แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - เอก นนทบุรี

หน้า: [1]
1
นานๆเข้ามาทีเลยขอนำเรื่องราวการ สร้างตระกรุดหนังเสือของหลวงปู่เเย้ม วัดตะเคียนมาให้พี่ๆน้องๆในที่นี้ได้ทราบกัน เเละเพื่อเป็นการเผยเเพร่เกียรติคุณของหลวงปู่เเย้ม วัดตะเคียนเเก่ทุกท่านที่รักเคารพ ศรัทธา ในองค์หลวงปู่ครับ                                                                                                                                                                                                                        การสร้างตะกรุดหนังเสือ หลวงปู่แย้ม วัดตะเคียน
   ตะกรุดหนังเสือหลวงปู่แย้ม วัดตะเคียน จ.นนทบุรี
การจารตะกรุดของท่าน ท่านจะถือเรื่องของฤกษ์ยามเป็นสำคัญที่สุด
ส่วนในวันเสาร์ ๕ ปี ๕๐ เป็นเพียงแค่ฤกษ์งามยามดี ที่ฤกษ์พิเศษ
เท่านั้น แต่ปกติแล้วท่านจะมีเวลาฤกษ์งามยามดีประจำตัว(เพชรฆาตฤกษ์) ที่ยึดถือมาแต่โบราณ ยามในแต่ละวัน ท่านจะอาศัยยามอุบากอง หรือ ยามพม่าแหกทัพ ซึ่งท่านยึดถือมาก และใช้เป็นประจำจนถึงกับท่านสักเหมือนคล้ายสักยันต์เป็นรูปตารางเวลาของยันต์อุบากองไว้ ที่หน้าขาของท่าน ก็มักได้ยินท่านพูดว่า เวลานี้สองศูนย์ พูนสวัสดิ์ ท่านก็จะลงมือจารตะกรุดหนังเสือเลย แต่ถ้าช่วงเวลาไหน เป็นวันไม่ดีหรือยามไม่ดีด้วยแล้ว ท่านจะไม่เขียนเลย
   
   
________________________________________

   ก่อนนี้การทำตะกรุดหนังเสือท่านจะใช้ให้ลูกศิษย์ตัดหนังออกเป็นชิ้นๆ ตามขนาดของตะกรุด ครั้งละไม่กี่ดอก พอมาระยะหลัง สุขภาพท่านไม่ค่อยดี โดยเฉพาะปอด จากการที่ท่านชราภาพ จึงไม่ตัดหนังเสือเป็นชิ้นๆ เพราะกลัวว่าเศษของขนเสือจะปลิว แล้วท่านจะสูดเข้าไป เป็นอันตรายต่อสุขภาพของท่าน ระยะหลังจึงใช้วิธี ตีเป็นตารางแบบตารางหมากรุก แล้วท่านก็จารยันต์ไปตามช่องแต่ช่องจนหมด การจารตะกรุดส่วนใหญ่ เพื่อความสะดวกเขียนง่ายจึงใช้ปากกา
เมจิก มีทั้งหมึกดำ หมึกแดง และหมึกน้ำเงิน ซึ่งเป็นปากกาเมจิกแบบลบไม่ได้
   
________________________________________

   เมื่อเริ่มลงมือจารตะกรุด ก่อนจารท่านจะกราบไหว้บูชาพระพุทธรูป หลวงพ่อธรรมจักรที่ท่านนับถือ เป็นชีวิตจิตใจก่อน ( พระพุทธรูปยืน ปางห้ามญาติ ) จากนั้นท่านก็จะเอาปากกา มาเสกก่อน เพื่อให้ปากกานั้นเป็นเหล็กจารศักดิ์สิทธิ์ เมื่อเขียนยันต์ซึ่งหลวงปู่ เรียกว่า เส้นสายพระโลหิตของพระพุทธเจ้า ก่อนจะทำอะไรจึงต้องขออนุญาต เพื่อให้เกิดความสัมฤทธิผลซะก่อน โดยท่านเสกปากกา ด้วยบทที่ว่า นามมะนัง สมาโส ยุตตะโถ ยุตตะถะแห่งนามมะ ชื่อว่า นะโมพุทธายะ ปัญจอักขระ กะโรโหติ สัมภะโว จงบังเกิดเป็นนะโมพุทธายะ จากนั้นท่านก็จะจารยันต์ ซึ่งเรียกว่ายันต์มหาเบา เป็นตัว อะ รูปคล้าย ร- เรือ ๒ ตัว และมีวงกลมล้อมรอบ ๓ วง ตอนท่านเขียนยันต์เป็นตัวอะ ท่านจะว่าด้วยคาถายันต์มหาเบา ว่าดังนี้ ปะถะมัง ปะฉะการัง พระอะระหัง ........ พระระโหถาปะการะยัง พระอะระหัง ........

   
________________________________________

   เมื่อจบเขียนตัว อะ ท่านก็จดปากกาเพื่อวงกลมต่อ ๓ วง โดยท่านเขียนจะกลึงด้วยบทที่ว่า พุทธัง ปิดตุอุดทวารัง พระอะระหัง ปิดตุอุดทวารัง อุด ธัมมัง ปิดตุอุดทวารัง พระอะระหัง ปิดตุอุดทวารัง อุด สังฆัง ปิดตุอุดทวารัง พระอะระหัง ปิดตุอุดทวารัง อุด ทุกดอกท่านจะจารด้วยบทนี้หมด ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นยันต์มหาเบาเป็นหลัก แต่ถ้าจะมียันต์พิเศษขึ้นมา ท่านอาจจะจารเพิ่มว่า มะโมพุทธายะ และ นะมะพะทะ ธาตุทั้ง ๔ ก็แค่นั้นเอง
   
________________________________________

   เมื่อท่านจารเสร็จ ท่านก็จะปลุกด้วยบทเสือสังมังสะ จนบังเกิดเป็น………………เหตุที่ท่านต้องปลุกหนังเสือก็เพราะว่า เสือมันเป็นสัตว์เดรัจฉานที่มีตบะ มีเดช มีบารมี ซึ่งส่วนใหญ่จะตายโหง ถูกยิง ไม่มีหรอกที่แก่ตาย วิญญานพวกนี้จึงแรงมาก ถึงสังขารจะแตกดับไปแล้ว แต่ธาตุรู้ วิญญานเขายังมีอยู่ ท่านก็จะสะกดนำเอาธาตุรู้หรือภูติพวกนี้ให้คลายฐิทิ ให้มาร่วมบุญ ร่วมกุศลกับท่านเพราะสังขารของเขาสามารถเกื้อ *** ลสร้างถาวรวัตถุให้เกิดในพุทธศาสนานี้ได้ เป็นมหากุศลกับเขาขึ้นไปอีก

   
________________________________________

   การปลุกของท่าน ก็คือการปลุกธาตุรู้ของเขา หมายถึงเสือขึ้นมา เพื่อให้สำแดงพลัง เกิดอาการเหมือนกับวิญญานเทพ ดลบรรดาลให้บังเกิดฤทธิ์นานาประการ โดยมีตัวยันต์มหาเบา เป็นตัวกำกับว่าให้เกิดฤทธิ์ไปทางใด ซึ่งยันต์ของหลวงปู่ส่วนใหญ่จะมีฤทธิ์ไปทางอยู่ยงคงกระพัน เพราะหลังจากท่านปลุกเสือขึ้นมา ท่านจะอัดพุทธคุณด้วยบทที่ว่า นะอุดโลก โมอุดดิน พุทดับไป ธามิให้ออก ยะปิดปากกระบอก อะระหัง ปิดสะ ด้วยนะโมพุทธายะฯ และอีกบทหนึ่ง ซึ่งท่านเรียกว่านะระเบิด ว่าดังนี้ นะอุด โมอัด พุทยัดธายัน ยะดันอิติแตก แยก อิกะวิติ ยิงไปกระบอกแตก
ขอขอบคุณบทความจากคุณพี่คนนนท์ จากpantownกลุ่มคนนนท์ค้นหาพระเกจิครับ
   

2
ชิ้นล่าสุดตระกรุดหนังเสือหลวงปู่เเย้ม วัดตะเคียนยุคเเรกได้มาจากพี่ๆวัดตะเคียนครับ ปล.รูปเป็นของพี่ติ๊กหน้าโบสถ์ถ่ายไว้

3
ว่างๆเลยนำมาให้ชมครับ.imageshack.us/img412/3518/dsc04749c.jpg[/img]

5
บทความ บทกวี / เสือผาด ทับสายทอง
« เมื่อ: 29 ต.ค. 2552, 09:15:17 »
เสือผาด   ทับสายทอง  หรือที่คนส่วนใหญ่ เรียกว่า  คุณพระ  เป็นคนหนองขาหยั่ง  นครปฐม  ถือเป็นเสือที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในประเทศไทย  ระหว่าง ปี พ.ศ.2490- 2494  ชื่อเสียงของเสือผาด  โด่งดังทั่วประเทศไทย  จนถึงขนาดที่  นายตำรวจมือปราบ  ประจันหน้ากับเสือผาด  ยังไม่กล้าแสดงตัวจับเสือผาด

เสือผาด  เป็นคนจริง  เคยติดคุกเมื่อออกจากคุก  ก็ได้วิชาหมอตำแยและวิชาสมุนไพรแผนโบราณเกี่ยวกับการรักษาโรคผู้หญิง  ที่ผู้ชายซุกซนชอบเป็นกัน  เสือผาดเมือออกจากคุกก็ได้ ใช้วิชาแพทย์ช่วยเหลือผู้คนแถวละแวกบ้านและใกล้เคียง  จนชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่นับถือของชาวบ้านกันมาก 
จริงๆแล้ว  เสือผาดเป็นคนรูปร่างเล็ก  หน้าตาไม่น่ากลัวเหมือนชื่อเสียง  ถ้าบอกว่าเสือผาดเป็นครู  โดยดูจากหน้าตา  ก็ไม่เกินเลยจากความเป็นจริง   แต่ชีวิตผกผัน  ทำให้เสือผาดต้องมีชีวิตผกผัน  มาเป็นเสือร้ายที่ผู้คนเกรงกลัว  แม้แต่  ชื่อของเสือผาดยังไม่กล้าเรียก  หรือเพราะความเป็นคนจริง  มีเมตตา  ช่วยเหลือผู้คน  ก็เหลือที่จะ้เดาได้   แต่ผู้คนในยุคนั้นเรียกกันว่า  คุณพระ

เสือผาด  เกิดวันศุกร์ที่  21 กรกฎาคม พ.ศ.2448  เวลา 22.30 น.  ตรงกับวันแรม  5 ค่ำ เดือน 8 ปีมะเส็ง  ตามรูปดวงชะตาเกิดของเสือผาด  ตกอยู่ใน  เพชฌฆาตฤกษ์และราชาฤกษ์  ซึ่งมีอิทธิพลต่อดวงชะตาชีวิตของเสือผาด  ทำให้มี  ชีวิตผกผันแบบหน้ามือเป็นหลังมือ  ถ้าไม่ดีก็จะกลายเป็นร้าย 

ชะตาตกอยู่ใน  เพชฌฆาตฤกษ์  ทำให้เสือผาด เป็นคนเด็ดเดี่ยว  ทำอะไรทำจริง  ไม่เกรงกลัวใคร

ชะตาตกอยู่ใน  ราชาฤกษ์ ทำให้เสือผาด  เป็นคนที่มีชื่อเสียงโด่งดัง  เป็นที่นับถือ  รักใคร่ ต่อผู้คน
ถึงแม้จะได้ชื่อว่า  เป็นเสือร้าย  แต่  เสือผาดก็เป็นคนจริง  ก่อนที่จะออกปล้นบ้านใดจะมี  หมายไปติดที่หน้าบ้าน ที่จะทำการปล้น  ถ้าเจ้าของบ้านยินยอม  ก็จะนำข้าวของมาวางไว้ที่หน้าบ้าน  เสือผาดก็จะไม่ทำอะไร  แต่ถ้าเจ้าของบ้านไม่นำข้าวของมาวางไว้หน้าบ้าน  เสือผาดก็จะเข้าทำการปล้น   ถ้าเจ้าบ้านไม่สู้ก็จะไม่ทำอะไร  แต่ถ้าสู้  ก็ต้องตาย  เคยมีคนเก่าเล่าให้ฟังว่า  เสือผาดได้ทำการปล้นคณะลิเกที่มาแสดง  แถวดอนตูม  จับลิเกทั้งคณะ  ให้ไปเล่นที่ชุมโจร  โดยลิเกทั้งคณะต้อง  แก้ผ้าเล่น  หรืออีกครั้งหนึ่งเสือผาดได้ทำการปล้นบ้านหลังหนึ่ง  กวาดทรัพย์สินไปหมด  แต่เจ้าของบ้านอ้อนวอนขอเงินคืนส่วนหนึ่ง  เพราะเจ้าของบ้านจะทำการบวชลูก  เสือผาดก็ให้คืนมา  พร้อมกับส่งคนมาดูว่ามีงานบวชจริงหรือเปล่า

ในชีวิตจริง  เสือผาดเป็นคนที่นับถือและศรัทธาในพุทธคุณของพระเครื่อง  เล่ากันว่า  ก่อนที่เสือผาดจะออกเดินทางออกจากบ้านหรือชุมโจร  จะทำการสวดมนต์อยู่ในห้องคนเดียวเป็นเวลานาน  นับชั่วโมง  โดยสวดมนต์และทำการปลุกเสกพระเครื่องที่ใช้ประจำติดตัว  จึงมีหลายครั้งที่ตำรวจล้อมจับเสือผาดจนมุม  แต่ก็หาตัวเสือผาดไม่เจอ

ในชีวิตของเสือผาด  เกจิที่เสือผาดนับถือมากที่สุด และไม่เคยขาดพระเครื่องของเกจิองค์นั้นไปจากตัวของเสือผาดเลย  ก็คือ

หลวงพ่อรุ่ง   วัดดอนยายหอม
พระเครื่องของ  หลวงพ่อรุ่ง  พิมพ์นาคปรก  เป็นพระเครื่องที่เสือผาด  ไม่เคยขาดไปจากคอ จนกระทั่งวันสุดท้ายของชีวิต   ไม่เพียงแต่เสือผาดเท่านั้น  พระพิมพ์นาคปรกนี้  หลวงพ่อเงิน  วัดดอนยายหอม  เองก็นำติดตัวตลอดเวลา  ในระหว่างออกเดินธุดงค์  ในสมัยที่ยังเป็นพระหนุ่ม

ในสมัยที่มีการตกลงที่จะมอบตัวครั้งแรก ต่อหน้าหลวงพ่อเงิน   เสือผาดได้นำพระนาคปรกหลวงพ่อรุ่ง  ออกมาอวดต่อหน้านายตำรวจใหญ่เมืองนครปฐมและผู้ติดตามหลายคน แล้วเล่าว่า

ชีวิตของตนรอดตาย  หลายต่อหลายครั้ง  ก็จากพุทธคุณของพระพิมพ์นาคปรก หลวงพ่อรุ่ง  วัดดอนยายหอม  ถึงขนาดที่เคยถูกล้อมจับ  ไม่มีน้ำกิน  เคยอาราธนาพระพิมพ์นาคปรก  หลวงพ่อรุ่ง  ทิ้งลงไปในน้ำที่จะตักมาดื่ม  ผลปรากฏว่า  บริเวณที่พระตกลงไป  น้ำจะใสสะอาดทันที

วัดดอนยายหอม   ในอดีตชื่อว่า  วัดโคกยายหอม  ตั้งอยู่ในที่ลุ่ม ทำให้เวลาในหน้าฝน  น้ำจะท่วมวัด พระสงฆ์ได้รับความลำบากมากในการดำรงค์ชีวิต  จวบจนกระทั่ง  หลวงพ่อทรัพย์  วัดงิ้วราย  ได้ชักชวนให้ชาวบ้านมาช่วยกันย้ายวัดมาตั้งใหม่ในที่ดอน  และช่วยกันสร้างจนสำเร็จและเปลี่ยนชื่อใหม่ว่า  วัดดอนยายหอม

แต่หลวงพ่อทรัพย์  ท่านไม่รับเป็นสมภารเจ้าอาวาส  และท่านพร้อมกับชาวบ้าน ได้เดินทางไปยังวัดทอง (สุวรรณาราม ) บางกอกน้อย  นิมนต์  พระวินัยธร ( ฮวบ  พรหมศร ) ให้มาเป็นสมภารเจ้าอาวาสองค์แรกของวัดดอนยายหอม  ใน ปีพ.ศ.2400  ในขณะนั้นหลวงพ่อฮวบ  มีอายุได้เพียง  25 ปี  และท่านยังเป็นญาติกับหลวงพ่อเงิน  โดยมีศักดิ์เป็นลุง 
หลวงพ่อฮวบ  ท่านเป็น  สหธรรมิกรุ่นพี่ร่วมสำนักเดียวกันกับ หลวงพ่อทับ  วัดทอง  โดยท่านมีอายุมากกว่าหลวงพ่อทับ  ประมาณ 15 ปี   คนเก่าคนแก่แถววัดดอนยายหอมที่อยู่ในยุคหลวงพ่อฮวบ  เล่าต่อกันว่า  ในสมัยที่หลวงพ่อฮวบเป็นเจ้าอาวาสวัดดอนยายหอม   ได้มีการ  สร้างพระปิดตาภคัวมบดีแบบเดียวกับหลวงพ่อทับ  เททองหล่อที่วัดดอนยายหอม  ด้วยเนื้อทองผสม  มีทั้งแ่ก่เงินและสัมฤทธิ์แบบเดียวกับหลวงพ่อทับ  โดยที่การสร้างพระของหลวงพ่อฮวบ  สร้างก่อนหลวงพ่อทับ  วัดทอง  แต่ปัจจุบันไม่มีใครเล่นหาเป็นของหลวงพ่อฮวบ  แต่  เล่นเป็นของหลวงพ่อทับกันหมด

หลวงพ่อฮวบ  เกิด พ.ศ. 2375  เป็นเจ้าอาวาสวัดดอนยายหอม ใน ปี พ.ศ.2400  มรณภาพด้วยโรคชรา เมื่อปี พ.ศ. 2465 สิริรวมอายุได้ 90 ปี  ครองวัดดอนยายหอมได้  65ปี
หลวงพ่อรุ่ง  วัดดอนยายหอม  เดิมชื่อ  รุ่ง  วัดแก้ว  เกิดในระหว่าง ปี พ.ศ. 2496  หลังจากที่หลวงพ่อฮวบ  ได้มรณภาพใน ปีพ.ศ.2465  หลวงพ่อรุ่ง  ได้อยู่ในตำแหน่ง  รักษาการเจ้าอาวาสวัดดอนยายหอม ได้เพียง 1 ปี  หลวงพ่อรุ่งได้ลาสิกขาบท  ในปี พ.ศ. 2466 ขณะที่ท่านมีอายุได้  70 ปี และหลวงพ่อเงิน ได้ดำรงค์ตำแหน่งเจ้าอาวาสสืบต่อจากหลวงพ่อรุ่ง   โดยที่หลังจากลาสิกขาบท  หลวงพ่อรุ่งได้ใช้ชีวิตฆราวาสอยู่หลายปี  และได้มี ภรรยาหนึ่งคน และมี บุตรชาย  3 คน หญิง  1 คน

หลวงพ่อรุ่ง  เป็นศิษย์ก้นกุฎิของหลวงพ่อฮวบ  ท่านมีความเจนจัดในด้านวิปัสสนากรรมฐาน และพุทธาคมมาก  เรียกได้ว่า  ท่านเป็นพระที่ร้อนวิชาองค์หนึ่งทีเดียว  เฉกเช่นกับหลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง  ท่านได้สร้างพระเครื่องไว้หลายรูปแบบด้วยดินขุยปู   แต่ที่เป็นที่รู้จักกันมากที่สุดได้แก่  พระพิมพ์นาคปรก  นอกจากนั้นท่านก็ได้สร้างตะกรุดไม้รวก  ไว้แจกแก่ศิษย์เช่นเดียวกัน 

หลวงพ่อรุ่ง  ถือได้ว่าเป็น  อาจารย์ใหญ่ของหลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม  ที่มีความใกล้ชิดกันมาก  พุทธาคมที่หลวงพ่อเงิน เรียนรู้ส่วนใหญ่จะ  ได้มาจากหลวงพ่อรุ่ง ในช่วงที่หลวงพ่อรุ่งยังมีชีวิตอยู่ในเพศฆราวาส  ท่านมีชื่อเสียงโด่งดังมาก  ไม่แพ้หลวงพ่อฮวบ  อาจารย์ของท่าน 

สาเหตุหนึ่งที่คาดกันว่าหลวงพ่อรุ่งต้องลาสิกขาบท  อาจเป็นเพราะว่า  ถ้าท่านยังอยู่ในเพศฆราวาส  คนแถววัดดอนยายหอม  จะไม่เชื่อถือหลวงพ่อเงิน  ที่เป็นเจ้าอาวาสในขณะที่มีวัยเพียง  33 ปี เท่านั้น
เสือผาดทับสายทอง   ให้ความเคารพและนับถือหลวงพ่อรุ่ง  วัดดอนยายหอมมาก  นอกจากได้พระนาคปรกจากหลวงพ่อรุ่งไว้คุ้มครองแล้วยัง ได้วิชาจากหลวงพ่อรุ่ง  ไว้ป้องกันตัว  โดยเฉพาะ  วิชากำบังกาย  ถึงขนาดที่ว่า  เสือผาดเดินผ่านตำรวจมือปราบได้  โดยที่นายตำรวจผู้นั้นไม่เห็น  และก็เป็นที่ยอมรับของตำรวจว่าหลายครั้งที่   ล้อมจับเสือผาดแล้วหาตัวไม่พบ

ในวันที่  12 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2494  เสือผาดได้ถูกตำรวจล้อมจับบริเวณ  สถานีรถไฟหนองปลาดุก  ต.ปากแรต อ.บ้านโป่ง  นายตำรวจและผู้ติดตามนับสิบคน  ได้เข้าล้อมจับเสือผาดที่จนมุมอยู่กลางทุ่งนา  พร้อมกับเสือสังวาลย์  สมุนคู่ใจ  แต่ทั้งคู่ไม่ยอมแพ้  ได้เกิดการต่อสู้กับตำรวจ  จนกระทั่งเสือสังวาลย์  ถูกยิงตาย  ยังคงเหลือแต่เสือผาด  แต่ตำรวจก็ไม่กล้าเข้าล้อมจับ

จนกระทั่งมีเสียงปืนดังขึ้นหนึ่งนัด   หลังจากนั้นตำรวจได้เข้าไปตรวจสอบ  พบว่า   


เสือผาดได้ใช้ปืนยาว  พระรามหก  ยิงกรอกปากตัวเองด้วยกระสุนนัดสุดท้ายที่เหลืออยู่  เพราะไม่ยอมจนมุมและไม่ยอมตายด้วยเงื้อมือตำรวจ  แต่ขอปลิดชีพตัวเอง
ก่อนที่เสือผาด  จะยิงตัวตาย  ได้ถอดพระเครื่องที่แขวนติดตัวทั้งหมด  ฝังเอาไว้ในรูปู   โดยหลังจากที่ตำรวจเข้าชันสูตรศพเสือผาด  ได้นำพระของเสือผาดมาไว้ที่หน้าอกและถ่ายรูปไว้เป็นหลักฐาน

แต่ผลจากการชันสูตรศพ  พบว่า  เสือสังวาลย์โดนปืนร่างพรุึน  แต่เสือผาด  มีรอยช้ำเป็นจ้ำๆทั่วทั้งตัว จากการที่โดนกระสุนปืนจากตำรวจและคณะ  แต่ไม่เข้าเลยแม้แต่นัดเดียว

ผลจากการที่เสือผาดถูกยิงทั่วร่าง  ถึงแม้จะไม่มีนัดใดเข้าเลย  แต่ฤทธิ์จากความแรงของกระสุนปืน  ก็ทำให้เสือผาดเกิดอาการเจ็บช้ำไปทั่วทั้งตัว  ไม่สามารถหนีการจับกุมได้เฉกเช่นเคย  ทำให้ต้องตัดสินใจปลิดชีพตัวเอง

สมศักดิ์ศรีเสือไม่ทิ้งลาย
หลังจากเสือผาดเสียชีวิต  ไ้ด้มีการพยายามตัดคอเสือผาดเพื่อนำมาประจาน  โดยตำรวจนายหนึ่งที่ถูกส่งไป  เป็นสายในชุมโจรเสือผาด  จนเสือผาดไว้ใจ อันเป็นผลให้เสือผาดต้องจบชีวิตในที่สุด  แต่ไม่สามารถตัดคอของเสือผาดได้สำเร็จ  จนถึงขนาดที่ต้องไปขอให้หลวงพ่อเงิน  วัดดอนยายหอม  ถอนอาคมที่อยู่ในตัวเสือผาด

หลวงพ่อเงิน  ท่านบอกว่าไม่ใช่กิจของสงฆ์

แต่ก็ไม่ละความพยายาม  นายตำรวจผู้นั้น  ได้ไปหลอก  หลวงพ่อบุญธรรม  เืพื่อขอยืมมีดหมอประจำตัวของท่านมา  และ  นำมีดหมอของท่านมาตัดคอเสือผาดได้เป็นผลสำเร็จ  โดยที่หลวงพ่อบุญธรรมไม่ทราบวัตถุประสงค์ที่แท้จริง  แต่หลังจากนั้นเพียงอาทิตย์เดียว  นายตำรวจผู้นั้นก็  มีอันเป็นไปและเสียชีวิตในที่สุด

หลวงพ่อบุญธรรม  ท่านเป็นพระที่มีชื่อเสียงมากในยุคนั้น  แต่คนนอกพื้นที่ไม่ค่อยรู้จักท่าน  ท่านเป็น หลานของหลวงพ่อปาน  วัดบางนมโค  พระเครื่องที่ท่านสร้าง  จะต้องมีการปั๊ม  ตัว ธ. ไว้ที่ด้านหลังทุกพิมพ์

หลังจาำกที่ตัดคอเสือผาดได้แล้ว   ทางตำรวจได้นำคอของเสือผาดมาแขวนประจานที่บริเวณ  ด้านข้างกองบังคับการตำรวจภูธรภาค 7

แต่แขวนประจานได้เพียง  3 วัน  ได้ถูกทุกด้าน  โจมตีถึงความป่าเถื่อน  จน พลตำรวจเอก  เผ่า  ศรียานนท์  ต้องสั่งให้นำลง  และให้ลูกของเสือผาดนำส่วนคอของเสือผาดไปบำเพ็ญกุศลในทีสุด
ในชีวิตของเสือผาด  แม้จะเป็นที่กล่าวขวัญและยำเกรงของผู้คน  รวมไปถึงตำรวจ  แต่เสือผาดก็นับถือศาสนาพุทธ  หลังจากสิ้นหลวงพ่อรุ่ง  เสือผาดถูกตามล่าตัว  จนอยู่ไม่เป็นที่เป็นทาง  แต่เสือผาดเองก็ยังแอบ  ไปหาเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงของเมืองนครปฐม  หลายต่อหลายองค์  ไม่ว่าจะเป็นหลวงพ่อเงิน  วัดดอนยายหอม และหลวงพ่อเต๋  วัดสามง่าม

ในปี พ.ศ. 2493 เศษ  เสือผาดได้มากบดานแถววัดสามง่าม  และได้แอบมาหาหลวงพ่อเต๋  เพื่อให้หลวงพ่อเต๋สักให้  แต่เป็นยามพลบค่ำ  หลวงพ่อเต๋ไม่สะดวก  จึงให้  ลูกศิษย์ของท่านองค์นึงมาสักให้เสือผาด  โดยที่หลวงพ่อเต๋  จะทำการประสิทธเมให้หลังจากที่ทำการสักยันต์เสร็จแล้ว  และในปัจจุบันนี้  ลูกศิษย์หลวงพ่อเต๋องค์นั้น  ได้กลับมา  จำพรรษาที่วัดสามง่าม

พระองค์นั้นคือ  หลวงตาขวัญ  ในปัจจุบัน ครับ
ขอบคุณข้อมูลจาก ดีดีพระดอทคอม

7
เลยได้น้องมาอยู่เพิ่มอีก+ชานหมากหลวงปู่ageshack.us/img136/30/93891984.jpg[/img]

8
คือผมอยากจะถามหน่อยครับ ตัวผมไม่ได้เดินทางไปวัดมาประมาณ7ปีเเล้ว พอดีวันนี้ได้ไปจึงอยากรู้ว่าตรงข้ามกุฏิหลวงพี่ติ่งมีอาจารย์ฆราวาสใส่ชุดขาวยังวัยรุ่นอยู่เลย ไม่ทราบว่าชื่ออะไรครับใครรู้ช่วยบอกหน่อยนะครับ...ขอบคุณครับ

9
 หลวงพ่อปานวัดบางเหี้ยถูกขัง

--------------------------------------------------------------------------------

คุณครูเฉลิม บุญมาก เล่าให้ฟังว่า

สมัยหลวงพ่อปานวัดบางเหี้ยยังมีชีวิตอยู่นั้น มีโจรผู้ร้าย และคนที่หนีเกณฑ์ทหาร มาบวชกับหลวงพ่อปานมาก หวังพึ่งวัดเป็นที่หลบราชอาญา เมื่อหนีร้อนมาพึ่งเย็น

หลวงพ่อปานก็บวชให้ จนเรื่องไปถึงราชการ จึงมีคำสั่งให้นำหลวงพ่อปานไปขังไว้ทีวัดกลางวรวิหาร ปากน้ำ สมุทรปราการ จะได้ไม่ไปบวชให้พวกโจร หรือ พวกหนีทหารอีก ปรากฏว่าผู้คนแห่กันไปใส่บาตรหลวงพ่อปานทีวัดกลางกันหมด

จนพระวัดอื่นไม่มีใครใส่บาตร อดข้าวกันหมดทั้งเมืองปากน้ำ เดือดร้อนพระวัดอื่นไปทั่ว สุดท้ายทนไม่ไหวต้องร้องเรียนให้หลวพ่อปาน กลับวัดคลองด่านหรือวัดบางเหี้ยนอกไปเสีย ไม่งั้นพระเณรวัดอื่นอยู่ไม่ได้แน่

เมื่อหลวงพ่อปานกลับวัดแล้วก็ชำระความ จับพวกที่หนีทหาร โจรผู้ร้ายมาสึก ส่งตัวให้เจ้าหน้าที่บ้านเมืองจนหมด ต่อมาภายหลังใครที่บนหลวงพ่อปานหนีทหารละก็ เป็นอันได้เป็นทหารแน่นอน ทุกคน จนบัดนี้


10
ขอบคุณภาพจากเวปคาราบาว

11
ageshack.us/img145/3272/dscg365/1387/dsc03098.jpg[/img]0mageshack.us/img204/7628/dsc03107.jpg[/img]3080o.jpg[/img]โขนจากกรมศิลป์ครูมืด

12
เมื่อหลวงพ่อทบถูกฟ้อง
    เมื่อหลวงพ่อทบถูกฟ้อง
หลวงพ่อทบท่านได้สละเวลา สละกำลังกาย กำลังใจ ทุ่มเทสติปัญญาให้กับพระพุทธศาสนาอย่างสุดความสามารถ วัดในละแวกนี้แทบทุกวัด อาจจะพูดแบบไม่เคอะเขินเลยว่า ไม่มีวัดไหนที่หลวงพ่อไม่เคยไปช่วยบูรณะ ซึ่งแต่ละวัดที่หลวงพ่อไปช่วยบูรณะนั้น จะอาศัยเพียงแรงกายแรงใจอย่างเดียวไม่ได้ ที่สำคัญที่สุดก็คือแรงศรัทธาที่ชาวบ้านช่วยกันบริจาคทรัพย์ เพื่อนำมาจัดหาอุปกรณ์ในการก่อสร้าง
ด้วยเหตุนี้งานก่อสร้างของหลวงพ่อจึงรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งแต่ละวัดที่องค์หลวงพ่อไปเป็นประธานในการก่อสร้างนั้น จึงใช้เวลาไม่นานนักก็จะสำเร็จและจัดงานเฉลิมฉลองกันอย่างเอิกเกริก
ถึงแม้ว่าหลวงพ่อจะทำงานหนักและเหน็ดเหนื่อยเพื่อพระพุทธศาสนาเพียงใดก็ตาม ท่านก็หนีไม่พ้นโลกธรรม 8 ในปี พ.ศ.2496 หลวงพ่อถูกพระเพชรบูรณ์คณาวสัย เจ้าคณะจังหวัดเพชรบูรณ์ (ขอย้ำนะครับว่าองค์สมัยนั้น ไม่ใช่องค์ปัจจุบันนี้) ได้ทำหนังสือฟ้องหลวงพ่อทบไป กราบทูลถวายสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ซึ่งทางสมเด็จพระสังฆราชได้ประทานคำฟ้องต่อให้กับสมเด็จพระวันรัต (ปลด กิติโสภโณ) วัดเบญจมบพิตร เพื่อนำเข้าที่ประชุมของมหาเถรสมาคมต่อไป
ที่ประชุมของมหาเถรสมาคมต่างก็ถกเถียงกันอยู่นาน ในที่สุดจึงมีมติให้พระพิมลธรรม (อาจ อาสโภ) วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฏ์ กรรมการเถรสมาคม เป็นผู้ตรวจสอบข้อเท็จจริงว่า เป็นไปตามคำฟ้องหรือไม่อย่างไร จึงค่อยนำมาพิจารณาในมหาเถรสมาคมอีกครั้ง
พระพิมลธรรมจึงมีหนังสือแจ้งมาให้หลวงพ่อและเจ้าคณะจังหวัดไปให้การที่กรุงเทพฯ (มาถึงตอนนี้หลวงพ่อเล่าว่า ท่านต้องเดินทางจากวัดชนแดน มาขึ้นรถไฟที่ตะพานหินอย่างทุลักทุเล เพราะท่านไม่เคยนั่งรถไฟมาก่อน)
เมื่อทางผู้ฟ้องกับผู้ถูกฟ้องมาพร้อมหน้ากันแล้ว พระพิมลธรรม
จึงเริ่มสอบถามทั้งสองฝ่าย ซึ่งหลวงพ่อท่านก็ได้ให้การไปตามความเป็นจริง โดยท่านได้แก้ข้อกล่าวหาว่า เครื่องรางของขลังเหล่านี้ท่านทำขึ้นจริง แต่ไม่ได้ทำขึ้นเพื่อขาย หากแต่ทำขึ้นเพื่อเป็นการสมนาคุณแก่ผู้บริจาคทรัพย์ สร้างโบสถ์ สร้างวิหาร สร้างกุฏิ และถาวรวัตถุในบวรพระพุทธศาสนา ใครมาขอท่านก็ให้เปล่า ๆ โดยไม่ได้คิดเงินคิดทอง ส่วนญาติโยมเมื่อได้รับเครื่องรางของขลังจากท่านไปแล้ว จะบริจาคเงินช่วยท่านสร้างโบสถ์มากน้อยเพียงใดท่านก็ไม่สนใจ บางคนศรัทธามากก็บริจาคมาก บางคนศรัทธาน้อยก็บริจาคน้อย และบางคนไม่มีศรัทธาอาจจะไม่บริจาคเลยก็เป็นสิทธิของแต่และคน ท่านไม่เคยขอร้อง ขู่เข็ญหรือบังคับ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับศรัทธาของญาติโยมทั้งสิ้น
พระพิมลธรรมเรียนถามหลวงพ่อว่า แล้ววัตถุมงคล เครื่องรางของขลังของหลวงพ่อนี่ดีจริง ๆ หรือว่าเป็นแค่คำโฆษณาออดอ้างให้ญาติโยมพากันหลงเชื่อ หลวงพ่อตอบว่า ?เครื่องรางของขลังเหล่านี้ท่านทำตามโบราณกาลทุกประการ ท่านสร้างขึ้นเพื่อให้ญาติโยมนำไปสักการบูชา เพื่อความเป็นสิริมงคลและเพื่อให้ผู้ที่ได้สิริมงคลของท่านไปได้ตั้งมั่นอยู่ในศีลธรรม เป็นสมาชิกที่ดีของสังคม เป็นพลเมืองดีของประเทศชาติ ประเทศของเราก็อยู่ดีเป็นสุขตลอดกาลนาน ส่วนที่ท่านเจ้าคุณถามว่าวัตถุมงคล เครื่องรางของขลัง ที่ผมได้สร้างจะศักดิ์สิทธิจริง ๆหรือว่าเป็นแค่คำโฆษณาอวดอ้าง ผมไม่รู้ว่าจะตอบคำถามของท่านเจ้าคุณอย่างไร เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ท่านเจ้าคุณลองเอาปืนมายิงผมดูสักทีสิ ถ้ามันไม่ศักดิ์สิทธิ์จริงก็ให้ผมตายไปเลย?
พระพิมลธรรมเมื่อได้ยินหลวงพ่อตอบอย่างนั้นจึงพูดขึ้นว่าไม่เอาน่าหลวงพ่อ ผมถามหลวงพ่อดูเฉย ๆหรอก? หลวงพ่อทบท่านคงจะขัดใจขึ้นมา จึงล้วงเข้าไปในย่ามหยิบมีดโกนผมออกมายื่นให้กับพระพิมลธรรมทดลองเชือดท่านดู แต่พระพิมลธรรมกลับไม่กล้าทดลอง หลวงพ่อคงขัดใจจึงทดลองเสียเองโดยเอามีดโกนกรีดแขนของท่านเสียงดัง คว๊าก คว๊าก พระพิมลธรรมถึงกับหลับตาปี๋ด้วยความหวาดเสียว พร้อมกับพูดขึ้นว่า ?พอแล้วครับหลวงพ่อ ผมเชื่อแล้ว ผมเชื่อแล้ว?
หลังจากนั้นพระพิมลธรรมจึงได้ยุติการสอบสวนหลวงพ่อเพราะเห็นว่าหลวงพ่อไม่มีความผิด ก่อนที่พระพิมลธรรมจะยุติการสอบสวนท่านยังหันมาพูดกับพระเพชรบูรณ์คณาวสัย เจ้าคณะจังหวัดเพชรบูรณ์ ในลักษณะปกป้องหลงพ่อทบว่า ?ไม่ควรจะฟ้องจะร้องกันเลย เรื่องเล็ก ๆ แค่นี้ ท่านช่วยหลวงพ่อทบสร้างวัดสร้างวาอารามในจังหวัดเพชรบูรณ์จะดีกว่า ที่จะเอาเวลามาฟ้องมาร้องกันเสียอีก วัดวาอารามในจังหวัดเพชรบูรณ์ของท่านจะได้เจริญรุ่งเรืองไม่แพ้จังหวัดอื่น ๆ ?

 
ขอบคุณบทความจากเวปเปิดตำนานหลวงพ่อทบ

13
เล่าเรื่องตะกรุดธงชาติ
    ตะกรุดหลวงพ่อทบถือว่าเป็นตะกรุดที่เป็นเอกลักษณ์ของหลวงพ่อทบ....ใครเห็นก็รู้ว่านี้คือตะกรุดธงชาติหลวงพ่อทบ...ตะกรุดธงชาติของหลวงพ่อทบมีการสร้างมาตั้งแต่ก่อนปี 2500 เป็นตะกรุดที่ทำขึ้นเฉพาะกิจจำนวนการสร้างจึงน้อย เน้นแจกทหารตำรวจ ตั้งแต่สมัยสงครามโลกแล้ว ประสบการณ์ของตะกรุดธงชาติเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาของทหารไทยและทหารต่างชาติถึงความเป็นมหาอุตม์ ในปี พ.ศ. 2500 ครั้งพิธีพุทธาภิเษกพระ25ศตวรรษ ตะกรุดธงชาติของหลวงพ่อทบแสดงอัศจรรย์แก่สายตาคนนับพันตะกรุดของหลวงพ่อไม่ละลาย...ตรงนี้เองตะกรุดธงชาติของหลวงพ่อทบจึงเป็นที่ต้องการของคนทั่วไปและที่มาดังสุดในปี 2512 ตะกรุดธงชาติยุคปลายของหลวงพ่อทบแสดงให้เห็นภึงความเข้มขลังอย่างแท้จริงเมื่อมีการนำตะกรุดธงชาติชุดนี้แจกกับทหารในสมรภูมิต่างๆเช่นสมรภูมิภูขัด ภูเมี้ยง ภูส่อยดาว ภูขี้เถ้า ภูหินร่องกล้าและเขาค้อ ตะกรุดชุดนี้จึงเป็นตะกรุดที่มีคนต้องการมากและเป็นตะกรุดที่มีประสบการณ์มากที่สุด...ตะกรุดปี 2512 เป็นตะกรุดที่ปลุกเสกพิธีเสาร์ห้าปี 2512 จึงถือว่าเป็นพิธีที่ดีที่สุดในการปลุกเสกวัตถุมงคลของหลวงพ่อทบด้วยเหตุนี้แหละตะกรุดธงชาติจึงเป็นที่ต้องการของคนทุกคนที่สะสมสายหลวงพ่อทบเรียกว่าเป็นตะกรุดในฝันก็ว่าได้....ตะกรุดของหลวงพ่อเมื่อก่อนนั้นเล่นเป็นแท้ไม่รู้ที่และไม่มีคนรู้จัก จนมาเมื่อต้นปี 2550 นี้เอง เว็บเปิดตำนานหลวงพ่อทบ...ได้นำข้อมูลและลักษณะของการดูตะกรุดหลวงพ่อทบมาเปิดเผยสู่สาธารณะชนจนปัจจุบันตะกรุดของท่านจากก่อนเป็นตะกรุดแท้ไม่ทราบที่จนมาเป็นตะกรุดยอดนิยมในปัจจุบันรู้จักเป็นที่แพร่หลายทุกที่แม้แต่ในกรุงเทพแพงพระทุกแผงรู้จักและราคาไม่ธรรมดา ช่วงต้นปีตะกรุดของท่านหาง่ายมากเดินไปไหนก็เจอและแท้ทั้งสิ้น...จริงๆแล้วของท่านสร้างไม่เยอะเพียงแต่เพิ่งรู้จักกันตอนนี้เดินหาไม่เจอแล้ว...และอีกไม่เกิน 1 ปี ตะกรุดของหลวงพ่อทบจะไม่มีให้เห็นเหมือนรูปหล่อโบราณของท่านตอนนี้เจอให้เก็บครับต่อไปจะเช่าหากันไม่ใช่ราคาแบบทุกวันนี้ บางคนเห็นว่าช่วงนี้หาง่ายแต่ต่อไปจะไม่ใช่ดูตัวอย่างรูปหล่อโบราณของท่านซิเมื่อก่อนเดินไปไหนก็เจอ...ตอนนี้เป็นไงครับหาไม่ได้ยังราคาเช่าแพงอีกต่างหาก...ไม่เชื่อคอยดู...

ขอบคุณข้อมูลจากทีมงานเปิดตำนานหลวงพ่อทบ
 

14
การสร้างตะกรุดหลวงพ่อทบ
    การสร้างตะกรุดหลวงพ่อทบจะใช้ช่างชาวบ้านและพระเณรมาช่วยกันทำเริ่มจากการตัดโลหะก็จะตัดตามขนาดที่ต้องการแล้วก็นำไปม้วนช่วงแรกๆจะมีการม้วนด้วยมือแต่งานออกมาจะไม่ค่อยสวยต่อมาเลยดัดแปลงโดยใช้ไม้หีบมาคีบแล้วม้วนตะกรุดชุดนี้จึงม้วนได้แน่นและสวยงาม..แต่มีปัญหาเวลาม้วนเสร็จโลหะจะคลี่ออกทุกดอกจึงได้ลองทุบหัวตะกรุดดูปรากฏว่าตะกรุดำม่คลี่ออก...ตั้งแต่นั้นมาตะกรุดหลวงพ่อทบจึงมีการเก็บหัวตะกรุดด้วยการทุบหัวทั้งสองข้างจนติดปากชาวบ้านว่าตะกรุดหลวงพ่อทบต้องทุบหัว... ในยุคต้นๆการเก็บหัวตะกรุดจะใช้การทุบหัวบนไม้เลียบๆทั้งสองด้านงานออกมาจึงบุบๆบี้ๆในตะกรุดยุคต้นๆตะกรุดยุคต้นนั้นหลวงพ่อทบท่านจารเองลงอักขระเองจนมายุคกลางหลวงพ่อทบจึงมอบหมายให้พระอาจารย์เพ็งลูกศิษย์ที่หลวงพ่อทบไว้ใจมากที่สุดในการจารแผ่นโลหะทุกแผ่นครับ การพันตะกรุดหลวงพ่อทบหลวงพ่อไม่ได้กำหนดลายถักขึ้นอยู่กับจินตนาการของคนถักเองจะเห็นได้ว่าตะกรุดของหลวงพ่อทบจะมีหลายลายครับไม่ถือเป็นข้อยุติ ในยุคกลางเรื่มมีการทำเครื่องมือในการใช้เก็บและย้ำหัวตะกรุดขึ้นมา...คล้ายๆกับตะปูตีสังกะสี...มีแท่งเหล็กตรงกลางแล้วมีหมวก...ก็จะเอาแท่งเหล็กเสียบลงไปในรูของตะกรุดส่วนหมวกก็จะวางบนหัวตะกรุด จากนั้นก็ใช้ค้อนตอกไล่เบาๆ การเก็บกัวแบบนี้งานจะออกมาสวยงามเป็นระเบียบสวยกว่ายุคต้นๆและอีกอย่างตะกรุดของหลวงพ่อทบในยุคกลางเริ่มมีตะกรุด3 กษัตริย์เข้ามาทำให้การเก็บหัวตะกรุดแบบเดิมๆทำไม่ได้แล้ว เชือกที่ใช้พันตะกรุดของหลวงพ่อทบนั้นจะใช้เชือกแท้ เชือกป่านเชือกปอ และเชือกไนลอน การพันด้วยในลอนเป็นงานที่ยากมากๆเพราะเชือกจะลื่นส่วนใหญ่ตะกรุดที่ใช้เชือกไนลอนพันจะพบว่าจะพันแค่ 2 เส้นเท่านั้นเพราะจะทำให้พันง่ายสอดซ่อนเงื้อนได้ง่ายกว่าใช้เชือกเส้นใหญ่...นี้ก็เป็นเอกลักษ์อีกอย่างในการพิจารณาตะกรุดหลวงพ่อทบ การพันตะกรุดหลวงพ่อทบโดยจะเริ่มพันรอบแรกแล้วจะเก็บซ่อนเงื้อน1เส้นแล้วเหลือหัวเชือกไว้ประมาณ 1-2 นิ้วเพื่อใช้ดึงเชือกรัดตะกรุดให้แน่นในขั้นตอนสุดท้าย เมื่อพันไปจนเสร็จแล้วก็จะเก็บหัวเชือกโดยการพันยึดกับเชือกเส้นสุดท้ายแล้วสอดเชือกกลับไปที่เริ่มต้นจนปลายเชือกโพล่จากนั้นก็จะใช้มือกำตะกรุดแล้วหมุนเชือกรอบๆตะกรุดจนแน่นแล้วก็ดึงปลายเชือกที่โพล่ออกมาให้ตึงเชือกจะรัดตะกรุดจนแน่นแล้วก็ตัดปลายเชือกที่เกินออก....จากนั้นก็จะนำตะกรุดไปทุบหัวให้ปลายตะกรุดทั้งสองข้างบานออกเพื่อล็อคเชือกที่พันไว้ไม่ให้หลุด...ตรงนี้ก็เป็นเอกลักษณ์อีกอย่างครับของการพิจารณาตะกรุดหลวงพ่อทบ....ในยุคกลางลงมาการเก็บเชือกจะไม่สวยงามเหมือนยุคต้นๆเพราะเวลาในการสร้างน้อยความต้องการตะกรุดของหลวงพ่อมีมาก ท่านอาจารย์เพ็งเคยเล่าให้อาจาร์วีรวัฒน์ฟังว่าตะกรุดบางรุ่นของหลวงพ่อทบไม่พันเชือกก็มีเป็นตะกรุดเปลือยๆช่วงนั้นตะกรุดชุดนี้จะเอาไปแจกที่จังหวัดจันทบุรีและตราด ปัจจุบันเล่นเป็นพระเกจิในพื้นที่ไปแล้ว การเก็บปลายเชือกยุคกลางปมจะใหญ่มากหรือไม่ก็เอาไฟจี้เอาเลยจะสังเกตุได้ว่าตะกรุดยุคปลายและยุคปลายจะเห็นมีการใช้ไฟจี้เอาเลย...
การพิจารณายุคของตะกรุดหลวงพ่อทบ
1.นอกจากพิจารณาจากความเก่าของโลหะแล้วยังพิจารณาจาก การเก็บหัวตะกรุด ยุคต้นการเก็บหัวจะไม่เรียบร้อย ส่วนยุคกลางและยุคปลายจะมีการเก็บหัวที่สวยงามเป็นระเบียบ
2. พิจารณาจากการเก็บปลายเชือกในยุคต้นๆการเก็บปลายเชือกจะมองแทบไม่รู้เลยเพราะการเก็บปลายเชือกไว้ใต้เชือกที่พัน ส่วนยุคกลางจะผูกปมค่อนข้างใหญ่หรือไม่ก็มัดเอาดื้อๆ และมีการใช้ไฟจี้เพื่อให้เชือกติดกันเป็นข้อสังเกตุอีกอย่าง
3. ขนาดของตะกรุดใยยุคต้นตะกรุดจะดอกไม่ใหญ่มีทั้งดอกสั้นและดอกยาวใช้โลหะ1-2 ชนิด ในยุคกลางตะกรุดจะเริ่มใหญ่ขึ้นมีทั้งดอกสั้นและดอกยาวและการม้วนโลหะจะหนากว่าทุกรุ่นส่วนยุคปลายดอกจะไม่ใหญ่มากแต่จะมีโลหะตั้งแต่ 2 อย่างขึ้นไป
4. ตะกรุดของหลวงพ่อทบส่วนใหญ่...ตรงนี้สังเกตุให้ดีครับ ขอบทั้ง 4 ด้านของแผ่นโลหะจะตัดมุนออกทั้ง 4 มุม สังเกตุให้ดีครับจะเห็นได้ทั้งด้านในและด้านนอกครับ...ตรงนีเชื่อว่ายังไม่มีใครเคยสังเกตุลองดูครับส่วนใหญ่จะมีครับ...ขอบคุณข้อมูลจากทีมงานเปิดตำนานหลวงพ่อทบ

15
มีปลอมเเล้วนะครับพี่น้อง

16
  ชีวประวัติหลวงพ่อทบ

หลวงพ่อทบ ธมฺมปญโญ ถือกำเนิดเกิดมาเมื่อวันศุกร์ ขึ้น 14 ค่ำ เดือน4 ปีมะเส็ง ตรงกับวันท่ 3 มีนาคม พ.ศ.2424 ณ.บ้านยางหัวลม ตำบลนายม(ปัจจุบันแยกเป็นตำบลวังชมพู) อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์ หลวงพ่อทบเป็นบุตรคนที่3 ของคุณพ่อเผือกและคุณแม่อินทร์ ม่วงดีมี่น้อง4คน ได้แก่ 1 นายหว่าง ม่วงดี 2 นางใบ ม่วงดี 3 นายทบ ม่วงดี (หลวงพ่อทบ) 4 นางแดง ม่วงดี




การบรรพชาอุปสมบท เด็กชายทบเข้าบรรพชาเมื่ออายุได้16 ปี(พ.ศ.2440) ที่วัดช้างเผือก โดยมีพระอาจารย์สี เป็นพระอุปัชฌาย์ จนปีพ.ศ.2445 ท่านได้เข้าอุปสมบทที่วัดเกะแก้ว บ้านนายม อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์ โดยมีพระครูเมืองเป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์ปานเป็นพระกรรมวาจา พระสีเป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า ธมฺมปัญโญ จากนั้นท่านก็ได้ศึกษาพระธรรมวินัย และวิปัสนากรรมฐานจากพระอาจารย์ปานวัดศิลาโมง และพระอาจายร์เหง้า วัดบ้านติ้ว อำเภอหล่มสัก และออกธุดงค์แต่บัดนั้น




วาระศิษย์อาลัย วันที่ 13 มีนาคม พ.ศ.2519 ทางวัดช้างเผือกได้จัดให้มีงานประจำปีและวางศฺลาฤกษ์พระอุโบสถหลังใหม่ ในวันนั้นฝนตกหนักมากคืนนั้นหลวงพ่อป่วยหนักมากวันที่ 14 มีนาคม พ.ศ.2519 ตอนบ่ายได้มีการนำหลวงพ่อส่งโรงพยาบาลในกรุงเทพแต่ไปได้แค่บ้านนาเฉลี่ยงหลวงพ่อก็มรณภาพลงด้วยอาการสงบเมื่อเวลา 4 โมงเย็ยของวันที่14 มีนาคม พ.ศ.2519


เรื่องเเละภาพจากเวปเปิดตำนานหลวงพ่อทบ

17
อันนี้หลวงปู่บนหิ้งที่บ้าน

20
พี่น้องทั้งหลายอ่านข่าวหลวงพ่อประสิทธิ์หรือยัง

21
อยากทราบประวัติของหลวงปู่เหรียญ  วัดบางระโหงครับ ท่านใดทราบบ้างครับ ขอบคุณครับ

22
หลวงพ่ออะไรครับ

23
ใครทราบประวัติ หลวงพ่อเอีย วัดบ้านด่าน   ช่วยบอกหน่อยครับ

25
ตระกรุดปลอกลูกปืนพระอาจารย์อ๊อดวัดสายไหม ลำลูกกา จ.ปทุมธานี เสียเวลารอนานหน่อยเเต่ได้มาสุดคุ้มค่า ใครอยู่ใกล้รีบไปรับนะครับ ฟรีครับ ......ของท่านดีจริงมีประสบการณ์เเล้วมากมาย

26
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / เเนะนำตัว
« เมื่อ: 03 พ.ค. 2550, 05:44:37 »
สวัสดีครับผมคือสมาชิกใหม่ครับชื่อaekเป็นลูกศิษย์ตั้งเเต่พ.ศ.2537ครับฝากเนื้อฝากตัวด้วยครับ :054:เคารพอย่างสูง

หน้า: [1]