ผู้เขียน หัวข้อ: ***เมื่อหลวงปู่เทพโลกอุดรเฉลยปริศนาธรรม***  (อ่าน 10949 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
***เมื่อหลวงปู่เทพโลกอุดรเฉลยปริศนาธรรม***




มีเรือน แต่ไม่มีผู้อยู่…….
มีข้าวแต่ไม่มีผู้กิน……..
มีทาง แต่ไม่มีผู้คน……..


ปริศนาธรรมนี้ มีผู้กล่าวว่า เป็นคำสืบทอดมาจากพระกัสสปะเถรเจ้า จริงเท็จอย่างไรยากจะสืบสาว แต่ขอให้ศึกษาด้วยเหตุของภาวะธรรมเถิด
สมัยหนึ่ง มีคำเล่าว่า พระอรหันต์ผู้แตกนิกายออกไป ผู้ตกตายแล้วหรือปรินิพพานแล้ว มีกระดูกสารีริกธาตุ เป็นแก้วเพชรพลอย เฉลยความไว้ว่า

มีเรือน ไม่มีผู้อยู่………..เพราะโลกเกิดสงคราม คนจึงละบ้านช่องหลบภัย
มีข้าว ไม่มีผู้กิน…………เพราะระหว่างเกิดสงคราม คนหนีภัย จึงขนข้าวไปได้แต่น้อย
ส่วนเหลืออยู่ในเรือนร้าง จึงไม่มีคนกิน
มีทาง ไม่มีผู้เดิน……….เพราะสมัยโลกเจริญ มีแต่การตัดถนนหนทาง มีรถลามาก คนจึงเดิน
ทางด้วยพาหนะ ไม่ต้องเดินด้วยเท้าเช่นแต่ก่อน


ที่มา
http://www.buddhapoem.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=73890&Ntype=5
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว....ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา...สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา...กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด

ต่อมาราว พ.ศ.2532 มีพระสงฆ์รูปหนึ่ง ผู้เป็นพระบวชในนิกายดั้งเดิมมหานิกาย ได้แสดงตนตอบปัญหา เฉลยปริศนาธรรมนี้มีนามว่า “หลวงพ่อสาวกโลกอุดร ธัมมปาโล” แสดงคำเฉลยไว้อย่างอาจหาญ ความว่า

มีเรือน ไม่มีผู้อยู่ หมายถึง วัดวาอารามเรือนกุฎีที่โยมสร้างอุทิศถวายไว้ ในบวร พระพุทธศาสนา ไม่มีผู้อยู่ คือ ผู้ที่เป็นพระอรหันต์มาอยู่ ตามที่ผู้
สร้างปรารถนา

มีข้าว ไม่มีผู้กิน หมายถึง คำข้าวอันปราณีตอุทิศไว้ที่โยมนำมาใส่บาตรทุกวันนั้น
ไม่มีผู้กิน คือ ผู้ที่บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์มารับมาฉัน

มีทาง ไม่มีผู้เดิน หมายถึง ทางแห่งมรรคของอริยเจ้า ไม่มีผู้เดิน หมายถึงสาวก ตถาคต ทั้งภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา ดำเนินตามอย่างถึง
ที่สุด

นี่คือ สองปัญญาของนักปฏิบัติธรรมทั้งคู่ ย่อมบ่งบอกอะไรบางอย่างบ้าง ไม่มากก็น้อยว่า ใครคือ ผู้เข้าถึงผลแห่งการปฏิบัติอันแท้จริง

สำเนียงบอกภาษา กริยาบอกตระกูล

บัณฑิตจะรู้กันได้ ด้วยการสนทนาปสาทะ เพราะอย่างน้อยหลวงตาเทพสัมมา ก็ขอเลือกศึกษาธรรมของหลวงพ่อสาวกโลกอุดร ธัมมปาโล ด้วยเหตุผลการตอบปัญหาข้อหลังนี้ ยิ่งหนังสือ “หยั่งลงก้นมหาสมุทร”ของท่านแล้ว ยิ่งกลับโลกใหญ่ เรียกว่าสะเทือนไปถึงชั้น”ภวคพรหม”โน่น แต่เมืองพุทธนี่ ที่ประเทศไทย ไม่ยักกะรู้เรื่อง สู้ข่าวพระอรหันต์มีเมียออกลูกมาเป็นกระต่ายไม่ได้ อนิจจา…….
หลวงพ่อท่านเล่าว่า มี “มหาเชื้อ”มาถามปัญหาว่า”……เมื่อมีทุกข์เกิดขึ้น เราจะทำอย่างไร?”
ท่านเจ้าคุณผู้โด่งดังทางปักษ์ใต้ตอบว่า
“ต้องตั้งสติ …..รักษาสติไว้ให้มั่น “

หลวงพ่อโลกอุดร ตอบมหาเชื้อว่า

“ต้องดับสติ”

พระมหาเชื้อก็ซักว่า อ้าว…..แล้วจะดับสติอย่างไร? หลวงพ่อโลกอุดร ก็ย้อนถามว่า……แล้วให้ตั้งสติอย่างไร? ท่านมหาเชื้อ ก็อธิบายอย่างที่ได้รับรู้จากท่านเจ้าคุณใหญ่ว่า เมื่อเราเห็นทุกข์ ก็เหมือนไฟ ก้อนถ่านแดงอยู่ เราก็ตั้งสติ รีบจับ รีบวาง เราก็ไม่ร้อนมาก หลวงพ่อโลกอุดร ก็ถามย้อนอีกว่า….”.แม้รีบจับ รีบวาง ก็ต้องถูกไฟร้อนอยู่ ใช่หรือไม่ล่ะ? ……ก็เอาอย่างนี้ซิ …..เมื่อเห็นไฟร้อน เราไม่จับ เราก็ไม่ร้อน และก็ไม่ต้องวางอะไรทั้งนั้น…….นี่คือ การดับสติ ดับการระลึกรู้แต่แรก เราไม่ใส่ใจเสียแต่แรกไม่ดีกว่ารึ ท่านมหา “

ท่านมหาเชื้อ ถึงกับตาค้าง ก้มลงกราบอย่างใจน้อมยอมรับในคำเฉลยธรรมนั้น
เอาละ…..บัดนี้ พอจะยอมรับ ฟังคำของหลวงตาเทพสัมมาหรือยังว่า หลวงพ่อสาวกโลกอุดร มีความรู้เฉลยธรรมลึกซึ้งเพียงไหน ว่าที่พอจะเป็นอาจารย์ของหลวงตาเทพสัมมาได้อย่างดีเยี่ยมหรือไม่?………..


ที่มา
http://www.buddhapoem.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=73890&Ntype=5