สมัยครั้งพระพุทธเจ้าเสวยพระชาติเป็นมหาสัตว์ เกิดเป็นสุวรรณโพระดกนกแขกเต้า เลี้ยงมารดาตาบอด นั่นเราฟังแล้วเราซึ้งใจอยู่เล่นเอาสะอึกเหมือนกัน ท่านเล่ามาในสมัยครั้งก่อนเกิดเป็นสุวรรณโพระดกนกแขกเต้า มารดาหาเลี้ยงตั้งแต่ลืมตาอ้าปากดูโลกมาบินไปหาอาหาร ได้อาหารแล้วก็รีบมาส่งลูก อย่างนี้ทุกวันจนลูกปีกกล้าขาแข็งแล้ว ต่อมาแม่ก็ชราภาพลง ตาก็ฝ้าฟางไม่เห็นหนทาง ไปโดนพิษต้นไม้หรือไปโดนพิษอะไรก็ไม่รู้ ฝ้าฟางลงผิดปกติมองไม่เห็นเครือเถาวัลย์เท่าไร บินไปก็มักชน ชนเครือเขาเถาวัลย์ ตกลงพื้นดินอย่างทุลักทุเล ลูกผู้เป็นมหาสัตว์ก็สังเกต เอ้ มารดาเราไม่เห็นเหมือนเก่า เวลาไปไหนมาไหนมักชนต้นไม้ กิ่งไม้เครือเขาเถาวัลย์อยู่เรื่อยๆ
ได้โอกาสดีจึงถามว่าแม่ทำไมจึงชนต้นไม้ เห็นแม่ชนหลายทีแล้วนะไม่ใช่ครั้งเดียว นี่แม่ผิดปกติ แต่ก่อนแม่ไม่เป็นอย่างนี้ ก็บอกลูก ตาแม่ไม่ค่อยเห็น มันฝ้าฟาง สังเกตว่าไปตรงนี้จะไม่มีอะไรก็ชนเข้ามันไม่เห็นถนัด มองไม่เห็นอะไร มันฝ้าฟาง เห็นลางๆ ไปอย่างนั้น ถ้าอย่างนั้นขอโทษขอโอกาสเถอะแม่ให้แม่อยู่กับรวงกับรัง ลูกจะหามาเลี้ยงเองได้ไหมแม่ โอ้ยเกรงใจลูก แม่พูดด้วยความเกรงใจลูก ลูกไหนจะหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง จะหาเลี้ยงภรรยาของตัว แม่ก็เกรงใจก็ไปอย่างนี้แหละ ไม่ได้หรอกแม่ ขอให้เป็นหน้าที่ของลูกเถอะ อันนี้ขอให้เป็นหน้าที่ของลูกเถอะ ไม่ต้องเกรงใจแม่เลี้ยงเรามา เรารู้ ตั้งแต่ลืมตาอ้าปากมาแม่ไม่ค่อยได้พักผ่อนอะไรเลย จนขนาดนี้และลูกก็ปีกกล้าขาแข็ง ขอให้เป็นหน้าที่ของลูกได้ไหมแม่ ขอร้องอย่าเกรงใจเลย ลูกว่าอย่างนั้นก็ไม่เอา
ในที่สุดก็ตกลงอยู่รวงอยู่รังคอยกินอาหารกับลูก ลูกทีแรกก็ลำบากเหมือนกันไปหาที่อื่นก็ไม่มี หาได้ยาก ต่อมาพอเขาปลูกข้าวสาลีมันแก่มันสุกมาแล้วก็เลยไปกินข้าวสาลี เจ้าของข้าวสาลีเขาก็ไม่ว่าอะไร ใจดีเห็นนกมากินก็ดีใจ เอ้อมันมากิน ให้มันกินซะ
หลายวันเข้าๆ ก็มาสังเกต เจ้าของไร่ข้าวสาลี มาสังเกตเห็นนกตัวหนึ่งมันผิดเขาพอกินอาหารเสร็จแล้ว กินข้าว กินอะไรอิ่มกันแล้ว เวลาบินไปกลับบ้าน กลับรวงกลับรัง เขาไม่บินไปเฉยๆ เขาคาบเอาข้าวสาลีในไร่บินกลับไปวันละรวง สองรวง เจ้าของไร่ข้าวสาลีแกเกิดความโลภ มัจฉิริยะขึ้นมาในใจ มัจเฉรธรรมความหวง ความตระหนี่ขึ้นมาในใจว่ามันจะหมด ถ้ามันเอาไป วันละรวง สองรวง สิบวันจะหมดกี่รวง ๒๐ วัน ๓๐ วันมันจะหมดไป ข้าวในไร่ของเรามันจะไม่พอมั้ง ไม่อยู่คงที่ เรียกว่ามันหมดเปลืองไป เพราะเขาคาบไปนี้เอง ก็เลยเกิดความโลภขึ้นจัด คิดอยากจะเอามาลงโทษหาตาข่ายมาดัก มันเคยออกตรงไหน ออกตรงรูนั่นนะ มันเคยกินที่นี่มันออกที่ต้นไม้ห่างๆ ต้นนั้นน่ะ ออกตรงนั้นทุกวัน ถ้ามาไล่ออกตรงนั้นทุกวันก็เลยเอาตาข่ายมาดักผูกเชือกขึงตาข่ายธรรมดา
วิธีการอย่างนั้น มาแอบอยู่ไม่ให้นกเห็น พอนกลงกินข้าว มันลงมาทุกตัวแล้วนี่นะไม่มีแล้ว ทุกตัวก็ตะเพิด เอ้ย ๆ เคาะไม้ ตบมือขึ้น ตีสัญญาณดังๆ ขึ้น ปัง ปัง นกก็ตกใจ ไม่คิดหาทางอะไรหรอกออกไปทะลุของเก่านั้นล่ะ เราเคยมาทางนี้ก็ไปทางนี้ล่ะ ปรู๊ดไปเลย สุวรรณโพระดกนกแขกเต้ามันเร็วปรู๊ดออกไป ก็ไปชนเอาตาข่ายพร้อมๆ กันเลย แล้วก็รูดเอาพอดีตาข่ายพอมันชนก็รูดลงมันเป็นถุงน่ะ รูดเข้ามาลูกเดียว ก็ตกลงที่พื้น เอ้าได้ตัวมันคราวนี้ล่ะ เจ้าของไร่ข้าวสาลีก็รีบมาตะครุบไว้ กลัวมันจะออกได้ ก็จะได้ตัวมันคราวนี้ ตัวที่ขี้โลภ ตัวที่เห็นแก่ตัวเห็นแก่ปากแก่ท้อง กินอิ่มแล้วยังไม่พอ ยังคาบของเราไป จะได้ตัวมาลงโทษวันนี้แหละนะ
เลือกพอเลือกไปตัวนี้ไม่ใช่ จำได้ปล่อยไป ตัวนี้ไม่ใช่ปล่อยไปอ้ายตัวนี้ ไม่ใช่ เลือกไปเลือกไปอยู่ จวนๆ จะสุดท้ายล่ะ อ๋าตัวนี้แน่นอนเราสังเกตเห็น จำได้ ปีกมันไม่เหมือนเขา เราจำได้ จำได้ ปีกมันไม่เหมือนเขา เราจำได้ที่ปีกมันไม่เหมือนเขานี่เอง ปีกทองๆ มีขาวปนๆ อยู่บ้าง ปลายปีกมันขาวตรงตัวกลางมันทองง หลังก็ทอง เราจำได้ตัวนี้แน่นอน จับไว้แกขี้โลภ ไม่เหมือนคนอื่น ตัวอื่นเขากินอิ่มแล้วก็ไปเฉยๆ แกมันขี้โลภ คนขี้โลภ ไม่ควรจะอยู่ ไม่ควรมีชีวิตอยู่ควรจะฆ่าทิ้งขู่ไว้ต่างๆ นานา
สัญชาติญาณของนกรู้หมดทุกอย่างคำพูดคำจาของเจ้าของไร่ข้าวสาลีนะก็เลยตอบเป็นภาษาออกไปว่า ข้าพเจ้าไม่โลภ ข้าพเจ้าไม่โลภ หือไม่โลภได้อย่างไง พูดได้ชัดดีเหลือเกิน ว่าไม่โลภ จริงๆ ข้าพเจ้าไม่โลภ ข้าพเจ้าเอาข้าวของท่านไปทำประโยชน์ เอาข้าวของท่านไปทำประโยชน์ แน้ยังพูดว่าไปทำประโยชน์ เอาไปแล้วมันก็หมดสิ จะเอาไปทำประโยชน์อะไร คุยกันไปคุยกันมารู้เรื่องดีทุกอย่าง ที่ว่าเอาไปทำประโยชน์ คืออย่างไร
อ๋อท่านผู้เจริญ ยังมีนางนกอันธะ ตัวหนึ่งบินไปหากินไม่ได้ เพราะตาบอด นกอันธะแปลว่านกตาบอด ตาฝ้าฟางบินไปก็ชนต้นไม้ เครือเขาเถาวัลย์ ข้าพเจ้าเลยรับอาสา ไม่ให้มา ขอให้จับอยู่ที่รวงที่รังนี่แหละ ข้าพเจ้ามาหาอาหารกินแล้วสำหรับตัวกินอิ่มแล้ว บางวันก็ไปหากินที่อื่นก็ได้อาหารให้พอเสียก่อน ข้าพเจ้ายังไม่กินก่อน ข้าพเจ้าได้อาหารแล้ว ผลหมากรากไม้ คาบแล้วรีบไปให้นางนกกินเสียก่อน เสียด้วยซ้ำไป แล้วก็ข้าวที่เอาไป เอาของท่านไปให้นางนกกินนั้น นางนกก็กินอิ่มแล้ว พอแล้ว เหลือจากนั้น ข้าพเจ้าก็ไปแจกลูกนก ทั้งหลายที่ยังไม่มีปีก หรือปีกยังไม่กล้าไม่แข็ง บินยังไม่ได้อยู่กับรวงกับรัง ข้าพเจ้าไปแจกจนหมดนี้ล่ะ เรียกว่าไปทำประโยชน์ ให้ผู้อื่นมีความสุขด้วย
เอ๋แล้วนางนกตาบอดที่ว่านี่น่ะเป็นอะไรกับเจ้าล่ะ เจ้าถึงอาสานักหนา โอ๋ยท่านผู้เจริญเอ๊ย นางนกตาบอด นางนกอัธะที่ว่านี้น่ะ ใช่อื่นไกลเลย เป็นมารดาบังเกิดเกล้าของข้าพเจ้าเอง พอพูดแค่นี้เจ้าของไร่ข้าวสาลีสะอึกเลยเพราะคิดถึงแม่ตัวเอง ตัวเองก็มีแม่เหมือนกันให้น้องชายเลี้ยงอยู่ทางบ้านอื่น เมืองอื่นโน้น เรามีครอบครัวอยู่ทางนี้ เราก็เลี้ยงบุตรภรรายาอยู่ทางนี้ หลายปีแล้วก็ไม่ได้ไปดูแม่เราเลย คิดในใจอย่างนั้นแต่นกตัวทำไมหนอจึงมีมาตาปิตุอุปถัมภ์อุปฐานธรรมขนาดนี้น้อ ไม่ใช่ความผิดของนกนะ ยกนกตัวนั้นขึ้นใส่หัว สาธุ สาธุ ตัวของเจ้าเป็นอาจารย์เป็นครูของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะถือเป็นอาจารย์เพราะ ภาษิตของเจ้าที่พูดออกมานั้น เตือนให้ข้าพเจ้าระลึกถึงแม่ได้เต็มเปาเลย ระลึกถึงแม่มากเลยจนทนไม่ไหว น้ำตาพังออกนี่เพราะคำพูดของเจ้าเป็นภาษิตที่ฟังแล้ว ชื่นใจระลึกถึงแม่ได้เต็มเปา มีความสุขด้วยเพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าขอบูชาๆ ภาษิตของอาจารย์ บูชาภาษิตของเจ้า ท่านผู้เป็นอาจารย์นี้แหละนะ
ที่ีมา
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=10700