แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - เฟืองทอง

หน้า: [1]
1

อาจจะหลายใจไปบ้าง

2
แปดทิศ หลวงพี่แป๊ว นานมาก ผมนั่งจับหลังยังเมื่อยแทน  :095:
คนไม่น้อยจริงหลวงพี่ไม่ปล่อยแน่ๆ :095:
ครั้งหน้าผมว่า จขกท น่าจะได้7ยอด :095:
ผมเคยลองจับเวลาอยู่ครับ ประมาณ 45 นาที

3
เป็นบุญตาจิรงๆครับที่ได้เห็น

5
ขุนกระบี่อาจารย์หนวด ส่วนลิงหลวงพี่ญาครับ

6
เสือคู่อาจารย์หนวด

หัวเสือหลวงพี่ญาครับ

7
พรุ่งนี้อาจารย์หนวดจะมาสักที่วัดหรือเปล่าครับ

8
ซอย บุญศิริ ตรงข้ามโรงเรียนนายเรือครับ สมุทรปราการ :003:
อยู่ซอยเดียวกับผมเลยครับ

9
หลวงพี่แป๊ว   หลวงพี่ญา   หลวงพี่นัน   และอาจารย์หนวดครับ

10
จริงหรือปล่าว ถ้าไปสักหลวงพี่แป๊วขึ้นครูจะเป็น7ยอด เพราะอะไรคับช่ายตอบที
ไม่จริงครับ เพราะเ่ท่าที่ผมเคยเห็น หลายครั้งที่หลวงพี่แป๊วท่านก็สัก ๙ยอดให้ ส่วนตัวผมครั้งแรกได้ ๗ยอดครับ
ส่วนเหตุผลนั้นผมก็ไม่ทราบเหมือนกัน

12
ต้อง ขอบอกว่าตอนดูไม่ได้ คิดอะไรเกี่ยวกับ มาม่าเลยนะเนี่ย ที่แท้มีสาระแอบแฟงด้วย



ทำไมมาม่าต้อง ต้ม 3 นาที?

สังเกตว่าภายใน เรื่องตัวละครจะ มีความ สัมพันธ์กับ มาม่า 2 ครั้ง คือ ตอนที่พระเอกจะ ต้มมาม่าให้ นางเอกกินรองท้องก่อนขึ้นรถแท็กซี่ และ ตอนที่นางเอกผิดหวังเรื่องพระเอกต้อง ไปเรียนต่อเมืองนอก จึง กลับมาต้มมาม่าที่บ้านคนเดียว

หนังกำลังจะ บอกอะไรเราหรือ เปล่า? เขา กำลังจะ บอกเรื่องสาระของ
”การรอคอย” และ  "ความ อดทน"

ครั้งแรกใน รถแท็กซี่ นางเอกเปิดกินใน ขณะที่เพิ่งใส่ น้ำร้อนไปแค่ 1 นาที พระเอกก็บอกว่า
“ก็ข้างถ้วยเขา เขียนให้ รอ 3 นาที” นางเอกก็เถียงว่าชอบกินแบบนี้ เส้นกรอบๆแบบนี้

ถ้า  เรามองแบบเปรียบเทียบ ม่าม่ากับความ รัก .. เหมือนหนังกำลังบอกว่า ทั่ว ไปตามสากลโลก ความ รักมันมีเวลาของมัน การบ่มเพาะเส้นของความ รักให้ นุ่มพอดี พอเหมาะเข้า ปากนั้น  ต้องใช้ เวลา แม้นางเอกอาจจะ ชอบเส้นกรอบๆ ที่ใช้ เวลาน้อย แต่ความ รักเป็น เรื่องของคน 2 คน จะ ตัดสินด้วยความ ชอบเพียงฝ่ายเดียวไม่ได้  และ เวลาอีก 2 ปีที่พระเอกจะไม่อยู่  ก็คือช่วงเวลาที่จะ บ่มเพาะความ รัก ให้สามารถ กินได้ทั้ง  2 ฝ่ายนั่นเอง

มาม่ามักถูกใช้เป็น ตัวช่วย ของคนที่ “ไม่ มีเวลา” ไม่ มีเวลาทำกับ ข้าว ไม่ มีเวลาไปหาอาหารกินข้างนอก เหมือนใน เรื่องนี้ นางเอกคิดว่าตนเอง”ไม่ มีเวลา”จะ รอพระเอกแล้ว  เพราะ อายุก็มาก เหงาก็เหงา กินข้าวคนเดียว แต่จะให้ ทำอย่างไร แม้แต่มาม่ายัง มีเวลา 3 นาทีของมัน แล้วความ รักล่ะ?

จึง  มาสู่ตอนที่นางเอกเครียดใน การต้มมาม่าคนเดียวที่บ้าน อยากกินเร็ว ๆแต่อะไรก็ขัดใจไปหมด น้ำก็ไม่ได้ ต้มไว้  ฉีกซองเครื่องปรุงก็ลำบาก เนื่องจากความ ”ใจร้อน” มองแต่”เป้าหมาย” แต่ลืมมอง”ระหว่างทาง” การ จะ กินมาม่า ต้อง ต้มน้ำ ต้อง ค่อยๆเตรียมเครื่องปรุง เหมือนความ รัก หากจะ มองแต่เป้าหมายว่าฉันกับเขาจะต้อง รักกัน  แต่ลืมใส่ ใจ”ระหว่างทาง” ภาพนั้น คงไม่ เกิด

มา ม่า ก็เป็น ตัวแทนหนึ่งของคนใน สมัยนี้ ที่ต้องใช้ ชีวิตเร่งรีบ ทุกๆอย่างต้อง แข่งกับ เวลา จนลืมไปว่า เรื่องที่ละเอียดอ่อนอย่างความ รัก มันเร่งรีบไม่ได้ หรอก

สรุป คือ หนังใช้ มาม่าสอนเราใน เรื่องความ รัก ถ้า คิดจะ รัก ก็ต้อง เรียนรู้ที่จะ รอ ต้อง อดทน คนสมัยนี้มักขาดความ อดทน แลกเบอร์กันไม่ กี่วัน ก็อยากให้ อีกฝ่ายเรียกเราว่าแฟนแล้ว  น่าจะ มองดูว่า แม้สิ่งที่จะช่วย เราประหยัดเวลามากแค่ไหน อย่างมาม่า มันก็ยัง มีเวลาของมัน แล้วกับความ รัก ก็เช่นกัน 

ขอบคุณเพื่อนดีๆที่ FW Mail มาให้

13
เราก็นับได้แค่ 5 นะ แต่พอนับอีกรอบมันก็มีุ 6 ตัวจริงๆ

14
ขอบคุณเพื่อนตั้มมากครับ อ่านแล้วก็เพลินดีเหมือนกัน

15
ขอบคุณพี่โชวมากครับ ที่นำบทความที่มีสาระดีๆมาเสิร์ฟให้กับพี่-น้องวัดบางพระ

16
จะไปวันไหนก็อย่าลืมโทรมาบอกกันบ้างนะครับ พี่มิ่ง

17
บทความ บทกวี / ของดีมีอยู่กับตัว
« เมื่อ: 20 ส.ค. 2552, 04:50:32 »
ของดีมีอยู่กับตัว
หลวงปู่มั่น ภูริทัตตมหาเถระ
นิตยสารธรรมจักษุ ปีที่ ๘๒ ฉบับที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๔๐
[/b]
   ของดีมีอยู่กับตัวเรา ทุกคนก็พากันปฏิบัติเอา ทำเอา เมื่อเวลาตายแล้วจึงวุ่นวายหานิมนต์พระมากุสลามาติกา ไม่ใช่เกาถูกที่คัน ต้องรีบแก้เสียบัดนี้ คือ เร่งทำความดีแต่บัดนี้ จะได้หายห่วงอะไร ๆ ที่เป็นสมบัติของโลก มิใช่สมบัติอันแท้จริงของเรา ตัวจริงไม่มีใครเหลียวแล สมบัติในโลกเราแสวงหามา หามาทุจริตก็เป็นไฟเผา เผาตัวทำให้ฉิบหายได้จริง ๆ ข้อนี้ขึ้นอยู่กับความฉลาดและความโง่เขลาของผู้แสวงหาแต่ละราย
   ท่านผู้พ้นทุกข์ไปด้วยความอุตส่าห์สร้างความดีใส่ตน จนกลายเป็นสรณะของพวกเรา ท่านไม่เคยมีสมบัติเงินทอง เครื่องหวงแหน เป็นคนร่ำรวย สวยงามเฉพาะสมัย จึงพากันรัก พากันห่วง จนไม่รู้จักเป็นรู้จักตาย สำคัญตนว่าจะไม่ตาย และพากันประมาทจนลืมตัว เพลิดเพลินตักตวงเอาแต่สิ่งไม่เป็นท่าใส่ตนแทบหาบไม่ไหว
   อย่าสำคัญว่าตนเก่งกาจสามารถฉลาดรู้กว่าเขาเลย ถึงกับสร้างความมืดมิดปิดตาทับถมตัวเองจนไม่มีวันสร่างซา เมื่อถึงเวลาจนตรอกอาจจนยิ่งกว่าสัตว์ ถ้าไม่เตรียมทราบไว้เสียแต่บัดนี้ ซึ่งอยู่ในฐานะอันควร อาตมาขออภัยด้วยถ้าพูดหยาบคายไป แต่คำพูดที่สั่งสอนคนให้ละชั่ว ทำความดี จัดเป็นหยาบคายอยู่แล้ว โลกเราก็จะถึงคราวหมดสิ้นศาสนา เพราะไม่มีผู้ยอมรับความจริง การทำบาปหยาบคายมีมาประจำแทบทุกคน ทั้งให้ผลเป็นทุกข์ ตนยังไม่อาจรู้ได้ และตำหนิมันบ้างพอมีทางคิดแก้ไข แต่กลับตำหนิคำสั่งสอนหยาบคาย ก็นับเป็นโรคที่หมดหวัง

18
บทความ บทกวี / ภรรยา 4 คน
« เมื่อ: 04 ส.ค. 2552, 07:32:47 »


ชายคนหนึ่งมีภรรยา อยู่ 4 คน 
 
ภรรยาคนที่ 1 เขารักที่สุด ไปไหนมาไหนด้วยกัน ตามใจตลอดอยากได้อะไร  เขาหาให้ทุกอย่าง 
 
ภรรยาคนที่ 2 เขารักมาก เขาจะทำทุกสิ่ง  ทุกอย่างเพื่อภรรยาคนนี้  และจะไปหาภรรยาคนนี้เสมอ 

ภรรยาคนที่ 3 เขารักรองลงมา ดูแลเอาใจใส่พอควร แวะไปหาบางเป็นครั้งคราว 
 
ภรรยาคนที่ 4 เขาไม่เคยสนใจ ไม่เคยดูแลเอาใจใส่ ไม่เคยไปหา ไม่คิดถึงเลย ด้วยซ้ำ


 
ต่อมาชาย คนนี้ไปกระทำความผิดร้ายแรง  และถูกจับ ต้องถูกประหารชีวิต ก่อนที่จะถูกประหาร เขาขอร้องว่า เขาขอกลับบ้าน 
เพื่อไปร่ำลาภรรยาสุดที่รักซักครั้ง  ผู้คุมเห็นใจจึงอนุญาต  เมื่อกลับมาถึงบ้าน เขารีบตรงไปหา ภรรยาคนที่ 1  เล่าเหตุการณ์ต่างๆ ให้ฟัง  และถามภรรยา คน ที่ 1 ว่า


" ถ้าเขาต้องตายภรรยาคนที่ 1 
จะทำอย่าง ไร ? " 

ภรรยาคนที่ 1 ตอบน้ำเสียงที่เย็นชาว่า  “ ถ้าเธอตาย เราก็จบกัน ” 
คำตอบที่ได้รับ  เหมือนสายฟ้าที่ผ่าเปรี้ยง!! ลงมาที่เขาอย่างจัง  เขารู้สึกเจ็บปวด และเสียใจเป็นอย่างยิ่ง  นึกเสียดาย ว่าเขาไม่ควรทุ่มเทให้ภรรยาคนนี้เลย


จากนั้นเขาก็ ไปหา ภรรยาคนที่ 2  ด้วยอาการเศร้าโศก เล่า เรื่องราวต่างๆ ให้ ฟัง  และถามคำถามเดิมกับภรรยาคนที่ 2 ว่า 

" ถ้าเขาต้องตาย ภรรยาคน ที่ 2  จะทำอย่างไร ? "

ภรรยาคนที่ 2 ก็ ตอบอย่างหน้าตาเฉย ว่า  " ถ้าเธอตาย ฉันจะมีใหม่ "
 เหมือนสายฟ้า!! ผ่าลงมาซ้ำที่เขา อย่างจัง  เขารู้สึกเสียใจมาก และนึกเสียดายว่าที่ผ่านมา  เขาไม่ควร ทุ่มเทให้ภรรยาคนนี้เช่นกัน 


เขาเดินคอตกมาหา ภรรยาคนที่ 3  เล่าเรื่องราวต่างๆ ให้ ฟัง  และถาม ภรรยา คนที่ 3 ว่า 


" ถ้าเขาต้องตาย ภรรยาคน ที่ 3  จะทำอย่างไร ? "

ภรรยาคนที่ 3 ตอบว่า 
" ถ้าเธอตาย ฉันจะไปส่ง "  ทำให้เขาคลายความ เศร้าโศกขึ้นมาได้บ้างอย่างน้อยก็ ยังมีภรรยาที่จริงใจกับเขา 


ก่อนกลับไปรับโทษ  เขานึกขึ้นมาได้ว่ามีภรรยาอีกคน ซึ่งไม่เคยไปหาเลย จึงไปหา ภรรยาคนที่ 4 และถามว่า
" ถ้าเขาต้องตาย ภรรยาคนที่ 4  จะทำอย่าง ไร ?"


ภรรยาคนที่ 4 ตอบว่า 
" ถ้าเธอตาย ฉันจะตามไป ด้วย "  แทนที่เขาจะดีใจกลับนึกเสียใจหนักขึ้นไปอีก  เพราะ...มัน สายเกินไปเสียแล้ว ช่วงที่เขามีชีวิตอยู่ 
เขาไม่เคยเห็นค่าของภรรยาคนนี้ แต่ภรรยาคนนี้ไม่คิดที่จะทิ้งเขา จะติดตามเขาไปอยู่ด้วย  แล้วชายคนนี้ก็กลับไปรับโทษประหาร 
และเมื่อเขาตาย ภรรยาคนที่ 4 ก็ตายตามไป ด้วย.....


เราทุกคนก็ มีภรรยา 4 คน นี้ 
 
มีคำถามว่า ภรรยาทั้ง 4 คนเป็นใคร ? คิดกันก่อนนะ แล้วค่อยดูเฉลย


ทีนี้เรามาดูกันว่า  ภรรยาคน ที่ 1, 2, 3 และ 4  เป็นใครกันบ้าง


ภรรยาคน ที่ 1 
 
ร่างกายของเรา เพราะเวลาเรามีชีวิตอยู่  เราจะบำรุงบำเรอด้วยของสิ่งทุกอย่าง  อยากได้อะไรก็หาให้  แต่พอเราตายมันกลับไม่ไปกับเรา  เมื่อเราตาย ร่างกายมันก็มีค่าเท่ากับท่อนไม้ท่อนหนึ่งเท่านั้น


ภรรยาคน ที่ 2 
 
ทรัพย์สมบัติ เพราะเวลาเรามีชีวิตอยู่  เราจะทำทุกอย่าง เพื่อให้ได้มันมา  แต่พอเราตาย มันกลับไม่ไปกับเรา  แต่ไปเป็นของคนอื่น 


ภรรยาคนที่ 3 
 
พ่อแม่ ลูกเมีย ญาติ พี่น้อง เพราะพอเราตาย  เขาจะทำศพให้เรา ทำบุญไปให้  แปลว่า เขาแค่ไปส่งเราเท่านั้น 


ภรรยาคนที่ 4 
 
บุญกับบาป เมื่อเราตายไป  เราไม่สามารถเอาอะไรไปด้วยได้  มีเพียงแค่บุญกับบาปเท่านั้น  ที่จะตามเราไป ..... 

19
บทความ บทกวี / บุญติดจรวด
« เมื่อ: 27 ก.ค. 2552, 01:05:04 »
อยากให้อ่านจนจบนะครับ ...

? อย่าหนีนะ เจ้าเด็กขี้ขโมย ?    เสียงผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งตะโกนลั่น พร้อมกับมีเด็กคนหนึ่งกับผู้หญิงอีกคนหนึ่งวิ่งผ่านฉันกับแม่ที่กำลังซื้อเนื้อหมูในตลาดไปอย่างรวดเร็ว ทั้งแม่และฉันหันไปดูทันเห็นหน้าผู้หญิงคนนั้น แค่แวบเดียว แม่ถามฉันว่า  ? อ้าวนั่นป้าร้านขายของไม่ใช่เหรอ ?
? ใช่จ้ะแม่ แกวิ่งไล่ใครกันละ ? ป้าคนนั้นชื่อว่า ? ป้าหนอม ? เป็นแม่ค้าขายของชำสารพัดอย่างในตัวตลาดในอำเภอที่ฉันอยู่มีฐานะจัดว่าดีกว่าแม่ค้าคนอื่นๆ ในละแวกเดียวกัน และเป็นที่รู้จักกันว่าแกเป็นคนที่ขี้เหนียวอย่างร้ายกาจ แถมปากจัดที่สุดในตลาดอีกด้วย ใครต่อราคาของมากเกินไปหรือถามราคาแล้วไม่ซื้อป้าแกจะโวยวาย ชนิดต้องรีบเผ่นออกจากร้านแทบไม่ทันทีเดียว
    เสียงเอะอะดังมากขึ้นฉันหันไปมองป้าหนอมจับข้อมือเด็กผู้ชายคนหนึ่งอายุประมาณ 12-13 ขวบไล่เลี่ยกับฉัน ซึ่งกำลังดิ้นรนอยู่ และป้าแกกำลังจะลงไม้ลงมือ แม่จึงเดินเข้าไปถาม
    ? พี่หนอม มีไรหรอคะ ?
    ?  ก็คุณเด็กเวรนี่นะสิ มันมา ทำทีขอซื้อยาแก้ปวดกับยาธาตุ พอฉันหยิบส่งให้ มันก็วิ่งหนีมาเลย เงินก็ไม่จ่าย ?  พูดจบป้าหนอมก็ตบหัวเด็กคนนั้นอย่างแรงหนึ่งที และคงจะมีตามมาอีกหลายทีแน่ถ้าแม่ฉันไม่ห้ามไว้
    ? ตายแล้วพี่หนอม อย่าถึงกับลงไม้ลงมือกันเลยนะ แล้วนี่จะทำไงต่อ ' แม่รีบตัดบทเพราะเห็นว่าเรื่องราวชักจะไปกันใหญ่
    ?  เรียกตำรวจมาเอามันไปเข้าคุกนะสิ เสียนิสัย พ่อแม่ไม่สั่งสอนยังเด็กตัวแค่นี้ก็รึจะเป็นขโมยซะแล้ว ต่อไปก็คงต้องปล้นเขากินหละ ?    ฉันสะกิดแม่ทันทีพร้อมกับมองพลางส่ายหัวน้อยๆ ทำนองว่าอย่าไปยุ่งดีกว่า
    แม่มองฉันแล้วมองเด็กคนนั้น ซึ่งท่าทางเหมือนกำลังจะร้องไห้แม่นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วหันไปพูดกับป้าหนอมว่า ? อย่าให้ถึงอย่างนั้นเลยนะพี่หนอมเด็กมันคงอยากซื้อยา แต่ไม่มีเงินนะ เอาเป็นว่าฉันจ่ายให้ละกันนะกี่บาทกันละ ? ในที่สุดเรื่องก็จบลงโดยการที่แม่ยอมจ่ายเงินค่ายา แก้ปวดกับยาธาตุแล้วแม่ก็จูงเด็กคนนั้นออกมาจากตลาด
    แต่ป้าหนอมยังไม่วายเตือนแม่ ? ใจดีกับเด็กขี้ขโมยแบบนี้ ระวังจะเสียใจทีหลังนะเธอ ?
    แม่ไม่ได้ตอบอะไรแต่พอเดินห่างจากร้านพอสมควรแล้วก็ถามว่า ? ทำไมหนูขโมยของป้าเขาละ ?
    เด็กคนนั้นเงยหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาขึ้นมองแม่ แล้วตอบสะอึกสะอื้นว่า
? แม่ผมปวดท้องมากเลยครับ แล้วแม่ก็ไม่มีเงินไปหาหมอผมก็เลยต้อง... ?
    แม่มองหน้าเด็กคนนั้นอยู่ครู่หนึ่ง แล้วยืนผลไม้ที่ซื้อมาให้เด็ก คนนั้นถุงหนึ่ง แล้วบอกว่า
? ทีหลังอย่าขโมยของใครนะ ถ้าไม่มีเงินมาขอเงินน้าไปซื้อก็ได้นะ น้าชื่อสมพรเปิดร้านเย็บผ้าอยู่ใกล้ๆนี่เองถามคนแถวนี้ก็ได้ รู้จักน้า แทบทุกคนเลยแหละ เอ้า...เอา ส้มไปฝากคุณแม่ซิคนป่วยนะต้องกินผลไม้มากๆ จะได้หายไวๆ รู้มั้ย ?  แม่เสริมพร้อมกับยิ้ม เด็กคนนั้นอึ้งอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะรับส้ม พร้อมกับพูดขอบคุณแม่แล้วเดินจากไป
    หลังจากนั้นพอกลับมาถึงบ้าน ฉันก็ถามแม่ทันที ? ทำไมแม่ต้องช่วยเด็กคนนั้นด้วยละ รู้จักกันหรอจ้ะ ?
    แม่ยิ้มแล้วตอบฉันว่า ? ไม่รู้จักหรอก แต่แม่เห็นเด็กคนนั้นรับจ้างหาบขนมขาย อยู่แถวบ้านเราน่ะลูก แต่แกคงจำแม่ไม่ได้หรอกแม่ซื้อขนมแกอยู่ไม่กี่ครั้งเอง ?      ? แต่นั้นก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะต้องช่วยเหลือเขาถ้าเขาเป็นขโมยนี่แม่ ? ฉันถามต่อ 
 แม่มองหน้าฉันแล้วพูดว่า ? แม่เชื่อว่าเด็กที่เคยหาเงินด้วยตัวเองมาก่อนตั้งแต่อายุเท่าๆกับลูก จะต้องเป็นเด็กที่มีความรับผิดชอบรู้คุณค่าของเงินทุกบาททุกสตางค์ว่ากว่าจะได้มามันเหนื่อยยากขนาดไหนและคนที่มีความรับผิดชอบนะ จะไม่มีทางขโมยของใครนอกจากจะจำเป็นจริงๆ
เมื่อเขาไม่มีทางอื่นให้เลือกแล้วเท่านั้น ?
     ฉันฟังแล้วก็ถามแม่ต่อว่า ? แล้วต่อไปถ้าเขามาขอเงินแม่ไปซื้อยาอีก แม่จะให้เขารึเปล่า ?    ? ให้สิลูกถ้ามันไม่มากไม่มายอะไร  ?    ? แล้วแม่ไม่เสียดายเงินหรอบ้านเราก็ไม่ได้ร่ำรวยเหมือน บ้านป้าหนอมเขานะแม่ ?    ? ถึงแม่จะไม่มีเงินทองมากนักแต่การที่ได้ช่วยเหลือคนที่กำลังลำบากน่ะ มันทำให้แม่มีความสุขแล้วยังได้บุญอีกด้วยนะ แค่นี้แม่ก็พอใจแล้ว ไม่อยากได้อะไรตอบแทนหรอก ?
แล้วแม่ก็พูดต่ออีกว่า  ? จำไว้นะลูก คนเรานะต้องรู้จักให้อภัยและให้โอกาสคน อื่นแก้ตัวเสมออย่างเด็กคนนั้น..แม่มั่นใจว่าแกทำไปเพราะรักคุณแม่ของแกจริงๆ แม่ถึงช่วยแกเอาไว้ ลูกอาจจะบอกว่าขโมยเป็นสิ่งทีผิด ใช่...แม่ไม่เถียงแต่บางครั้ง คนเราก็ต้องมองด้านอื่นๆบ้าง อย่าคิดแต่เรื่องทรัพย์สินเงินทอง ตอนนี้ลูกอาจจะยังฟังไม่เข้าใจ แต่แม่เชื่อว่าสักวันลูกจะเข้าใจเองแหละ ?หลังจากนั้น ฉันกับแม่ก็หันไปคุยเรื่องอื่นๆกันต่อ ฉันเองไม่เคยคิดเรื่องนี้อีกเลย จนเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้น ทำให้ฉันต้องย้อนกลับมาคิดถึงเรื่องนี้อีก ครั้งทั้งน้ำตา ว่าคำพูดของแม่ในครั้งนี้ถูกต้องที่สุดจริงๆ
    หลังจากนั้นฉันเรียนจบระดับปริญญาตรีจากสถาบันราชภัฏแห่งหนึ่งในตัวจังหวัด แล้วฉันก็ได้งานทำในโรงงานในตัวจังหวัดนั้นเอง เงินเดือนก็พอประมาณ สามารถเลี้ยงดูแม่ได้โดยไม่ขัดสนนัก ฉันก็เลยขอร้องให้แม่หยุดรับจ้างเย็บผ้าเพราะอยากให้แม่พักผ่อนบ้าง หลังจากทำงานหนักมาเกือบ 20 ปีเพื่อส่งฉันเรียน แม่ยอมปิดร้าน แต่ก็ยังรับงานเล็กๆ น้อยๆของเพื่อนบ้านมาทำบ้างโดยไม่คิดเงิน แม่บอกว่าถ้าไม่ได้ทำอะไรเลยจะรู้สึกเบื่อ ฉันก็เลยต้องยอมตามใจแม่

    ฉันทำงานอยู่ประมาณ 2-3 ปี แม่ก็เริ่มรู้สึกไม่สบายเริ่มจาก ปวดหัวบ่อยขึ้น ช่วงแรกๆไม่กี่วันก็หายหลังจากนั้นก็เริ่มเป็นนานขึ้นเรื่อยๆ ฉันบอกให้แม่ไปหาหมอแล้วฉันก็พาแม่ ไปหาหมอในเมืองหมอบอกว่าไม่เป็นอะไรมาก แค่ทำงานหนัก มากเกินไปหมอให้ยามาชุดหนึ่งพร้อมกำชับให้พักผ่อนมากๆ จะได้หายเร็วๆ
    หลังจากกินยาตามที่หมอสั่งอาการปวดหัวของแม่ก็หายไป ฉันเริ่มสบายใจขึ้น แต่หลังจากไปหาหมอได้ประมาณหนึ่งเดือน แม่ก็เริ่มกลับมาปวดหัวอีกคราวนี้เป็นหนักมากกว่าครั้งที่แล้ว
ยาที่เคยกินแล้วได้ผลมาก่อนก็ไม่ได้ผลเลย ฉันกังวลใจมากพอถามหมอหมอก็บอกว่าต้องไปตรวจ
ที่โรงพยาบาลในกรุงเทพฯเพราะว่าเครื่องไม้เครื่องมือพร้อมกว่า โรงพยาบาลต่างจังหวัด
    หลังจากนั้นฉันรีบพาแม่ไปกรุงเทพฯทันที ไปยังโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งหลังจากหมอตรวจแล้วบอกว่า มีเนื้องอกในสมองต้องผ่าตัดโดยด่วน หากปล่อยทิ้งไว้อาจไปทับเส้นประสาททำให้เป็นอัมพาตได้ หรือถ้าผ่าตัดไม่ทันก็อาจร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิต ฉันตกใจมากขอให้หมอผ่าตัดให้ทันทีแต่หมอบอกว่าโรงพยาบาลที่มีหมอผ่าตัดสมองที่มีความพร้อมที่จะผ่าตัดเนื้องอกในสมองเป็นอีกโรงพยาบาลหนึ่งซึ่งมีชื่อเสียงมากกว่า
    ดังนั้นหมอจึงต้องส่งตัวคนไข้ไปยังโรงพยาบาลนั้น ฉันก็ตกลง หลังจากแม่ถูกส่งตัวมายังโรงพยาบาลดังกล่าวแล้ว แม่ก็ถูกส่งตัวเข้าห้องผ่าตัดทันที ขณะที่ฉันรออย่างกังวลใจอยู่ด้านนอก ทั้งเรื่องอาการป่วยของแม่และจากคำพูดของหมอ ที่ทิ้งท้ายไว้ก่อนส่งตัวแม่มาที่โรงพยาบาลแห่งนี้
    หมอบอกให้ทำใจไว้บ้าง เพราะการผ่าตัดสมองเป็นการผ่าตัดที่เสี่ยงมาก โอกาสที่คนไข้จะเสียชีวิตมีมาก แม้การผ่าตัดจะประสบความสำเร็จก็ตาม อีกเรื่องก็คือค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดสมอง
ค่อนข้างสูง   เป็นหลักแสนบาท เมื่อรวมกับค่ายาระหว่างพักฟื้น คิดแล้วน่าจะต้องใช้เงินราวๆ ห้าแสนบาท ฉันได้ยินแล้วแทบลมจับ ฉันจะไปหาเงินห้าแสนบาทมาจากไหน ลำพังเงินเก็บของฉันกับแม่ยังมีไม่ถึงห้าหมื่นบาทเลย แต่ยังไงฉันก็ต้องรักษาแม่ให้หายส่วนเรื่องเงินไว้คิดทีหลัง
    หลังการผ่าตัดเสร็จสิ้นลงเป็นโชคดีของแม่ทีการผ่าตัดประสบผลสำเร็จและไม่มีอาการแทรกซ้อนใดๆทางโรงพยาบาล บอกให้พักฟื้นประมาณหนึ่งเดือนก็สามารถไปพักฟื้นที่บ้านได้
    ทางโรงพยาบาลแจ้งรายการค่าใช้จ่ายทั้งหมดมาให้ฉัน ปรากฏว่า เป็นเงินจำนวนไม่ถึงหนึ่งพันบาทเป็นค่าติดต่อประสานงานเท่านั้น ฉันแปลกใจมากจึงสอบถามกับนางพยาบาล นางพยาบาลบอกว่า คุณหมอที่เป็นคนผ่าตัดและเป็นเจ้าของไข้ บอกไม่ให้คิดเงินกับฉันและแม่ โดยที่ทางโรงพยาบาลก็ไม่ทราบสาเหตุ
    ฉันจึงขอพบคุณหมอคนนั้นเพื่อขอบคุณ นางพยาบาลบอกว่าหลังจากเสร็จคุณหมอก็ถูกส่งตัวไปต่างประเทศทันทีเพื่อศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการผ่าตัดสมองที่อเมริกา แต่คุณหมอได้ฝากจดหมายไว้ให้ฉันกับแม่ โดยกำชับกับทางโรงพยาบาลให้ฝากให้ฉัน พร้อมกับใบเสร็จค่าใช้จ่ายอื่นๆ ของทางโรงพยาบาลในวันที่แม่สามารถออกจากโรงพยาบาลได้ เมื่อกลับถึงบ้าน ฉันกับแม่ก็เปิดอ่านจดหมายของคุณหมอคนนั้น เมื่ออ่านจบทั้งฉันและแม่ก็ร้องไห้ออกมาพร้อมกัน

เนื้อความในจดหมายมีดังนี้

    ข้าพเจ้านายแพทย์เดชา ทองวิจิตร แพทย์ผู้ผ่าตัด นางสมพร   ภู่จันทร์
ขอสรุปค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดทั้งหมดดังนี้
    ค่าผ่าตัด                                   0 บาท
ค่ายาทั้งหมด                            0 บาท
ค่าใช้จ่ายอื่นที่เหลือ                 0 บาท
รวมเป็นเงินทั้งหมด                 0 บาท

ป.ล. ค่าใช้จ่ายทั้งหมดได้รับแล้ว เมื่อยี่สิบปีก่อนด้วย ยาแก้ปวด ยาธาตุ และส้มหนึ่งถุง ขอให้สุขภาพแข็งแรงไปอีกนานๆ นะครับคุณน้า

                              นายแพทย์เดชา ทองวิจิตร

ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความ
และเพื่อนที่ FW Mail ดีๆมาให้
ที่ลืมไม่ได้ขอบคุณท่านที่อ่านจนจบ



20
บทความ บทกวี / Friends
« เมื่อ: 24 ก.ค. 2552, 01:26:55 »
เรื่องเล่า ว่า.... มีคน 2 คนเป็นเพื่อนซี้กัน..
ต่างร่วมเดินทางไปในทะเลทรายด้วยกัน... ระหว่างทาง... เกิดโต้เถียงขัดแย้งไม่เข้าใจกัน
เพื่อนคนหนึ่ง...พลั้งลงมือ...ตบหน้าอีกฝ่ายคนถูกทำ ร้าย...เจ็บปวด...แต่ไม่เอ่ยวาจา...
กลับเขียนลงบนผืน ทรายว่า "วันนี้...ฉันถูกเพื่อนรักตบหน้า"
พวกเขายังคงเดินทางต่อ...กระทั่งถึงแหล่งน้ำพวกเขา
ตัดสินใจอาบน้ำ...ชำระกาย...พลันคนที่ถูกตบหน้ากลับจมน้ำ...
เพื่อนอีกคนไม่รั้งรอ...เ ข้าช่วยชีวิต คนรอด ตาย...ยังคงไม่เอ่ยวาจา...กลับสลักลง ไปบนหินใหญ่... "
วันนี้...เพื่อนรักช่วยชีวิตฉัน ไว้"อีกคนไม่เข้าใจ...ถาม ว่า... "
เมื่อถูกฉันตบหน้า...เธอเขียนลงทราย...แล้วทำไมเมื่อครู่...ต้องสลักบน
หิน"อีกคนยิ้มพราย...กล่าว ตอบ " เมื่อถูกเพื่อนรักทำร้าย...เราควรเขียนมันไว้บนทราย
ซึ่งสายลมแห่งการให้อภัย...จะทำหน้าที่พัดผ่าน...ลบ ล้างไม่ เหลือ
แต่เมื่อมีสิ่งที่ดีมากมาย... บังเกิดเราควรสลักไว้บน ก้อนหินแห่งความทรงจำในหัวใจ...
ซึ่งจะไม่มีสายลมแรงเพียงใด...ลบล้างทำลาย...."

หน้า: [1]