ผู้เขียน หัวข้อ: หลวงปู่ท่อน ญาณธโร  (อ่าน 8338 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
หลวงปู่ท่อน ญาณธโร
« เมื่อ: 21 มี.ค. 2555, 09:33:02 »
ประวัติและปฏิปทา
หลวงปู่ท่อน ญาณธโร


วัดศรีอภัยวัน
ต.นาอ้อ อ.เมือง จ.เลย



๏ อัตโนประวัติ

“อย่ามีอคติ...อย่าลำเอียงกับใครเลย และอย่าขึ้นๆ ลงๆ อย่าเอารัดเอาเปรียบกันอีกเลย”

ความตอนหนึ่งจากธรรมโอวาทของ “พระราชญาณวิสุทธิโสภณ” หรือ “หลวงปู่ท่อน ญาณธโร” ที่คอยอบรมสอนสั่งสาธุชนให้ปฏิบัติตาม ด้วยกุศโลบายอันแยบคายในการแสดงพระธรรมเทศนา ให้ผู้ฟังนำไปขบคิดพินิจพิจารณาด้วยปัญญา

ท่านเป็นพระเถราจารย์ผู้ใหญ่สายวิปัสสนาธุดงค์กัมมัฏฐาน เป็นพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ที่มีความเชี่ยวชาญด้านจิตตภาวนา การเทศนาธรรม และวิทยาคมอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ

หลวงปู่ท่อน ญาณธโร มีนามเดิมว่า ท่อน ประเสริฐพงศ์ เกิดเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม พุทธศักราช 2471 ตรงกับวันพฤหัสบดี ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ปีมะโรง ณ บ้านหินขาว ต.สาวะถี อ.เมือง จ.ขอนแก่น โยมบิดา-โยมมารดาชื่อ นายแจ่ม และนางทา ประเสริฐพงศ์ มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันทั้งหมด 19 คน ท่านบุตรคนที่ 6 ปัจจุบัน สิริอายุได้ 79 พรรษา 59 (เมื่อปี พ.ศ.2550) ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดศรีอภัยวัน บ้านหนองมะผาง ต.นาอ้อ อ.เมือง จ.เลย และเจ้าคณะจังหวัดเลย (ธรรมยุต)


๏ การศึกษาเบื้องต้น

ในวัยเยาว์ สำเร็จการศึกษาในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 จากโรงเรียนบ้านหินขาว ต.สาวะถี อ.เมือง จ.ขอนแก่น แต่ด้วยฐานะทางบ้านยากจน ท่านจึงได้ลาออกจากโรงเรียนมาช่วยบิดามารดาทำงานหาเลี้ยงครอบครัว

ต่อมาได้เรียนต่อที่โรงเรียนผู้ใหญ่ที่บ้านหินขาว สอบเทียบได้ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4

หลังจากจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 แล้ว ท่านไม่ได้เข้าศึกษาต่อ เพราะต้องเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงของครอบครัว จึงเป็นเหตุให้ต้องออกจากโรงเรียนอีกครั้ง เพื่อมาทำงานหาเลี้ยงครอบครัว

ที่ีมา
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=10700
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว....ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา...สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา...กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: หลวงปู่ท่อน ญาณธโร
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 21 มี.ค. 2555, 09:38:11 »


หลวงปู่คำดี ปภาโส

๏ การอุปสมบท

ช่วงวัยหนุ่มฉกรรจ์ เป็นคนติดเพื่อนฝูง กินเหล้าเมายา จีบสาวตามบ้านต่างๆ ในละแวกนั้น ทำให้โยมบิดา-โยมมารดา เป็นกังวลใจมาก หากเป็นเช่นนี้ต่อไป บุตรชายคงจะเสียคนเป็นแน่ จึงได้ปรึกษากันขอให้บุตรชายบวชเรียน โยมบิดาจึงนำตัวบุตรชายไปฝากกับหลวงปู่คำดี ปภาโส พระเกจิชื่อดังแห่งวัดป่าชัยวัน ต.เมืองเก่า อ.เมือง จ.ขอนแก่น แต่หลวงปู่คำดีมีข้อแม้ว่า ก่อนบวชจะต้องรักษาศีล นุ่งห่มขาว เจริญภาวนา กินข้าวมื้อเดียวก่อน

ครั้นอยู่ทดสอบจิตใจได้ 5 เดือน หลวงปู่คำดีได้อนุญาตให้เข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ขณะมีอายุ 20 ปีบริบูรณ์ เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน พ.ศ.2491 ณ พัทธสีมาวัดศรีจันทร์ (พระอารามหลวง) ต.ในเมือง อ.เมือง จ.ขอนแก่น โดยมีพระเทพบัณฑิต (มหาอินทร์ ถิรเสวี สินโพธิ์ ป.ธ.5) เมื่อครั้งดำรงสมณศักดิ์ที่พระพิศาลสารคุณ วัดศรีจันทร์ เป็นพระอุปัชฌาย์, พระครูคัมภีรนิเทศ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระมหาสุพจน์ อุตฺตโม เป็นพระอนุสาวนาจารย์

ภายหลังอุปสมบทแล้ว ท่านได้เดินทางไปพำนักจำพรรษาอยู่กับหลวงปู่คำดี ณ วัดป่าชัยวัน โดยหลวงปู่คำดีเป็นอาจารย์กัมมัฏฐาน คอยสอนให้ทำภาวนา นั่งสมาธิกัมมัฏฐาน เน้นเรื่องสติ สมาธิ และปัญญา ระยะเวลาผ่านไปนานพอสมควร ท่านได้ช่วยครูบาอาจารย์แบ่งเบาภาระในการสอนคนที่จะมาบวช ด้วยการสอนขานนาค เป็นต้น ครั้นถึงช่วงออกพรรษา ได้เป็นหัวหน้าออกเดินธุดงค์เข้าป่าเป็นกิจวัตร


๏ ได้รับโอวาทจากหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

ครั้งหนึ่งท่านได้มีโอกาสพบหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต บูรพาจารย์สายพระป่า และได้รับโอวาทอันทรงคุณค่าอย่างหาที่เปรียบมิได้จากหลวงปู่มั่น “ให้เร่งทำความเพียร มิให้ประมาท ชีวิตนี้อยู่ได้ไม่นานก็ต้องตาย”

หลวงปู่ท่อน ยังได้มีโอกาสไปกราบเยี่ยมครูบาอาจารย์หลายท่าน อาทิ หลวงปู่ชอบ ฐานสโม, หลวงปู่หลุย จันทสาโร, หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี, หลวงพ่อมหาปิ่น ชลิโต เป็นต้น


ที่ีมา
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=10700

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: หลวงปู่ท่อน ญาณธโร
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: 21 มี.ค. 2555, 09:42:05 »


หลวงพ่อมหาปิ่น ชลิโต

หลังจากช่วยงานการครูบาอาจารย์เสร็จสิ้น หลวงปู่คำดีได้นำหมู่คณะออกวิเวกไปทาง จ.เลย ตอนนั้นหลวงปู่ท่อนบวชได้ 7 พรรษาแล้ว

พ.ศ.2497 หลวงปู่คำดี นำคณะเข้าป่าและถ้ำต่างๆ ได้ภาวนาทำความเพียร ตลอดจนให้ศรัทธาญาติโยมมาฟังธรรมะ และในพรรษานี้หลวงปู่ท่อนได้อยู่จำพรรษา ณ วัดถ้ำผาปู่นิมิตร ต.นาอ้อ อ.เมือง จ.เลย กับหลวงปู่คำดีด้วย

หลวงปู่ท่อนอยู่ที่วัดถ้ำผาปู่นิมิตร ได้ 2 พรรษา ก็มีศรัทธาญาติโยมมาขอให้ไปโปรดที่วัดถ้ำตีนผา อ.เชียงคาน จ.เลย 1 พรรษา ต่อมาหลวงปู่คำดีเกิดอาพาธเจ็บป่วยด้วยโรคชรา ท่านจึงกลับมาเยี่ยมและช่วยสร้างวัดถ้ำผาปู่นิมิตรไปด้วย จวบกระทั่งหลวงปู่คำดีได้มรณภาพลงอย่างสงบ


๏ สร้างวัดศรีอภัยวัน

พ.ศ.2500 ศรัทธาญาติโยมได้นิมนต์ให้หลวงปู่ท่อนไปอยู่ที่ป่าช้านาโป่ง และได้สร้างเป็นวัดศรีอภัยวัน บนเนื้อที่ประมาณ 40 ไร่ รวมทั้งรักษาความเป็นป่าอย่างสมบูรณ์ไว้

จากนั้นมา หลวงปู่ท่อนได้จำพรรษาที่วัดศรีอภัยวัน จ.เลย ตราบจนถึงปัจจุบัน

เนื่องจากหลวงปู่ท่อนเป็นพระป่า ที่วัดจึงไม่มีสิ่งก่อสร้างใหญ่โต กุฏิเป็นเพียงกุฏิเล็กๆ ปัจจัยที่ได้รับจากญาติโยม ล้วนแบ่งเอาไว้ใช้เท่าที่จำเป็น ส่วนใหญ่จะแบ่งปันให้แก่สำนักสงฆ์ วัด ที่ขาดแคลนหรือทุรกันดาร


พระประธาน ณ วัดศรีอภัยวัน


๏ ลำดับงานปกครองคณะสงฆ์

พ.ศ.2503 เป็นเจ้าอาวาสวัดวัดศรีอภัยวัน

พ.ศ.2510 เป็นเจ้าคณะตำบลเมือง เขต 2 (ธรรมยุต)

พ.ศ.2526 เป็นเจ้าคณะอำเภอเชียงคาน-ภูเรือ (ธรรมยุต)

พ.ศ.2532 เป็นเจ้าคณะอำเภอเชียงคาน-ปากชม (ธรรมยุต)

วันที่ 26 มกราคม พ.ศ.2550 ได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าคณะจังหวัดเลย (ธรรมยุต) ตามกฎของมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 23/2541 ว่าด้วยระเบียบการปกครองคณะสงฆ์


๏ ลำดับสมณศักดิ์

พ.ศ.2514 เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นตรีที่ “พระครูญาณธราภิรัติ”

พ.ศ.2527 เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นเอก ในราชทินนามเดิม

พ.ศ.2531 เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นพิเศษ ในราชทินนามเดิม

พ.ศ.2535 เนื่องในวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ พระบรมราชินีนาถ ครบ 5 รอบ ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ ในราชทินนามที่ “พระญาณทีปาจารย์” เป็นกรณีพิเศษ

เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ.2550 เนื่องในวโรกาสมหามงคลสมัยที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 80 พรรษา ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นราช ในราชทินนามที่ “พระราชญาณวิสุทธิโสภณ”

ที่ีมา
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=10700

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: หลวงปู่ท่อน ญาณธโร
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: 21 มี.ค. 2555, 09:46:32 »


หลวงปู่ท่อน ญาณธโร-หลวงปู่จันทร์โสม กิตฺติกาโร-หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ


๏ ร่มโพธิ์ร่มไทรของคณะศิษยานุศิษย์

นับแต่ปี พ.ศ.2528 เป็นต้นมา หลวงปู่ท่อน เริ่มมีกิจนิมนต์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นที่กรุงเทพฯ ภาคอีสาน ภาคเหนือ ภาคใต้ รวมถึงต่างประเทศ แทบจะหาเวลาว่างไม่ได้เลย แต่หลวงปู่ก็มิเคยขัดศรัทธาญาติโยมแต่อย่างใด

อย่างไรก็ตาม ในปี พ.ศ.2536 หลวงปู่ได้อาพาธด้วยโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ ทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ ทำให้หลวงปู่เกิดอาการวิงเวียนหน้ามืดเป็นประจำ

ล่วงมาถึงปี พ.ศ.2537 หลวงปู่อาพาธอีก ด้วยโรคเส้นเลือดในช่องท้องโป่งพอง ต้องเข้ารับการผ่าตัดจากคณะแพทย์โรงพยาบาลวิชัยยุทธ แม้การผ่าตัดจะประสบผลสำเร็จ แต่ส่งผลให้หลวงปู่ท่อนไม่สามารถเทศนาบรรยายธรรมได้นานดังแต่ก่อน เพราะสุขภาพไม่อำนวย ทุกวันนี้หลวงปู่ยังคงเดินทางเข้าไปตรวจเช็กสุขภาพที่โรงพยาบาลวิชัยยุทธ แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพฯ อย่างสม่ำเสมอ

หลวงปู่ท่อน มีความรู้ความสามารถในด้านวิทยาคม วิปัสสนากัมมัฏฐาน มีฌานสมาบัติแก่กล้า มีวิชาทำวัตถุมงคลตามตำรับโบราณคณาจารย์ที่มีชื่อเสียงในยุคอดีต เป็นเหตุปัจจัยเสริมให้วัตถุมงคลทั้งหมดของท่านมีพุทธคุณศักดิ์สิทธิ์เข้มขลัง ท่านได้มีการสร้างวัตถุมงคลมากมาย อาทิ พระผงหลังโต๊ะหมู่บูชารุ่นแรก, พระผงหลังโต๊ะหมู่บูชารุ่นแรก (รุ่นสรงน้ำ) และอื่นๆ อีกมากมาย เป็นต้น

ด้วยกุศลผลบุญทั้งมวลอันเกิดจากความอุตสาหะแห่งการบำเพ็ญเพียร ส่งผลให้หลวงปู่ท่อน มีอายุยืนยาว เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของคณะศิษยานุศิษย์ เป็นกำลังอันสำคัญในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา รวมทั้งเป็นศูนย์รวมจิตใจของพุทธศาสนิกชนไปตราบนาน


หลวงปู่ท่อน ญาณธโร


ที่ีมา
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=10700

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: หลวงปู่ท่อน ญาณธโร
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: 22 มี.ค. 2555, 01:18:21 »



๏ พระธรรมเทศนาเรื่อง ธรรมาภิสมัย
วันที่ ๑๘ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๓

จะเอาพระบ้านนอกมาบรรยายธรรม อบรมจิตใจของชาวกรุง ปรากฏว่ามันก็ไม่เข้าท่าเท่าไหร่นะ พระบ้านนอกมาอบรมชาวกรุงมันไม่สมกันเลย ต้องพระในกรุงมาอบรมชาวกรุง มันจึงจะถูกต้อง ก็เหมือนอาหารนะ อาหารบ้านนอกอาหาร ภาคอีสาน จะเอามาแจกชาวกรุงก็คงไม่หมดแหละ ถ้าแจกชาวอีสานด้วยกัน อาจจะหมด

ธรรมะก็เหมือนกัน ธรรมที่ชาวอีสาน หรือพระบ้านนอกได้ศึกษามา ได้อบรมมาได้ฟังมาก็เป็นธรรมะป่าๆ ทั้งนั้นล่ะนะ มันจะถูกสเป็คกับชาวกรุงหรือเปล่าเน้อนะโยม ที่เคยมาเทศน์ ที่วัดเสนา วัดใหม่เสนานิคม หรือวัดอะไรนั่น หลวงปู่หลอด นั่นคราวหนึ่งและก็ไปเทศน์ที่วัดพระรามเก้านั่นครั้งหนึ่ง เทศน์อยู่แถวๆ บริเวณนอกๆ นี่แหละ แถวนี้เขาเห็นว่าจะได้ประโยชน์ในการบรรยายธรรม นั่นมันเกี่ยวกับงานวันเกิดของท่าน เลยพูดเรื่องวันเกิดกันไปพอสมควรแล้วก็เล่านิทานมาประกอบ มีคนออกปากว่าชอบอกชอบใจว่าอย่างนั้นอยากฟังเรื่อยๆ เพราะที่บรรยายไปนั้นมันเป็นธรรมาภิสมัยในหัวใจ ทำให้สังคมมนุษย์อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข

ถ้ามีธรรมาภิสมัย หรือว่าธรรมอำไพก็เรียกกัน ธรรมอันนั้นธรรมสำหรับชาวโลกที่อยู่รวมกัน เห็นว่าเป็นประโยชน์ เพราะว่าคนเราต้องเกิดมาก็ต้องมีพ่อมีแม่มีผู้ปกครอง ถ้าลูกไม่รู้จักบุญคุณของผู้มีพระคุณแล้ว ก็ขาดธรรมอำไพหรือขาดธรรมาภิสมัย ไม่น่าอยู่เลย ไม่น่าดูเลย พ่อแม่หวังพึ่ง ฝากผีฝากไข้กับลูก ถ้าลูกไม่มีธรรมาพิสมัยไม่ตอบแทนบุญคุณของพ่อของแม่ พ่อแม่ก็หมดหวังในชีวิต ไม่น่าอยู่ในโลกเลย เลี้ยงลูกยากเฉยๆ หวังพึ่ง ฝากผีฝากไข้ก็ไม่ได้ เขาไม่ดู ไม่แลอย่างนี้ เป็นเรื่องที่เศร้าใจมาก

มันก็ไม่ผิดอะไรกับสัตว์เดรัจฉาน เราเห็นสัตว์เดรัจฉานน่ะ สังเกตมาตั้งแต่น้อย ตั้งแต่ลืมตาอ้าปากดูโลกมาเห็นแม่ไปเที่ยวหาอาหารมาป้อน มาหย่อนใส่ปากลูกนกทั้งหลายก็ดี แต่ว่าลูกๆ ถ้าแม่เฒ่าชราลงไปแล้ว พวกนกทั้งหลายนี่จะไปหาอาหาร มาปล่อยใส่ปากแม่ เคยมีบ้างไหมน้อ ไม่เคยมีแล้ว สัตว์เดรัจฉาน เฉยไปเลย แต่ว่ามหาสัตว์มีนะ มหาสัตว์มี จะขอเล่าเรื่องมหาสัตว์ให้ฟังสักหน่อย พระพุทธเจ้านำมาแสดง เพื่อให้เกิดธรรมาภิสมัยแต่จิตใจของพุทธบริษัทของพระองค์นั่นเอง


ที่ีมา
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=10700

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: หลวงปู่ท่อน ญาณธโร
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: 22 มี.ค. 2555, 01:20:06 »

สมัยครั้งพระพุทธเจ้าเสวยพระชาติเป็นมหาสัตว์ เกิดเป็นสุวรรณโพระดกนกแขกเต้า เลี้ยงมารดาตาบอด นั่นเราฟังแล้วเราซึ้งใจอยู่เล่นเอาสะอึกเหมือนกัน ท่านเล่ามาในสมัยครั้งก่อนเกิดเป็นสุวรรณโพระดกนกแขกเต้า มารดาหาเลี้ยงตั้งแต่ลืมตาอ้าปากดูโลกมาบินไปหาอาหาร ได้อาหารแล้วก็รีบมาส่งลูก อย่างนี้ทุกวันจนลูกปีกกล้าขาแข็งแล้ว ต่อมาแม่ก็ชราภาพลง ตาก็ฝ้าฟางไม่เห็นหนทาง ไปโดนพิษต้นไม้หรือไปโดนพิษอะไรก็ไม่รู้ ฝ้าฟางลงผิดปกติมองไม่เห็นเครือเถาวัลย์เท่าไร บินไปก็มักชน ชนเครือเขาเถาวัลย์ ตกลงพื้นดินอย่างทุลักทุเล ลูกผู้เป็นมหาสัตว์ก็สังเกต เอ้ มารดาเราไม่เห็นเหมือนเก่า เวลาไปไหนมาไหนมักชนต้นไม้ กิ่งไม้เครือเขาเถาวัลย์อยู่เรื่อยๆ

ได้โอกาสดีจึงถามว่าแม่ทำไมจึงชนต้นไม้ เห็นแม่ชนหลายทีแล้วนะไม่ใช่ครั้งเดียว นี่แม่ผิดปกติ แต่ก่อนแม่ไม่เป็นอย่างนี้ ก็บอกลูก ตาแม่ไม่ค่อยเห็น มันฝ้าฟาง สังเกตว่าไปตรงนี้จะไม่มีอะไรก็ชนเข้ามันไม่เห็นถนัด มองไม่เห็นอะไร มันฝ้าฟาง เห็นลางๆ ไปอย่างนั้น ถ้าอย่างนั้นขอโทษขอโอกาสเถอะแม่ให้แม่อยู่กับรวงกับรัง ลูกจะหามาเลี้ยงเองได้ไหมแม่ โอ้ยเกรงใจลูก แม่พูดด้วยความเกรงใจลูก ลูกไหนจะหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง จะหาเลี้ยงภรรยาของตัว แม่ก็เกรงใจก็ไปอย่างนี้แหละ ไม่ได้หรอกแม่ ขอให้เป็นหน้าที่ของลูกเถอะ อันนี้ขอให้เป็นหน้าที่ของลูกเถอะ ไม่ต้องเกรงใจแม่เลี้ยงเรามา เรารู้ ตั้งแต่ลืมตาอ้าปากมาแม่ไม่ค่อยได้พักผ่อนอะไรเลย จนขนาดนี้และลูกก็ปีกกล้าขาแข็ง ขอให้เป็นหน้าที่ของลูกได้ไหมแม่ ขอร้องอย่าเกรงใจเลย ลูกว่าอย่างนั้นก็ไม่เอา

ในที่สุดก็ตกลงอยู่รวงอยู่รังคอยกินอาหารกับลูก ลูกทีแรกก็ลำบากเหมือนกันไปหาที่อื่นก็ไม่มี หาได้ยาก ต่อมาพอเขาปลูกข้าวสาลีมันแก่มันสุกมาแล้วก็เลยไปกินข้าวสาลี เจ้าของข้าวสาลีเขาก็ไม่ว่าอะไร ใจดีเห็นนกมากินก็ดีใจ เอ้อมันมากิน ให้มันกินซะ

หลายวันเข้าๆ ก็มาสังเกต เจ้าของไร่ข้าวสาลี มาสังเกตเห็นนกตัวหนึ่งมันผิดเขาพอกินอาหารเสร็จแล้ว กินข้าว กินอะไรอิ่มกันแล้ว เวลาบินไปกลับบ้าน กลับรวงกลับรัง เขาไม่บินไปเฉยๆ เขาคาบเอาข้าวสาลีในไร่บินกลับไปวันละรวง สองรวง เจ้าของไร่ข้าวสาลีแกเกิดความโลภ มัจฉิริยะขึ้นมาในใจ มัจเฉรธรรมความหวง ความตระหนี่ขึ้นมาในใจว่ามันจะหมด ถ้ามันเอาไป วันละรวง สองรวง สิบวันจะหมดกี่รวง ๒๐ วัน ๓๐ วันมันจะหมดไป ข้าวในไร่ของเรามันจะไม่พอมั้ง ไม่อยู่คงที่ เรียกว่ามันหมดเปลืองไป เพราะเขาคาบไปนี้เอง ก็เลยเกิดความโลภขึ้นจัด คิดอยากจะเอามาลงโทษหาตาข่ายมาดัก มันเคยออกตรงไหน ออกตรงรูนั่นนะ มันเคยกินที่นี่มันออกที่ต้นไม้ห่างๆ ต้นนั้นน่ะ ออกตรงนั้นทุกวัน ถ้ามาไล่ออกตรงนั้นทุกวันก็เลยเอาตาข่ายมาดักผูกเชือกขึงตาข่ายธรรมดา

วิธีการอย่างนั้น มาแอบอยู่ไม่ให้นกเห็น พอนกลงกินข้าว มันลงมาทุกตัวแล้วนี่นะไม่มีแล้ว ทุกตัวก็ตะเพิด เอ้ย ๆ เคาะไม้ ตบมือขึ้น ตีสัญญาณดังๆ ขึ้น ปัง ปัง นกก็ตกใจ ไม่คิดหาทางอะไรหรอกออกไปทะลุของเก่านั้นล่ะ เราเคยมาทางนี้ก็ไปทางนี้ล่ะ ปรู๊ดไปเลย สุวรรณโพระดกนกแขกเต้ามันเร็วปรู๊ดออกไป ก็ไปชนเอาตาข่ายพร้อมๆ กันเลย แล้วก็รูดเอาพอดีตาข่ายพอมันชนก็รูดลงมันเป็นถุงน่ะ รูดเข้ามาลูกเดียว ก็ตกลงที่พื้น เอ้าได้ตัวมันคราวนี้ล่ะ เจ้าของไร่ข้าวสาลีก็รีบมาตะครุบไว้ กลัวมันจะออกได้ ก็จะได้ตัวมันคราวนี้ ตัวที่ขี้โลภ ตัวที่เห็นแก่ตัวเห็นแก่ปากแก่ท้อง กินอิ่มแล้วยังไม่พอ ยังคาบของเราไป จะได้ตัวมาลงโทษวันนี้แหละนะ

เลือกพอเลือกไปตัวนี้ไม่ใช่ จำได้ปล่อยไป ตัวนี้ไม่ใช่ปล่อยไปอ้ายตัวนี้ ไม่ใช่ เลือกไปเลือกไปอยู่ จวนๆ จะสุดท้ายล่ะ อ๋าตัวนี้แน่นอนเราสังเกตเห็น จำได้ ปีกมันไม่เหมือนเขา เราจำได้ จำได้ ปีกมันไม่เหมือนเขา เราจำได้ที่ปีกมันไม่เหมือนเขานี่เอง ปีกทองๆ มีขาวปนๆ อยู่บ้าง ปลายปีกมันขาวตรงตัวกลางมันทองง หลังก็ทอง เราจำได้ตัวนี้แน่นอน จับไว้แกขี้โลภ ไม่เหมือนคนอื่น ตัวอื่นเขากินอิ่มแล้วก็ไปเฉยๆ แกมันขี้โลภ คนขี้โลภ ไม่ควรจะอยู่ ไม่ควรมีชีวิตอยู่ควรจะฆ่าทิ้งขู่ไว้ต่างๆ นานา

สัญชาติญาณของนกรู้หมดทุกอย่างคำพูดคำจาของเจ้าของไร่ข้าวสาลีนะก็เลยตอบเป็นภาษาออกไปว่า ข้าพเจ้าไม่โลภ ข้าพเจ้าไม่โลภ หือไม่โลภได้อย่างไง พูดได้ชัดดีเหลือเกิน ว่าไม่โลภ จริงๆ ข้าพเจ้าไม่โลภ ข้าพเจ้าเอาข้าวของท่านไปทำประโยชน์ เอาข้าวของท่านไปทำประโยชน์ แน้ยังพูดว่าไปทำประโยชน์ เอาไปแล้วมันก็หมดสิ จะเอาไปทำประโยชน์อะไร คุยกันไปคุยกันมารู้เรื่องดีทุกอย่าง ที่ว่าเอาไปทำประโยชน์ คืออย่างไร

อ๋อท่านผู้เจริญ ยังมีนางนกอันธะ ตัวหนึ่งบินไปหากินไม่ได้ เพราะตาบอด นกอันธะแปลว่านกตาบอด ตาฝ้าฟางบินไปก็ชนต้นไม้ เครือเขาเถาวัลย์ ข้าพเจ้าเลยรับอาสา ไม่ให้มา ขอให้จับอยู่ที่รวงที่รังนี่แหละ ข้าพเจ้ามาหาอาหารกินแล้วสำหรับตัวกินอิ่มแล้ว บางวันก็ไปหากินที่อื่นก็ได้อาหารให้พอเสียก่อน ข้าพเจ้ายังไม่กินก่อน ข้าพเจ้าได้อาหารแล้ว ผลหมากรากไม้ คาบแล้วรีบไปให้นางนกกินเสียก่อน เสียด้วยซ้ำไป แล้วก็ข้าวที่เอาไป เอาของท่านไปให้นางนกกินนั้น นางนกก็กินอิ่มแล้ว พอแล้ว เหลือจากนั้น ข้าพเจ้าก็ไปแจกลูกนก ทั้งหลายที่ยังไม่มีปีก หรือปีกยังไม่กล้าไม่แข็ง บินยังไม่ได้อยู่กับรวงกับรัง ข้าพเจ้าไปแจกจนหมดนี้ล่ะ เรียกว่าไปทำประโยชน์ ให้ผู้อื่นมีความสุขด้วย

เอ๋แล้วนางนกตาบอดที่ว่านี่น่ะเป็นอะไรกับเจ้าล่ะ เจ้าถึงอาสานักหนา โอ๋ยท่านผู้เจริญเอ๊ย นางนกตาบอด นางนกอัธะที่ว่านี้น่ะ ใช่อื่นไกลเลย เป็นมารดาบังเกิดเกล้าของข้าพเจ้าเอง พอพูดแค่นี้เจ้าของไร่ข้าวสาลีสะอึกเลยเพราะคิดถึงแม่ตัวเอง ตัวเองก็มีแม่เหมือนกันให้น้องชายเลี้ยงอยู่ทางบ้านอื่น เมืองอื่นโน้น เรามีครอบครัวอยู่ทางนี้ เราก็เลี้ยงบุตรภรรายาอยู่ทางนี้ หลายปีแล้วก็ไม่ได้ไปดูแม่เราเลย คิดในใจอย่างนั้นแต่นกตัวทำไมหนอจึงมีมาตาปิตุอุปถัมภ์อุปฐานธรรมขนาดนี้น้อ ไม่ใช่ความผิดของนกนะ ยกนกตัวนั้นขึ้นใส่หัว สาธุ สาธุ ตัวของเจ้าเป็นอาจารย์เป็นครูของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะถือเป็นอาจารย์เพราะ ภาษิตของเจ้าที่พูดออกมานั้น เตือนให้ข้าพเจ้าระลึกถึงแม่ได้เต็มเปาเลย ระลึกถึงแม่มากเลยจนทนไม่ไหว น้ำตาพังออกนี่เพราะคำพูดของเจ้าเป็นภาษิตที่ฟังแล้ว ชื่นใจระลึกถึงแม่ได้เต็มเปา มีความสุขด้วยเพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าขอบูชาๆ ภาษิตของอาจารย์ บูชาภาษิตของเจ้า ท่านผู้เป็นอาจารย์นี้แหละนะ

ที่ีมา
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=10700

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: หลวงปู่ท่อน ญาณธโร
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: 22 มี.ค. 2555, 01:21:36 »
ข้าวสาลีในไร่ ๑๖ จีบ ข้าพเจ้าขอบูชาภาษิตของอาจารย์นะ ๑๖ จีบ จงพาหมู่มากินจากนี้ไปนี่จากนี่ไปนี่ บริเวณนี้ๆ ลงมากินได้ ข้าพเจ้าไม่เอาโทษเลย อย่างสบาย นอกนั้นเอาไว้ให้ข้าพเจ้าเก็บเกี่ยวเอาไปขาย เอาไปเลี้ยงครอบครัว ตอนนี้ขอบูชาภาษิตนี้ มาตาปิตุอุปัฏฐานัง เป็นมงคลชีวิตแล้วทำให้ผู้อื่นเกิดศรัทธาเลื่อมใส ยกข้าวสาลีในไร่ให้กินสบายอย่างนี้ เป็นต้น นั่นแหละเป็นธรรมอันหนึ่งมาตาปิตุอุปฐานธรรม เป็นธรรมาภิสมัยเกิดในจิตในใจของมนุษย์เราแล้ว ก็ระลึกถึงบุญคุณผู้มีพระคุณได้ เป็นธรรมาภิสมัยเป็นธรรมน่าดู น่าชม ทุกยุคทุกสมัยมา ถ้าหามีคุณธรรมเลี้ยงดูบิดามารดาแล้ว

นักปราชญ์ทั้งหลาย สรรเสริญ เห็นแล้วชื่นอกชื่นใจ แต่ว่าเห็นตั้งแต่แม่นกคาบอาหารมาป้อนปากลูกนกแย่งกันกิน แต่ว่าลูกนกโตแล้วที่จะไปหาคาบอาหารมาป้อนปากแม่ให้แม่กินนี่ ยากนักที่จะได้ฟังได้เห็นได้ดูได้ชม ก็มีนกตัวเดียวนั่นล่ะ นกสุวรรณโพระดกนกแขกเต้า เพราะเป็นมหาสัตว์ มหาสัตว์ผู้ประเสริฐ ทำได้ทีเดียว ทำอย่างนั้นทำได้ ดีใจเสียด้วยได้ทำอย่างนั้น

ทีนี้เราเคยเห็น สัตว์ทั้งหลาย เลี้ยงลูกเลี้ยงเต้าด้วยความเอาใจใส่เป็นพิเศษ ไม่ว่าสัตว์น้ำไม่ว่าสัตว์บก พวกนกก็ดี พวกหนู พวกกระรอก กระแต ทุกอย่างวิ่งขวักไขว่แสวงหาอาหารมาเลี้ยงลูกที่ยังลืมตาอ้าปากไม่เป็น อาศัยแต่แม่เท่านั้นแม่มาหยิบยื่นให้ทุกสัตว์ทุกจำพวกเป็นเสียอย่างนี้ สัตว์ใหญ่ขึ้นไปเป็นช้าง เป็นเสือ หมีดีแต่แม่หาให้ลูก แม่มือยาวกว่ารูดเอาใบไม้ ยอดไม้สูงๆ ส่งให้ลูกเห็นแล้วก็ชื่นใจ เห็นแล้วก็ดีอกดีใจแม่มีเมตตาต่อลูก สัตว์ทุกจำพวกอย่างนี้เอง สาวกของพระบรมศาสดาองค์หนึ่ง ท่านได้ฟังมาตาปิตุอุปฐานธรรมบ่อยๆ แต่ก่อนยังไม่มีคุณธรรมอะไรหรอก มีแต่อยากบวชอย่างเดียวสาวก องค์นั้นเป็นตระกูลเศรษฐี

จำได้เป็นชื่อเราจำผิดหรือจำถูกก็ไม่รู้ แต่ว่าเอาเนื้อหาสาระแล้วฟังแล้วซึ้งใจดี สาวกองค์นั้นเกิดในตระกูลมีอันจะอยู่จะกิน เป็นเศรษฐีย่อมๆ เรียกว่าคหบดี คหปตานี เป็นผู้มั่งมีศรีสุข คฤหาสน์ใหญ่โต มีบริวารเป็นจำนวนมาก มีนาตั้งหลายทุ่งมีเกวียนตั้งหลายร้อยเล่ม มีสวนมีไร่หลายอย่าง ให้บริวารเป็นผู้ทำอยู่แต่ไม่มีบุตร เบื้องต้นไม่มีบุตรเลยอยู่แต่งงานกันมาหลายปีดีดัก ตั้ง ๔๐ ปี อายุย่างเข้า ๔๐ ปีแล้ว ยังไม่มีบุตร มีพิธีไหว้อ้อนวอน ขอวอนเทวดาอารักษ์ที่ไหนก็ไม่รู้ ธรรมเนียมเป็นอย่างนั้น คนไม่มีบุตรอยากได้บุตรจะต้องมีการไหว้การวอน ทำพิธีไหว้วอน แต่ก็ได้สมใจจริงๆ อายุ ๔๐ ปีแล้วจึงค่อยมีบุตรตั้งครรภ์ขึ้นมา เวลาถ้วนกำหนดทศมาส ก็คลอดออกมาเป็นชาย แหมสาใจของพ่อแม่เหลือเกิน ดีอกดีใจ ฟูมฟักรักษา ไกวเปลเห่กล่อม ทะนุถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงมา ด้วยความอุตส่าห์พยายามเพื่อหวังอยากจะให้ลูกนี่สืบตระกูล สืบสมบัตินั้นเอง

พอลูกชายเกิดขึ้นมาแล้วมีนิสัยไปทางอื่นไม่ใฝ่ใจในสมบัติเท่าไร ไม่ยินดีในสมมติ ที่มั่งมีเลยแต่มองเห็นว่ามันเป็นโทษ ถ้าผูกพันในสมบัติแล้วเราก็จะไปไหนไม่ได้ล่ะห่วงแค่สมบัตินี้ล่ะ มีความยินดีอยากจะบวชอยู่พอโตขึ้น ๒๐ ปี ล่ะมั้ง มารดาก็เลยขอร้องลูกเอ๋ยจงไปหาผู้หญิงที่ชอบใจ มาแต่งงานเสียเถอะ ถ้าแต่งงานแล้วพ่อแม่จะยกสมบัติให้ เรียกว่าทำพินัยกรรมยกให้เจ้าเป็นผู้ครองต่อไป ก็ตอบแม่ว่าอย่างไร แม่ลูกยังไม่พร้อม เรื่องเงินทองสมบัติ ลูกอยากบวช วันไหนๆ มานั่งดูชมพระผู้มีพระภาคหรือพระบรมศาสดาเดินบิณฑบาต ห้อมล้อมด้วยสาวกบริวาร งามเหลือเกิน ทำไมถึงงามอย่างนี้น้อ เหมือนดังพญาราชหงส์อันห้อมล้อมด้วยฝูงหงส์ฉะนั้น งามจริงๆ ไปสำรวมระวัง งามน่าชม

ในพระสูตรท่านว่า การได้ดูสมณะสารูปผู้สังวรระวังดีเป็นมงคลชีวิต นั่งมีความสุข บางวันแม่ขอร้อง ให้ช่วยจัดสิ่งของไปใส่บาตรแม่จะใส่ พ่อจะใส่ นี่ก็ยินดีทีเดียวล่ะ ได้ใกล้พระบรมศาสดาได้ใส่บาตรเสียเองก็มีบางครั้ง ดีใจภูมิใจวันนั้น หนักๆ เข้า พ่อแม่ไม่ใช้บวช บวชแล้วใครจะครองสมบัติ อย่าบวชเลยนะลูกถ้าลูกบวชแล้วสมบัติไหนก็ระเทระทายไปเท่านั้นเอง แม่ก็แก่แล้วพ่อก็แก่แล้ว แม่ก็ ๔๐ กว่าแล้ว พ่อจะย่างเข้า ๖๐ แล้วล่ะมั่ง แหม ทำอย่างไรหนอ ไม่ให้บวช ทำเป็นไม่กินข้าวกินน้ำไปเรียกประชด แล้วจะอยู่ไปทำไมจะไม่ได้บวชทำไมตายเสียดีกว่าจะทำประชดแม่ทำยังกับว่าไม่กินข้าวกินน้อเลย แม่ก็กลัวลูกเอาจริงเอาจังเพราะเป็นคนนิสัยจริงจัง แล้วขอร้องว่าถ้าจะบวชจริงๆ ก็ต้องกินข้าวกินน้ำเสียก่อนสิ ถ้าไม่กินข้าวกินน้ำมีกำลังวังชาเสียก่อนไปบวช แล้วมันจะทำข้อวัตรปฏิบัติอะไรได้ละลูก จริงหรือแม่ให้บวชจริงๆ หรือ ก็จริงนะสิ ถ้าอยากจะบวชก็จงกินข้าวกินปลาเสียเถอะ บำรุงกำลังร่างกายให้แข็งแรงเสียก่อน แม่จะไปมอบให้พระเถระท่าน ดีอกดีใจกินข้าวกินปลาอาหารมีกำลังวังชาดีพอสมควร

แม่ก็พาไปมอบเข้านาค ฝึกนาค ฝึกภาคปฏิบัติต่างๆ รู้ธรรมวินัย รู้จักอาหาร รู้จักอะไรประเคนได้ประเคนไม่ได้เสียก่อน รู้จักดีเสียก่อน พอมอบแล้วฝึกปรือเป็นนาคอยู่นั่น พอสมควรก็ได้บวช พอบวชไปแล้ว ก็ฟังเทศน์พระบรมศาสดาทุกวันล่ะ ตอนเย็นก็ไปฟังเทศน์พระบรมศาสดาทุกวันๆ พระบรมศาสดาอาจจะรู้นิสัย สาวกองค์นั้นเป็นอย่างนั้น องค์นี้เป็นอย่างนี้ ควรจะเน้นหนักให้วิเวกสถา เน้นหนักในวิเวกสถาแนะนำให้ออกวิเวกสงบสงัด ประพฤติปฏิบัติภาวนาถ้าอยู่ด้วยความคลุกคลีจิตใจจะไม่เป็นไป ไม่หลุดพ้นจากอาสวะ อาจจะคลุกคลีกันอยู่สนุกสนานในการคุย ในการเจรจา ในการดู การชมอย่างอื่นไป ไม่เป็นธรรม เป็นวินัย เอาเสียเลยต้องออกวิเวก ท่านว่าอย่างนั้นต้องหาสถานที่สงบสงัดเรียกว่าเสนาสนะสัปปายะ

หาสถานที่สัปปายะเสียก่อน จิตใจจึงจะสงบ หาสถานที่เหมาะๆ เสนาสนะสัปปายะแล้วยังไม่พอ ต้องให้อากาศสัปปายะ ไม่เป็นพิษเป็นภัยเสียก่อน ไปอยู่ที่เช่นนั้น อาหารสัปปายะ เสนาสนะสัปปายะ อาหารสัปปายะ แล้วะก็อากาศสัปปายะ บุคคลที่จะไปมาหาสู่นั้นก็สัปปายะอีกด้วย จนจะเกิดธรรมะเป็นที่สบาย ธรรมะก็เป็นสัปปายะ มีสัปปายะทั้ง ๕ แล้ว จึงจะดำเนินประพฤติก็ปฏิบัติได้บรรลุมรรคผลนิพพานได้เร็ว ถ้ายังคลุกคลีตีโมงกันอยู่ ยังสนุกสนานในการอยู่ร่วมกันอยู่ ไม่มีวันบรรลุมรรคผลนิพพานได้เร็ว ถ้ายังคลุกคลีตีโมงกันอยู่ ยังสนุกสนานในการอยู่ร่วมกันอยู่ไม่มีวันบรรลุข้ออรรถ ข้อธรรมอันใดแล้ว มีแต่จะหนาแน่นขึ้นด้วย โลภะ โทสะ โมหะ ราคะ โทสะ โมหะ จะแก่กล้าขึ้น ท่านก็แนะนำสั่งสอนหนักไปทางวิเวกสถา วันไหนก็แนะนำอย่างนี้

เอาวิเวกสถานเป็นใหญ่ เหตุที่จะได้ตรัสรู้พระอนุตรสัมโพธิญาณ นี่ก็เพราะอยู่สถานที่สงบสงัด ถ้าอยู่กับหมู่คณะ กับหมู่กับพวกคนหมู่มาก คงไม่ได้ตรัสรู้หรอกนะ เราตถาคตนี่เหตุที่ได้ตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ก็ได้ที่วิเวกไกลจากชุน เข้าใจหรือเปล่า พระภิกษุทั้งหลายก็เข้าอกเข้าใจ ออกพรรษาแล้วก็ขอลาแยกย้ายกันไปภาวนา แห่งละองค์ สององค์ ที่วิเวกไกลๆ โน้น ส่วนพระโสณะนี่ ขอติดตามพระเถระเข้าไปในป่าเหมือนกัน หลังประเทศเนปาล ขึ้นไปหิมวันต์ หิมาลัยใกล้ภูเขาหิมาลัย ที่นั่นน้ำดีเหลือเกิน อากาศดีเหลือเกิน แต่ดึกๆ มาได้ยินเสียง สัตว์ร้อง พิลึกกึกกือ สัตว์ร้อง สัตว์ป่า สัตว์ร้องพวกเสือ พวกช้าง พวกหมี ชะนี สิงโต มันร้องในป่า น่ากลัวดี ใจมันสงบ

ที่ีมา
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=10700

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: หลวงปู่ท่อน ญาณธโร
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: 22 มี.ค. 2555, 01:23:14 »
ถ้าอย่างนั้นใจมันกลัว มันก็ตั้งใจดี ที่นี่มีหมู่บ้านพอบิณฑบาตได้ห่างๆ เอาปักหลักที่นั่นละ อยู่ที่นั่นถ้าหากยังไม่บรรลุคุณธรรมเมื่อใด เราจักไม่กลับบ้าน เราจักไม่ย้อนมาตุภูมิเป็นอันขาด เด็ดเดี่ยวลงไป ทำความเพียรที่นั่นหลายปีดีดัก พอทำความเพียรไปใจสงบ จะถึงที่ได้อัปปนาสมาธิ เท่านั้นแหละเสียงแว่วเข้ามาที่หู บวชได้แล้ว ได้บุญแล้ว ก็จงสึกนะลูก ขึ้นมาที่หุ ใจมันก็สะดุ้งออกมา เสียงแม่เราชัดๆ

ออกมาทำความเพียรไป ทำความเพียรไปวันหนึ่งๆ ก็ตั้งหลายครั้งจะให้มันสงบถึงจุดให้มันวิมุติหลุดพ้นจากอาสวะให้ได้ พอถึงจุดสงบลงไปถึงอัปปนาเข้าไปลึกๆ แว่วขึ้นมาเสียงน่ะ ทำให้ใจถอนทุกครั้ง ถ้าอยู่เฉยๆ ไม่ทำความเพียรอะไร ทำข้อวัตรอย่างอื่นน่ะไม่เป็นไร ไม่มีนิวรณธรรมมาแว่วที่หูเลยก็อยู่ที่นั่น นั่นล่ะ อยู่กับหมู่พวกที่ป่านั่นเอง ไม่ได้ย้อนกลับบ้านมั่นใจว่าจะทำให้ได้มันได้ ให้ได้บรรลุ

แต่มาย้อนถึงมาตุภูมิของท่าน ตระกูลของท่าน พอดีลูกไปบวชแล้ว ต่อมาฝนแล้ง มันเกิดแห้งแล้ง แล้ง ๗ ปี ปลาย ๗ เดือนอะไรนี้แหละทั่วๆ ไป ในประเทศอินเดียไม่ได้ทำนาอะไรเลย มีนาตั้งหลายทุ่ง แต่ไม่ได้ทำนาเพราะฝนไม่ตก การทำนาทำไม่ได้ การค้าขาย เอาเกวียนมาตั้งหลายร้อยเล่มออกค้าขาย ขายก็ขายไม่ได้อีก เศรษฐกิจตกต่ำ ผลิตผลที่ทำไว้แล้วมันก็หมดไป หมดเนื้อหมดตัวลง หลายปีมา ผลิตผลใหม่ก็ไม่ได้ ข้าวยากหมากแพงขึ้นมา บริวารที่เคยรับใช้อยู่แต่ก่อนเป็นพ่อค้าเกวียนให้ตั้งหลายคนทำนาให้ตั้งหลายคน เขาก็ไม่อยู่แล้ว ลาไปทำมาหากินทางอื่นเขา ยังเหลืออยู่นิดหน่อยเพราะว่าเงินทองร่อยหรอลง สองตายายทำยังไง ยายเอ้ยปรึกษากันมันหลายปีแล้วนี่นะ ไม่ได้ทำไร่ทำนาเลย ผลิตผลก็หมดไปหมดไปอย่างนี้ เราจะได้อะไรมาเลี้ยงตัวล่ะ

เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เอาคฤหาสน์หลังใหญ่นี้ล่ะไปจำนองไว้กับสหายผู้มีอันจะอยู่จะกินคนหนึ่งก็แล้วแต่จะเป็นแล้วแต่พ่อเป็นล่ะ ก็ไปพูดตกลงกันขอจำนองคฤหาสน์ ขอขายฝากกับสหายล่ะ ขอซื้อให้หน่อยเถอะ ข้าพเจ้าหมดเนื้อหมดตัวจริงๆ บริวารก็ตีตัวออกห่าง ถ้าได้ทำไร่ทำนาไม่เกินปีสองปี ก็ได้ถ่ายคืนหรอก บ้านน่ะ ตกลงราคาเท่าไหร่ ก็หลายพันกษาปณ์ เป็นหลายพันกษาปณ์ ตกลงแล้วก็เอาเงินให้กัน ทำสัญญา ๑๐ ปี นะสหาย สัญญากัน ๑๐ ปี ถ้าเกิน ๑๐ ปีไปคฤหาสน์ต้องเป็นเจ้าของทรัพย์ใช่ไหม เอาเลยเอาเข้าใจว่า ๑๐ ปีก็จะมีโอกาสทำไร่ทำนา ขายของ ขายข้าว ขายปลา จะมาไถ่คืน ได้เงินได้ทองแล้วก็กลับบ้านไป สัญญากันไว้แล้วกลับบ้านไป คนสนิทบริวารเห็นนายมีเงินมีทองก็ตรูกันเข้ามาขออาศัยอยู่อีก ข้าเก่าเต่าเลี้ยงปฏิเสธกันไม่ได้ หลายปีเข้า หลายปีเข้าไม่มีทีท่าว่าจะทำไร่ ทำนาอะไรเลย ชาวบ้าน ชาวเมืองก็เดือดร้อนทั่วๆ ไป

ท่านคหบดีคิยะเศรษฐีเราเอาเงินเขามาจำนองบ้าน บ้านเขามา ไม่มีทีท่าจะได้ไถ่คืนเลย มันจวนจะเข้า ๑๐ ปีแล้ว คิดหนักนอนไม่หลับ นอนไปก็ผวาอยู่เรื่อยๆ กลัวคฤหาสน์นี้จะเป็นของคนอื่นเขาไป เลยเกิดโรคหัวใจ พูดภาษาง่ายๆ เกิดโรคหัวใจ คิดหนักอย่างนั้น มันเป็นอารมณ์หนักเหมือนกันนะ การคิดหนักเป็นโรคหัวใจโตขึ้นมา ผวาอยู่เรื่อยๆ นอนไม่หลับ ยิ่งกว่ากินกาแฟ ยิ่งกว่ากินลิโพ นอนไม่หลับเอาเสียเลย มันคิดหนัก หนักๆ เข้าหัวใจวายเรียกว่า หัวใจล้มเหลว หัวใจมันเป็นโรคมากขึ้นก็เกิดไม่ทำงานเต็มที่ ก็ล้มเหลว เรียกว่าหัวใจวายตาย ภรรยาท่านคหปตานีนั้นยังแข็งแรงดี ช่วยทำศพให้ ขอร้องให้ชาวบ้านชาวเมืองเขาให้มาช่วย เขาก็ไม่ขัดอะไร เพราะท่านเศรษฐีท่านคหบดีนี่ใจดีมาก เลี้ยงพี่เลี้ยงน้องดี เอาใจใส่พี่ป้าน้าอาดี เขาก็ไม่ขัด ก็พากันมาทำศพนั้น เอาไปเผาธรรมดา ธรรมเนียมอินเดียเขาล่ะ ในเมืองสาวัตถีเผาแล้ว

บัดนี้ก็ไม่มีทีท่าว่าจะทำไร่ทำนาอีกต่อมาเหลือแต่ยายๆ ได้แต่อยู่ที่บ้าน คิดหนักเหมือนกัน ทำไงน้อ สามีก็ตายแล้ว บ้านจะเป็นของเขา แน่นอนหนอต่อไปก็ได้ยินข่าวโคมลอยมา เขามาแจ้งว่าลูกชายที่ไปในป่านั้นน่ะ เกิดโรคไข้ป่าไข้มาลาเรียหนักเข้าสมองหรือลงกระเพาะอะไรทำนองนี้ล่ะ ไม่มีเยียวยารักษา แล้วมรณภาพในป่าแล้ว

ยายสามีก็ตายไปแล้ว ลูกชายก็ยังไปตายอีก บอกว่าให้สึกมาเลี้ยงแม่ มาดูแลทรัพย์สมบัติ ตายจนได้หรือนี่ โอ้ยสองกระทงแล้วเข้ามาทับท่วมหัวใจของยาย ใจยายก็ป้ำๆ เป๋อๆ ไปเลย ลืมหน้าลืมหลังบ้าง เรียกว่าอารมณ์มากระทบจิตใจสองอย่างแล้ว ต่อมา นี่มันเลยหลายสิบปีเข้ามาแล้ว สัญญามันเลยสัญญาไปแล้ว เขาก็เลยยื่นคำขาดขึ้นมาว่า ยายเอ้ย บ้านหรือคฤหาสน์นั่นน่ะหมดสัญญาแล้วยาย ถ้ายายจะอยู่บ้านนี้ก็จงอยู่อย่างคนใช้ จะมาอยู่อย่างเจ้าของบ้านก็อยู่ไม่ได้ ต้องอยู่อย่างคนใช้ของบ้านต่อไป จะมาเป็นใหญ่เป็นโตในบ้านไม่ได้แล้ว เพราะบ้านเป็นของคนอื่นไปแล้ว โหสามกระทงเข้ามาแล้ว เขายืนเข้ามานี่ สามกระทงเข้ามาว่าหมดอายุแล้ว ขออยู่ไปก่อนได้ไหมพ่อคุณ อยู่ได้แต่ต้องอยู่อย่างคนใช้ ถ้าไม่ทำอย่างนั้นก็จงหนีจากที่นี่ได้แล้วยาย ตามคำสัญญากัน

เอ๋คิดอะไรไม่ออกแล้ว ไปก็ไป คิดอะไรไม่ออกแล้ว ไปก็ไป ข้าพเจ้าก็จะไปขออาศัยสหายอยู่เหมือนกันแหละ มีสหายอยู่ปลายเมืองโน้น ด้วยอาติมานะพอสมควรนะ คนเคยรวยเคยมั่งมีมหาศาล เคยเป็นมหารานีมาแล้ว กลับมาจนลงอย่างนี้ล้มละลายลงอย่างนี้ ก็มีอติมานะอยู่บ้าง ไปก็ไป ขอเกวียน ขอล้อม้ามาขนของไปแล้ว ไปขออาศัยสหายทางโน้น พอไปถึงแล้วก็ไปเล่าเรื่องให้สหายทางโน้นฟัง


พระอาจารย์อินทร์ถวาย สนฺตุสฺสโก-หลวงปู่บุญเพ็ง กปฺปโก-หลวงปู่ท่อน ญาณธโร

ที่ีมา
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=10700