หลังจากพระคุณเจ้าพระครูวิสัยโสภณ สร้างพระเครื่องในนาม "หลวงพ่อทวด" ขึ้นแล้ว และประจักษ์ถึงอภินิหารศักดิ์สิทธิ์กันไปทั่วต่อมาในปี พ.ศ.๒๕๐๔ ชาวพุทธแห่งจังหวัดปัตตานีและจังหวัดใกล้เคียงได้นิมนต์พระคุณเจ้าพระครูวิสัยโสภณ ให้สร้างพระเครื่องในแบบรูปเหมือน "หลวงพ่อปาน" อดีตเจ้าอาวาสวัดนาประดู่ แห่งจังหวัดปัตตานีขึ้นบ้าง โดยเหตุผลว่า แม้พระคุณเจ้ารูปนี้จะเพิ่งถึงแก่มรณภาพเมื่อ พ.ศ.๒๔๖๒ คือครึ่งร้อยปีมานี้เอง แต่พระคุณเจ้าก็เป็นพระเถระที่มีกฤตยานุภาพแก่กล้าปรากฏเป็นที่มหัศจรรย์รูปหนึ่ง เป็นที่สักการบูชาของชาวพุทธทั่วไปในจังหวัดภาคใต้ของอาณาจักรไทย ถือเสมอว่าพระคุณเจ้าเป็นร่มโพธิร่มไทร ตลอดจนชาวพุทธซึ่งเป็นคนไทยและจีนที่อยู่ในรัฐเคดาห์ ไทรบุรี สหพันธรัฐมลายู ต่างก็มีความเลื่อมใสศรัทธาในกฤตยานุภาพอภินิหารของพระคุณเจ้ากันทั้งนั้น เมื่อพระคุณเจ้าถึงแก่มรณภาพแล้ว ก็ขอแบ่งเอาอัฐิของพระคุณเจ้าไปบรรจุไว้ที่วัดไทยที่ตำบลบากาบาตา รัฐเคดาห์ ไทรบุรี ชาวพุทธทั้งไทยและจีนในถิ่นนั้น ต่างไปสักการะอัฐิของท่านทุกวันวันละมาก ๆ มิได้ขาด เพราะเมื่อใครไปสักการะขอพึ่งกฤตยานุภาพอภินิหารของท่านขอให้หายเจ็บไข้ได้ป่วย หรือขอให้ธุรกิจอันสุจริตผ่านพ้นอุปสรรค ต่างก็สมประสงค์กันทั้งนั้น ประวัติโดยสังเขปของพระคุณเจ้ามีว่า ท่านชาตะในวันพฤหัสบดี เดือน ๑๒ ปีมะแม พ
.ศ.๒๔๐๒ บิดาชื่อจันทร์ มารดาชื่อหนู เกิดที่บ้านทุ่งหาร ตำบลบ้านกล้วย อำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี ที่ท่านได้ชื่อว่า "ปาน" ก็เพราะท่านมีปานดำที่โคนลิ้น พออายุได้ ๑๐ ขวบ บิดามารดาจึงนำไปฝากฝังให้เป็นศิษย์ของพระอาจารย์ชู เจ้าอาวาสวัดนาประดู่ในสมัยนั้น เพื่อให้เรียนหนังสือชักสวดซึ่งนิยมเรียนกัน อยู่กับพระอาจารย์ชูจนอายุครบอุปสมบท จึงอุปสมบทเป็นพระภิกษุเล่าเรียนพระธรรมวินัยตามแบบแผนโบราณ จนมีความรู้ความเข้าใจทั้งทางคันฐธุระและวิปัสสนาธุระ แต่ที่ท่านมุ่งหน้าศึกษาอย่างคร่ำเคร่งนั้นคือทางวิปัสสนาธุระ ฉะนั้นจึงหลีกออกจากหมู่คณะถือธุดงค์ไปแสวงหาที่สงบวิเวกตามป่าเขาที่มีถ้ำให้อาศัยคุ้มกันแดดและฝนได้ ท่านถือความเป็นอยู่อย่างสันโดษ จนกระทั่งพระอาจารย์ชูของท่านถึงแก่มรณภาพ ประดาชาวพุทธแห่งจังหวัดปัตตานี จึงนิมนต์ท่านให้กลับไปอยู่วัดนาประดู่ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสสืบต่อจากพระอาจารย์ชู ท่านรับนิมนต์และได้เป็นเจ้าอาวาสจนกระทั่งถึงแก่มรณภาพใน พ.ศ.๒๔๖๒
ท่านมีอัธยาศัยเยือกเย็นและมีอารมณ์ร่าเริงอยู่เป็นนิจและมั่นคงในสัจจธรรม มีความอดทนไม่เคยแสดงความโกรธเคืองผู้ใดเลย และท่านมีวาจาศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นท่านจึงไม่กล่าวถ้อยคำที่ไม่เป็นมงคลกับศิษย์และชาวบ้านคนใดเลย และใคร ๆ ก็ไม่ทำตัวให้ท่านกล่าวว่าเป็นคนชั่วคนเลว เพราะต่างเกรงกลัวในวาจาอันศักดิ์สิทธิ์ของท่าน
ตามปรกติวิสัยของท่าน ท่านมีเมตตาจิตโอบอ้อมอารีต่อคนทั่วไป ผู้ใดเจ็บไข้ได้ทุกข์ไปหาท่าน ท่านก็ให้ความช่วยเหลือโดยทั่วหน้ากัน และโดยเฉพาะในทางหยูกยาและน้ำมนต์ของท่านมีความศักดิ์สิทธิ์อย่างน่าอัศจรรย์จริง ๆ เพราะรักษาความป่วยไข้ให้หายได้ดังปลิดทิ้ง เมื่อท่านให้พรผู้ที่ได้รับก็ประสบผลดีงามตามพรที่ท่านให้ เนื่องจากวาจาสิทธิ์ของท่าน
ในสมัยที่พระคุณเจ้ามีชีวิตอยู่และเป็นเจ้าอาวาสวัดนาประดู่นั้น แต่ละวันมีผู้คนไปนมัสการขอพึ่งกฤตยานุภาพอันศักดิ์สิทธิ์ของท่านให้ช่วยบำบัดอาการเจ็บไข้ได้ป่วย และปัดเป่าข้อขัดข้องในกิจการอาชีพอย่างคับคั่ง มีทั้งผู้ที่มีฐานะมั่งมีและยากไร้และทั้งไทยและจีน
และมีที่ชอบกลอยู่คนหนึ่ง เป็นหนุ่มชื่อราด เขาผู้นี้จะไปนั่งอยู่ที่หน้าวัดนาประดู่เสมอเกือบทุกวัน แต่ไม่ได้เข้าไปนมัสการพระคุณเจ้าเหมือนคนอื่น ๆ หากแต่ไปคอยดูคนที่ไปนมัสการท่านด้วยความสงสัยสนเท่ห์ว่าเขาแห่กันมาทำไมมากมายทุกวัน เขาจะออกปากถามคนเหล่านั้นก็ไม่กล้า เพราะเขาสำนึกตัวว่าเป็นคนต่ำต้อยในทุกทาง และคนที่รู้จักเขาก็เห็นว่าเขาเป็นคนบ้า ๆ บอ ๆ ในที่สุดเขาก็นึกว่าพระคุณเจ้าหลวงพ่อปานต้องมีอะไรดีเป็นพิเศษแน่ ๆ แล้วตกลงใจว่าจะไปขอของดีจากหลวงพ่อท่านบ้าง วันหนึ่งจึงเดินปะปนไปกับผู้คนที่มุ่งหน้าไปนมัสการหลวงพ่อ แต่ในชั้นแรกผู้คนหนาแน่น เขาจึงเลี่ยงมานั่งแอบเมียงมองอยู่ห่าง ๆ ต่อตกเย็นผู้คนเบาบาง เขาจึงค่อย ๆ คลานเข้าไปหาหลวงพ่อ วางดอกไม้ธูปเทียนลงแทบเท้าหลวงพ่อ ก่อนกราบเอาชายผ้าขาวม้าชายหนึ่งพาดบ่า ชายอีกข้างปูที่พื้นข้างหน้าทำเป็นผ้ากราบ แล้วกราบลงบนชายผ้าขาวม้าด้วยความคารวะ ๓ ครั้ง แล้วจึงเอ่ยปากขอว่า "หลวงพ่อครับ หลวงพ่อมีของดี โปรดให้กระผมบ้าง กระผมจะเอาไว้ป้องกันตัว"พระคุณเจ้าหัวร่อหึ ๆ อย่างอารมณ์ดี แต่แทนที่ท่านจะหันไปหยิบพระเครื่องหรือเครื่องรางอะไรยื่นให้เขา ท่านกลับยกเท้าข้างหนึ่งเหยียบลงบนชายผ้าขาวม้าที่เขาปูกราบท่าน แล้วบอกอย่างทีเล่นทีจริงว่า "เอาไปเถอะนี่แหละของดี"แม้เพียงเท่านี้ หนุ่มราดก็แสนดีใจ กราบท่านอีก ๓ ครั้งแล้วลากลับบ้าน
แต่นั้นมาเขาเชื่อมั่นว่าผ้าขาวม้าผืนนั้นเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีอภินิหารคุ้มกันให้เขาแคล้วคลาดจากผองภัย เมื่ออยู่บ้านก็เอาบูชาไว้บนที่สูงไม่นำมาใช้อย่างผ้าขาวม้าธรรมดาอีกต่อไป เมื่อออกจากบ้านไปไหน ๆ ก็นำติดตัวไปด้วยไม่ขาด และนับตั้งแต่นั้นมาเมื่อมีทุกข์ร้อนประการใด เขาจะยกผ้าขาวม้านั้นทูนขึ้นเหนือหัวตั้งจิตเป็นสมาธิระลึกถึงพระคุณเจ้าหลวงพ่อ ขอให้อภินิหารของท่านช่วยขจัดความทุกข์ร้อนนั้นให้สิ้นไป ซึ่งก็เป็นผลสำเร็จดังปรารถนาทุกครั้ง นอกจากนี้เขายังประสบโชคลาภไม่ขัดสนยากไร้เหมือนกาลก่อน โดยเหตุนี้จึงทำให้หนุ่มราดเลื่อมใสศรัทธาในอภินิหารของพระคุณเจ้าหลวงพ่อปานแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น แต่บุพกรรมนั้นไม่มีใครหรืออำนาจอะไรจะฝืนได้ ฉะนั้นในกาลต่อมาหนุ่มราดจึงได้กลายเป็นอาชญากรขั้น "ไอ้เสือ" ตามบุพกรรมที่กำหนดมา ทางการประกาศจับตายและตั้งสินบนเป็นเงินจำนวนไม่น้อยสำหรับผู้จับได้ไม่ว่าจับเป็นหรือจับตาย แต่ไม่มีใครสามารถจับหรือปราบเขาได้ เพราะผ้าขาวม้าที่พระคุณเจ้าหลวงพ่อปานเหยียบชายให้เขานั้นได้ยังผลให้เนื้อหนังของเขาอยู่ยงคงกระพัน ปืนผาหน้าไม้หอกดาบไม่ทำอันตรายแก่เขาได้เลย คราวหนึ่งเขาหนีเจ้าหน้าที่ตำรวจไปจนมุมโดยวิ่งตกลงไปบ่อที่น้ำแห้งบ่อหนึ่ง ลึกท่วมหัว เจ้าหน้าที่ล้อมปากบ่อไว้และต้องการจับเป็นจึงร้องบอกให้เขาขึ้นมาให้จับเสียดี ๆ แต่หนุ่มราดซึ่งกลายเป็น "ไอ้เสือร้าย" ไม่เอาด้วยอุบนิ่งอยู่ก้นบ่อ ฝ่ายเจ้าหน้าที่ผู้รักษากฎหมายก็ขัดใจขึ้นมาเปลี่ยนเป็นจับตายระดมยิงปืนลงไป แต่ลูกปืนหาได้ระคายผิวของไอ้เสือราดไม่ เจ้าหน้าที่จึงเปลี่ยนวิธีเป็นขอร้องให้ชาวบ้านที่มามุงดูช่วยหาไม้ไผ่เสี้ยมปลายแหลมเป็นปากฉลามมาให้ แล้วแทงลงไปที่ร่างของเสือราด ไม่ระคายผิวของเสือร้ายอีก แต่คราวนี้เสือร้ายเกิดความคิดว่าขืนอุบอยู่ในบ่อซึ่งไม่มีทางหนีคงไม่เข้าทีเสียแล้วจึงตะกายขึ้นจากบ่อ เจ้าหน้าที่จึงกลุ้มรุมกันช่วยจับ แต่เสือราดดิ้นสลัดลื่นหลุดวิ่งหนีไปได้เหมือนกับว่าตัวเขาลื่นอย่างปลาไหล เจ้าหน้าที่วิ่งไล่จนหอบหมดแรงไปตามกันก็หาทันไม่ เป็นอันว่าเสือราดหนีรอดตาจนไปได้อย่างลอยนวลเป็นที่น่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง และนี่ก็ใช่ว่าเขามีคาถาอาคมขลังหรือพระเครื่องของขลังของเกจิอาจารย์อื่นใดติดตัวเลยนอกจากผ้าขาวม้าที่ชายข้างหนึ่งเจ้าพระคุณหลวงพ่อปานท่านเหยียบให้นั้นผืนเดียวเท่านั้น
เมื่อรอดพ้นจากการจับกุมของเจ้าหน้าที่คราวนั้นแล้ว เสือราดก็เตลิดหนีออกจากพระราชอาณาจักรไทย ไปตั้งหลักแหล่งทำมาหากินโดยกลับเนื้อกลับตัวเป็นสุจริตชนอยู่ในรัฐเคดาห์ ไทรบุรี สหพันธรัฐมลายู และการงานอาชีพก็เจริญรุ่งเรืองยังผลให้มีฐานะมั่งคั่ง เมื่อพระคุณเจ้าหลวงพ่อปานมรณภาพ เขาเป็นคนหนึ่งในบรรดาชาวพุทธที่มาขอแบ่งอัฐิของพระคุณเจ้าหลวงพ่อไปบรรจุไว้ในสถูปที่สร้างขึ้น ณ วัดพุทธศาสนาที่ตำบลบากาบาตา ไทรบุรี ปัจจุบันตายไปแล้วเพราะความชรา โดยเฉพาะพระคุณเจ้าหลวงพ่อปานนั้นเป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่งที่เมื่อท่านมีชีวิตอยู่ ท่านมิได้สร้างพระเครื่องหรือเหรียญรูปเหมือนตัวท่านทิ้งไว้เลย แต่ก็ยังดีที่ในกาลต่อมาหลังจากพระคุณเจ้าพระครูวิสัยโสภณอดีตเจ้าอาวาสวัดช้างไห้ ได้สร้างพระเครื่อง
"หลวงพ่อทวด" ที่มีอภินิหารเลื่องลือขึ้นแล้ว ได้ติดต่อกับวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์ของพระคุณเจ้าหลวงพ่อขออนุมัติสร้างขึ้นในรูปแบบรูปเหมือนตัวท่านด้วยเนื้อว่านเช่นเดียวกับที่สร้างหลวงพ่อทวด โดยมีเจตนารมณ์เพื่อให้ผู้มีศรัทธาปสาทะพกติดตัวคุ้มกันผองภัยคู่กับหลวงพ่อทวด เมื่อพระคุณเจ้าพระครูวิสัยโสภณติดต่อกับวิญญาณของหลวงพ่อปานทางวิปัสสนาแล้ว ก็ได้รับอนุญาต จึงได้สร้างขึ้นในนาม "หลวงพ่อปานวัดนาประดู่"ในการสร้างจะนอกจากจะหาว่านมาทำผงขึ้นใหม่แล้ว ได้นำผงที่สร้าง "หลวงพ่อทวด" ที่เหลืออยู่ผสมด้วย เมื่อทำเสร็จตามพิธีกรรมให้มีอภินิหารศักดิ์สิทธิ์แล้ว ได้นำออกแจกจ่าย
ผู้ที่ได้รับแจกไปบู่ชาต่างได้ประจักษ์อภินิหารความศักดิ์สิทธิ์กันทั้งนั้น ทั้งในทางอำนวยลาภผลและคุ้มครองให้รอดพ้นอันตรายจากมนุษย์ด้วยกันและอุปัทวเหตุ เช่นรายหนึ่งซึ่งพระมหาประพันธ์ เจ้าอาวาสวัดบางแก้ว จังหวัดพัทลุง ได้เล่าให้พระคุณเจ้าพระครูวิสัยโสภณฟังว่า หลังจากได้พระหลวงพ่อปานไป ๓ องค์ ได้มอบให้นายจิตร บ้านจงแก ไปองค์หนึ่งเพื่อบูชาพกติดตัว หลังจากนั้นต่อมาไม่ช้าไม่นาน นายจิตรออกจากบ้านไปธุระในตอนพลบค่ำ ขากลับในระหว่างทางที่เดินมา ถูกลอบยิง กระสุนปืนถูกที่หน้าอกอย่างจัง เสียงปืนและความเจ็บที่หน้าอกนายจิตรตกใจสุดขีดยกมือขึ้นกุมอกวิ่งไปหาเพื่อนคนหนึ่งซึ่งบ้านอยู่ใกล้กับที่เกิดเหตุเพื่อขอความช่วยเหลือ เมื่อพบเพื่อนก็ละล่ำละลักบอกว่าถูกยิงที่อก เพื่อนจึงขอดู ก็เห็นแต่เสื้อตรงหน้าอกมีรอยทะลุ แต่หน้าอกของนายจิตรมีเพียงรอยช้ำ ๆ แดง ๆ เท่านั้น ซึ่งเป็นที่น่ามหัศจรรย์ยิ่ง เพราะตรงที่ถูกกระสุนปืนนั้นตามธรรมดาจะต้องล้มคว่ำขาดใจคาที่ เพื่อนจึงถามว่ามีของดีอะไร นายจิตรจึงบอกว่า "มีหลวงพ่อปานวัดนาประดู่องค์เดียวเท่านั้น" ได้มาจากท่านมหาประพันธ์เมื่อไม่กี่วันมานี้เอง