ผู้เขียน หัวข้อ: เข้าใจธรรมะแบบง่ายๆ นิพพานคืออะไรอยู่ที่ไหน  (อ่าน 1541 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Jesus

  • สัตตมะ
  • **
  • กระทู้: 109
  • เพศ: ชาย
  • ผมเป็นคนเดินช้าเเต่ผมไม่เคยเดินถอยหลัง
    • MSN Messenger - judas_66@hotmail.com
    • ดูรายละเอียด
เป็นธรรมะ กับเรื่องใกล้ตัวดีครับ น่าจะนำไปใช้ และเข้าใจกันได้ง่าย
หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับทุกท่านครับ

อนุโมทนาบุญแก่ผู้ที่สนใจทุกท่าน และ ขอให้บุญรักษาครับ

-โทษคนอื่นได้กิเลส โทษตนเองได้ปัญญา
-กิเลสไหลท่วมท้นใจทั้งคืนวัน คิดว่าปัญญาเพียงน้อยนิดจะเอาชนะกิเลสได้

*ควรใช้ปัญญาพิจารณาทุกครั้งในการรับข้อมูล ไม่ให้เชื่อสิ่งใด ๆ อย่างงมงายโดยไม่ใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นจริงถึงคุณโทษหรือดีไม่ดีก่อนเชื่อครับ

คำถาม
พระพุทธเจ้านิพพานแล้วไปใหน ถ้าเรานิพพานแล้วเราจะรู้ตัวใหมว่าเราจะไม่ได้เกิดอีกแล้วเราจะได้ภูมิใจกับกรรมดีที่เราทำมาทั้งหมด (ที่อุตสาห์ละกิเลส เพราะการทำความดียากกว่าทำความชั่ว เราต้องพยายามทำ แต่ความชั่วไม่ยากเลยเพราะมันเป็นไปตามกิเลสของเรา)แล้วทำไงถึงจะนิพพานไม่ต้องเกิดอีก การนิพพานจะมีความสุขมั้ย คงไม่ต้องทำงาน ไม่หิว ไม่หนาว ไม่ร้อน นะคะ

ตอบ
พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว คำว่า ดับขันธ์ ก็ได้แก่ การดับของอำนาจปัจจัยที่จะก่อให้เกิดรูปขันธ์ นามขันธ์ที่จะตั้งขึ้นปฏิสนธิในภพใหม่ เพราะการสิ้นกิเลส เสมือนไฟสิ้นเชื้อ..
ดังนั้นพระนิพพานจึงไม่ใช่เมืองหรือสถานที่ที่ใครๆจะไปมีความสุขเช่นที่เข้าใจกัน...เมื่อสิ้นการเกิดแล้ว ก็ไม่มีรูปที่จะต้องรับทุกข์เพราะการเกิด การแก่ การเจ็บ การตายอีกต่อไป... ไม่มีนาม ได้แก่ จิต เจตสิกที่จะเกิดขึ้นมารับรู้ความสุขความทุกข์อีกต่อไป ไม่มีการมารับรู้อารมณ์ใดๆทั้งหมดอีกต่อไป ก็การดับอย่างนี้.... ย่อมไม่มีโอกาสที่จะมีรูปมีนามตั้งขึ้นใหม่เพื่อมารับทุกข์แห่งวิบากใดๆได้อีก กรรมที่เหลือนับชาติไม่ถ้วนที่ยังไม่ส่งผลนั้น.... ก็เป็นอันว่า เป็น อโหสิกรรมไปโดยสิ้นเชิง
ดับสิ้นไม่เหลือเชื้อให้เกิดได้อีก.... เหมือนดับไฟ... ถามว่า ไฟที่เคยสว่างนั้นไปอยู่เสียที่ไหนกันเล่า?...

เมื่อนามรูปดับไปแล้ว เพราะหมดเหตุและปัจจัยที่จะสืบต่อการเกิดขึ้นอีก.... ถามว่า ดับแล้วไปไหน ?....ปรินิพพานแล้วไปอยู่ที่ไหน ?.....ท่านผู้ถามก็พึงตอบคำถามว่า ไฟ เมื่อดับแล้ว ไฟที่เคยสว่างนั้นไปอยู่เสียที่ไหน?
เมื่อนามดับแล้ว ไม่มีเหตุและปัจจัยให้นามดวงใหม่เกิดขึ้นมารับอารมณ์ใดๆอีก ก็อย่าพึงหมายว่าเราจะได้รู้ตัวไหมว่าเราจะไม่ได้เกิดอีก...ความคิดอย่างนี้ เพราะยังมีกิเลสที่เยื่อใยแม้ในคุณความดี ยังปรารถนาที่จะภูมิใจในความดีที่ตนกระทำแล้ว อย่างนี้ ไม่ใช่อารมณ์ของคนสิ้นตัณหา เช่น พระอรหันต์เลย
แต่เป็นอารมณ์ของปุถุชนที่ยังถูกกิเลสครอบงำไว้หนาแน่น ใจย่อมไม่อาจจะน้อมไปนึกถึงสภาวะของพระนิพพานได้ ก็ต้องอาศัยการฟังธรรม ฟังแล้วก็คิดเอา อนุมาณตามเหตุและผลเท่านั้น ใจจริงๆนั้น ย่อมหยั่งลงไปน้อมไปเพื่อพระนิพพานได้ยากนัก
เพราะแค่รู้ว่า จะไม่ได้เกิดอีก ใจก็แป้วไปแล้ว ด้วยอำนาจ ภวราคานุสัยที่อยู่ประจำใจในสัตวโลกทุกรูปทุกนาม...ต้องอาศัยปัญญาที่ฟังธรรมมากๆ เกิดศรัทธาแล้ว เกิดปัญญาแล้วว่า ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นทุกข์ ใจจึงจะค่อยๆน้อมไปหาหนทางดับทุกข์

พระอรหันต์นั้น หาเยื่อใยไม่ได้แล้ว... กุศลก็หมด อกุศลก็หมดด้วยสิ้นอาลัย...เหลือแต่จิตที่ไม่เป็นบุญไม่เป็นบาป เป็นมหากิริยาจิตที่เกิดขึ้นมากระทำการงานน้อยใหญ่..... มหากิริยาจิตนั้น ไม่ก่อผลเป็นวิบากอีกต่อไปแล้ว...จึงสิ้นเชื้อสิ้นกิเลสไป..
ดังนั้น แม้ใจอยากจะภาคภูมิใจในคุณความดีนั้น ก็ยังเป็นด้วยอำนาจของราคานุสัยนั่นเอง...พระอรหันต์ท่านไม่มีกิเลสเหลือแล้ว ก็ถือว่า คำถามนี้เป็นโมฆะคำถาม เพราะเป็นธรรมที่ไม่เกิดแก่พระอรหันต์ และการหมดนามเพราะหมดปัจจัยหลังการตายของท่านนั้น ก็ไม่มีนามใหม่เกิดได้อีกต่อไป... การรู้อารมณ์ใดๆก็ไม่มีอีกต่อไปค่ะ
พระนิพพานนั้น ชื่อว่า บรมสุข...ชื่อว่า สันติสุข..หาใช่ความสุขด้วยกามคุณอารมณ์อย่างที่พวกเราปรารถนาก็หาไม่... แต่สุขเพราะสิ้นกิเลส สิ้นเยื่อใยในทุกสิ่ง สุขเพราะการที่ไม่ต้องเกิดมารับทุกข์อีกต่อไป ไม่ต้องแสวงหา ไม่ต้องสงวนรักษา ไม่หิว ไม่หนาว ไม่ร้อน เพราะไม่มีทั้งนามและ รูปอีกต่อไป... เรียกว่า สิ้นทุกข์ ค่ะ
การที่จะแจ้งพระนิพพาน ต้องเจริญปัญญา ต้องเรียนปรมัตถธรรม แล้วเจริญวิปัสสนา ทำปัญญาบารมีไป ...บารมีเต็มเมื่อไหร่ ก็ถึงได้ แจ้งได้ค่ะ...อย่างพวกเรา ก็อนุมานว่านับแต่เริ่มต้นทำบารมีเพื่อพระนิพพานเพราะใจนั้นน้อมไปจริงๆ..ก็ประมาณว่า ทำบารมีสั่งสมไปเป็นแสนกัปป์...อันนับชาติไม่ได้เลย ในชีวิตที่ต้องเวียนว่ายตายเกิด

หากเปรียบเสมือนหนึ่งเม็ดทราย คือหนึ่งชีวิต ... ก็เม็ดทรายทั่วทั้งปฐพีบนผืนโลกนั้น ยังน้อยกว่าชาติการเกิดที่พวกเราจะตั้งหน้าตั้งตาทำบารมีเลยค่ะ...
เห็นยาวนานปานฉะนี้ ก็อย่าพึงท้อแท้ ไม่สายเลยที่จะเริ่มต้นนับหนึ่ง...สักวันหนึ่ง ก็เมื่อไหร่ เมื่อนั้นนั่นแหละ..บารมีคงเต็มได้ค่ะ...
ระหว่างทางแห่งการทำบารมี หากเจริญปัญญา ปัญญาย่อมฉลาดในการทำเหตุ ดังนั้น ชีวิตก็ยังไม่เป็นทุกข์แสนสาหัส เพราะหมั่นกระทำบุญไว้เป็นที่พึ่ง ที่เกาะ ก็เรียกว่า เกิดมาก็ยังมีหวังได้ประสบสุขเป็นอันมาก..
สุขแล้วก็ไม่หลง ....ไม่หลงโลก ไม่หลงอารมณ์ บารมีจึงจะถูกสั่งสมไว้เป็นปัจจัยได้ในทุกๆชาติค่ะ

ขอบคุณ เวป raksa-dhamma ครับ
I AM GRAPHIC DESIGNER