง
บรรดาศิษย์วัดทั้งหลายรวมทั้งเจ้าแกละ ต่างช่วยกันยกสำรับกับข้าว มาตั้งที่กลางโรงฉัน

ในขณะที่ทุกคนกำลังจะลงมือรับประทานอาหารอยู่นั่นเอง
ก็ได้ยินเสียงหลวงตาพูดดัง ๆ ขึ้นมาว่า

หลวงตา : เฮ้ยๆ ทุกคนกินข้าวกันได้ ยกเว้นเจ้าแกละคนเดียวไม่ต้องกิน
เจ้าแกละ : อ้าว ! ..หลวงตา ถ้าไม่ให้ผมกิน ผมก็หิวแย่สิครับ
หลวงตา : เอ็งจะกินไปทำไมวะ กินแล้วเดี๋ยวตอนเที่ยงเอ็งก็หิวอีก *
เจ้าแกละ : ?!?!


ที่มา
http://www.tamdee.net/sarakhun/data/read8c33.html?No=540
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว....ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา...สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา...กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: ธรรมะหรรษา..........หลวงตากับเจ้าแกละ
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 19 มิ.ย. 2554, 09:09:58 »
มีค่าอยู่ในสิ่งไร้ค่า

            มีชายแก่ฐานะร่ำรวยชั้นเจ้าสัวคนหนึ่งไปเบิกเงินถอนเงินเป็นจำนวนล้าน ๆ เป็นประจำ ที่ธนาคารแห่งหนึ่ง แต่เวลาเซ็นชื่อในเอกสารฝากถอนเงิน เขาเซ็นชื่อด้วยการขีดเครื่องหมายกากบาทแทน เมื่อสอบถามดูจึงรู้ความจริงว่าเจ้าสัวของเราเขียน – อ่านหนังสือไม่ได้ เพราะไม่เคยเข้าโรงเรียนเลย

            ท่านเคยเล่าให้ผู้จัดการและเจ้าหน้าที่ธนาคารฟังว่า เมื่อตอนเป็นเด็กหนุ่ม ทางเทศบาลเปิดรับพนักงานเฝ้าส้วมท่านไม่มีงานทำจึงไปสมัครกับเขา ตอนสัมภาษน์เจ้าหน้าที่ได้ถามเกี่ยวกับวุฒิการศึกษาของเขาว่าจบชั้นอะไรมา เขาตอบว่าไม่ได้จบชั้นไหนมาเลยเพราะไม่ได้เข้าโรงเรียน อ่านหนังสือก็ไม่ออก เขียนก็ไม่เป็น ในที่สุดเขาก็รับคนอ่านเขียนได้เข้าทำงานไป

            ต่อมาท่านได้พากเพียรพยายามทำงานมาทุกชนิด ตั้งแต่รับจ้างทั่วไปจนกระทั่งถีบสามล้อ ตั้งใจประหยัดและเก็บหอมรอมริบ เมื่อมีทุนพอสมควรก็ไปลงทุนค้าขาย กิจการเจริญมาโดยลำดับจนได้เป็นเจ้าของบริษัทหลายบริษัทในปัจจุบัน

            เมื่อได้ฟังแล้วพนักงานธนาคารคนหนึ่งเกิดความประทับใจมาก จึงกล่าวออกมาว่า "แหม ขนาดท่านไม่รู้หนังสือ อ่านเขียนไม่ได้ ยังได้เป็นเจ้าสัว ถ้าท่านอ่านหนังสือเขียนหนังสือได้ ท่านจะเป็นอะไร?"

            "ผมก็คงเป็นคนเฝ้าส้วม" เจ้าสัวตอบอย่างมั่นใจ


           คนหลายคนมักจะโทษโชคชะตาอยู่เสมอเมื่อตนไม่ได้ ไม่มี ไม่เป็นอะไรในอย่างที่ตนเองหวัง แต่ถ้าลองคิดถึงคนที่เขาเกิดมามีพร้อมสมบูรณ์ทุกอย่างแต่ไม่รู้จักรักษาทรัพย์สมบัติของตนเองไว้หรือหามาเพิ่มได้ เราก็คงจะเข้าใจว่าความล้มเหลวและความสำเร็จทุกสิ่งทุกอย่างนั้นย่อมจะมาจากตัวเราเองทั้งนั้น

           นี่แหละครับผมถึงเชื่อมั่นพุทธภาษิตที่พระพุทธองค์ท่านตรัสว่า "อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนแลเป็นที่พึ่งของตน" ไม่มีใครหรือพระเจ้าองค์ใดบันดาลให้เราได้

จากหนังสือ "ธรรมหรรษา" โดย ธรรมโฆษ พิมพ์โดย มหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตล้านนา
http://www.tamdee.net/sarakhun/data/read2401.html?No=549

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: ธรรมะหรรษา..........หลวงตากับเจ้าแกละ
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: 19 มิ.ย. 2554, 09:14:32 »
ทำดีให้ถูกที่ถูกคน

           แม่ของป๋องสอนป๋องเสมอว่า ความโกรธเป็นสิ่งไม่ดี
คนเราเมื่อโกรธขึ้นมาแล้วจะไม่มีเหตุผล อาจจะเผลอทำความเสียหายร้ายแรงได้
เช่นบางคนโกรธขึ้นมาแล้วถึงกับฆ่าสามีภรรยาของตัวเอง พอความโกรธหายไปจึงสำนึกผิด เสียอกเสียใจ
ถึงเสียใจก็ไม่มีประโยชน์อะไรเพราะสามีภรรยาตายไปเสียแล้ว
เพราะฉะนั้น เวลาโกรธขึ้นมาให้พยายามระงับจิตใจโดยการนับในใจช้า ๆ
ตั้งแต่ 1 ถึง 20 ขณะที่นับอยู่นั้นอย่าเผลอทำอะไรออกไปเป็นอันขาด พอนับถึง 20 แล้ว ความโกรธจะลดลง
เพราะความโกรธมักจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและหายไปอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกัน


            ฝ่ายเด็กชายป๋อง เมื่อได้ฟังโอวาทของแม่ก็พยายามระงับจิตใจ
ทั้ง ๆ ที่ปกติเป็นคนโมโหร้าย มักจะมีเรื่องชกต่อยกับเพื่อนที่โรงเรียนเสมอ

            แต่แล้วเย็นวันหนึ่ง แม่ก็ต้องประหลาดใจและเสียใจ ที่เห็นลูกกลับบ้านพร้อมด้วยหน้าตาบวมปูด แสดงว่าถูกเขาชกต่อยมา

            "เป็นอะไรไปอีกล่ะลูก" แม่พูดด้วยหน้าตาวิตกกังวล
"ไปมีเรื่องกับเพื่อน ๆ มาอีกล่ะสินี่ ก็แม่บอกแล้วไม่ใช่หรือว่าอย่าไปทะเลาะกับใคร ลูกไปมีเรื่องกับใคร ถูกใครชกเอาล่ะลูก?"

            "ถูกไอ้ตั้มชกเอา" ป๋องตอบพลางกัดฟัน

            "ลูกไม่ได้นับ 1 ถึง 20 ดอกหรือเวลาที่มีเรื่องกันน่ะ"
แม่ถามพลางลูบหน้าตาลูกด้วยความเป็นห่วง

            "นับ ก็เพราะมัวนับ 1 ถึง 20 น่ะซีจึงเจ็บตัว"

            "ทำไมล่ะลูก?"

            "ก็เพราะแม่ไอ้ตั้มสอนให้ไอ้ตั้มนับ 1 ถึง 10 เท่านั้น
พอนับเสร็จมันก็เล่นงานป๋องทันที กว่าป๋องจะนับถึง 20 มันก็เผ่นไปถึงไหนเสียแล้ว"

จากหนังสือ "ธรรมหรรษา" โดย ธรรมโฆษ พิมพ์โดย มหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตล้านนา
http://www.tamdee.net/sarakhun/data/read9d16.html?No=548
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19 มิ.ย. 2554, 09:18:26 โดย ทรงกลด »

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: ธรรมะหรรษา..........หลวงตากับเจ้าแกละ
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: 19 มิ.ย. 2554, 09:20:01 »
คนละต้น คนละตัว

           พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชประสงค์จะแจกเมล็ดต้นพระศรีมหาโพธิ์ หรือต้นโพธิ์ไปยังวัดต่าง ๆ แต่ต้องให้แต่ละวัดมารับเองในพระราชวัง
แต่สมเด็จฯโต ได้แนะนำว่า
“ควรจะให้มีเรือนำเมล็ดพืชพระศรีมหาโพธิ์พร้อมด้วยขบวนเรือแห่พระศรีมหาโพธิ์ไปยังพระอารามหลวงวัดต่าง ๆ จึงจะควร ขอถวายพระพร”

ในหลวงรัชกาลที่ ๔ ทรงเห็นด้วยจึงทรงมีรับสั่งให้ทำตามนั้นทุกประการ และทรงกำชับให้แต่ละวัดช่วยกันดูแลเป็นอย่างดี

           วันหนึ่ง แขกชาวภารตะคนหนึ่งชื่อ ชีตารามได้พาฝูงแพะไปเลี้ยงที่หลังวัดระฆัง เมื่อเห็นว่าทางวัดไม่ว่าอะไร เขาจึงเลี้ยงเรื่อยมาเป็นประจำ
ที่ผ่านมาไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่แล้ววันหนึ่งก็มีเหตุเกิดขึ้นจนได้ วันนั้นนายชีตารามปล่อยฝูงแพะและเล็มหญ้าแล้วตัวเองก็ลองงีบสักหน่อย บังเอิญว่าเขาหลับผล็อยไปนาน ไม่ได้เฝ้าดูฝูงแพะ
ฝูงแพะได้เล็มเอาต้นโพธิ์อ่อนที่กำลังขึ้นงามดี จนไม่เหลือสักใบ

มีลูกศิษย์วัดไปบอกสมเด็จฯโต
สมเด็จฯโต ท่านเรียกแขกมาคุยมาสอบถาม แขกยอมรับความจริง ท่านจึงกล่าวขึ้นว่า
“พระศรีมหาโพธิ์เป็นหน่อจากพระศรีมหาโพธิ์ที่พุทธคยาสถานที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า เมื่อ๒,๕๐๐ ปีเศษมาแล้ว พุทธบริษัทย่อมบูชาพระศรีมหาโพธิ์มาก ผู้ที่ทำร้ายพระศรีมหาโพธิ์ย่อมเป็นบาป”

นายชีตารามฟังแล้วก็เกิดความรู้สึกกลัวบาป จึงขอโทษแล้วได้กล่าวแก้ตัวไปว่า
“หลวงพ่อครับ ต้นไม้ต้นนี้มิใช่ต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่พุทธคยาหรอกครับ ฉะนั้น ผมก็คงไม่บาปนะครับ เพราะมันคนละต้นกัน”

สมเด็จฯโต ท่านเห็นอาการกลัวบาปของนายชีตารามที่ทำให้ต้องกลัวแก้อย่างนั้น จึงไม่ว่ากระไรแต่ได้กล่าวขึ้นว่า
“อย่างนั้นรึ ชีตาราม เพราะเป็นต้นโพธิ์คนละต้นจึงไม่บาปหรอก แต่ต่อไปนี้อย่าเผอเรออีก เพราะคนไทยนับถือมาก ถึงแม้จะเป็นคนละต้นก็ตาม แต่เมล็ดมาจากต้นเดิม”

ชีตารามฟังแล้วก็รับปากว่า
“ต่อไปจะไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีกเป็นอันขาดครับ”


           ต่อมาเป็นวันบุญของชาวฮินดู
ศิษย์วัดคิดจะแกล้งนายชีตาราม จึงเอาน้ำมันหมูไปทาหม้อไหเครื่องโถโอชามของนายชีตารามที่นายชีตารามเอามาไว้ในเพิงที่เขาปลูกไว้หลังวัด
นาชีตารามเห็นเข้าก็ไม่พอใจ จึงไปฟ้อง สมเด็จฯโตว่า
“หลวงพ่อครับ พวกลูกศิษย์วัดนี้บาปมาก ๆ เลย วันนี้เป็นวันถือบุญ มันเอาหมูสกปรกมาทำเช่นนี้ พระผู้เป็นเจ้าเกลียดหมูครับ”

สมเด็จฯโต ได้แก้ปัญหานี้ว่า
“ต้นโพธิ์คนละต้นกับที่พุทธคยา นี่ก็คงเป็นหมูคนละตัวไม่บาปหรอก”

ชีตารามฟังแล้วก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร แต่แล้วก็หัวเราะออกมาได้พร้อมกับกล่าวว่า
“ถูกแล้วครับหลวงพ่อ ต้นโพธิ์คนละต้น หมูก็คนละตัว ยังไงก็ไม่บาปครับ”

เรื่องก็เป็นอันแล้วกันไป

ที่มา
http://www.tamdee.net/sarakhun/data/readbeb6.html?No=546

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: ธรรมะหรรษา..........หลวงตากับเจ้าแกละ
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: 19 มิ.ย. 2554, 09:23:10 »
ของฉันกองไหนเล่าจ๊ะ

            สมเด็จฯโต ท่านไปเทศน์มา ได้เครื่องกัณฑ์ของกันของใช้มากมาย
โดยมีศิษย์ติดตามไปด้วย ๒ คน

           การเดินทางสมัยนั้นไปทางเรือ
สมเด็จฯโตท่านมีเรือประจำตัว เด็กวัด ๒ คนตามไปพายเรือให้ และช่วยกันหิ้วช่วยกันยกเครื่องกัณฑ์กลับวัด
พอลงเรือ สมเด็จฯโต ท่านก็เอนหลังพอคลายเหนื่อย

เด็กวัดคิดว่าท่านนอนหลับ จึงคิดแย่งเครื่องกัณฑ์กัน
เด็กคนหนึ่งกล่าวว่า
“กองนี้ของข้า กองโน้นของเอ็ง”
เด็กอีกคนกล่าวว่า
“ไม่ได้ เอ็งเอากองโน้น ข้าจะเอากองนี้”
“ข้าไม่ยอม กองนี้ข้าเอา” เด็กคนแรกไม่ยอม
“เอ็งก็เอากองโน้นซี” เด็กคนที่สองเน้นย้ำตามเดิม
“อะไรวะ อย่ารู้ฉลาดซี”
“เอ็งต้องกองโน้น ข้ากองนี้”

สมเด็จฯโต ท่านไม่ได้หลับ ท่านนอนพักเฉย ๆ
ได้ยินลูกศิษย์เถียงกันใหญ่ ท่านก็โพล่งขึ้นว่า
“แล้วของฉันกองไหนเล่าจ๊ะ?”

เท่านั้นเอง ลูกศิษย์ทั้งสองก็ม้วนอายอย่างบอกไม่ถูก เพราะนึกว่าท่านหลับอยู่ ที่ไหนได้กลับได้ยินเรื่องราวโดยตลอด

            ด้วยคำถามของท่าน ทำให้ลูกศิษย์เลิกแย่งเครื่องกัณฑ์ตั้งแต่นั้น
ไม่เพียงแต่เท่านั้น ลูกศิษย์ทั้งสองยังประพฤติตัวดีขึ้นกว่าเก่า เป็นลูกศิษย์ที่ดีมีศีลธรรม คุณธรรม
ติดตามรับใช้สมเด็จฯโต ด้วยความยินดี ไม่หวังในเครื่องกัณฑ์ของกินเครื่องใช้ใด ๆ ทั้งสิ้น


ที่มา
http://www.tamdee.net/sarakhun/data/read88aa.html?No=545

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: ธรรมะหรรษา..........หลวงตากับเจ้าแกละ
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: 19 มิ.ย. 2554, 09:30:27 »
เพื่อความสุข...?

มีนิทานมาเล่าให้ฟัง แล้วลองคิดดูเอานะ เริ่มเรื่องว่า

เมื่อน้องเออายุได้ 14 ปี ต้องเตรียมสอบขึ้น ม.ปลาย พ่อแม่และคุณครู ต่างแนะนำให้น้องเอ หยุดเล่นฟุตบอลในตอนเย็น
และวันหยุดสุดสัปดาห์ เพื่อจะได้อยู่บ้านและใช้เวลากับการทำการบ้าน เค้าอธิบายว่าถ้า น้องเอสอบได้คะแนนดี น้องเอก็จะมีความสุข

น้องเอ เชื่อคำแนะนำ น้องเอสอบได้ดี แต่มันก็ไม่ได้ทำให้น้องเอ มีความสุข แต่ความสำเร็จนั้นกลับทำให้น้องเอต้องเรียนหนักขึ้นไปอีก 3 ปี

เมื่อถึงการสอบเข้ามหาลัย พ่อแม่และคุณครู แนะนำไม่ให้ออกไปเที่ยว ยามค่ำคืน และวันเสาร์อาทิตย์ และไม่ให้ไล่จีบผู้หญิง แต่ให้อยู่บ้าน

เพื่อท่องหนังสือและบอกกลับน้องเอว่า ถ้าน้องเอสอบได้คะแนนดีๆ น้องเอจะมีความสุข อีกครั้งที่น้องเอ เชื่อคำแนะนำ และสอบได้คะแนนดี
และอีกครั้งเช่นกันที่มันไม่ได้ทำให้น้องเอมีความสุขเท่าไหร่ เพราะน้องเอพบว่า ตัวเองต้องเรียนหนักที่สุด อีกตลอด 4 ปีที่แสนจะยาวนาน
เพื่อให้ได้ปริญญาจากมหาวิทยาลัย

คราวนี้ พ่อแม่และอาจารย์ ต่างก็แนะนำน้องเอให้อยู่ห่างจาก ร้านเหล้า ผับ บาร์ต่างๆ เพื่อจะได้มีเวลาเต็มที่กับการเรียน
เค้าบอกกับน้องเอว่า ปริญญาจากมหาวิทยาลัยสำคัญมาก ถ้าน้องเอได้มา น้องเอจะมีความสุข

..... มาถึงตรงนี้ น้องเอเริ่มสงสัยแล้วว่า น้องเอเห็นรุ่นพี่บางคนเรียนหนัก และได้ปริญญา เดี๋ยวนี้เค้าต้องทำงานแลกอย่างหนัก

เพื่อให้เงินมากพอซื้อของที่จำเป็น เช่นรถ เค้าบอกกับน้องเอว่า
" เมื่อพี่มีรถยนต์ พี่จะมีความสุข "
แต่เมื่อพี่คนนั้นหาเงินได้มากพอที่จะซื้อรถยนต์คันแรกได้ เขาก็ยังไม่มีความสุขอยู่ดี

พี่เค้าเริ่มทำงานหนักขึ้นเพื่อซื้อของอื่นๆ ที่จะทำให้เค้ามีความสุข หรือเค้าก็กำลังสับสนวุ่นวายกลับความรัก พยายามตามหาคนที่ใช่
และบอกกับน้องเอว่า " ถ้าพี่ได้แต่งงาน กับคนที่ใช่พี่จะมีความสุข "

เมื่อแต่งงานแล้ว เค้าก็ยังไม่มีความสุข เค้าต้องทำงานหนักกว่าเดิม รับงานพิเศษมากขึ้น เพื่อเก็บเงินไว้สำหรับบ้านสักหลัง
และบอกกับน้องเอว่า " ถ้าพี่มีบ้านของตัวเองเมื่อไหร่ พี่จะมีความสุข "

และแล้ว เรื่องน่าเสียใจก็เกิดตามมา ค่าใช้จ่ายในการผ่อนบ้านสักหลัง มันหนักหนามาก ทำให้พวกเค้าไม่ถึงความสุขสักที และยิ่งไปกว่านั้น
เค้ามีครอบครัว มีลูกต้องดูแล ที่จะตื่นมากลางดึก เงินเก็บที่มีมาก็หมดไป เพิ่มความกังวลมากมายให้กับเค้า
คราวนี้คงจะเป็นอีก 20 ปีที่เค้าจะทำ อะไรได้อย่างที่เค้าต้องการ
เค้าจึงบอกน้องเอว่า
" เมื่อไหร่ที่ลูกๆโตพอที่จะออกไปตั้งตัวได้ เมื่อนั้นแหละเค้าจะมีความสุข "

กว่าลูกๆ จะโต เค้าก็คงปลดเกษียณ ต้องเลื่อนเวลาของความสุข ออกไป เขาต้องทำงานหนักเพื่ออดออมไว้ยามแก่ เค้าบอกกับน้องเอ ว่า
" เกษียณเมื่อไหร่ จะได้มีความสุขสักที "

และหลังจากนั้น เมื่อเค้าเกษียณ เค้าเริ่มเข้าวัด ฟังธรรม ทำให้น้องเอสงสัยว่าทำไมคนแก่ๆ ถึงชอบมาที่วัดกัน และคำตอบที่น้องเอ ได้ฟังก็คือ

" เพราะว่าตายไปแล้วจะได้มีความสุข "

ที่มา
http://www.tamdee.net/sarakhun/data/read8c1a.html?No=544
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19 มิ.ย. 2554, 09:30:53 โดย ทรงกลด »

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: ธรรมะหรรษา..........หลวงตากับเจ้าแกละ
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: 19 มิ.ย. 2554, 09:44:08 »
เจอของขม

            ...สติคือการระลึกรู้ทันปัจจุบัน คือ มองให้เห็น ฟังให้ได้ยิน ไม่ใจลอย นี่เป็นสติที่เพ่งไปนอกตัวเรา เหมือนตอนที่ขับรถไปถึงสี่แยกไฟแดง พอเห็นไฟแดงก็หยุดรถ ที่หยุดรถก็เพราะคนขับรถมีสติมองเห็นสัญญาณไฟแดง แต่คนขับรถบางคนมัวใช้โทรศัพท์มือถืออยู่ ใจลอยไปถึงเรื่องที่กำลังคุยทางโทรศัพท์จึงมองไม่เห็นสัญญาณไฟแดง นี่เรียกว่าขับรถอย่างไม่มีสติ คนไม่มีสติ มองก็ไม่เห็น ฟังก็ไม่ได้ยิน คนที่ใจลอยอย่างนี้จะเรียนเก่งได้อย่างไร

...ครูคนหนึ่งพยายามสอนความหมายของสติแก่เด็กนักเรียนชั้น ป. ๒
เขาแจกแก้วน้ำผสมยาควินินให้นักเรียนทั้งชั้น จากนั้นเขาบอกให้นักเรียนทุกคนยกแก้วขึ้นแล้วทำตามอย่างครู
โดยกำชับให้ทุกคนมีสติ มองให้เห็น ฟังให้ได้ยิน อย่าใจลอย ถ้าเห็นครูทำอะไร ให้ทำตาม

ว่าแล้วครูก็ยกแก้วใส่ยาควินินละลายน้ำชูขึ้น นักเรียนก็ยกชูแก้วตามครู
ครูเอานิ้วคน นักเรียนทำตาม ครูเอานิ้วใส่ปาก นักเรียนก็เอานิ้วใส่ปากตาม
ตอนนี้นักเรียนทนไม่ได้เพราะรสชาดยาควินินขมมาก

นักเรียนบ้วนน้ำลายกันใหญ่ ครูหัวเราะขำในอาการของนักเรียน

นักเรียนประท้วงว่า “คุณครูแกล้งพวกหนู”
ครูตอบว่า “ไม่ได้แกล้ง”

นักเรียนถามว่า “แล้วทำไมครูไม่รู้สึกขมบ้าง”
ครูอธิบายว่า “ที่พวกเธอรู้สึกขมก็เพราะพวกเธอไม่ได้ทำตามครู
ครูบอกให้ยกแก้ว แล้วเอานิ้วคน เอานิ้วใส่ปาก พวกเธอทำตามครูหรือเปล่า”
นักเรียนตอบพร้อมกันว่า “ทำตาม”

ครูย้อนว่า “พวกเธอไม่ทำตามครู คราวนี้ครูจะทำให้ดูอีกทีอย่างช้าๆ
คอยดูให้ดีนะ มีสติ อย่าใจลอย เวลาครูเอานิ้วคนในแก้ว ครูใช้นิ้วชี้คน แต่เวลาครูเอานิ้วใส่ปาก ครูใช้นิ้วกลาง
พวกเธอใช้นิ้วชี้คนและเอานิ้วชี้ใส่ปาก มันก็ขมน่ะซิ นี่แสดงว่าพวกเธอไม่มีสติ พวกเธอรู้หรือยังว่าโทษของการไม่มีสติคืออะไร”


นักเรียนตอบพร้อมกันว่า “ขมจัง”

            ...ใครอยากเรียนเก่งต้องฝึกสติ คือ เวลาอ่านหนังสือหรือเรียนหนังสือ ต้องพยายามเตือนตัวเองให้ระลึกรู้ทันปัจจุบันทุกขณะ พยายามบังคับตัวเองไม่ให้ใจลอย ฝึกมองให้เห็น ฟังให้ได้ยิน


บางส่วนจากหนังสือ "ทำอย่างไรจึงเรียนเก่ง" ซึ่งเป็นปาฐกถาของ พระธรรมโกศาจารย์ (ประยูร ธมฺมจิตฺโต)
อ่านหนังสือเล่มนี้ทั้งหมดที่นี่.....
http://www.lampang108.com/forum/forum_posts.asp?TID=904&PN=1&TPN=1

อ่านแล้วชีวิตจะได้ไม่ขม....  :004:

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: ธรรมะหรรษา..........หลวงตากับเจ้าแกละ
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: 19 มิ.ย. 2554, 09:50:35 »
ระหว่างผัว...กับผี...หนูกลัวควรจะกลัวใคร...?

พระพยอมเล่าว่า......

วันก่อนโยมผู้หญิงคนหนึ่ง...มานั่งโอดครวญกับอาตมา...
หลวงพ่อเจ้าคะ....เวรกรรมของหนูจริง ๆ ได้ผัวคนหนึ่ง เหมือนได้ผีเข้าบ้าน

มันเป็นยังไงหรือ...โยม...?
มันหลอกหนูทั้งวันเลยหลวงพ่อ....กลับบ้านดึก...มันหลอกว่า...ติดประชุม
เอาเงินไปกินเหล้าหมด...มันหลอกว่า...ถูกล้วงกระเป๋า
พาเมียน้อยไปเที่ยว...มันหลอกว่า...ไปราชการ

วันอาทิตย์...อยู่บ้าน...เมียน้อยโทรมา คุยกันเกือบครึ่งชั่วโมง
หนูเข้าไปด่า...มันหลอกหนูว่า...เขาโทรผิด...โทรผิดอะไร...คุยกันตั้งครึ่งชั่วโมง
อ๋อ...เขาโทรมาผิดเวลา...
เขานึกว่าคุณออกไปซื้อกับข้าวแล้ว

หนูเบื่อไอ้พวกกะหล่อน...ปลิ้นปล้อน...มารยาสาไถย โกหกหน้าตาย...พวกนี้เต็มทีแล้วหลวงพ่อ  หนูควรจะทำยังไงดี...?

หนูเข้าวัดช้าไปหน่อย
ทำไมหรือหลวงพ่อ...?
หนูควรเข้าวัด...ตั้งแต่ก่อนมีผัว
แล้วมันจะดียังไง...หลวงพ่อ...?
อ้าว..คนที่เข้าวัดเนี่ย...มันคนดีทั้งนั้น..ใจบุญ...ใจกุศล...มีศีลมีธรรม จิตใจเมตตา โอบอ้อมอารี...พูดจาไพเราะ

อยากมีผัว...ไม่มาเลือกผู้ชายที่วัด เสือกไปหาผัวที่ผับ...ที่บาร์...ที่ RCA
ไอ้คนที่ไปเที่ยวแถวนั้น...มันก็มีคุณสมบัติอย่างที่โยมได้ไปนั่นแหละ เลือกเอง...แล้วมาบ่นทำไม...?
พระไมได้เลือกให้สักหน่อย

เออ...ถ้าพระเลือกให้...แล้วมันไม่ดี พระจะรับผิดชอบ!!

ที่มา
http://www.tamdee.net/sarakhun/data/read758a.html?No=553

ออฟไลน์ saken6009

  • อย่ากลัวคนจะมาตำหนิ แต่จงกลัวว่าตัวเองจะทำผิด อย่ากลัวที่จะรับรู้ความบกพร่องของตน แต่จงกลัวว่าตนจะเป็นคนที่ดีได้ไม่จริง
  • ก้นบาตร
  • *****
  • กระทู้: 893
  • เพศ: ชาย
  • ชีวิตของข้า เชื่อมั่นศรัทธา หลวงพ่อเปิ่น องค์เดียว
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: ธรรมะหรรษา..........หลวงตากับเจ้าแกละ
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: 20 มิ.ย. 2554, 04:35:30 »
ธรรมะหรรษา...หลวงตากับเจ้าแกละ 36; 36;
                                                     
ขอบคุณท่าน ทรงกลด ที่นำบทความธรรมะดีมากๆมาให้พี่น้องศิษย์วัดบางพระได้อ่านครับ :053: :053:
 
ติดตามอยู่ครับ อ่านแล้วเพลินดีมากๆครับ และ ได้สาระความรู้มากๆครับผม :016: :015:
   
(ขออนุญาตเข้ามาอ่าน เพื่อเป็นความรู้ ขอบคุณครับผม) :033: :033:

กราบขอบารมีหลวงพ่อเปิ่น คุ้มครองศิษย์ทุกๆท่าน ให้แคล้วคลาด ปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวง สาธุ สาธุ