การเข้าถึงภาวะสมาธิไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่หลายคนเข้าใจและกลัวการปฏิบัติสมาธิ บางคนถึงขนาดได้ยินคำว่าสมาธิก็เบือนหน้าหนีไม่อยากฟัง เพราะคิดว่าตนไม่มีทางทำได้ก็มี อันที่จริงขอเพียงผู้ปฏิบัติสามารถสัมผัสได้ถึงความรู้สึกในการเข้าถึงภาวะสมาธิให้ได้สักครั้งสองครั้งเท่านั้น แล้วท่านจะเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ว่าไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะปฏิบัติแล้วได้สมาธิ
กรรมฐานกองที่จัดว่าง่ายและเป็นกรรมฐานกองที่ติดมากับตัวเราอยู่ตลอดก็คือ การจับลมหายใจเข้า-ออก ลมหายใจเป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงว่าเรายังมีชีวิตอยู่ และเป็นสิ่งที่มีปรากฏอยู่ในร่างกายเราอยู่แล้ว เราไม่ต้องไปหาหรือสร้างขึ้นมาใหม่ เพราะตามปกติคนเราก็ต้องหายใจกันอยู่แล้ว ดังนั้น การที่ผู้ปฏิบัติจะทดลองทำสมาธิด้วยการใช้จิตมาจับกับลมหายใจเข้า-ออก จึงถือเป็นการให้เครื่องรู้แก่จิตอย่างง่ายที่สุด
นอกจากวิธีการเอาจิตไปจดจ่ออยู่กับลมหายใจเข้า-ออกตามที่ได้กล่าวไปแล้วนั้น ผู้ปฏิบัติอาจทดลองใช้การภาวนาเรื่อยๆ อย่างเช่น คำว่า "นะ", "มะ", "พะ" หรือ "ธะ" ซึ่งเป็นคำภาวนาเพื่อกระตุ้นธาตุทั้งสี่ที่ประกอบขึ้นมาเป็นธาตุขันธ์ของเรา ซึ่งผมใช้ภาวนา หรืออาจจะ ยุบหนอ พองหนอ ก็ได้ครับ.
อย่างเช่นเมื่อเราหายใจเข้า จิตจดจ่ออยู่ที่ นะ
เมื่อหายใจออก จิตก็ตามลมหายใจออก มะ
และเมื่อเราหายใจเข้า จิตจดจ่ออยู่ที่ พะ
เมื่อหายใจออก จิตตามลมหายใจออก ธะ
นะ คือธาตุน้ำ
มะ คือธาตุดิน
พะ คือธาตุไฟ
ธะ คือธาตุลม
เมื่อจิตกับอุบายเริ่มรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน ความคิดทั้งหลายที่ผ่านเข้ามาจะค่อยๆ ลดน้อยลงไปจากจิต จากนั้นจิตจะดำเนินเข้าสู่ความนิ่ง ว่าง อันเป็นภาวะสมาธิในที่สุด
ข้อดีของการภาวนากำกับลมหายใจเข้า-ออก คือจะช่วยให้จิตของผู้ปฏิบัติยังไม่เคยได้สมาธิมีความมั่นคงมากขึ้น ซึ่งกรรมฐานในลักษณะนี้จะเป็นการตกแต่งจิตให้สงบตัวลงทีละเล็กทีละน้อยจนได้สมาธิในที่สุด และเมื่อมาถึงตรงนี้ ผู้ปฏิบัติก็จะเริ่มเข้าใจในอารมณ์ที่ว่าสมาธิคืออะไร
ไม่ลืมกราบขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านนะครับ.
ยังไงก็ขอให้เป็นประโยชน์นิดหน่อย ไม่มากก็น้อยครับ.