กระดานสนทนาวัดบางพระ
ยินดีต้อนรับคุณ,
บุคคลทั่วไป
กรุณา
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
1 ชั่วโมง
1 วัน
1 สัปดาห์
1 เดือน
ตลอดกาล
เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
หน้าแรก
กระดานสนทนา
เข้าสู่ระบบ
สมัครสมาชิก
กระดานสนทนาวัดบางพระ
»
หมวด เส้นทางสายบุญ
»
เส้นทางสายบุญตามภาคต่างๆ ของไทย และเส้นทางสายบุญในต่างประเทศ
»
เส้นทางสายบุญภาคกลางและภาคตะวันตก
»
วัดพระแก้ว... กรุงเทพมหานคร
ส่งหัวข้อนี้
พิมพ์
หน้า: [
1
]
ลงล่าง
ผู้เขียน
หัวข้อ: วัดพระแก้ว... กรุงเทพมหานคร (อ่าน 9621 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
ธรรมะรักโข
มีสติ...กำหนดรู้...อยู่ที่จิต
อัฏฐมะ
กระทู้: 749
เพศ:
ผู้รักษาธรรม
วัดพระแก้ว... กรุงเทพมหานคร
«
เมื่อ:
11 ธ.ค. 2552, 03:17:13 »
พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร
วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) กรุงเทพฯ
พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร หรือ พระแก้วมรกต
พระประธานคู่บ้านคู่เมือง เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ ขัดสมาธิราบ
มีเส้นจีวรคาดเข่าทั้งสองข้าง พระองค์อวบอ้วน พระพักตร์กลมอูม
พระขนงโก่ง หลังพระเนตรอูม พระนาสิกโด่ง พระโอษฐ์บางสลักขอบทั้งสองเส้น
พระหนุเป็นปม พระรัศมีซึ่งอยู่เหนือพระเกตุมาลาเป็นต่อม
ชายสังฆาฏิยาว ฐานรองรับเป็นฐานเขียง มีหน้ากระดานโค้งออกข้างนอก
ทำด้วยมณีสีเขียวเนื้อเดียวกันทั้งองค์ หน้าตักกว้าง ๔๘.๓ เซนติเมตร
สูงตั้งแต่ฐานเฉพาะทับเกษตรถึงพระเมาลี ๒๖ เซนติเมตร
และสูงตั้งแต่ฐานถึงยอดพระเศียร ๖๖ เซนติเมตร
ประดิษฐานอยู่ในบุษบกทองคำ ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม
(วัดพระแก้ว) ในพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพฯ
จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์พอรวบรวมได้ว่า
องค์พระแก้วมรกตสร้างขึ้นในประมาณปีพุทธศักราช ๕๐๐
โดยพระนาคเสนเถระ เมืองปาฏลีบุตร รัฐปัตนะ อินเดีย
สถิตอยู่ได้ประมาณ ๓๐๐ ปี ต่อมาในสมัย พระเจ้าสิริกิติกุมาร
เกิดสงครามกับพวกนอกศาสนา จึงได้อัญเชิญพระแก้วมรกต
ไปประดิษฐานไว้ที่เกาะลังกา ในประมาณปีพุทธศักราช ๘๐๐
และสถิตอยู่ที่เกาะลังกามาเป็นเวลานานถึง ๒๐๐ ปี
ต่อมาในปี พ.ศ.๑๐๐๐ พระเจ้าอนุรุทธมหาราช หรืออโนรธามังช่อ
แห่งพุกาม ประเทศพม่า ซึ่งมีพระเดชานุภาพมาก ได้ส่งพระเถระ
ไปขอพระไตรปิฎกและพระแก้วมรกต โดยให้บรรทุกเรือสำเภามา
แต่ระหว่างทางเกิดลมพัดแรงจึงถูกพายุพัดพาไปที่กัมพูชา
ภายหลังพระเจ้าอนุรุทธมหาราชได้ส่งคนไปขอพระแก้วมรกตคืน
แต่พระนารายณ์วงศ์แห่งกรุงกัมพูชาให้คืนมาแต่พระไตรปิฎก
แต่ไม่คืนพระแก้วมรกตมาด้วย
ต่อมาเกิดน้ำท่วมที่กัมพูชาจึงได้อัญเชิญพระแก้วมรกต
มาที่เมืองอินทปัฐ นครวัด และประดิษฐานเป็นเวลา ๓ เดือนเศษ
ในปีพุทธศักราช ๑๘๙๐ ได้มีผู้อัญเชิญพระแก้วมรกตมาที่กรุงศรีอยุธยา
ในรัชสมัยของ สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง)
และในช่วงรัชสมัยของ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช
ซึ่งทรงครองราชย์ครั้งที่ ๒ นั้น ได้มีการปราบปรามกรุงสุโขทัยให้เป็นเมืองขึ้น
ขณะนั้นเมืองวชิรปราการ (กำแพงเพชร) ซึ่งเป็นหัวเมืองหนึ่งแห่งกรุงสุโขทัย
จึงต้องตกเป็นของกรุงศรีอยุธยาด้วย
ซึ่งต่อมากรุงศรีอยุธยาได้ส่งขุนนางผู้ใหญ่คือ พระยาญาณดิศ
ไปปกครองเมืองกำแพงเพชร นางจันทร์ผู้เป็นมารดาของพระยาญาณดิศ
ได้อัญเชิญพระแก้วมรกตไปด้วย ซึ่งที่เมืองกำแพงเพชรนี้เองที่สันนิษฐานว่า
พระแก้วมรกตได้ประดิษฐานอยู่ ณ วัดพระแก้ว
ซึ่งปัจจุบันตั้งอยู่ในบริเวณอุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร จ.กำแพงเพชร
โดยด้านทิศเหนือของวัดสร้างติดกับบริเวณวังโบราณ (สระมน)
วัดพระแก้วนี้จัดได้ว่าเป็นวัดที่มีขนาดใหญ่ ไม่มีพระสงฆ์พำนักจำพรรษา
โดยจะมีเฉพาะเขตพุทธาวาสเท่านั้น เช่นเดียวกับที่
วัดมหาธาตุ สุโขทัย และวัดพระศรีสรรเพชญ์ พระนครศรีอยุธยา
เชื่อกันว่าเดิมนั้นพระแก้วมรกตได้ประดิษฐานอยู่ตอนหน้าสุดของวัด
โดยจะมีฐานไพทีขนาดใหญ่ก่อด้วยศิลาแลง ด้านบนมีฐานมณฑปย่อมุม
แต่ปัจจุบันส่วนยอดได้หักพังหมดแล้ว ซึ่ง ณ ตรงนี้เองที่เชื่อกันว่า
ในอดีตเป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกต และในตำนานพระพุทธสิหิงค์
ได้กล่าวไว้ว่า พระแก้วมรกตมาประดิษฐานที่เมืองกำแพงเพชร
ในสมัยพระยาญาณดิศเป็นเจ้าเมือง ซึ่งถือได้ว่าเป็นพระญาติวงศ์กับกษัตริย์อยุธยา
ภายหลังพระยาญาณดิศ ได้มอบพระแก้วมรกตให้กับ เจ้ามหาพรหม
แห่งเมืองเชียงราย เมื่อปีพุทธศักราช ๑๙๗๙
ซึ่งในเวลานั้นเมืองเชียงรายเกิดความระส่ำระส่าย
เจ้าเมืองเชียงรายหวังจะซ่อนพระแก้วมรกตให้พ้นจากสายตาของศัตรู
จึงได้เอาปูนทาพร้อมลงรักปิดทอง แล้วนำไปบรรจุไว้ในพระเจดีย์
ที่ วัดพระแก้ว เชียงราย ซึ่งแต่เดิมชาวบ้านเรียกกันว่า วัดป่าเยี้ยะ
และสถิตอยู่ที่วัดพระแก้วเชียงรายเป็นเวลา ๔๕ ปี
จากนั้นก็อัญเชิญลงมาประดิษฐานที่ลำปางอีกเป็นเวลา ๓๒ ปี
ณ วัดพระแก้วดอนเต้าสุชาดาราม ตั้งแต่ปี พ.ศ.๑๙๗๙-๒๐๑๑
จากลำปางอัญเชิญขึ้นเหนือไปประดิษฐานที่ วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร
ต.พระสิงห์ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ เป็นเวลา ๘๕ ปี
จากเชียงใหม่ไปประดิษฐานที่เมืองเวียงจันทน์ ๒๒๕ ปี
แต่เก่าก่อนตอนปลายสมัยกรุงศรีอยุธยา
เมืองเวียงจันทน์ตกเป็นเมืองขึ้นของกรุงศรีอยุธยา
ครั้งเมื่อกรุงศรีอยุธยามีศึกหนักกับพม่าจนตกเป็นเมืองขึ้นของพม่า
ทางเวียงจันทน์ถือโอกาสแข็งเมืองแยกตัวเป็นอิสระ
จนกระทั่ง สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช กอบกู้เอกราชได้
และตั้งราชธานีใหม่ จึงได้ส่ง เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก
ไปตีเมืองเวียงจันทน์ให้กลับมาเป็นเมืองขึ้นเหมือนเดิม
ศึกครั้งนั้นทัพของเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกได้รับชัยชนะโดยเด็ดขาด
ก่อนได้อัญเชิญ พระแก้วมรกต กลับคืนสู่แผ่นดินไทย
ครั้งแรกเมื่ออัญเชิญพระแก้วมรกตกลับมายังประเทศไทยในสมัยกรุงธนบุรี
ได้อัญเชิญไปประดิษฐานไว้ที่ วิหารน้อย วัดอรุณราชวราราม
ประดิษฐานอยู่ที่วัดอรุณราชวราราม กรุงเทพฯ เป็นเวลา ๕ ปี
เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกเมื่อชนะศึกเมืองเวียงจันทน์
และได้อัญเชิญพระแก้วมรกตกลับมาก็เกิดความยินดี
ดั่งว่าพระแก้วมรกตเป็นพระคู่บารมีคู่บ้านคู่เมือง
ครั้นเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์
ได้สำเร็จ และได้ตั้งเมืองขึ้นใหม่มีชื่อว่า กรุงรัตนโกสินทร์
พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรขณะทรงเครื่องฤดูฝน
พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรขณะทรงเครื่องฤดูหนาว
พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรขณะทรงเครื่องฤดูร้อน
รวมระยะเวลาที่องค์พระแก้วมรกตประดิษฐานอยู่ในประเทศไทย
ตั้งแต่ปีพุทธศักราช ๒๓๒๑ จนถึงปัจจุบันนี้เป็นเวลา ๒๒๗ ปี
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑
มีพระราชศรัทธาสร้างเครื่องทรงถวายพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร
เพื่อเป็นพุทธบูชา สำหรับฤดูร้อนและฤดูฝน
เครื่องทรงสำหรับฤดูร้อน เป็นเครื่องต้นประกอบด้วยมงกุฎพาหุรัด
ทองกร พระสังวาล เป็นทองลงยา ประดับมณีต่างๆ จอมมงกุฎประดับด้วยเพชร
เครื่องทรงสำหรับฤดูฝน เป็นทองคำ เป็นกาบหุ้มองค์พระอย่างห่มดอง
จำหลักลายที่เรียกว่าลายพุ่มข้าวบิณฑ์ พระเศียรใช้ทองคำเป็นกาบหุ้ม
ตั้งแต่ไรพระศกถึงจอมเมาฬี เม็ดพระศกลงยาสีน้ำเงินแก่
พระลักษมีทำเวียนทักษิณาวรรต ประดับมณีและลงยาให้เข้ากับเม็ดพระศก
ต่อมาพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓
ทรงสร้าง เครื่องทรงสำหรับฤดูหนาว ถวายอีกชุดหนึ่ง
ทำด้วยทองเป็นหลอดลงยาร้อยด้วยลวดทองเกลียว
ทำให้ไหวได้ตลอดเหมือนกับผ้า ใช้คลุมทั้งสองพาหาขององค์พระ
บุษบกทองที่ประดิษฐานพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร
สร้างด้วยไม้สลักหุ้มทองคำทั้งองค์ ฝังมณีมีค่าสีต่างๆ ทรวดทรงงดงามมาก
เป็นฝีมือช่างรัชกาลที่ ๑ เดิมบุษบกนี้ตั้งอยู่บนฐานชุกชี
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้สร้างพระเบญจาสามชั้นหุ้มด้วยทองคำ สลักลายวิจิตรหนุนองค์บุษบกให้สูงขึ้น
บนฐานชุกชีด้านหน้าประดิษฐาน พระสัมพุทธพรรณี
เป็นพระพุทธรูปที่คิดแบบขึ้นใหม่ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
รัชกาลที่ ๔ โดยไม่มีเมาฬี มีรัศมีอยู่กลางพระเศียร
จีวรที่ห่มคลุมองค์พระเป็นริ้ว พระกรรณเป็นแบบหูมนุษย์ธรรมดาโดยทั่วไป
หน้าฐานชุกชีประดิษฐานพระพุทธปฏิมากรฉลองพระองค์รัชกาลที่ ๑ และรัชกาลที่ ๒
องค์ด้านเหนือพระนามว่า พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
องค์ด้านใต้พระนามว่า พระพุทธเลิศหล้านภาลัย
พระพุทธรูปทั้ง ๒ พระองค์นี้ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
รัชกาลที่ ๓ โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์สูง ๓ เมตร
ทรงเครื่องแบบจักรพรรดิหุ้มทองคำ เครื่องทรงเป็นทองคำลงยาสีประดับมณี
พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร หรือที่คนไทยรู้จักกันดีในนาม พระแก้วมรกต
ถือได้ว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองไทยมาช้านาน
ดังมีใจความในหนังสือเรื่อง ตำนานพระแก้วมรกต
ที่ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔
ได้ทรงพระราชนิพนธ์สำหรับอาลักษณ์อ่านในพระอุโบสถ
วัดพระศรีรัตนศาสดาราม วันสวดมนต์เย็น พระราชพิธีศรีสัจจปานกาล
พิมพ์ในหนังสือตำนานพระแก้วมรกตฉบับสมบูรณ์ ของสำนักพิมพ์บรรณาคาร
(พ.ศ.๒๕๐๔) กล่าวถึงพระราชพิธีตอนสถาปนาพระนคร
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ความว่า...
...ชีพ่อพราหมณ์ ตั้งพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเฉลิมพระราชมณเฑียร
แลสมโภชพระอารามกับทั้งพระนครถ้วนคำรบสามวันเป็นกำหนด
จึงพระราชทานนามพระนครใหม่ให้ต้องกับพระนามพระพุทธรัตนปฏิมากรว่า
กรุงเทพมหานครอมรรัตนโกสินทร์มหินทราอยุธยาบรมราชธานี
เพราะเป็นที่เก็บรักษาพระมหามณีรัตนปฏิมากรองค์นี้ไว้เป็นเครื่องสิริ
สำหรับพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์ผู้สร้างพระนครนี้...
ข้อความข้างต้นจึงมีความชัดเจนเกี่ยวกับความหมายของพระแก้วมรกต
ในฐานะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของกรุงรัตนโกสินทร์
ซึ่งถือได้ว่าเป็นศูนย์กลางการปกครองของสยามประเทศแห่งใหม่
ต่อจากกรุงศรีอยุธยาและกรุงธนบุรี
วัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือวัดพระแก้ว
เป็นวัดที่สำคัญและเป็นที่เชิดหน้าชูตาของเมืองไทย
ตลอดจนเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของประเทศ
ที่มีนักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวชมอยู่ไม่ขาดสาย
ด้านหน้าวัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว)
ภายในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว)
ขอบคุณที่มาจาก http://www.agalico.com
แจ้งลบกระทู้นี้หรือติดต่อผู้ดูแล
บันทึกการเข้า
peachsama
คณินวัฒน์ สิทธิสงคราม พุ่มทิพย์ร่วมสาธุครับ
สัตตมะ
กระทู้: 1513
เพศ:
อำนาจ วาสนา บารมีดี เพราะมีแรงครู รายอกะจิ วันทามิ
ตอบ: วัดพระแก้ว... กรุงเทพมหานคร
«
ตอบกลับ #1 เมื่อ:
11 ธ.ค. 2552, 10:32:36 »
ถ้าให้ดูจากตำนานเราจะพบว่าท่านแทบจะเป็นพระพุทธรูปที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศไทยหรืออาจจะในโลกขอรับ ตามตำนานนะ
แจ้งลบกระทู้นี้หรือติดต่อผู้ดูแล
บันทึกการเข้า
ตั้งกระทู้ไม่ได้ครับ
วัดถ้ำเมืองนะ
www.watthummuangna.com/seamsee
ศาสนสุภาษิต "สรรพทานัง ธรรมทานัง ชินาติ"
ศิษย์บางพระ:บูรพาจารย์หลวงพ่อเปิ่น ฐิตะคุโณเป็นธงชัย
นำไปสู่สำเร็
หลังฝน..
สัตตมะ
กระทู้: 310
เพศ:
ทุกอย่างมีเหตุและผลเสมอ
ตอบ: วัดพระแก้ว... กรุงเทพมหานคร
«
ตอบกลับ #2 เมื่อ:
12 ธ.ค. 2552, 12:28:56 »
ขอบคุณสำหรับ ข้อมูลดีๆอีกแล้วครับท่าน
แจ้งลบกระทู้นี้หรือติดต่อผู้ดูแล
บันทึกการเข้า
ความพยายามนั้นมีอยู่จริงในตัวตนของเรา สุดแท้แต่ความพยายามนั้นจะถูกดึงออกมาใช้ได้มากน้อยแต่เพียงใด
ส่งหัวข้อนี้
พิมพ์
หน้า: [
1
]
ขึ้นบน
กระดานสนทนาวัดบางพระ
»
หมวด เส้นทางสายบุญ
»
เส้นทางสายบุญตามภาคต่างๆ ของไทย และเส้นทางสายบุญในต่างประเทศ
»
เส้นทางสายบุญภาคกลางและภาคตะวันตก
»
วัดพระแก้ว... กรุงเทพมหานคร