กระดานสนทนาวัดบางพระ
ยินดีต้อนรับคุณ,
บุคคลทั่วไป
กรุณา
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
1 ชั่วโมง
1 วัน
1 สัปดาห์
1 เดือน
ตลอดกาล
เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
หน้าแรก
กระดานสนทนา
เข้าสู่ระบบ
สมัครสมาชิก
กระดานสนทนาวัดบางพระ
»
หมวด มิตรไมตรี
»
บทความ บทกวี
»
กำเนิดศิวลึงค์ ต้นกำเนิดของปลัดขิก
ส่งหัวข้อนี้
พิมพ์
หน้า: [
1
]
ลงล่าง
ผู้เขียน
หัวข้อ: กำเนิดศิวลึงค์ ต้นกำเนิดของปลัดขิก (อ่าน 17733 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
เด็กนอกวัด
สัตตมะ
กระทู้: 742
เพศ:
กำเนิดศิวลึงค์ ต้นกำเนิดของปลัดขิก
«
เมื่อ:
26 พ.ค. 2552, 05:24:04 »
วัตถุโบราณที่ถูกสร้างสรรค์ให้เป็นรูปอวัยวะเพศชายนั้น เป็นสัญลักษณ์แทนองค์พระศิวะที่ผู้คนนิยมสักการะบูชากันตั้งแต่อดีตโบราณตราบจนปัจจุบันนี้ด้วยความเคารพศรัทธากันอย่างกว้างขวาง
"ศิวลึงค์"เป็นเสมือนรูปเคารพแทนพระองค์ ที่มีปรากฏอยู่ในเทวสถานทุกแห่ง และก็มีธรรมเนียมประเพณีที่จะจัดพิธีกรรม เพื่อบูชาศิวลึงค์นี้โดยเฉพาะอีกด้วย
จึงกล่าวได้ว่าสัญลักษณ์ของพระศิวะมหาเทพนี้ค่อนข้างจะแตกต่างกับมหาเทพองค์อื่นๆตรงที่มีสัยลักษณ์แทนพระองค์เป็นรูปอวัยวะเพศชาย ที่ดูค่อนข้างจะพิสดารมิใช่น้อยและชวนให้ฉงนสงสัยในความเป็นมาแห่งสัญลักษณ์นี้
กำเนิดของศิวลึงค์นั้นปรากฏเป็นเรื่องราวที่ค่อนข้างจะแปลกแยกแตกต่างกันออกไป ตามแต่ละคัมภีร์ แต่ละในศาสนาต่าง ๆทางคติพราหมณ์ซึ่งบางตำราก็กล่าวว่าองค์พระศิวะนั้นทรงตั้งพระทัยที่จะประทานรูปศิวลึงค์หรือรูปเคารพที่เป็นรูปอวัยวะเพศชายที่ให้กับสาวกทั้งหลาย ทั้งปวงของพระองค์ได้สักการะบูชาแทนพระองค์
ซึ่งการที่ประทานรูปเคารพเช่นนี้ ก็เนื่องมาจากในงานบูชาตรีมูรติ หรือมหาเทพทั้ง 3 ซึ่งประกอบไปด้วยพระพรหม พระวิษณุและพระศิวะ ที่จะต้องแสดงพระวรกายให้สาวกได้เห็นเป็นบุญตา
ซึ่งพระพรหมก็จะปรากฏพระวรกายออกมาในรูปลักษณ์ที่มี 4 พักตร์ 4 กร ส่วนพระวิษณุก็จะปรากฏพระวรกายมาในรูปลักษณ์ที่เป็นมหาเทพมี 1 พระพักตร์ 2 พระกร แต่สำหรับพระศิวะนั้นทรงปรากฏพระวรกายในรูปกายที่แปลกแหวกแนวสักหน่อย คือไม่ปรากฏออกมาเป็นรูปองค์เทพโดยตรงแต่กลับแสดงพระวรกายให้ปรากฏออกมาเป็นรูปอวัยวะเพศชาย ซึ่งก็เปรียบเสมือนกับเป็นสัญลักษณ์ของผู้ชายไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือมหาเทพนั่นเอง
ดังนั้นหลังจากงานพิธีกรรมบูชาเทพตรีมูรติ หรือมหาเทพทั้ง 3 พระองค์นี้แล้ว บรรดาสาวกก็ได้สร้างศาลรูปเคารพเทพตรีมูรติทั้ง 3 ตามที่ตนเห็น ซึ่งก็คงจะหมายถึงว่าได้สร้างรูปเคารพเทพตรีมูรติทั้ง 3 ตามที่ตนเห็น ซึ่งก็คงจะหมายถึงว่าได้สร้างรูปเคารพพระพรหมเป็นรูปที่มี 4 พักตร์ 4 กร และสร้างรูปเคารพพระนารายณ์เป็นรูปมหาเทพผู้งดงามมี 1 พระพักตร์ 2 พระกร และสำหรับพระศิวะนั้นสาวกก็ได้สร้างรูปเคารพให้เป็นรูปอวัยวะเพศชายตามที่พวกตนได้พบเห็นปรากฏแก่สายตา อันเป็นรูปจำลองเป็นสัญลักษณ์แทนพระศิวะนั่นเอง
ในคัมภีร์โบราณอีกเล่มหนึ่งนั้นได้บันทึกไว้ว่า ในวันหนึ่งพระศิวะกำลังร่วมภิรมย์เสพสมกับพระแม่อุมาอัครมเหสีอย่างแสนสุขสันต์ในวิมารของพระองค์บนเขาไกรลาส แต่การเสพสมภิรมย์รักนี้ มิได้กระทำกันในห้องบรรทมส่วนพระมิได้กระทำกันในห้องบรรทมส่วนพระองค์แต่อย่างใด การสมสู่ชู้ชื่นครั้นนี้ พระศิวะและพระแม่อุมาทรงกระทำกันกลางท้องพระโรงเลยทีเดียว ดังนั้นบังเอิญเมื่อพวกทวยเทพทั้งปวงที่กำลังจะมาเข้าเฝ้าพระศิวะ ได้พบเห็นเข้าก็จึงรู้สึกว่าพระศิวะนั้นกระทำการอันไม่บังควรเป็นอย่างยิ่ง
หากทรงกระทำกันในห้องบรรทมส่วนพระองค์ ก็คงจะไม่ใช่เรื่องผิดแปลกแต่อย่างใด แต่หน้าท้องพระโรงนั้นเป็นที่เปรียบเสมือนห้องรับแขก ที่ย่อมจะต้องมีผู้คนผ่านเข้าออกได้เสมอ และเมื่อทวยเทพผ่านพบเห็นเข้าว่าองค์พระศิวะที่เป็นถึงมหาเทพผู้เป็นใหญ่แห่งเขาไกนลาส กำลังเสพสังวาสกับอัครมเหสีอย่างประเจิดประเจ้อกลางท้องพระโรงเช่นนั้นจึงพากันรังเกียจเดียดฉันและเสื่อมศรัทธาในองค์พระศิวะเป็นอย่างมาก
บรรดาทวยเทพจึงได้พากันเย้ยหยันและหมดสิ้นความนับถือ ยำเกรงในองค์มหาเทพ ต่างก็พากันยืนดูแล้วก็วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างเห็นเป็นเรื่องที่น่าสมเพชไป ด้วยเหตุการณ์เป็นเช่นนั้น พระศิวะให้ทรงอัปยศอดสู่ในพระทัยเป็นยิ่งนัก และประกอบกับความโกรธกริ้ว พระศิวะจึงทรงได้ประกาศว่าอวัยวะเพศของพระองค์นี้แหละ จะเป็นเสมือนสัญลักษณ์และตัวแทนของพระองค์ ที่บรรดามนุษย์และเทพเทวะทั้งปวง จะต้องกราบไหว้บูชาถ้าต้องการความสุขและความสำเร็จอันงดงามในชีวิต
และอวัยวะเพศหรือศิวลึงค์นั้น ก็จะมีดวงตามหาศาลล้อมรอบศิวลึงค์ถึง 1,000 ดวงตา เพื่อจะได้สามารถมองเห็นได้เด่นชัดในทุกทิศทุกทาง โดยดวงพระทัยและดวงพระวิญญาณขององค์พระศิวะจะสถิตอยู่ด้วย เพื่อคุ้มครองและอำนวยพรให้กับผู้ที่สักการะบูชาศิวลึงค์นั้น เมื่อได้ทรงแล่นถ้อยคำศักดิ์สิทธิ์มาในขณะที่กำลังเกิดความกริ้วและความอัปยศเป็นที่สุดนั้น ถ้อยคำอันศักดิ์สิทธิ์จึงได้บังเกิดสัมฤทธิ์ผลเป็นจริง
นับจากนั้นไม่ว่าจะเป็นบรรดามนุษย์ ดาบส ฤาษี หรือแม้แต่ทวยเทพบนสรวงสวรรค์ชั้นต่างๆเองก็ยังนิยมสักการะบูชา ศิวลึงค์หรือรูปเคารพที่เป็นอวัยวะเพศชาย อันเป็นเสมือนสัญลักษณ์ของพระศิวะ
เรื่องราวการกำเนิดศิวลึงค์ในบางคัมภีร์นั้น ก็กล่าวแตกต่างออกไป โดยเล่าว่าพระศิวะนั้นค่อยข้างจะมีพระอารมณ์ทางราคะค่อยข้างสูง และโปรดที่จะเสพสังวาสกับพระแม่อุมาอัครมเหสีและพระชายาองค์อื่นอีก ในทุกวี่วันเลยทีเดียว จนเป็นที่รู้กันทั่วไปในเหล่าเทพเทวะทั้งปวง
ดังนั้นบรรดาศิษยานุศิษย์หรือผู้ที่ศรัทธาในองค์พระศิวะมหาเทพ ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือทวยเทพ ที่เคารพเลื่อมใสองค์พระศิวะ จึงได้คิดประดิษฐ์วัตถุบูชาขึ้นมา โดยหวังให้เป็นสัญลักษณ์แทนองค์พระศิวะ การสรรค์สร้างรูปอวัยวะเพศหรือศิวลึงค์ จึงได้ถือกำเนิดขึ้นมา ซึ่งผู้ที่เชื่อกันว่าน่าจะเป็นคนแรกที่คิดประดิษฐ์รูปเคารพศิวลึงค์นี้เป็นนักบวชฮินดู ที่ได้พบความสุข ความสำเร็จและความรุ่งเรื่องในชีวิตมาก หลังจากที่ได้สร้างรูปศิวลึงค์แล้วทำพิธีกราบไหว้บูชาเป็นประจำ
ดังนั้นบรรดาศิษยานุศิษย์หรือชาวบ้านทั่วไป จึงได้เริ่มทำรูปเคารพเป็นรูปศิวลึงค์กันบ้างและก็ทำการสักการะบูชากันเป็นที่กว้างขวางแพร่หลายต่อหลายต่อไป จนเกิดเป็นลัทธิการบูชาศิวลึงค์ขึ้นจริงจังในยุคต่อๆมา
ในอินเดียตอนใต้จะมีการประกอบพิธีสักการะบูชาศิวลึงค์กันอย่างจริงจัง โดยจัดทำกันในเมืองที่อยู่บนยอดเขาโดยจัดเป็นประจำทุกปีเรียกกันว่าเทศกาลบูชาศิวลึงค์โยนีหรือเทศกาล KAETIKAI หรือเทศกาล SATURNALIT เทศกาลทั้ง 2 นี้ จะทำพิธีกันค่อนข้างใหญ่โตเป็นพิเศษ มีงานเฉลิมฉลองกันอย่างครึกครื้นสนุกสนาน
เครื่องบวงสรวงที่จะใช้ในพิธีกรรมนี้ก็ประกอบด้วยน้ำนมสดและพวงมาลัยดอกไม้สดเป็นพิเศษ นอกจากนั้นก็ยังมีเครื่องประกอบพิธีดังนี้
- ดอกไม้เหลือง
- ดอกไม้แดง
- ข้าวตอก
- ใบมะตูม
- หญ้าคา
- มูลโค
- มะพร้าวอ่อน
- เมล็ดธัญพืชต่าง ๆเช่น ข้าวโพดแห้ง เมล็ดข้าวแห้ง
- ธูปหอมและเทียนหอม
ในเทศกาลนี้จะมีการตั้งรูปศิวลึงค์อยู่ ณ เทวสถานกลางเมือง เมื่อมีการเฉลิมฉลองและถวายเครื่องบวงสรวงบูชาเรียบร้อยแล้ว จะมีการสวดมนต์สรรเสริญบูชาพระศิวะและศิวลึงค์ด้วย การจัดเทศกาลเพื่อสักการะบูชาศิวลึงค์ด้วยความเคารพ เลื่อมใสศรัทธาอย่างสูงนี้ บรรดาชาวบ้าน ชาวเมือง นิยมกระทำพิธีเพื่อขอพรให้เกิดความสุขและความสำเร็จในชีวิต โดยเฉพาะความอุดมสมบูรณ์ในการกระทำพืชไร่ ซึ่งสังคมของชาวอินเดียตอนใต้นั้นนิยมทำอาชีพเกษตรกรรมกันเป็นส่วนใหญ่มีการปลูกพืชไร่กันทั่วไป ดังนั้นการขอให้เกิดความอุดมสมบูรณ์แก่การเพาะปลูกที่กระทำอยู่นั้น จึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง
การประกอบพิธีเพื่อบูชาศิวลึงค์ นอกจากที่ในอินเดียตอนใต้นี้แล้ว ทุกหนทุกแห่งทั่วไผก็จะมีลักษณะการบูชาที่คล้ายคลึงกันในส่วนของการเทน้ำนมสดราดลงไปในศิวลึงค์
โดยความบริสุทธิ์ของน้ำนมนั้นเปรียบเสมือนการให้กำเนิดผลผลิตอันอุดมสมบูรณ์นั่นเอง
แต่ก็มีบางแห่งที่นอกจากจะใช้นมสดราดรดบนศิวลึงค์แล้ว ยังนิยมใช้ฝุ่นสีแดงมาแต้มทาที่ยอดปลายของศิวลึงค์ เพื่อแทนความหมายของการกำเนิดใหม่แห่งชีวิตใหม่นั่นเอง
ในการสักการะบูชาศิวลึงค์นั้น ยังมีความเชื่ออีกว่าหากบวงสรวงสังเวยด้วยศิวลึงค์ชนิดใดก็จะได้รับพรที่องค์พระศิวะมหาเทพจะประทานให้แตกต่างกันออกไป ดังเช่น
หากนำมูลโคมาสร้างสรรค์ปั้นแต่งเป็นศิวลึงค์ แล้วทำการบวงสรวงบูชาเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอก็จะทำให้บุคคลผู้นั้นมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงตลอดชีวิต มีอายุยืนไม่เป็นโรคภัยไข้เจ็บใด ๆเลย
หากนำเอาดินจากบริเวณริมแม่น้ำมาสร้างสรรค์บรรจงปั้นแต่งเป็นศิวลึงค์ แล้วทำการบวงสรวงบูชาเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอก็จะทำให้บุคคลผู้นั้นมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงตลอดชีวิต มีอายุยืนไม่เป็นโรคภัยไข้เจ็บใดๆเลย
หากนำเอาดินจากบริเวณริมแม่น้ำมาสร้างสรรค์บรรจงปั้นเป็นศิวลึงค์แล้วบวงสรวงบูชาด้วยความเคารพเสมอไป ก็จะทำให้บุคคลผู้นั้นเกิดความร่ำรวยมั่งคั่ง มีทรัพย์สินเป็นที่ดินมหาศาลเลยทีเดียว
หากนำเอาเมล็ดข้าวทั้งดิบและสุก มาสร้างสรรค์บรรจงประดิษฐ์เป็นศิวลึงค์แล้วทำการสักการะบูชา จะทำให้บุคคลนั้นหรือครอบครัวนั้น มีความสมบูรณ์พูลสุข มีข้าวปลาอาหารกินโดยบริบูรณ์ หรือทำกิจกรรมการค้าเกี่ยวกับอาหาร ก็จะมั่งคั่ง ร่ำรวยและรุ่งเรืองเป็นแน่แท้
หากนำเอาทองคำบริสุทธิ์มาสร้างสรรค์ ปั้นประดิษฐ์เป็นศิวลึงค์ แล้วทำการบวงสรวงบูชาเสมอไป ก็จะทำให้บุคคลนั้นมีความมั่นคง ร่ำรวยในระดับเศรษฐีตลอดชีวิต
หากนำไม้จันทร์มาสร้างเป็นศิวลึงค์แล้วบูชา ก็จะทำให้ผู้นั้นมีความสุขสันต์หรรษามิสร่างคลาย
หากนำเมล็ดรุทรรากษ์สร้างเป็นศิวลึงค์แล้วบูชาก็จะทำให้ผุ้นั้นมีความรอบรู้ศิลปวิทยาการทั้งปวง
ในคัมภีร์อินเดียโบราณนั้น กล่าวไว้ว่าศิวลึงค์นั้นมีชื่อเรียกแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับวัสดุที่สร้าง
ลึงค์แบ่งตามหลักของนักปราชญ์อินเดียโบราณแบ่งได้เป็น 2 ลักษณะคือ
จลลิงค คือลึงค์ที่เคลื่อนไหวได้หรือสั่นไหวได้
อจลลิงค คือลึงค์ที่เคลื่อนที่ไม่ได้
ลึงค์ที่ทำจากแก้ว เรียกว่า รัตนชะ
ลึงค์ที่ทำจากหิน เรียกว่า ไศละชะ
ลึงค์ที่ทำจากดิน เรียกว่ามรินมยะ
ลึงค์ที่ทำจากไม้ เรียกว่า มารุชะ
ลึงค์ที่ทำจากโลหะ เรียกว่า โลหชะ
ลึงค์ที่ทำขึ้นเฉพาะกิจตามวาระโอกาสต่างๆ เรียกว่า กษณิกลิงค
แจ้งลบกระทู้นี้หรือติดต่อผู้ดูแล
บันทึกการเข้า
ชลาพุชะ
เราอาจไม่รู้มากนัก แต่เรารู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควร
อัฏฐมะ
กระทู้: 1526
เพศ:
ที่นี่คือเว็บวัดบางพระ เราก็ศิษย์วัดบางพระ
ตอบ: กำเนิดศิวลึงค์ ต้นกำเนิดของปลัดขิก
«
ตอบกลับ #1 เมื่อ:
26 พ.ค. 2552, 05:44:14 »
ขอบคุณสำหรับข้อมูลนี่นะครับ
แจ้งลบกระทู้นี้หรือติดต่อผู้ดูแล
บันทึกการเข้า
~เสน่ห์กวาง~
ไม่ใช่คนแรกของหัวใจ..แต่ก็เป็นคนสุดท้ายของชีวิต ^^โฮ๊ะๆ^^
อัฏฐมะ
กระทู้: 1314
เพศ:
เพื่อนกัน..ตลอดกาล..
ตอบ: กำเนิดศิวลึงค์ ต้นกำเนิดของปลัดขิก
«
ตอบกลับ #2 เมื่อ:
26 พ.ค. 2552, 05:53:22 »
ขอบคุณข้อมูลที่นำมาให้ชมค่ะ
น้อยคนที่จะรู้ว่า
สิ่งที่เราบูชานั้น
กำเนิดมาจากอะไร
แจ้งลบกระทู้นี้หรือติดต่อผู้ดูแล
บันทึกการเข้า
..ที่โลกนี้ไม่มี..ก็คือดวงตะวัน..
..ไม่เคยมีให้ฉันในวันที่มองไม่เห็นใคร..
.ที่โลกนี้ไม่มี..ก็คือความรักยิ่งใหญ่..
..ไม่มีคนห่วงใย..หวังดีและผูกพันธ์..
tum72
อัฏฐมะ
กระทู้: 2246
ณ ตลาดพลู
ตอบ: กำเนิดศิวลึงค์ ต้นกำเนิดของปลัดขิก
«
ตอบกลับ #3 เมื่อ:
26 พ.ค. 2552, 09:05:49 »
ขอบคุณครับ ได้ความรู้มากเลยครับ รู้ที่มาที่ไปแล้วครับ เป็นอย่างนี้นี่เอง
แจ้งลบกระทู้นี้หรือติดต่อผู้ดูแล
บันทึกการเข้า
โอม ราศีกูเอ๋ย จงมาเป็นอาสน์ สีธาวาส มาเป็นเกียรติ ศรีชายมาเป็นช่วง
หญิงชายทั้งปวง รักกูมิรู้วาย ด้วยราศีกูงามคือฟ้า หน้ากูงามคือพรหม
หญิงเห็นหญิงรัก ชายเห็นชายทัก กูอยู่ทุกเมื่อ ไม่เบื่อแต่สักวัน
โอม หญิงชายทั้งหลายเอ๋ย มา
streetway21
ควรบูชาบุคคลผู้ที่ควรบูชา
ตติยะ
กระทู้: 32
ฟ้ามีตา เทวดามีจริง
ตอบ: กำเนิดศิวลึงค์ ต้นกำเนิดของปลัดขิก
«
ตอบกลับ #4 เมื่อ:
26 พ.ค. 2552, 11:31:05 »
ขอบคุณสำหรับข้อมูลครับ
ศิวลึงค์ก็เป็นสัญญลักษณ์แทนความเป็นเพศชาย : โยนีแทนความเป็นเพศหญิง
เป็นต้นกำเนิดของสรรพสิ่ง ของฮินดู
แจ้งลบกระทู้นี้หรือติดต่อผู้ดูแล
บันทึกการเข้า
ชาวพุทธร่วมใจกันปฏิบัติตามแนวศีล ๕
๑. ไม่มุ่งร้ายทำลายผู้อื่น
๒. ไม่ทุจริตฉ้อโกง
๓. ไม่ประพฤติผิดในกาม
๔. ไม่กล่าวลวงกล่าวเท็จ
๕. ไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งเสพติดให้โทษ
derbyrock
คณะกรรมการ
กระทู้: 2494
เพศ:
สติมา ปัญญาเกิด........ปัญหามา ปํญญามี.......
ตอบ: กำเนิดศิวลึงค์ ต้นกำเนิดของปลัดขิก
«
ตอบกลับ #5 เมื่อ:
27 พ.ค. 2552, 10:05:28 »
ขอบคุณครับ
แจ้งลบกระทู้นี้หรือติดต่อผู้ดูแล
บันทึกการเข้า
ความสุขที่แท้จริงรอคอยคุณอยู่.......เพียงแค่คุณนั่งลงแล้วหลับตา
เผด็จศึก
สมาชิกที่ถูกแบน
กระทู้: 27
ตอบ: กำเนิดศิวลึงค์ ต้นกำเนิดของปลัดขิก
«
ตอบกลับ #6 เมื่อ:
30 พ.ค. 2552, 02:53:22 »
.ศิวลึงค์ยังไม่ใช่แบบนี้คับพี่ ผมถามลุงและพ่ออีกทีคับผมจำไม่ได้ บางทีเราไปก๊อปมาจากเวปก็ไม่ใช่ แต่ผมจะไปถามลุงมาให้คับผม.
แจ้งลบกระทู้นี้หรือติดต่อผู้ดูแล
บันทึกการเข้า
น้องลิงน้อย
สัตตมะ
กระทู้: 1127
เพศ:
ตอบ: กำเนิดศิวลึงค์ ต้นกำเนิดของปลัดขิก
«
ตอบกลับ #7 เมื่อ:
02 มิ.ย. 2552, 04:56:02 »
ขอบคุณสำหรับข้อมูลใหม่ ๆ จะได้รู้ถึงที่มาที่ไปของศิวลึงค์หรือปลัดขิก สิ่งที่คนทั่วไปบูชากันมานาน
แจ้งลบกระทู้นี้หรือติดต่อผู้ดูแล
บันทึกการเข้า
ส่งหัวข้อนี้
พิมพ์
หน้า: [
1
]
ขึ้นบน
กระดานสนทนาวัดบางพระ
»
หมวด มิตรไมตรี
»
บทความ บทกวี
»
กำเนิดศิวลึงค์ ต้นกำเนิดของปลัดขิก