ตถตาอาศรม ริมฝั่งโขง
๒๔ กันยายน ๒๕๕๓
.....รอยทาง.....
เมื่อวาน (๒๓ กันยายน ๒๕๕๓ ) เป็นวันพระใหญ่ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนสิบ ปีขาล
เป็นงานบุญประเพณีอุทิศบุญกุศลให้แก่บรรพชนที่ล่วงลับไปแล้ว กลับจากกิจนิมนต์ที่กรุงเทพฯ
ถึงวัดประมาณ ๐๗.๐๐ น. เข้าศาลาทำพิธีต่อ เสร็จประมาณ ๐๙.๓๐ น.ลงไปดูความคืบหน้าของ
งานก่อสร้างที่สั่งงานไว้ก่อนลงไปกิจนิมนต์ที่ต่างจังหวัด เสร็จแล้วกลับขึ้นมาที่พักเขียนบันทึกธรรม
เที่ยงตรงไปลงพระอุโบสถฟังพระปาฏิโมกข์ ร่วมกับคณะสงฆ์ในตำบล กลับมาถึงวัดเวลาประมาณ
๑๕.๐๐ น. มาซักสบง อังสะ จีวร ซัก ตาก เก็บ เสร็จเวลาประมาณ ๑๗.๓๐ น. ขึ้นมากวาดถูศาลา
ที่พัก เพราะว่าลงไปหลายวัน ทำให้มีฝุ่นละออง เสร็จเวลาประมาณ ๑๘.๓๐ น. ร่างกายอ่อนเพลีย
เพราะเดินทางตลอดและพักผ่อนน้อยมาก จึงพักผ่อนร่างกาย จำวัตรเร็วตั้งแต่ประมาณ ๑๙.๐๐ น.
มารู้สึกตัวตื่นอีกครั้งประมาณเที่ยงคืน ร่างกายได้พักผ่อนเต็มที่ ตื่นขึ้นมาจัดเก็บข้าวของบริขารเข้าที่
อ่านหนังสือธรรมะของครูบาอาจารย์ นั่งสมาธิเจริญสติภาวนา จนถึงเช้า จึงได้ลงไปทำกิจของสงฆ์ต่อ
.....รอยธรรม.....
เมื่อก่อนนั้น สมัยปฏิบัติธรรมใหม่ๆ เราชอบใช้การหนีปัญหา มาเป็นทางออกเวลาที่มี
ปัญหามากระทบ มักจะหลบเข้าป่า เข้าถ้ำ ไปจำศีลภาวนา เบื่อความวุ่นวาย ซึ่งมันก็แก้ได้ชั่วขณะหนึ่ง
และเมื่อเรากลับออกมาจากป่า จากถ้ำ เราก็ต้องเจอกับปัญหาใหม่ๆเข้ามาอีก เราจะหลีกหนีปัญหาต่างๆ
นั้นไม่ได้เลย เพราะเราต้องอยู่ในสังคม ต้องอาศัยศรัทธาของพุทธบริษัทในการเลี้ยงชีพ ต้องพบปะกับ
ผู้คน และเมื่อรู้และเข้าใจในจุดนี้ จึงต้องเปลี่ยนแนวคิดและการปฏิบัติใหม่ มาทำความรู้ความเข้าใจกับ
กายและจิต กับความคิดของสังคม เจริญสติวิปัสสนา เพื่อที่จะอยู่กับปัจจุบันธรรมทั้งหลาย เพราะว่าเมื่อ
ก่อนนั้นเราไปเน้นหนักในเรื่องของสมถะสมาธิ ซึ่งสมถะกรรมฐานนั้นเป็นเรื่องของความสงบ อาศัยความวิเวก
เป็นอารมณ์ของกรรมฐาน จงไม่ชอบความวุ่นวาย แต่วิปัสนากรรมฐานนั้น อยู่กับปัจจุบันธรรม สิ่งที่กำลังเคลื่อนไหว
ตามดู ตามรู้ ตามเห็น แต่ไม่เอามาเป็นอารมณ์และติดอยู่ มีสติและสัมปชัญญะ รู้ตัวทั่วพร้อมอยู่ตลอดเวลา
ซึ่งจะต่างจากอารมณ์ของสมถะกรรมฐาน ที่ต้องการความวิเวก ความสงบเงียบ มีสติแนบแน่นอยู่กับการภาวนา
จนอารมณ์นั้นเป็นหนึ่งเดียวกับสิ่งที่เพ่งอยู่ คือรู้เฉพาะสิ่งที่กำลังเพ่งอยู่เท่านั้น แต่อารมณ์ของวิปัสสนานั้น
จะรู้เห็นในสิ่งที่เป็นไปรอบกายทั้งหลาย แต่ไม่เข้าไปยึดติดกับสิ่งเหล่านั้น พิจารณาเข้าสู่หลักธรรมทั้งหลาย
วางจิตวางใจอยู่กับธรรม มีธรรมคุ้มครองจิตในการคิดและการกระทำ รู้เห็นในสิ่งที่เป็นจริงตามหลักธรรม
.....รอยกวี.....
เหนื่อยล้าเพราะแรมรอน
ได้พักผ่อนเหนื่อยก็หาย
เหนื่อยล้าเกิดที่กาย
ความสบายเกิดที่ใจ
เหนื่อยกายอย่าเหนื่อยจิต
เพราะชีวิตต้องก้าวไป
ถ้าเกิดเราเหนื่อยใจ
จะทำให้สิ้นกำลัง
จิตดีส่งกายเด่น
จึงต้องเน้นอย่างจริงจัง
ให้จิตมีพลัง
เติมความหวังด้วยศรัทธา
ศรัทธาในความดี
ที่เรามีและทำมา
ความดีในเบื้องหน้า
ภาวนาทำให้มี
ปลุกจิตอย่าคิดท้อ
อย่ารีรอเร่งทำดี
ผลบุญจะนำชี้
ให้เรานี้ได้สุขใจ
พอดีและพอเพียง
ทำหาเลี้ยงชีวิตไป
ความสุขเกิดที่ใจ
รู้สึกได้เมื่อใจพอ
พอใจในที่เป็น
ในที่เห็นไม่อยากต่อ
เมื่อใจบอกว่าพอ
เท่านี้หนอก็พอใจ
พอใจในสิ่งมี
และสิ่งที่ควรจะได้
ชีวิตไม่วุ่นวาย
สุขสบายเพราะใจพอ...
ด้วยความปรารถนาดีและไมตรีจิต
รวี สัจจะ-สมณะไร้นาม
๒๔ กันยายน ๒๕๕๓ เวลา ๐๙.๓๓ น. ณ ศาลาน้อยริมน้ำโขง ชายขอบประเทศไทย