หลวงปู่กงมา จิรปุญฺโญ
วัดดอยธรรมเจดีย์ อ.โคกศรีสุพรรณ จ.สกลนคร(ศิษย์ หลวงปู่มั่น)
หลวงปู่กงมา จิรปุญฺโญ เดิมชื่อ กงมา วงศ์เครือศร เกิดวันที่ ๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๔๓ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน
๑๒ ปีชวด ณ บ้านโคก ตำบลตองโขบ อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร เป็นบุตรคนสุดท้องของนายบู่ นางนวล วงศ์เครือศร
ซึ่งมีพี่ร่วมท้องเดียวกัน ๖ คน มีรายนามดังต่อไปนี้
๑. นางบัวทอง ผาใต้ (มารดาของพระอาจารย์อุ่น กลฺยาณธมฺโม)
๒. นางบาน ทาศรีภู
๓. นางเบ็ง วงศ์เครือศร
๔. นายพิมพา วงศ์เครือศร
๕. นายบุญตา วงศ์เครือศร
๖. พระอาจารย์กงมา จิรปุญฺโญ
ในวัยหนุ่มมีร่างกายกำยำล่ำสันสูงใหญ่ใบหน้าคมคาย เป็นนักต่อสู้ชีวิต แบบเอางานเอาการเมื่อท่านเป็นฆราวาส เป็นพ่อค้าขายโค กระบือ และเป็นหัวหน้าได้นำกระบือเข้ามาขายทางภาคกลางทุก ๆ ปีจนฐานะท่านมั่นคง การเป็นพ่อค้าขายโค กระบือ ในสมัยนั้นไม่ใช่ทำกันได้ง่าย ๆ พระอาจารย์วัน อุตฺตโมได้เขียนไว้ในอัตโนประวัติของท่านเอง เกี่ยวกับการค้าขายโคกระบือไว้ดังนี้ตามธรรมเนียมของพวกพ่อค้าควาย พ่อค้าวัว ต้องมีวัวต่างสำหรับบรรทุกสัมภาระบางอย่างไปด้วย ๒ - ๓ ตัวพ่อค้าแต่ละพวก จะต้องมีหัวหน้านำหมู่คณะหนึ่งคน เรียกกันว่า นายฮ้อย สำหรับนายฮ้อยนั้นต้องเป็นผู้รับผิดชอบของหมู่คณะทุกประการ ประกอบด้วยลักษณะดังนี้ คือ
๑.) เป็นผู้ชำนาญทาง
๒ .) เป็นผู้พูดจาคล่องแคล่ว
๓.) เป็นผู้รู้กฎหมายระเบียบและประเพณีของท้องถิ่นนั้น ๆ เป็นผู้มีปัญญา ความฉลาดในการติดต่อสังคม
ในการซื้อขาย ในการรักษาทรัพย์ ในการรักษาชีวิตเป็นต้น
๔.) เป็นคนซื่อสัตย์สุจริต โอบอ้อมอารี มีเมตตาจิต ไม่เห็นแก่ประโยชน์ตน ไม่คดโกง ฉ้อฉล
เบียดบังเอาเปรียบในลูกน้องของตน
๕.) เป็นผู้มีความแกล้วกล้าสามารถอาจหาญ มีการยอมเสียสละ ต่อสู้เหตุการณ์โดยไม่หวั่นไหว
๖.) เป็นผู้เก่งทางอยู่ยงคงกระพัน ยิงไม่ออก ฟันแทงไม่เข้า ตีไม่แตก จับไม่อยู่ เป็นต้น
๗.) เป็นผู้ฉลาดในการวางแผน เช่น จะออกเดินทางในเวลาใด ควรจะให้ใครออกก่อน อยู่ท่าม และอยู่ตามหลัง
พักกลางวันและพักค้างคืนที่ใด จะให้น้ำให้หญ้าแก่สัตว์อย่างไร ไปช้าไปเร็วขนาดใด เป็นต้น
๘.) เป็นผู้รู้จักสอดส่องมองรู้ทันท่วงทีต่อเหตุการณ์ที่จักเกิดขึ้น
นี่คือ ลักษณะผู้เป็นนายฮ้อย ผู้ที่จะเป็นนายฮ้อยนั้น ไม่มีการหาเสียงอย่างผู้แทนราษฎรหรือนักการเมืองทั้งหลาย เป็นความเห็นดีเห็นชอบของเพื่อนฝูง หรือเฒ่าแก่บ้านเมือง โดยเพื่อนฝูงหากขอร้องให้เป็น และพร้อมกันยกยอกันขึ้น ครั้นแล้วก็ต้องเคารพนับถือเชื่อฟังกัน
ร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน ร่วมเป็นร่วมตายกัน สมัยนั้นพวกพ่อค้าวัว พ่อค้าควาย ต้องไล่ต้อนสัตว์ลงไป จะต้องผ่านเขตเขาใหญ่ ซึ่งมีมหาโจรเขาใหญ่คอยสกัดทำร้ายเป็นประจำ ด่านผู้ร้ายที่สำคัญขนาดเขตอันตรายสีแดง ก็คือ ปากช่อง ช่องตะโก พวกพ่อค้าทั้งหลายจะขี้ขลาดตาขาวลาวพุงดำไม่ได้ ต้องกล้าเก่ง ฮึกหาญ เตรียมต่อสู้ทุกคน ไม่เขาก็เราขึ้นชื่อว่าลูกผู้ชาย ต้องบุกให้ผ่านพ้นอันตรายให้จนได้ นายฮ้อยต้องมีปืนมีดาบติดตัวเสมอ เมื่อมีเวลาเหตุการณ์ ต้องออกหน้าออกตาในการต่อสู้ ถ้านายฮ้อยดีก็ปลอดภัยทั้งขาไปขากลับ การเป็น นายฮ้อย
คุมลูกน้องเพื่อนำโคกระบือมาขายยังภาคกลางต้องอาศัยคุณสมบัติพิเศษตามที่อ้างถึงข้างต้น เป็นการชี้ให้เห็นถึงความเป็นผู้นำ และความเด็ดเดี่ยวในการดำเนินชีวิตของท่านได้เป็นอย่างดี มีครอบครัว เมื่อท่านพยายามสร้างฐานะของท่านจนมั่นคงดีแล้วจนอายุได้ประมาณ ๒๔ - ๒๕ ปี จึงได้สมรสกับนางสาวเลาอยู่ร่วมกันมาจนกระทั่งนางเลาผู้ภรรยาตั้งครรภ์ ภรรยาและบุตรในครรภ์ถึงแก่กรรมในวันคลอดจึงทำให้ท่านเกิดความสังเวชสลดใจ และเศร้าโศกเป็นอย่างยิ่ง เห็นความแปรปรวนของสังขารทั้งหลาย เห็นว่าไม่มีอะไรดีไปกว่าการออกบวชเป็นพระ เมื่อตกลงใจดีแล้วท่านจึงได้ลาบิดามารดาและญาติออกบวชเป็นพระภิกษุในปี พ.ศ. ๒๔๖๘นั้นเองที่วัดบ้านตองโขบ ต.ตองโขบ อ.เมือง จ.สกลนคร โดยมีพระอาจารย์โท เป็นพระอุปัชฌาย์เป็นพระในสังกัดมหานิกายการอยู่ในเพศบรรพชิตของท่านในขณะนั้นก็ยังไม่เป็นไปอย่างที่ท่านนึก
เพราะวัดที่ท่านบวชนั้นไม่ได้มีการประพฤติปฏิบัติอะไรพระเณรในวัดก็ยังไม่อยู่ในศีลาจาริยวัตรที่เรียบร้อยงดงาม มีอยู่คืนวันหนึ่งขณะที่ท่านจำวัดอยู่รวมๆกันในกุฏิ มีพระภิกษุรูปหนึ่งคาดว่าไปเที่ยวกลางคืน กลับมาดึก อาจจะเมามาได้มาเหยียบตัวท่านอย่างแรงจนสะดุ้งตื่นขึ้น ท่านก็มีความขัดใจอย่างยิ่ง และท่านก็โดนเช่นนั้นหลายครั้งจึงคิดว่าเราอาจจะอยู่วัดนี้ไม่ได้ และอาจจะทำให้เกิดความผิดตามมาท่านจึงได้พยายามไต่ถามญาติโยมทั้งหลาย ว่ามีวัดไหนบ้างที่มีพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ได้รับคำแนะนำว่าวัดที่อยู่อีกฟากหนึ่งของภูพาน (ข้ามภูพานไปทาง จ.กาฬสินธุ์) เจ้าอาวาสชื่อว่าพระอาจารย์วานคำเป็นอาจารย์ที่มีชื่อเสียง จึงไปขอพักอาศัยอยู่ด้วย อาจารย์วานคำฯ ก็ได้ให้ความรักใคร่แก่ท่านเป็นพิเศษ
ได้สอนให้ทำสมาธิตามวิธีของท่านอยู่ประมาณ ๑๐ เดือน แต่ก็มีวัตรปฏิบัติบางสิ่งบางอย่างที่ท่านไม่พอใจคือ ตอนค่ำ ๆ พระจะต้องไปถอนหญ้าถางป่า ตัดต้นไม้ ซึ่งอาจารย์วานคำบอกว่าเราทำอย่างนี้มันก็ผิดวินัยอยู่ แต่จำต้องทำ เมื่อพระอาจารย์กงมาทราบว่าการปฏิบัติดังกล่าวผิดวินัย
ก็ไม่อยากจะทำ แต่ก็จำต้องทำด้วยความเกรงใจอยู่มาวันหนึ่ง ในปี พ.ศ. ๒๔๖๙ ท่านอาจารย์กงมาฯ ได้ทราบข่าวว่า
มีตาผ้าขาวคนหนึ่งธุดงค์มาปักกลดอยู่ใกล้ ๆ แถว ๆ นั้น มีผู้คนไปฟังเทศน์กันมาก ก็เกิดความสนใจขึ้นเมื่อได้โอกาสจึงได้ไปหาตาผ้าขาวคนนั้น เมื่อได้พบก็เกิดความเลื่อมใส เพราะเห็นกิริยามารยาทประกอบกับมีรัศมีผ่องใส จึงได้ถามว่า ท่านมาจากสำนักไหน ตาผ้าขาวบอกว่า มาจากสำนักท่านอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ถามว่า อยู่กับท่านมากี่ปี ตาผ้าขาวบอกว่า ๓ ปี และตาผ้าขาวได้อธิบายวิธีทำกัมมัฏฐานแบบของท่านอาจารย์มั่น ฯ ให้ฟัง ก็เกิดความเลื่อมใสอย่างจริงจังขึ้นถามว่า เวลานี้ท่านอาจารย์มั่นฯ อยู่ที่ไหน ตอบว่าอยู่ที่บ้านสามผง ดงพะเนาว์ อ. วานรนิวาส ท่านอาจารย์กงมาจึงตั้งใจจะไปหาท่านอาจารย์มั่นฯ ให้ได้และได้ลาตาผ้าขาวคนนั้นกลับวัด เมื่อกลับมาที่วัดแล้วก็มาขอลาท่านอาจารย์วานคำเพื่อไปหาท่านพระอาจารย์มั่น แต่ก็ไม่ได้รับอนุญาตแม้จะพากเพียรขออนุญาตตั้งหลายครั้ง อยู่มาวันหนึ่ง อาจารย์วานคำมีธุระไปฟากภู (ข้างหนึ่งของภูพาน) เป็นโอกาสของท่านอาจารย์กงมาฯจึงได้ชวนพระบุญมี เป็นเพื่อนองค์หนึ่ง พากันหนีออกจากวัดนั้นไป ท่านและพระบุญมีเดินทางเป็นเวลา ๒ วัน ก็ถึงเสนาสนะป่าบ้านสามผง อ.ศรีสงคราม จ.นครพนมใกล้กับวัดโพธิ์ชัย ที่ที่ท่านอาจารย์มั่นฯและคณะส่วนหนึ่งได้จำพรรษาตามคำอาราธนานิมนต์ของพระอาจารย์เกิ่ง อธิมุตฺตโก และพระอาจารย์สีลา อิสฺสโรขณะไปถึง ท่านอาจารย์มั่นฯ กำลังให้โอวาทแก่พระภิกษุสามเณรอยู่ ณ ที่ศาลามุงหญ้าคาหลังเล็ก ๆซึ่งภาพที่ได้เห็นได้ทำให้ท่านอาจารย์กงมาฯ รู้สึกว่าตื่นเต้นระทึกใจเหมือนกับว่ามีปีติตกอยู่ในมโนรมณ์ ตัวชาไปหมด จึงนั่งรอพักอยู่ในที่แห่งหนึ่งใต้โคนไม้เมื่อท่านอาจารย์มั่น ฯ เสร็จจากการให้โอวาทพระภิกษุสามเณรแล้วทั้งสองก็ได้เข้าไปนมัสการขอฝากตัวเป็นศิษย์กับท่านอาจารย์มั่น ฯท่านอาจารย์มั่น ฯ ได้ให้พระไปพาขึ้นมา โดยบอกว่า นั่น พระแขกมาแล้ว และทั้งสองมีความตั้งใจองค์หนึ่ง
อีกองค์หนึ่งเพียงแต่ตามมาเท่านั้น และเมื่อท่านอาจารย์กงมา ฯ นั่งแล้ว ท่านอาจารย์มั่น ฯก็ให้กัมมัฏฐานเลยทีเดียว โดยไม่ต้องรอกาลเวลา และก็บอกให้ไปอยู่ที่กุฏิหลังหนึ่งที่เปลี่ยวที่สุดพระอาจารย์กงมา รับโอวาทครั้งแรกจากท่านพระอาจารย์มั่นเมื่อท่านได้รับโอวาทครั้งแรกของท่านอาจารย์มั่น ฯ นั้น ทำให้ท่านซาบซึ้งอย่างยิ่งจึงได้เริ่มต้นเร่งความเพียรอย่างเต็มความสามารถ ท่านได้กระต๊อบเล็กหลังหนึ่งอยู่ในป่าดงพะเนาว์
ป่านี้เป็นดงใหญ่ เต็มไปด้วยสิงห์สาราสัตว์ดุร้ายต่าง ๆ อีกทั้งยังเป็นดงมาเลเรียถ้าผู้ใดอยู่โดยไม่ระมัดระวังแล้วเป็นไข้มาเลเรียมีหวังตาย แต่ก็ถือได้ว่าเป็นที่สงบวิเวกเป็นอย่างยิ่งหลังจากได้บำเพ็ญความเพียรมาเป็นลำดับตามที่ได้รับอุบายวิธีมาจากท่านอาจารย์มั่น ฯ ก็ทำให้เกิดสมาธิ
ปีติเยือกเย็นใจลึกซึ้งเพิ่มขึ้นทุก ๆ วัน ความก้าวหน้าของการบำเพ็ญจิตเป็นพลวัตคือดำเนินเข้าไปหาความยิ่งใหญ่โดยไม่หยุดยั้ง ทุก ๆ วัน
ท่านจะเข้าไปปรึกษาไต่ถามท่านอาจารย์มั่นฯ มิได้ขาด เนื่องด้วยความเป็นไปของสมาธิได้เป็นไปอย่างรวดเร็วท่านอาจารย์มั่น ฯ ก็ได้แก้ไขให้เกิดศรัทธาอย่างไม่มีลดละ ทำให้ท่านมุมานะบากบั่นอย่างไม่คิดชีวิตวันหนึ่งท่านไปนั่งสมาธิอยู่ใต้โคนค้นไม้ พอจะพลบค่ำ ยุงได้มากันใหญ่
แต่พอดีกับท่านกำลังได้รับความรู้ทางในแจ่มแจ้งน่าอัศจรรย์ จึงไม่ลุกจากที่นั่ง ได้นั่งสมาธิต่อไปยุงได้มารุมกัดท่านอย่างมหาศาล และยุงที่นี้เป็นยุงอันตรายทั้งนั้น เพราะมันมีเชื้อมาเลเรียแต่ท่านก็ไม่คำนึงถึงเลย มุ่งอยู่แต่ความรู้แจ้งเห็นจริงที่กำลังจะได้อยู่ในขณะนั้น
พระอาจารย์วิริยังค์
ในเรื่องนี้ท่านได้เล่าให้พระอาจารย์วิริยังค์ฟังว่าเราได้ยอมสละแล้วซึ่งชีวิตนี้ เราต้องการรู้แจ้งเห็นจริงในธรรมอันท่านอาจารย์มั่น ฯ ได้แนะนำให้
ในการนั่งครั้งนี้ถือว่าเป็นครั้งพิเศษมากเพราะมันเกิดความสว่างอย่างไม่มีอะไรปิดบังเราลืมตาก็ไม่สว่างเท่า ดูมันทะลุปรุโปร่งไปหมด ภูเขาป่าไม้ไม่มีอะไรมาขวางกั้นได้เลยและมันเป็นครั้งแรกที่เกิดขึ้นแก่เรา แม้จะพิจารณากายสังขารก็แจ้งกระจ่างไปหมด จะนับกระดูกกี่ท่อนก็ได้
เกิดความสังเวชสลดจิตยิ่งนัก หวนคิดไปถึงคุณของท่านอาจารย์ว่าเหลือล้นพ้นประมาณคิดว่าเราถ้าไม่ได้พบท่านอาจารย์มั่นฯ เหตุไฉนเราจะได้เป็นเช่นนี้หนอ ท่านได้นั่งสมาธิจนรุ่งสว่าง พอออกจากสมาธิ ปรากฏว่าเลือดของยุงที่กัดท่านหยดเต็มผ้านิสีทนะ (ผ้าปูนั่ง)
เต็มไปหมด พอท่านลุกขึ้นมาตัวเบา แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่ายุงเหล่านี้มีพิษสงร้ายนักแต่ท่านก็ไม่อนาทรร้อนใจ เพราะที่ท่านได้รับธรรมนั้นวิเศษนักแล้วแต่ท่านก็หาได้จับไข้หรือเป็นมาเลเรียเลย นับเป็นสิ่งอัศจรรย์อยู่มากทีเดียวความเป็นมาในวันนี้ท่านได้นำไปเล่าถวายท่านอาจารย์มั่น ฯ
ได้รับการยกย่องสรรเสริญในท่ามกลางพระสงฆ์ทั้งหลายที่มาประชุมกัน และได้พูดว่า ท่านกงมานี้สำคัญนัก แม้จะเป็นพระที่มาใหม่ แต่บารมีแก่กล้ามาก ทำความเพียรหาตัวจับยากสู้เสียและให้ยุงกินได้ตลอดคืน ควรจะเป็นตัวอย่างแก่ผู้ตั้งใจปฏิบัติทั้งหลาย และท่านอาจารย์มั่น ฯ ก็ได้แสดงถึงมหาสติปัฏฐานโดยเฉพาะ กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ให้ท่านฟังอย่างแจ่มแจ้งท่านเล่าให้พระอาจารย์วิริยังค์ฟังต่อไปว่า
เมื่อเราอยู่ที่บ้านสามผงดงพะเนาว์นี้ การทำความเพียรได้บำเพ็ญทั้งกลางคืน และกลางวันมีการพักหลับนอนในเวลากลางคืนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ส่วนตอนกลางวันเราจะเอนหลังลงนอนไม่ได้เลยแม้ว่าเราต้องการจะเอนหลังพักผ่อนบ้าง เพราะความเหน็ดเหนื่อย แต่พอเอนหลังลงเท่านั้น
จะมีอีกาตัวหนึ่งบินโฉบมาจับที่หลังคากระต๊อบของท่าน แล้วใช้จะงอยปากสับตรงกลางหลังคาเสียงดังทันทีถ้าท่านไม่ลุกขึ้น มันก็จะสับอยู่อย่างนั้น พอท่านลุกขึ้นมันก็จะหยุด เป็นอยู่อย่างนี้มาหลายเวลาทีเดียวจนท่านไม่กล้าจะพักจำวัดเวลากลางวันท่านได้เล่าเหตุการณ์ตอนนี้ต่อไปอีกว่า
มีคราวหนึ่งที่ท่านต้องหนักใจอย่างยิ่ง คือ ท่านอาจารย์มั่น ฯใช้ให้ท่องพระปาฏิโมกข์ให้ได้เสียก่อนจึงจะญัตติเป็น พระธรรมยุต เหมือนกับท่านอาจารย์มั่น ฯเพราะท่านบวชเป็นพระมหานิกายอยู่ก่อน ค่าที่มีความเลื่อมใสอย่างยิ่งและต้องการที่จะเป็นศิษย์ที่แท้จริงของ ท่านอาจารย์มั่น ฯ เราจึงต้องพยายามอย่างยิ่งที่จะท่องพระปาฏิโมกข์ให้ได้ ซึ่งเป็นการขัดข้องเหลือเกินเนื่องจากเราอ่านหนังสือเขียนหนังสือไทยไม่ได้มาก ถึงได้ก็ไม่ ชำนาญที่จะอ่านถึงหนังสือพระปาฏิโมกข์แม้จะเป็นเรื่องยากแสนยากนักสำหรับตัวเรา ก็ถือว่าแม้แต่การปฏิบัติจิตใจที่ว่ายากนัก
เราก็ยังได้พยายามจนได้รับผลมาแล้ว จะมาย่อท้อต่อการทั้งพระปาฏิโมกข์นี้เสียทำไมเราจึงพยายามทั้งกลางวันกลางคืนเช่นกัน แกะหนังสือไปทีละตัวถึงกับขอให้พระอื่นที่อ่านหนังสือได้ช่วยต่อให้ เราพยายามอยู่หลายเดือน ในที่สุดก็สำเร็จให้แก่เราจนได้เป็นอันว่า เราท่องพระปาฏิโมกข์จบอยู่ที่บ้านสามผง ดงพะเนาว์นี้เองและในปีนี้เอง ก็เป็นปีที่มีการทำพิธีญัตติกรรม พระอาจารย์เกิ่ง อธิมุตฺตโก และพระอาจารย์สีลา อิสฺสโร
พร้อมกับพระภิกษุที่เป็นศิษย์ของท่านทั้งสองอีกประมาณ ๒๐ องค์ ในจำนวนพระเณรที่มาทำการญัตติมีพระอาจารย์สิม พุทธาจาโร ซึ่งครั้งนั้นยังเป็นสามเณรรวมอยู่ด้วยรูปหนึ่งโดยได้กระทำพิธีที่อุทกุกเขปสีมา (โบสถ์น้ำ) หนองสามผง สำหรับโบสถ์น้ำที่ท่านพระอาจารย์มั่นฯจัดสร้างขึ้นนี้ ใช้เรือ ๒ ลำลอยเป็นโป๊ะ เอาไม้พื้นปูเป็นแพ แต่ไม่มีหลังคาเหตุที่สร้างโบสถ์น้ำทำสังฆกรรมคราวนี้ ก็เพราะในป่าจะหาโบสถ์ให้ถูกต้องตามพระวินัยไม่ได้การทำญัตติกรรมครั้งนี้ ได้อาราธนาท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์ (จูม พนฺธุโล) เมื่อครั้งเป็นพระครูชิโนวาทธำรง มาเป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์สิงห์ ขันตยาคโม เป็นพระกรรมวาจาจารย์พระอาจารย์มหาปิ่น ปัญญาพโล เป็นพระอนุสาวนาจารย์ และท่านพระอาจารย์มั่นฯ นั่งหัตถบาสร่วมอยู่ด้วยพระอาจารย์กงมาได้เล่าถึงเมื่อครั้งได้มีโอกาสอยู่ร่วมปฏิบัติธรรมกับท่านพระอาจารย์มั่นในช่วงหนึ่งของชี
วิตไว้ว่าการอยู่ร่วมกับท่านอาจารย์มั่น ฯ เป็นเวลานานเป็นปี ๆ นั้น เป็นการอยู่อย่างมีความหมายจริง ๆ
วันและคืนที่ล่วงไปไม่เคยให้เสียประโยชน์แม้แต่กระเบียดนิ้วเดียวเราจะไต่ถามความเป็นไปอย่างไรในจิตที่กำลังดำเนิน ท่านจะแก้ไขให้อย่างแจ่มแจ้งและท่านยังรู้จักความก้าวหน้าถอยหลังของจิตของเราเสียอีก บอกล่วงหน้าให้ได้เลยในการบางครั้งทำให้เราเกิดความอัศจรรย์ใจเป็นอย่างยิ่ง คราวใดที่เราเคร่งครัดการทำความเพียรเกินควรท่านก็จะทัดทานแนะนำให้ผ่อนลงมา คราวใดเราชักจะหย่อนไป ท่านก็จะเตือนให้ทำหนักขึ้น และบางคราวบางเดือน สมควรที่จะให้ไปห่างจากท่าน ท่านก็จะบอกชี้ทางให้ออกไปว่า ไป ณ ที่ถ้ำนั้นภูเขาลูกนั้น ป่านั้น เพื่อความวิเวกยิ่งขึ้น เราก็จะไปตามคำสั่งของท่าน ทำการปรารภความเพียรในที่ไปนั้นเกิดความรู้แจ้งเห็นจริง ยิ่งชัดเจนในความสามารถของท่านอย่างไม่มีอะไรจะมาเปรียบปานครั้นได้กาลเวลาท่านก็เรียกให้กลับ เพื่อความที่จะแนะนำต่อเรารู้สึกว่าเมื่อกลับมาจากการไปวิเวกแล้วมาถึง ท่านจะแลดงธรรมวิจิตรจริง ๆ ให้ซาบซึ้งอย่างยิ่งคล้ายกับว่าท่านได้ล่วงรู้ความเป็นไปต่าง ๆ ที่เราได้กระทำมานี้ก็ทำให้เราอัศจรรย์ใจอย่างยิ่งอีกเช่นกัน การกระทำเช่นนี้มิใช่ว่าจะแนะนำให้แก่เราแต่ผู้เดียว ทุก ๆองค์ที่อยู่กับท่านๆ ก็จะแนะนำเช่นเดียวกันท่านอาจารย์กงมาท่านเล่าเรื่องต่าง ๆ ของท่านในอดีตให้พระอาจารย์วิริยังค์ฟังต่อไปอีกว่า ครั้งหนึ่งที่เราได้อยู่กับท่านอาจารย์มั่นผ่านมาเป็นเวลา ๒ ปีเศษ ได้พบเห็นเหตุการณ์ต่างๆ
เช่นพระภิกษุสามเณรที่มาอยู่กับท่าน ทุก ๆ องค์ต่างก็สนใจในธรรมอย่างแท้จริงมิได้มีองค์ใดเลยที่ย่อหย่อน และทุกๆ องค์ต่างได้ผลทางใจกันทั้งนั้นเพราะเมื่อผู้ใดมีอะไรเกิดขึ้นจากการบำเพ็ญจิตแล้ว ก็จะนำมาเล่าถวายท่านฟังและในเวลาที่ประชุมกันฟังทำให้รู้สึกขนพองสยองเกล้าเอาทีเดียว เมื่อได้ยินแต่ละองค์พูดถึงความจริงที่ตนได้รับบางองค์ก็พูดเหมือนเรากำลังเป็นอยู่แล้ว และท่านก็แก้ไขให้องค์นั้น เราเองก็พลอยถูกแก้ไขไปในตัวเสร็จ บางองค์พูดขึ้นลึกซึ้งเหลือที่เราจักรู้ได้ ก็ทำให้เราอยากรู้อยากเห็นต่างองค์ก็ต่างไม่สงสัยซึ่งกันและกันว่าคำพูดเหล่านั้นจะไม่จริง ทำให้เรานี้นึกย้อนหลังไปถึงอดีตว่าแม้ครั้งพระพุทธองค์ยังทรงพระชนม์อยู่ก็คงจะเป็นเช่นนี้เองเลยทำให้เหมือนกับว่าเรากำลังอยู่ต่อหน้าพระพักตร์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังงั้นแหละถึงอย่างไรก็ตาม เราเองเลื่อมใสยิ่ง ทั้งท่านและพระภิกษุสามเณรที่อยู่กับท่าน
เพราะเหตุที่เห็นการปฏิบัติและปฏิปทาน่าเลื่อมใสและที่ได้เปล่งวาจาแห่งความจริงที่เกิดขึ้นในจิตของแต่ละท่านหลังจากออกพรรษา ปี พ.ศ. ๒๔๖๙ แล้วท่านอาจารย์มั่นซึ่งจำพรรษาอยู่ที่บ้านสามผงก็ได้พาคณะซึ่งมีพระอาจารย์กงมารวมอยู่ด้วยเดินทางมาที่บ้านโนนแดง อำเภอท่าอุเทน (ปัจจุบันอยู่ในกิ่งอำเภอนาหว้า) จังหวัดนครพนมพร้อมด้วยพระภิกษุสามเณรประมาณ ๗๐ รูป ณ ที่นี้เองก็ได้มีการประชุมหารือกันในเรื่องที่จะไปเผยแพร่ธรรมและไปโปรดเทศนาญาติโยมที่เมืองอุบลและได้วางระเบียบการปฏิบัติเกี่ยวกับการอยู่ป่า เกี่ยวกับการตั้งสำนักปฏิบัติ
เกี่ยวกับแนวทางแนะนำสั่งสอนปฏิบัติจิต เพื่อให้คณะศิษย์นำไปปฏิบัติให้เป็นระเบียบเดียวกัน จากนั้นท่านพระอาจารย์ใหญ่ท่านปรารภถึงเรื่องที่จะนำ โยมแม่ออก (มารดาของท่านพระอาจารย์มั่นซึ่งบวชเป็นชี)ไปส่งมอบให้น้องสาวท่านที่จังหวัดอุบลช่วยดูแล เพราะท่านเห็นโยมแม่ท่านชรามาก อายุ ๗๘ ปีแล้วเกินความสามารถท่านผู้เป็นพระจะดูแลได้แล้ว พระอาจารย์สิงห์ อาจารย์มหาปิ่นต่างก็อาสาที่จะเป็นผู้นำโยมแม่ออกท่านไปส่งด้วย เพราะโยมแม่ออกของพระอาจารย์แก่มากหมดกำลังต้องไปด้วยเกวียนจึงจะไปถึงเมืองอุบล ฯ ได้การเดินทางไปจังหวัดอุบลราชธานีอันเป็นถิ่นบ้านเกิดเมืองนอนของท่านในครั้งนี้ถือว่าเป็นครั้งสำคัญครั้งหนึ่งเพราะบรรดาศิษยานุศิษย์ทั้งใหญ่และเล็กก็ได้เตรียมที่จะเดินทางติดตามท่านในครั้งนี้แทบทั้งนั้นการเดินทางเป็นการเดินแบบเดินธุดงค์ แต่การธุดงค์นั้นเพื่อให้เป็นประโยชน์ด้วย ท่านจึงจัดเป็นคณะๆ ละ ๓รูป ๔ รูปบ้าง ท่านเองเป็นหัวหน้าเดินทางไปก่อน เมื่อคณะที่ ๒ ไปก็จะพักที่เดิมที่คณะที่ ๑ พัก คณะที่๓-๔ เมื่อตามคณะที่ ๒ ไปก็จะพักที่เดิมนั้น ทั้งนี้เพื่อจะได้สอนญาติโยมตามรายทางด้วยการสอนนั้นก็เน้นหนักไปในทางกัมมัฏฐาน และการถึงพระไตรสรณาคมน์ ที่ให้ละการนับถือภูตผีปีศาจต่าง ๆ นานาเป็นการทดลองคณะศิษย์ไปในตัวด้วยว่า องค์ใดจะมีผีมือในการเผยแพร่ธรรม ในการเดินทางนั้น พอถึงวันอุโบสถ ก็จะนัดทำปาฏิโมกข์ หลังจากนั้นแล้วก็จะแยกย้ายกันไปตามที่กำหนดหมายการเดินธุดงค์แบบนี้ท่านบอกว่าเป็นการโปรดสัตว์ เพื่อให้เป็นประโยชน์แก่พุทธบริษัททั้งหลายและก็เป็นจริงเช่นนั้น แต่ละแห่งที่ท่านกำหนดพักนั้น ตามหมู่บ้านประชาชนได้เกิดความเลื่อมใสยิ่งในพระคณะกัมมัฏฐานนั้นเป็นอย่างดีและต่างก็รู้ผิดชอบในพระธรรมวินัยขึ้นมาก ตามสถานที่เป็นที่พักธุดงค์ในการครั้งนั้น ได้กลับกลายมาเป็นวัดของคณะกัมมัฏฐานเป็นส่วนใหญ่ในภายหลังโดยญาติโยมทั้งหลายที่ได้รับรสพระธรรมได้พากันร่วมอกร่วมใจกันจัดการให้เป็นวัดขึ้นโดยเฉพาะให้เป็นวัดพระภิกษุสามเณร ฉันมื้อเดียว ฉันในบาตร บำเพ็ญสมาธิกัมมัฏฐานอย่างไรก็ตาม คณะธุดงค์ทั้งหลายก็ไปพบกันอีกที่จังหวัดสกลนคร เพื่อร่วมงานศพมารดานางนุ่ม ชุวานนท์และงานศพพระยาปัจจันตประเทศธานี บิดาของพระพินิจฯ เมื่อเสร็จงานฌาปนกิจทั้งสองศพนั้นแล้ว พระอาจารย์มั่นก็ธุดงค์ต่อไปเพื่อมุ่งไปยังจังหวัดอุบลราชธานี โดยไปทางบ้านเหล่าโพนค้อได้แวะไปเยี่ยมอุปัชฌาย์พิมพ์ ต่อจากนั้นท่านก็ธุดงค์ต่อไป แวะพักบ้านห้วยทราย ๑๐ วัน โดยจุดมุ่งหมาย ท่านต้องการจะเดินทางกลับไปที่จังหวัดอุบลราชธานี ก็ได้บรรลุถึงหมู่บ้านหนองขอน อยู่ในเขตอำเภออำนาจเจริญ จ.อุบลราชธานี ซึ่งเป็นบ้านเกิดของพระอาจารย์สิงห์ขนฺตยาคโมซึ่งชาวบ้านเมื่อได้ฟังธรรมเทศนาของท่านแล้วเกิดความเลื่อมใสจึงได้พร้อมใจกันอาราธนาให้ท่านจำพรรษา เมื่อท่านเห็นว่าจะเป็นประโยชน์ก็รับอาราธนาชาวบ้านจึงช่วยกันจัดแจงจัดเสนาสนะถวายจนเป็นที่พอเพียงแก่พระภิกษุที่ติดตามมากับท่านพ.ศ. ๒๔๗๐ ในพรรษานี้ท่านอาจารย์มั่น ฯ ได้พักอยู่บ้านหนองขอน ตามที่ชาวบ้านได้อาราธนา
ส่วนพระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม และพระมหาปิ่นจำพรรษาที่บ้านหัวตะพาน บริเวณใกล้เคียงกันครั้นออกพรรษาในปี ๒๔๗๐ แล้ว ท่านอาจารย์มั่น ฯ ก็ได้เดินธุดงค์ไปถึงตัวจังหวัดอุบลราชธานีก็ได้นำโยมแม่ออกท่านไปมอบให้น้องสาวท่านในเมืองอุบล ฯ ท่านและคณะศิษย์พักที่วัดบูรพา คณะสานุศิษย์เก่าๆ ทั้งหลาย อันมีอาจารย์อุ่น ธมฺมธโร, อาจารย์อ่อน ญาณสิริ, อาจารย์ฝั้น อาจาโร, อาจารย์เกิ่งอธิมุตฺตโก พร้อมด้วยศิษย์ อาจารย์หลุย อาจารย์กว่า สุมโน, อาจารย์คูณ, อาจารย์สีลา อาจารย์ดี(พรรณานิคม) อาจารย์บุญมา (วัดป่าบ้านโนนทัน อุดรธานี ในปัจจุบันนี้) อาจารย์ทอง อโสโก อาจารย์บุญส่ง(บ้านข่า) อาจารย์หล้า หลวงตาปั่น (อยู่พระบาทคอแก้ง) เมื่อได้ทราบข่าวว่าท่านอาจารย์มั่น ฯ
เดินทางมาพำนักอยู่ในจังหวัดอุบลราชธานี ทุกองค์เหล่านี้ก็ได้ติดตามมาในเดือน ๓ เพ็ญ บรรดาศิษย์ทั้งหมดมีหลวงปู่สิงห์ ขนฺตยาคโม เป็นต้น ก็ได้ร่วมประชุมอบรมธรรมปฏิบัติอย่างที่เคย ๆ ปฏิบัติกันมาพระอาจารย์ลี ธมฺมธโรเข้าเป็นศิษย์ท่านอาจารย์มั่น
ย้อนเวลากลับมา ในขณะที่พระอาจารย์กงมากำลังธุดงค์ติดตามพระอาจารย์มั่นมายังอุบลราชธานีนั้นทางด้านพระอาจารย์ลี ซึ่งขณะนั้นบวชเป็นพระอยู่ ได้ไปเทศน์มหาชาติที่วัดโนนรังใหญ่ อำเภอม่วงสามสิบจังหวัดอุบลราชธานี ก็ไปพบพระกรรมฐานองค์หนึ่ง กำลังเทศน์อยู่บนธรรมาสน์
เกิดเลื่อมใสในโวหารของธรรมะที่เทศน์ จึงได้ไต่ถามญาติโยมว่า ท่านองค์นั้นเป็นใคร มาจากไหน ได้รับตอบว่า เป็นศิษย์พระอาจารย์มั่น ชื่ออาจารย์บท ท่านได้พักอยู่ในป่ายางใหญ่ใกล้บ้านราว ๒๐ เส้นพองานมหาชาติเสร็จ พระอาจารย์ลีก็ได้ติดตามไปดู...ได้เห็นปฏิปทาความประพฤติของท่านก็เกิดความเลื่อมใสจึงถามท่านว่า ใครเป็นอาจารย์ของท่าน ท่านตอบว่า พระอาจารย์มั่น พระ อาจารย์เสาร์เวลานี้พระอาจารย์มั่นได้ออกเดินทางจากจังหวัดสกลนคร ไปพักอยู่ที่วัดบูรพา จังหวัดอุบลราชธานีพอได้ความเช่นนั้นก็รีบเดินทางกลับบ้านลาบิดาและญาติเดินทางไปตัวเมืองอุบลราชธานี
เมื่อถึงแล้วก็ได้ไปนมัสการท่านพระอาจารย์มั่นที่วัดบูรพา กราบเรียนความประสงค์ของตนต่อพระอาจารย์มั่น ท่านก็ได้ช่วยแนะนำสงเคราะห์เป็นที่พอใจ สอนคำภาวนาให้ว่า พุทโธๆ เพียงคำเดียวเท่านี้พอดีท่านกำลังอาพาธ ท่านได้แนะนำให้ไปพักอยู่บ้านท่าวังหิน ซึ่งเป็นสถานที่เงียบ สงัดวิเวกดีที่นั่นมีพระอาจารย์สิงห์ พระมหาปิ่น มีพระภิกษุสามเณรราว ๔๐ กว่าองค์พักอยู่ได้เข้าไปฟังธรรมเทศนาของท่านพระอาจารย์มั่นทุกคืน
ท่านพระอาจารย์ลีได้เล่าไว้ในอัตโนประวัติของท่านที่ท่านได้เขียนขึ้นว่าพอดีได้พบเพื่อนที่หวังดี ๒ องค์นั้นคือพระอาจารย์กงมาและและพระอาจารย์สาม ได้พากเพียรพยายามภาวนาอยู่เสมอทั้งกลางวันกลางคืนเมื่อ ได้พักอยู่พอสมควรแล้ว ก็ได้ชวนพระอาจารย์กงมา
ออกเดินทางไปเรื่อยๆ ไปพักตามศาลเจ้าผีปู่ตาของหมู่บ้านตำบลต่างๆขณะนั้นเป็นจังหวะเดียวกันกับที่ท่านเจ้าคุณปัญญาพิศาลเถระ (หนู)
อดีตเจ้าอาวาสวัดปทุมวนารามขึ้นมาจากกรุงเทพ ฯ พักอยู่ที่วัดเลียบ จังหวัดอุบลราชธานีและท่านเจ้าคุณปัญญา ฯ นี้ ได้เป็นเพื่อนสหธัมมิกกับพระอาจารย์มั่น ฯจึงขอให้เป็นอุปัชฌาย์ญัตติบวชใหม่ให้ท่านอาจารย์กงมาและท่านอาจารย์ลี โดยพระอาจารย์กงมาเป็นนาคขวา
พระอาจารย์ลีเป็นนาคซ้าย จากนั้น ในวันที่ ๒๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๑ เวลา ๐.๔๐น.ท่านได้ให้ลูกศิษย์ทั้งสององค์คือพระอาจารย์กงมาและพระอาจารย์ลีทำพิธีทัฬหิกรรมญัตติเป็นภิกษุในคณะธรรมยุตติกนิกาย ที่วัดบูรพา จ.อุบลราชธานี โดยมี ท่านเจ้าคุณพระปัญญาพิศาลเถร (หนู) เป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านพระอาจารย์เพ็งเป็นพระกรรมวาจาจารย์ โดยพระอาจารย์กงมาได้ฉายาว่า จิรปุญโญภิกขุ และ พระอาจารย์ลีได้ฉายาว่า
ธมฺมธโรภิกขุเพราะเหตุนี้ท่านทั้งสองคือ พระอาจารย์กงมาและพระอาจารย์ลี จึงได้มีการสนิทสนมและเคารพนับถือซึ่งกันและกันตลอดมา
พระอาจารย์มั่นฯ ปรารภเรื่องปลีกตัวออกจากหมู่เพื่อวิเวกในค่ำคืนวันหนึ่ง ท่านอาจารย์มั่นฯ ท่านได้เข้าที่ทำสมาธิภาวนาก็ได้ปรารภขึ้นในใจว่า
จะออกจากหมู่คณะไปแสวงหาสถานที่วิเวก เพื่อจะได้มีโอกาสพิจารณาค้นคว้าในปฏิปทาสัมมาปฏิบัติให้ได้รับความเข้าใจชัดเจน และแจ่มแจ้งเข้าไปอีกแล้วจะได้เอาปฏิปทาอันถูกต้องนั้นฝากไว้แก่เหล่าสานุศิษย์ในอนาคตต่อไป เพราะพระธรรมวินัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่พระองค์ทรงตรัสไว้ดีแล้วนั้น ย่อมมีนัยอันสุขุมลุ่มลึกมากยากที่จะทำความเข้าใจให้ถูกต้องตามพุทธประสงค์ได้ ผู้ปฏิบัติตามรอยพระบาทพระพุทธองค์และตามปฏิปทาที่พระอริยเจ้าได้ดำเนินมาก่อนแล้วนั้นเมื่อไม่เข้าใจแจ่มแจ้งแล้ว ย่อมจะเขวไปจากปฏิปทาที่ถูกต้องก็เป็นได้ หรืออาจดำเนินไปโดยผิดๆ ถูก ๆเมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ผู้ปฏิบัติดีทั้งหลายก็จะเข้าไม่ถึงศีลถึงธรรมหรืออาจถึงกับป่วยการไม่เป็นประโยชนแก่ตนของตน การปฏิบัติพระธรรมวินัยในพระพุทธศาสนาก็จะมีแต่ความพอกพูนกิเลสให้เจริญงอกงามขึ้นในตนของตนเท่านั้นซึ่งไม่สมกับว่าพระธรรมวินัยเป็นของชำระกิเลสที่มีอยู่ให้สิ้นไปจากสันดานแห่งเวไนยสัตว์ทั้งหลายอนึ่ง การอยู่กับหมู่คณะจะต้องมีภาระการปกครอง ตลอดถึงการแนะนำพร่ำสอนฝึกฝนทรมานต่าง ๆซึ่งทำให้โอกาสและเวลาที่จะค้นคว้าในพระธรรมวินัยไม่เพียงพอ ถ้าแลเราปลีกตัวออกไปอยู่ในสถานที่วิเวกซึ่งไม่มีภาระแล้ว ก็จะได้มีโอกาสเวลาในการค้นคว้ามากขึ้นผลประโยชน์ในอนาคตก็จะบังเกิดขึ้นมาให้เป็นที่น่าพึงใจ
ครั้นท่านปรารภในใจอยู่อย่างนั้นแล้ว ท่านจึงได้เรียกศิษย์ทั้งหลาย มีหลวงปู่สิงห์เป็นต้น มาประชุมกันท่านได้แนะนำให้มีความมั่นคงดำรงอยู่ในข้อวัตรปฏิบัติอย่างที่ได้เคยแนะนำสั่งสอนมาแล้วนั้นจึงได้มอบหมายให้อำนาจแต่หลวงปู่สิงห์และท่านมหาปิ่นเป็นผู้บริหารปกครองแนะนำพร่ำสอนตามแนวทางที่ท่านได้แนะนำมาแล้วต่อไป เมื่อเสร็จจากการประชุมแล้วในการครั้งนั้น ท่านก็กลับไปที่บ้านของท่านอีก ได้แนะนำธรรมปฏิบัติซึ่งท่านได้เคยแนะนำมาก่อนแก่มารดาของท่านจนได้รับความอัศจรรย์อันเป็นภายในอย่างยิ่งมาแล้ว ท่านจึงได้ไปลามารดาของท่าน และได้มอบให้นางหวัน จำปาศีลผู้น้องสาวเป็นผู้อุปัฏฐากรักษาทุกประการ จากนั้นท่านพระอาจารย์มั่นก็ได้ออกเดินทางต่อไปยังกรุงเทพฯ กับเจ้าคุณพระปัญญาพิศาลเถระจำพรรษาที่วัดสระปทุม และเมื่อออกพรรษาแล้ว ก็ได้ติดตามพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท)ไปจำพรรษายังจังหวัดเชียงใหม่
ไปจังหวัดขอนแก่น
ใน พ.ศ. ๒๔๗๑ ระหว่างนี้พระอาจารย์กงมาก็ได้ติดตามหลวงปู่สิงห์ กับคณะพระภิกษุสามเณรรวมกันประมาณ ๘๐ รูปเดินทางเที่ยววิเวกไปในสถานที่ต่างๆ ก็ได้เทศนาอบรมศีลธรรมประชาชนโดยการขอร้องของเจ้าเมืองอุบลฯเมื่อจวนเข้าพรรษาได้ไปพักจำพรรษาอยู่วัดบ้านหัวงัว อำเภอกุดชุม จังหวัดยโสธรซึ่งเป็นบ้านญาติหลวงปู่สิงห์ในช่วงที่หลวงปู่สิงห์อยู่ที่บ้านหัวงัว ท่านก็ได้ทราบข่าวจาก เจ้าคุณพระเทพสิทธาจารย์ (จันทร์ เขมิโย) เมื่อครั้งยังเป็นพระครูพิศาลอรัญญเขต เจ้าคณะธรรมยุตจังหวัดขอนแก่น เจ้าอาวาสวัดศรีจันทราวาสตำบลพระลับ อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น ซึ่งเป็นญาติของหลวงปู่ด้วย ว่าทางขอนแก่นมีเหตุการณ์ไม่สู้ดีขณะนั้นพระอาจารย์ฝั้นซึ่งจำพรรษาอยู่สำนักสงฆ์ ที่หนองน่อง บ้านห้วยทราย อำเภอคำชะอีจังหวัดนครพนมก็ได้มากราบนมัสการและได้ร่วมปรึกษาหารือกับหลวงปู่สิงห์และพระอาจารย์มหาปิ่นในเรื่องดังกล่าว และเห็นควรลงไปช่วยพระครูพิศาลอรัญเขต (จันทร์ เขมิโย) เมื่อเห็นพ้องต้องกันแล้ว ต่างก็แยกย้ายกันออกเดินทาง โดยกำหนดให้ไปพบกันก่อนเข้าพรรษาที่ที่วัดเหล่างาขอนแก่น
เมื่อเป็นดังนั้น ชาวอำเภอยโสธร มีอาจารย์ริน อาจารย์แดง อาจารย์อ่อนตา เป็นหัวหน้าพร้อมด้วยชาวบ้านร้านตลาด ได้จ้างเหมารถยนต์ให้ ๒ คัน
ท่านและคณะได้พากันออกเดินทางจากอำเภอยโสธรโดยทางรถยนต์ไปพักแรมอยู่ จ.ร้อยเอ็ด ๑ คืนแล้วออกเดินทางไปพักอยู่ที่ จ.มหาสารคามที่ดอนปู่ตา ที่ชาวบ้านกล่าวกันว่าผีดุมีชาวบ้านร้านตลาดและข้าราชการพากันมาฟังเทศน์มากมาย จากนั้นเดินทางต่อไปถึงบ้านโนนยาง อ.เมือง
จ.ขอนแก่น เดือน ๓ แรม ๖ ค่ำ และได้ไปรวมกันอยู่ที่วัดเหล่างา ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของเมืองขอนแก่น
เหตุการณ์ไม่สู้ดีที่ขอนแก่น
ที่เมืองขอนแก่น นั้นคณะหลวงปู่สิงห์และพระมหาปิ่นได้พบว่าเหตุการณ์ก็ไม่สู้ดีตามที่พระครูพิศาลอรัญเขตว่าไว้ ซึ่งเรื่องนี้หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ
ซึ่งในสมัยนั้นท่านได้ร่วมอยู่ในคณะด้วย ท่านได้เขียนไว้ในหนังสือ อัตโนประวัติของท่าน ว่าข้าได้พักอยู่กับพระอาจารย์สิงห์ ฟังเสียงพวกโยนคนเมืองขอนแก่น ไม่เคยเห็นพระกรรมฐานตื่นเต้นกล่าวร้ายติเตียนกันไปสารพัดต่างๆ นานา มิใช่ เขาตื่นเต้นไปทางกลัวทางเสื่อมใส
ดังพวกชาวเมืองราชคฤห์ ตื่นเต้นคราวได้เห็นพระพุทธเจ้าออกบรรพชาใหม่ไปเที่ยวบิณฑบาตนั้นเมืองขอนแก่นพากันตื่นเต้นอย่างเห็นพระกรรมฐานเป็นสัตว์ เรียกพวกพระกรรมฐานว่า พวกบักเหลือง คำว่า บักเหลือง นี้เขาว่าพระกรรมฐานทั้งหลายเป็นงูจงอาง อีหล้าคางเหลือง
ฉะนั้นจึงมีคนเขาออกมาดูพวกพระกรรมฐาน เขาจำต้องมีมือ ถือไม้ค้อนกันมาแทบทุกคน เมื่อมาถึงหมู่พวกข้าแล้ว ถือค้อนเดินไปมาเที่ยวดูพระเณรที่พากันพักอยู่ตามร่มไม้และร้านที่เอากิ่งไม้ แอ้ม และมุงนั้นไปๆ มาๆแล้วก็ยืนเอาไม้ค้อนค้ำเอว ยืนดูกันอยู่ก็มีพอควร แล้วก็พากันกลับบ้าน
เสียงร้องว่าเห็นแล้วละพวกบักเหลือง พวกอีหล้าคางเหลือง พวกมันมาแห่น (แทะ) หัวผีหล่อน (กะโหลก) อยู่ป่าช้าโคกเหล่างา มันเป็นพวกแม่แล้ง ไปอยู่ที่ไหนฝนฟ้าไม่ตกเลยจงให้มันพากันหนีถ้าพวกบักเหลืองไม่หนีภายในสามสี่วันนี้ ต้องได้ถูกเหง้าไม้ไผ่ค้อนไม้สะแกไปฟาดหัวมันดังนี้ไปต่างๆ นานาจากนี้ไปก็มีเขียนหนังสือปักฉลากบอกให้หนี ถ้าไม่หนีก็จะเอาลูกทองแดงมายิงบูชาละ ดังนี้เป็นต้นไปบิณฑบาตไม่มีใครยินดีใส่บาตรให้ฉัน จนพระอาจารย์สิงห์ภาวนาคาถาอุณหัสสวิชัย ว่าแรงๆ ไปเลยว่า ตาบอดๆหูหนวกๆ ปากกืก ๆ (ใบ้) ไปตามทางบิณฑบาตนั้นแหละ
ทั้งมีแยกกันไปบิณฑบาต ตามตรอกตามบันไดเรือนไปเลย จึงพอได้ฉันบ้างทั้งพระอาจารย์ก็มีการประชุมลูกศิษย์วันสองวันต่อครั้งก็มี
ท่านให้โอวาทแก่พวกลูกศิษย์ได้มีความอบอุ่นใจไม่ให้มีความหวาดกลัวอยู่เสมอแต่ตัวข้าก็ได้อาศัยพิจารณากำหนดจิตตั้งอยู่ในคำสอนของพระพุทธเจ้าว่า ธมฺโม หเว รกฺขติ ธมฺมจารึนี้อยู่เรื่อยไป
แยกย้ายกันไปตั้งวัดใหม่
ที่วัดเหล่างา (ปัจจุบันคือวัดวิเวกธรรม) พระปฏิบัติสัทธรรมชุดนี้ได้ประชุมตกลงให้แยกย้ายกันไปตั้งเป็นสำนักสงฆ์วัดป่าฝ่ายอรัญวาสีขึ้นหลายแห่งในจังหวัดขอนแก่นเพื่อเผยแผ่ธรรม เทศนาสั่งสอนประชาชนให้ละมิจฉาทิฏฐิ เลิกจากการเคารพนับถือภูตผีปีศาจและให้ตั้งอยู่ในไตรสรณาคมน์ โดย ได้แยกกันอยู่จำพรรษาปี พ.ศ. ๒๔๗๒ ตามสำนักสงฆ์ต่างๆ ดังต่อไปนี้
๑. หลวงปู่สิงห์ ขนฺตยาคโม พระอาจารย์ภุมมี ฐิตธมฺโม พระอาจารย์กงมา จิรปุญฺโญ พระอาจารย์หลุยอยู่จำพรรษาที่สำนักสงฆ์ วัดป่าวิเวกธรรม ตำบลโนนทัน อำเภอพระลับ จังหวัดขอนแก่น
๒. พระมหาปิ่น ปญฺญาพโล ปธ.๕ พระอาจารย์อ่อน ญาณสิริ อยู่จำพรรษาที่สำนักสงฆ์วัดป่าบ้านพระครืออำเภอพระลับ จังหวัดขอนแก่น
๓. พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร พร้อมด้วยพระภิกษุสามเณร อยู่จำพรรษาที่สำนักสงฆ์วัดป่าบ้านผือ ตำบลโนนทันอำเภอพระลับ จังหวัดขอนแก่น
๔. พระอาจารย์เกิ่ง อธิมุตฺโต พร้อมด้วยพระภิกษุสามเณร อยู่จำพรรษาที่สำนักสงฆ์วัดป่าชัยวัน บ้านสีฐานอำเภอพระลับ จังหวัดขอนแก่น
๕. พระอาจารย์สีลา อิสฺสโร อยู่จำพรรษาที่สำนักสงฆ์วัดป่าบ้านคำไฮ ตำบลเมืองเก่า อำเภอพระลับ จังหวัดขอนแก่น
๖. พระอาจารย์อุ่น พร้อมด้วยพระภิกษุสามเณร อยู่จำพรรษาที่สำนักสงฆ์วัดป่าบ้านทุ่ง อำเภอพระลับจังหวัดขอนแก่น
๗. พระอาจารย์ดี ฉนฺโน พร้อมด้วยพระภิกษุสามเณร อยู่จำพรรษาที่สำนักสงฆ์วัดป่าบ้านโคกโจด อำเภอพระ ลับจังหวัดขอนแก่น
๘. พระอาจารย์ซามา อุจุตฺโต พร้อมด้วยพระภิกษุสามเณรอยู่จำพรรษาที่สำนักสงฆ์วัดป่าบ้านยางคำจังหวัดขอนแก่น
๙. พระอาจารย์นิน อยู่จำพรรษาที่สำนักสงฆ์ วัดป่าสุมนามัย อำเภอบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น
ใน พ.ศ. ๒๔๗๓ ซึ่งเป็นพรรษา ๓ (นับพรรษาใหม่เมื่อทำญัตติกรรม) ท่านอาจารย์กงมาได้จำพรรษาที่วัดป่าบ้านพระครือ อ.เมือง จ.ขอนแก่น ร่วมกับพระอาจารย์มหาปิ่น ปญฺญาพโล พระอาจารย์เทสก์ เทสรํสีพ.ศ. ๒๔๗๔ พระอาจารย์กงมา จิรปุญฺโญจำพรรษาที่ภูระงำ อ.ชนบท จ.ขอนแก่น กับพระอาจารย์ฝั้น ซึ่งก่อนที่จะมาที่ภูระงำนั้นได้มีอาการอาพาธมาก่อนและก็ยังไม่ทุเลาดีนักเมื่อพระอาจารย์ฝั้นมาจำพรรษาที่ภูระงำอาพาธเดิมก็เกิดกำเริบหนัก ท่านได้ภาวนาสละตายจนจิตรวมสงบเวทนาดับเหลือแต่เอกาจิตตังตลอดคืนยันรุ่ง ตั้งแต่ทุ่มเศษจนกระทั่ง ๙ โมงเช้า
อาการอาพาธปวดเมื่อยหายไปหมด พ้นจากการทุกข์ทรมาน เบาตัว เบากาย สบายเป็นปกติออกพรรษาคราวนั้น พระอาจารย์กงมา จิรปุญโญ ลงจากภูระงำ กับพระอาจารย์ฝั้นเที่ยวธุดงค์ปฏิบัติกัมมัฏฐานเทศนาธรรมสั่งสอนชาวบ้านไปเรื่อย ๆ จนถึงอำเภอน้ำพอง ซึ่งที่นั่น ท่านได้พบพระอาจารย์สิงห์พระอาจารย์มหาปิ่น และพระเณรอีกหลายรูปซึ่งต่างก็เที่ยวธุดงค์กันมาจากสถานที่ที่จำพรรษาด้วยกันทั้งนั้นและที่อำเภอน้ำพองนี่เอง สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสฺโส) เจ้าคณะมณฑลอีสานเมื่อครั้งยังเป็นพระพรหมมุนีได้มีบัญชาให้พระอาจารย์สิงห์นำพระภิกษุสามเณรในคณะของท่านเดินทางไปจังหวัดนครราชสีมาเพื่อเทศนาสั่งสอนพุทธบริษัท ซึ่งพระอาจารย์กงมาก็ได้ร่วมเดินทางไปกับพระภิกษุสามเณรคณะนี้ด้วยเมื่อถึงนครราชสีมา พ.ต.ต. หลวงชาญนิยมเขต ได้ถวายที่ดินหลังสถานีรถไฟ จำนวน ๘๐ ไร่เศษ ให้สร้างเป็นวัดซึ่งต่อมาก็คือวัดป่าสาลวัน นั่นเองจากนั้นพระอาจารย์มหาปิ่นก็ได้พาหมู่ศิษย์อีกหมู่หนึ่งไปสร้างเสนาสนะที่ข้างกรมทหาร ต. หัวทะเล อ. เมืองจ. นครราชสีมา ซึ่งแต่ก่อนเคยเป็นป่าช้าที่ ๒ สำหรับเผาศพผู้ที่ตายด้วยโรคติดต่อ เช่นอหิวาตกโรค และกาฬโรค ฯลฯ เป็นต้น ให้ชื่อว่าวัดป่าศรัทธารวม ในพรรษานี้ พ.ศ. ๒๔๗๕วัดป่าศรัทธารวมก็มีพระภิกษุสามเณรอยู่จำพรรษาด้วยกันรวม ๑๔ รูป คือนอกจากพระอาจารย์กงมา จิรปุญฺโญแล้วยังมีพระอาจารย์มหาปิ่น ปญฺญาพโล, พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร, พระอาจารย์เทสก์ เทสรํสี, พระอาจารย์ภุมมีฐิตธมฺโม, พระอาจารย์หลุย จนฺทสาโร, ฯลฯ รวมพระภิกษุ ๑๐ รูป และสามเณรอีก ๔ รูปภายในปีเดียวเกิดมีวัดป่าพระกรรมฐานขึ้นสองวัดเป็นปฐมฤกษ์ของเมืองโคราชออกพรรษาปีนั้น คือ พ.ศ. ๒๔๗๕ พอเข้าเดือน ๖ นายอำเภอขุนเหมสมาหารได้อาราธนาพระอาจารย์กงมา จิรปุญฺโญ,พระอาจารย์อ่อน, พระอาจารย์ฝั้นไปจัดสร้างวัดขึ้นวัดหนึ่ง ใกล้สถานีรถไฟบ้านใหม่สำโรง ตำบลลาดบัวขาวอำเภอสีคิ้ว คือวัดป่าบ้านใหม่สำโรง หรือวัดสว่างอารมณ์ในปัจจุบัน เสร็จแล้วพระอาจารย์ฝั้นได้ธุดงค์กลับไปโคราช พระอาจารย์กงมา ได้จำพรรษาอยู่ที่วัดสว่างอารมณ์นี้ ๓พรรษา จนถึงปี พ.ศ. ๒๔๗๙
พบศิษย์คนสำคัญ
ที่บ้านใหม่สำโรงนี้เองก็เป็นบ้านของศิษย์คนสำคัญคนหนึ่งของท่าน คือ พระอาจารย์วิริยังค์ซึ่งเกิดที่ปากเพรียว จังหวัดสระบุรี แต่หลังจากที่บิดาซึ่งรับราชการเป็นนายสถานีรถไฟปากเพรียวนานพอสมควรแล้ว ทางการได้สั่งย้ายมารับตำแหน่งนายสถานีรถไฟ บ้านใหม่สำโรง อำเภอสี่คิ้ว
จังหวัดนครราชสีมา ท่านขุนผู้เป็นบิดาจึงได้ย้ายครอบครัวมาอยู่ที่บ้านใหม่สำโรงซึ่งถือว่าเป็นความโชคดีของครอบครัวเด็กชายวิริยังค์ อย่างยิ่งที่จะได้มาพบพระอาจารย์กงมา จิรปุญฺโญผู้เป็นศิษย์รูปสำคัญของพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ เมื่อพระอาจารย์วิริยังค์อายุได้ประมาณ ๑๕ ปี (พ.ศ.๒๔๗๗) ก็ได้บวชเป็นผ้าขาว และได้บรรพชาเมื่อ ๒๒ พฤษภาคม ๒๔๗๘ ณ วัดสุทธิจินดา ต.โพธิ์กลาง อ.เมืองจ.นครราชสีมา โดยพระธรรมฐิติญาณ เป็นพระอุปัชฌาย์เมื่อบวชเป็นสามเณรแล้วก็กลับมาอยู่ที่วัดสว่างอารมณ์กับท่านพระอาจารย์กงมา
พระเครื่องของหลวงปู่...บางส่วน
ขอขอบคุณที่มา...http://www.nabia10.com