แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - derbyrock

หน้า: [1]
1
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / ศิษย์มีครู
« เมื่อ: 02 มิ.ย. 2557, 11:38:28 »
ห่างหายไปนาน เอารูปมาอัพเดทครับ


2
เคยโพสถามไปครั้งหนึงแต่รูปเล็กและไม่ชัด ครั้งนี้คงพอไหวน่ะครับ รบกวนติชมด้วยครับ







3
กล้องถ่ายไม่ค่อยชัดฝีมือไม่ค่อยดี รบกวนช่วยดูให้ด้วยครับ จะเหลี่ยมขึ้นคอ 19 20 21ครับ






4
จากความใฝ่ฝัน...มาวันนี้ก็เป็นความจริง ได้ห้อยเหรียญ19และเหรียญหน้าเสือในสร้อยเดียวกัน ด้วยบารมีหลวงพ่อเปิ่นทำให้ชีวิตมั่นใจพร้อมเดินหน้าแก้ปัญหาทุกอย่างในชีวิต


5
และแล้วหลวงพ่อก็มาโปรด...หลังจากรอคอยอยู่นาน


6

วันนี้จะเชิญชวนเพื่อนๆที่เป็นคนไทยเฃื้อสายจีนมาทำพิธีในฃ่วงครุษจีน เป็นการเอาฤกษ์เอาชัยรับโชคดีและโชคลาภ ต้อนรับวันแรกของตรุษจีนจะได้มีแต่โชคลาภที่ดีตลอดปี
ฤกษ์การไหว้ในปีนี้คือกลางคืนวันอาทิตย์ที่ 22 มกราคม 2555
เวลา 23.01-01.00 ห้ามปี ฉลู จอ ขึ้นธูปคนแรก (ใช้ 12 ดอก)
ตั้งโต๊ะหลักหันไปทาง ทิศใต้ (หมายความว่าเทพฯเสด็จมาทางทิศใต้) ผู้ไหว้ ต้องหันหน้าไปทางทิศใต้ เพื่ออัญเชิญเทพเจ้าโชคลาภ เทพเจ้า
สิริมงคล เทพเจ้าอุปถัมภ์ ประทานพร
ของที่ใช้ไหว้มีดังต่อไปนี้
1. รูปภาพ หรือรูปปั้น องค์ไท้ส่วย หากไม่มี เวลาไหว้ ก็ให้ระลึกถึง
2. แจกันดอกไม้สด 1 คู่
3. เทียนแดง 1 คู่
4. กระถางธูป 1 ใบ(ปกติให้ใช้แยกต่างหาก เพราะเมื่อไหว้เสร็จแล้ว ต้งออัญเชิญเข้าบ้าน และตั้งบูชาไว้ตลอดปี)
5. ธูป 3 ดอก ต่อหนึ่งท่าน
6. หงิ่งเตี๋ย 12 ชุด
7. กิมหงิ่งเต้า 1 คู่
8. เทียงเถ้าจี๊ 1 ชุด
9. ผลไม้ 5 อย่าง
10. สาคูแดงต้มสุก 5 ถ้วย (ต้มสาคู แล้วใส่น้ำแดงเฮลบลูบอยลงไป)
11. น้ำชา 5 ถ้วย
12. ข้าวสวย 5 ถ้วย
13. เทียบเชิญแดง 1 แผ่น (สำคัญมาก)
14. ขนมจันอับ 1 จาน
15. กระดาษสีเขียว 1 แผ่น (เทียบเชิญสีเขียว)
16. เจไฉ่ 5 อย่าง (เช่น เห็ดหอม, เห็ดหูหนู, ดอกไม้จีน, วุ้นเส้น, ฟองเต้าหู้)
(ไปซื้อร้านที่ขายของไหว้และบอกให้เค้าจัดชุดไหว้เทพเจ้าไฉ่ซิงเอี้ยครับ)

ข้อมูลจากวิกิพีเดีย
เทพเจ้าไฉสิ่งเอี้ย หรือ จ่ายสินเอี้ย (จีน: 财神) เป็นเทพเจ้าของจีนที่ให้คุณทางด้านเงินทอง และโชคลาภ (เทพเจ้าแห่งโชคลาภ) ซึ่งสำหรับชาวจีนแล้วถือเป็นเทพเจ้าที่มีความสำคัญมากที่สุดในการเริ่มเข้าสู่ปีนักษัตรใหม่ (ปีใหม่จีน) เนื่องจากเป็นเทพเจ้าที่ได้รับการกราบไหว้เป็นองค์แรกทีเดียว
การเคารพเทพเจ้าไฉสิ่งเอี้ย สามารถพบได้ในหลายประเทศในทวีปเอเชีย เช่น ทิเบต จีน ญี่ปุ่น เกาหลี อินเดีย ประเทศไทย มาเลเซีย สิงคโปร อินโดนีเซีย เป็นต้น
เทพเจ้าไฉซิ้งเอี้ยที่มีความเก่าแก่ที่สุดพบที่บนหน้าผาในทิเบต เรียกว่าปางชัมภล

7
        น้ำข้างนอกมันไม่มีผลร้ายแรงเหมือนน้ำใจเรา น้ำใจเราเมื่อเห็นผิดก็ยิ่งมีความร้ายแรงกว่านี้ ความเห็นผิดที่เป็นมิจฉาทิฏฐินี้ร้ายแรง ท่วมหมดทั้งโลก น้ำขึ้นมันท่วมไม่กี่จังหวัด แต่มิจฉาทิฏฐิ ความเห็นผิดนี้มันทำลายสัตว์ ทำลายมนุษย์ ทำลายประชาชน ทำลายชาติศาสนา พระมหากษัตริย์ หมดทั้งสิ้นไม่มีเหลือ
         น้ำเหล่านี้ท่านว่าเป็นน้ำที่สำคัญ สัตว์โดยมากมักตายอยู่ในน้ำทั้งสี่สายนั้นคือ กาโมฆะ ภโวฆะ ทิฏโฐฆะ อวิชโชฆะ พระพุทธเจ้าท่านให้กำจัดมัน ให้พิจารณ์ อย่าให้ท่วมใจของเราได้ น้ำข้างนอก น้ำแม่น้ำมูล แม่น้ำซี เดี๋ยวมันก็ลด ไม่ถึงเดือนหรอก แต่พวกเราตั้งแต่เกิดมาแล้วยังไม่เลิกสักที ไม่แห้ง ไม่ลด มีแต่จะเอาอย่างเดียว


         พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภัทโท)
วัดหนองป่าพง ตำบลโนนผึ้ง อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี



8
เมื่อคืนราวๆสี่ทุ่มกว่าๆก่อนเข้านอนจู่ๆก็เกิดอาการคันที่มือและเท้าอย่างมาก คันแบบยิบๆต้องเกาตลอดแล้วอาการคันก็ลามไปทั้งตัว รู้สึกงงและตกใจเล็กน้อยว่าเป็นอะไรเพราะคันโดยไม่มีสาเหตุทั้งตัว ต้องเกากันแบบมือเป็นระวิง แล้วก็มาสดุดที่รอยยันต์ลิง (สักยันต์ลิงถวายบัวไว้2ข้าง) รอยสักยันต์ลิงทั้ง2ข้างนูนบวมขึ้นมา นูนเป็นลายเส้นยันต์ไม่ได้นูนรวมๆเป็นรอยนูนบวมเหมือนครั้งสักเสร็จใหม่ๆ จับดูจนแน่ใจและให้คนที่บ้านดูก็ยืนยันว่านูนตามรอยเส้นยันต์ลิงทั้ง2ข้าง ส่วนยันต์อื่นไม่นูน หลังจากนั้นก็เริ่มเข้าใจอาการคันทั้งตัวว่ามาจากสาเหตุอะไร จึงกำหนดจิตสวดมนต์แล้วหลับไปเลย ตื่นเช้ามาอาการคันและรอยนูนก็ยุบลง (รอยยันต์ลิงเคยนูนขึ้นมาครั้งหนึงแต่ไม่มีอาการตันตอนได้รับเมตตายันต์ลิงที่ข้างซ้าย ยันต์ลิงข้างขวานูนขึ้นมาชัดเจน) ตอนนี้ก็ยังอดสงสัยไม่ได้ว่าอาการเมื่อคืนคืออะไร หรือกำลังจะบอกอะไรกับผม
ปล.ถ่ายรูปขณะยันต์นูนมาให้ชมกัน อาจจะไม่ค่อยชัดเพราะถ่ายจากมือถือ



9
ไม่มีเหตุผลอื่นนอกจากพลังศรัทธา




10
วันนี้10กค.ไปทำบุญทอดผ้าป่าสามัคคี เพื่อสร้างห้องน้ำ ณ ธรรมสถานตถตาอาศรม ยอดผ้าป่าที่ถวายในวันนี้ 176,670บาท


11
วันนี้ได้มีโอกาศพาครอบครัวไปกราบขอพรหลวงพ่อโต วัดบางพลีใหญ่ใน เพราะจากการอ่านประวัติ พระที่ลอยน้ำมา3พี่น้อง หลวงพ่อโสธร หลวงพ่อวัดบ้านแหลม หลวงพ่อโต (วัดบางพลีใหญ่ใน) หลวงพ่อโสธรและหลวงพ่อวัดบ้านแหลมได้มีโอกาศไปกราบขอพรหลายครั้งแล้วแต่หลวงพ่อโตยังไม่เคยไป วันนี้มีคนมากราบขอพรแน่นวัด


[size=06pt]ปล.ขออภัยรูปไม่ชัดน่ะครับ[/size]

12
ขอแนะนำโปรแกรมสำหรับผู้ใช้ Iphone Ipod Ipad เป็นโปรแกรมตรวจจับวิญญาณ ชื่อโปรแกรม PARANOMAL STATE ดาวน์โหลดฟรีที่ APP STORE ได้เลยครับ ตั้งค่าเป็นAutoถ้าไม่มีอะไรเข็มจะอยู่แถวๆเลข0แต่ถ้ามีเข็มจะเร่งขึ้นถ้าใกล้ๆวิญญาณจะมีเสียงเตือนเสียงดัง
ปล.ใช้วิจารณญาณในการพิสูจน์น่ะครับ




จากการทดลองใช้โปรแกรมนี้ที่บ้าน เดินทั่วบ้านเข็มไม่กระดิกเท่าไหร่ แต่พอใกล้ห้องพระเข็มดีดขึ้นแรงมาก และมีเสียงเตือนดังสุดๆ เป็นแค่บททดลองส่วนตัวน่ะครับ ลองใช้กันดูน่ะครับ

13
เจ้าแม่กวนอิม กลางทะเล รัฐบาลโปรตุเกสจัดสร้างและมอบให้ตอนที่โปรตุเกสคืนเกาะให้ประเทศจีน รูปร่างหน้าตาของเต้าแม่เลยดูแปลกตากว่าที่เคยพบเห็น...นั่งรถเมล์ไม่ได้ถามใครเลยเล็งอย่างเดียวเห็นเจ้าแม่กวนอิมเมื่อไหร่ลงทันที แล้วก็มาถึงได้กราบขอพร

ใต้ฐานมีประวัติและรูปถ่ายขณะกำลังก่อสร้าง


14
ข้ามฝากจากฮ่องกงมามาเก๊าโดยเรือ ใช้เวลาเดินทางราวๆ1ชั่วโมง มามาเก๊าครั้งนี้เป็นครั้งแรก ตั้งใจว่าจะเที่ยวแบบ แบกเป้กางแผนที่นั่งรถเมล์กินข้างทาง สนุกและประหยัดดีครับ พอกางแผนที่ดูที่ตั้งวัดอาม่า ก็เริ่มหาว่ารถเมล์สายไหนผ่าน ขึ้นรถเมล์บอกคนขับว่าถึงวัดแล้วบอกด้วย นั่งไม่นานเท่าไหร่คนขับก็ตะโกนบอกว่าถึงวัดอาม่าแล้ว คนที่มาเก๊าก็เรียก A-MA Templeครับ จากป้ายรถเมล์ข้ามถนนก็พบวัดครับ คนเยอะพอสมควรเพราะเป็นวัดดังที่มาเก๊าครับ

กราบไหว้ขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์

สังเกตุจากรูปจะเห็นธูปที่เป็นขดๆห้อยอยู่มากมายครับ

15
หยุดสุดสัปดาห์ที่แล้วได้มีโอกาศไปไหว้เจ้าขอพรที่Che Kung Temple หรือที่คนฮ่องกงเรียกว่า แชกงหมิว คนไทยนิยมเรียกว่าวัดกังหัน เพราะมีกังหันที่เชื่อกันว่าจะดูดนำพาสิ่งดีๆมาสู่ชีวิต การเดินทางไปไม่ยากเพราะตั้งอยู่ใกล้สถานีรถไฟฟ้าชื่อสถานีเดียวกับวัด เห็นรั้วแดงๆนั่นแหละใช่เลยครับ

เข้าไปด้านในจะพบรูปปั้นสองข้างทาง

กราบไหว้เทพเจ้าและมีกังหันแต่ไม่สามรถถ่ายได้หมดเพราะพอถ่ายเทพเจ้า เจ้าหน้าที่เดินมาบอกว่าห้ามถ่ายภาพครับ

16
คนที่ทำงานผิดพลาดแล้วป่าวประกาศว่าเป็นความผิดของคนอื่น คือคนที่มีแต่จะผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ส่วนคนที่ทำงานผิดพลาดแล้วลุกขึ้นมายอมรับอย่างองอาจเปิดเผย คือคนที่ไม่มีโอกาสผิดพลาดซ้ำอีกเลยในชีวิต....
พระมหาวุฒิชัย (ว.วชิรเมธี)



17
เสื้อที่ระลึกของ เว๊บไซด์วัดบางพระ รุ่นที่๑ รุ่นที่๒ รุ่นที่๓





ปล.ใครพลาดปีนี้ปีหน้าอย่าพลาดน่ะครับ

18


และแล้วก็ถึงวันที่สมหวัง ได้อารธนาเหรียญ19ขึ้นคอ ด้วยบารมีหลวงพ่อเปิ่นทำให้ชีวิตดีขึ้นเรื่อยๆ จากหนี้สินล้นพ้นตัวจากบัตรพลสติก ล้านกว่าบาทเมื่อสามปีก่อน ตอนนี้เบาบางลงไปมาก จากชีวิตที่เต็มไปด้วยทุกข์กลายเป็นชีวิตที่เปี่ยมไปด้วยสุข ด้วยบารมีหลวงพ่อเปิ่นทำให้ผมสนใจธรรมะอย่างจริงจัง เปลี่ยนแปลงแนวคิดและการดำเนินชีวิตจนมีวันนี้ได้ หากไม่ได้เป็นศิษย์วัดบางพระในวันนั้นก็ไม่รู้ว่าชีวิตในวันนี้จะหกล้มคลุกคลานไปอีกนานแค่ไหน...

ปล.รูปนี้ถ่ายไม่ค่อยชัดกล้องไม่ค่อยดีหรือฝีมือไม่มีก็ไม่แน่ใจครับ ไว้ต้องไปขอให้โรนัลโด้เค้าสอนให้ซะแล้วครับ

19
กรรมเก่าไม่มีใครลบล้างได กรรมปัจจุบันจะช่วยเจ้าเอง
"กรรมเก่าไม่มีใครลบล้างได้ กรรมปัจจุบันจะช่วยเจ้าเอง จงจำไว้ลูกเอ๋ย...กรรมที่ทำด้วยเจตนาไม่ ว่าดีหรือชั่ว ย่อมมีผลต่อผู้กระทำนั้นทั้งสิ้น ไม่มีพรหมเทพองค์ใดจะช่วยเจ้าลบล้างกรรมนั้นได้ เจ้าต้องช่วยเหลือตนเองด้วยการสวดมนต์ ภาวนา แผ่เมตตา ผลแห่งบุญอันเป็นกรรมปัจจุบันจะช่วยเจ้าเอง"
อมตะธรรม  สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี)

20
วันนี้ออกแต่บ้านตั้งแต่เช้าตรู่ประมาณ8โมงกว่าก็ขับถึงวัด อากาศตอนเช้าที่โคราชหนาวเย็นผิดกับกรุงเทพมากทั้งๆที่ขับรถเพียงสองชั่วโมงกว่าๆ
เข้ากราบขอพรสมเด็จพระพุฒาจารย์(โด พรหมรังสี)
วัดสร้างได้สวยงาม บรรยากาศร่มรื่น โรงทานที่นี่ก๋วยเตี๋ยวราดหน้าขึ้นชื่อมากๆ วันนี้พบพระเอกตัวจริงที่ทุ่มเททุกอย่างเพื่อสร้างวัดนี้ สรพงศ์ ชาตรี

21
สนทนาภาษาผู้ประพฤติ / ...ทุกข์...
« เมื่อ: 26 ม.ค. 2554, 12:08:12 »
เวลาทุกข์เกิดขึ้นให้ดูเข้าข้างใน (ดูจิต) อย่าไปดูข้างนอก อย่าไปโทษคนโน้นคนนี้ ให้ดูกายกับใจของเรานี่แหละ ดูให้เห็นว่าตัณหา อุปาทาน นี้แหละเป็นตัวต้นเหตุให้ทุกข์เกิด เป็นมาร เป็นศัตรูที่ร้ายแรงที่สุด ให้มีขันติ อดทนสู้อารมณ์นั้นๆ ตามรู้อารมณ์นั้นๆ รู้แล้วก็ไม่หวั่นไหว ไม่เดือดร้อนเป็นทุกข์ รู้แล้วไม่หลง ไม่ติด มีแต่ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน นั่นแหละ พระพุทธเจ้าอยู่ที่นี่เอง ไม่ต้องไปหาที่ไหน แม้จะต้องเอาชีวิตเป็นเดิมพันก็ยอม ต้องเอาชนะให้ได้ อาศัย ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นอาวุธ ดูให้เห็น อนิจจัง ความไม่เที่ยงแท้ ความไม่แน่นอน



พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก

22
ประสบการณ์วิญญาณ / ...กุมารทอง...
« เมื่อ: 15 ม.ค. 2554, 11:57:42 »
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านน่ะครับ
บทสนาทนาภายในครอบครัว ในรถช่วงก่อนปีใหม่กำลังขับรถมุ่งหน้าพิษณุโลก
แฟน...พี่ๆโทรศัพท์มา
ผม...โทรศัพท์อยู่หน้าคอนโซลทุกเครื่อง
แฟน...แล้วทำไมกระเป๋าที่ตักมันสั่นอ่ะ มีโทรศัพท์เพราะมันสั่น
ผม...ลองเปิดดูซิว่ามีอะไร เพราะในนั้นมีกล้องถ่ายรูปกับกุมารทอง
แฟน...(ค้นกระเป๋าแล้วนิ่งช่วงขณะ)
ผม...เค้าคงอยากให้เธอรู้ว่าเค้ามาอยู่ด้วยเพราะตั้งแต่บูชากับหลวงพี่ญายังไม่ได้บอกเธอเลย
แฟน ลูกๆ...??????????????????

บทสนทนาเมื่อคืนที่ร้านอาหาร
แฟน...พี่เวลาไปนอนห้องลูกสาวอ่ะ ช่วยเอากุมารทองไปด้วยน่ะ กลัวเวลานอนคนเดียว
ลูกชาย...แม่ไม่ต้องกลัวหรอก
แฟน...ทำไมไม่ต้องกลัว
ลูกชาย...เพราะกุมารเค้าอยู่ที่ห้องอ่ะ นอนๆอยู่กีตาร์ดัง บางทีเบสก็ดังเหมือนมีคนมาดีด
แฟน...?????????????????????

ปล.บุญ บารมี เป็นสิ่งที่ต้องสร้างด้วยตัวเราเอง จะทำการสิ่งใดให้ประสบความสำเร็จ ต้องขึ้นอยู่กับบุญ บารมีของตัวเอง วัตถุมงคลต่างๆจะช่วยส่งเสริมบุญบารมีเรา หากเราไม่มีบุญบารมี ก็ยากที่วัตถุมงคลใดๆจะช่วยเหลือได้ บุญบารมีทำได้ทุกวันด้วยตนเอง ไม่ต้องใช้เงินทองแค่ใช้ความวิริยะอุตสาหะของตัวเราก็สามารถทำได้  เช่นการสวดมนต์ นั่งสมาธิ เดินจงกรมฯลฯ

23
ได้รับจากแม่ยายครับ แต่ที่มาของเหรียญนี้ไม่รู้ เลยรบกวนถามว่าเหรียญนี้เป็นอย่างไร เนื้ออะไรครับ




24
เทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ที่ผ่านมาพาครอบครัวไปไหว้พระและไปเที่ยวมา เดินทางวันที่31เช้าตรู่ สายๆก็ถึงพิษณุโลกไปกราบขอพรพระพุทธชินราช



ชาวพุทธไปกราบไหว้ขอพรท่านไมวันส่งท้ายปีเก่า แรงศรัทธานำพาผู้คนจนแน่นวัด






25
สนทนาภาษาผู้ประพฤติ / ใจ.....
« เมื่อ: 20 พ.ย. 2553, 11:26:56 »
ใจดีทุกอย่างดีหมด ใจเสียทุกอย่างเสียหมด
ใจร้ายทุกอย่างร้ายหมด ฉะนั้นควรฝึกจิตให้ดี
จิตที่ฝึกดีแล้วนำความสุข ความเจริญมาให้


พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภัทโท)
วัดหนองป่าพง ตำบลโนนผึ้ง อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี

26
ขอแสดงความอาลัยจากการจากไปของ...อาทิตย์ หรือแจ๊ค ชื่อล๊อคอิน The_Crow13 ผมได้รับข่าวจากญาติของน้องเค้าผ่านทางFaceBookว่าน้องเค้าประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตแล้ว รู้สึกใจหาย ที่ผ่านมาผมได้มีโอกาศเจอแจ๊คครั้งเดียวที่วัดวันนั้นสักเสร็จหลวงพี่แป๊วฝากน้องเค้าติดรถผมมา ก็เลยได้พูดคุยทำความรู้จักกัน หลังจากนั้นก็ได้คุยกันมาบ้าง ทางmsnและfb ขอให้แจ๊คสู่สุขคติหลับให้สบายน่ะแจ๊ค...


27
วันนี้ตั้งใจพาครอบครัวไปไหว้พระขอพรกัน ออกจากบ้านแต่เช้าวันนี้อากาศดีมากๆ ราวๆเก้าโมงก็ถึงวัดโสธร วันอาทิตย์คนแน่นมากครับต้องเบียดกันเข้าไปไหว้กันเลยทีเดียวครับ



เข้าไปกราบหลวงพ่อโสธรองค์จริงในอุโบสถหลังใหม่





28
วันหยุดที่ผ่านมาได้มีโอกาศพาครอบครัวไปเชียงรายครับ ไปถึงเชียงรายก็ไปกราบขอพรพ่อขุนเม็งรายผู้สร้างเมืองเชียงราย


29
ช่วงนี้อยู่ในช่วงเทศกาลกินเจ วันนี้เลยพาครอบครัวไปกราบขอพรเจ้าแม่กวนอิม ที่วัดช่องลม ท่าฉลอม สมุทราคร



สมาชิกในครอบครัวทุกคนนับถือเจ้าแม่กวนอิม ไม่ทานเนื้อวัวทั้งครอบครัว





วันนี้คนเยอะเป็นพิเศษเพราะอยู่ในช่วงเทศกาลกินเจ อากาศค่อนข้างร้อน แต่ลูกๆผมทั้งสองก็ยังยิ้มได้ครับ








30
เด็กๆปิดเทอมเลยได้โอกาศไปพักโฮมสเตย์ที่อัมพวา สัมผัสธรรมชาติอีกรูปแบบ ก่อนไปถึงที่พักเลยแวะกราบพระขอพรที่วัดช่องลม สมุทรสงคราม มีหลวงปู่ทวดองค์ใหญ่




กราบขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในวัด





31
    ผู้สนใจศึกษาปฏิบัติธรรม คือผู้สนใจหาความรู้ความฉลาดเพื่อคุณงามความดีทั้งหลาย ที่โลกเขาปรารถนากันเพราะคนเราจะอยู่และไปโดยไม่มีเครื่องป้องกันตัวย่อมไม่ปลอดภัย ต่ออันตรายทั้งภายนอกภายใน เครื่องป้องกันตัวคือหลักธรรมมีสติปัญญาเป็นอาวุธสำคัญ จะเป็นเครื่องมั่นคงไม่สะทกสะท้านมีสติปัญญาแฝงอยู่กับตัวทุกอิริยาบท
    จะคิด-พูด-ทำอะไรไม่มีการยกเว้น มีสติปัญญาสอดแทรกอยู่ด้วยทั้งภายในและภายนอก มีความเข้มแข็งอดทน มีความเพียรที่จะประกอบคุณงามความดี คนอ่อนแอโง่เง่าเต่าตุ่นวุ่นวายอยู่กับอารมณ์เครื่องผูกพันด้วยความนอนใจ และเกียจคร้านในกิจการที่จะยกตัวให้พ้นภัย




คติธรรมคำสอนของท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต

32
ตั้งแต่เล็กจนโตเป็นลูกรักของพ่อและแม่มาตลอดเนื่องจากเป็นลูกคนเล็ก ตั้งแต่จำความได้แม่พร่ำสอนให้เป็นคนดี แม่สอนอะไรหลายๆอย่างแม้ว่าแม่จะอ่านหนังสือไม่ออกเพราะไม่เคยเรียนหนังสือ แต่แม่ก็ทำทุกอย่างให้ลูกคนนี้ได้เรียนโรงเรียนดีๆจนจบปริญญา ทุกครั้งที่มีปัญหาในชีวิตแม่จะอยู่เคียงข้างและให้กำลังใจมาโดยตลอด ยามเมื่อเห็นลูกลำบาก ผมรับรู้ได้เลยถึงความปวดร้าวของแม่ ยามเมื่อลูกร้องไห้ ผมจะเห็นน้ำตาของแม่อาบสองแก้ม วันที่ลูกประสบความสำเร็จ แม่จะดีใจที่สุด จากเล็กจนโตในวันแม่ ไม่เคยได้กราบหรือให้ดอกมะลิแม่ ทั้งๆที่อยากจะทำแต่ก็ไม่เคยทำ ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน ทุกวันนี้กล้าที่จะทำแต่ก็ทำได้เพียงแค่หน้ารูปของแม่ สิ่งที่เสียใจที่สุดคือยังไม่สามารถดูแลแม่ให้สุขสบายได้อย่างที่หวัง แม่ก็มาจากไปเสียก่อน ทุกวันนี้ทดแทนคุณแม่โดยการสวดมนต์ไหว้พระนั่งสมาธิแผ่อุทิศบุญกุศลให้พ่อและแม่ที่ล่วงลับไปแล้ว อีกไม่นาน ลูกคนนี้คงได้ตามไปกราบแม่ "รักม่าม้าครับ"




33
ช่วงวันหยุดที่ผ่านมาได้มีโอกาสพาครอบครัวไปเที่ยวที่หัวหิน ก่อนไปที่พักก็ไปที่วัดราชายตนบรรพต(เขาต้นเกต) พอไปถึงก็พบกับหลวงปู่ก้าน(พระเนกขัมมุนี) ท่านอายุ90ปี เป็นศิษย์พระอาจารย์มั่น ท่านเมตตามากๆให้ความเอ็นดูลูกๆของผม อบรมสั่งสอนลูกๆของผม ด้วยเนื้อหาที่เข้าใจง่าย เข้ากับยุคสมัย ท่านเน้นสอนมาที่ลูกสาวผม ก่อนกลับท่านพรมน้ำมนต์ให้เพื่อความเป็นสิริมงคลกับชึวิต และได้ถ่ายรูปกับท่านไว้ ถ้าเพื่อนๆไปหัวหินไปกราบขอพรจากท่านน่ะครับ


34
วันนี้ออกจากบ้านแต่เช้ามุ่งหน้าสู่อยุธยา ขับสบายๆแค่ชั่วโมงเดียวก็ถึงแล้วครับ วัดนิเวศธรรมประวัติราชวรวิหารอยู่ใกล้ๆพระราชวังบางประอินครับ จอดรถที่เดียวกันเดินอีกนิดก็ถึงท่าเคเบิ้ลครับ








35
เมื่อเราปฏิบัติธรรมเราเข้าใจอันนี้ เราก็ปล่อยวางได้ ดังนั้นก็ตรงกับคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่า ไม่ให้ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใด ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในใจเรา ในจิตเรา ในร่างกายของเรา มีแต่ความแปรเปลี่ยนไปทั้งนั้น พระพุทธองค์จึงทรงสอนไม่ให้ยึดมั่นถือมั่น พระองค์ทรงสอนพระสาวกของพระองค์ให้ปฏิบัติเพื่อละ เพื่อถอนไม่ให้ปฏิบัติเพื่อสะสม
ถ้าเราทำตามคำสอนของพระองค์ เราก็ถูกเท่านั้นแหละ เราอยู่ในทางที่ถูกแล้ว แต่บางทีก็ยังมีความวุ่นวายเหมือนกัน ไม่ใช่คำสอนของพระองค์ทำให้วุ่นวาย กิเลสของเรานั้นแหละที่มันทำให้วุ่นวาย มันมาบังคับความเข้าใจอันถูกต้องเสีย ก็เลยทำให้เราวุ่นวาย
ความจริงการปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้านั้น ไม่มีอะไรลำบาก ไม่มีอะไรยุ่งยาก การปฏิบัติตามทางของพระองค์ไม่มีทุกข์เพราะทางของพระ องค์คือ "ปล่อยวาง" ให้หมดทุกสิ่งทุกอย่าง
จุดหมายสูงสุดของการปฏิบัติภาวนานั้น ท่านทรงสอนให้ "ปล่อยวาง" อย่าแบกถืออะไรให้มันหนัก ทิ้งมันเสีย ความดีก็ทิ้งความถูกต้องก็ทิ้ง คำว่าทิ้งหรือปล่อยวางไม่ใช่ไม่ต้องปฏิบัติ แต่หมายความว่าให้ปฏิบัติ "การละ" "การปล่อยวาง" นั่นแหละ



36
เช้านี้ตื่นสายตามเทศกาลฟุตบอลโลก พอสายๆเลยพาครอบครัวไปมหาชัยไหว้พระที่วัดโกรกกราก ไม่ได้มาที่วัดนี้หลายปีมาก ถนนหนทางเปลี่ยนไปเยอะครับ แต่บรรยากาศที่วัดนี้ยังเหมือนเดิมเลยครับ ไปถึงก็กราบขอพรหลวงปู่วัดโกรกกรากครับ


เอกลักษณ์ของวัดคือหลวงปู่วัดโกรกกรากต้องใส่แว่นดำ




บทสวดหลวงปู่วัดโกรกกราก


37
หลังจากเหตุการณ์บ้านเมืองสงบพี่ชายแฟนก็บินมาจากฮ่องกงให้พาไปสัก เนื่องจากปีที่แล้วธุรกิจเค้าไม่ดี แต่ผมพาไปสักพอกลับไปธุรกิจก็ดีขึ้นเป็นลำดับ ครั้งนี้หลวงพี่แป๊วเมตตาแปดทิศให้ พี่ชายแฟนดีใจที่ได้สมใจ และหลวงพี่แป๊วยังทักทายเป็นภาษาจีนกลาง ทำให้พี่ชายแอบปลื้มเลยครับ
เกริ่นมาเสียนานเข้าเรื่องดีกว่าครับ ตอนไปเห็นหลวงพี่แป๊วสักให้น้องผู้หญิงอยู่ ก็ไม่สนใจอะไรมาก แต่พอสักเสร็จน้องเค้าหันหลังมาก้มลงกราบพี่แป๊ว พอเห็นยันต์ที่น้องเค้าได้ เลยต้องขออณุญาติถ่ายรูปน้องเค้ามาลงให้ดูครับ น้องเค้าบอกว่าไม่ได้ขอน่ะครับ หลวงพี่แป๊วท่านเมตตาลงให้เอง แต่หลังจากนั้นสาวๆอีกหลายคนขอหลวงพี่แป๊วแต่ก็ไม่มีใครได้ซักคนเลยครับ
ปล.เมื่อวานได้เจอ nayfertity และ pomeranian อบอุ่นดีครับได้เจอพี่ๆน้องๆในบอร์ด ไม่เหงาด้วยครับจะได้มีเพื่อนคุยครับ


38
วันนี้พาครอบครัวไปกราบขอพรหลวงพ่อโต วัดหลักสี่มาครับ วิ่งไปถนนพระรามสองเลี้ยวเข้าแยกบ้านแพ้ว ขับจากพระรามสองราวสิบห้าโลก็ถึงวัดหลักสี่ พอลงจากรถก็ได้ยินเสียงประทัดดังสนั่น รู้ได้ทันทีว่าเป็นการแก้บน ตลอดเวลาที่อยู่ที่วัดก็จะได้ยินเสียงประทัดแก้บนดังมาตลอดครับ
กราบขอพรหลวงพ่อโต




39
ธรรมะ / ข้อคิด คำสอน หลวงพ่อชา....
« เมื่อ: 05 มิ.ย. 2553, 12:49:58 »


หลวงพ่อชา สุภทฺโท
วัดหนองป่าพง ต.โนนผึ้ง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี   

















40
เมื่อเช้าตื่นสายไปหน่อยเพราะเมื่อคืนดูบอลนัดชิงยูฟ่าแชมเปี้ยนลีค เลยกว่าจะออกจากบ้านได้ก็ราวๆบ่ายโมงกว่า พาครอบครัวไปวัดปากน้ำ ไปกราบหลวงพ่อสด ขอพรจากท่าน ชอบไปวัดปากน้ำเพราะหลังจากที่ไหว้พระแล้ว ผมก็จะมานั่งสมาธิด้วยครับ
ปล.วันนี้ไม่ได้เอากล้องติดไปเลยใช้มือถือถ่ายอาจจะไม่ชัดบ้างน่ะครับ


41
ธรรมะ / ปุถุชนกับธรรมะ
« เมื่อ: 21 พ.ค. 2553, 10:24:36 »
   ภาษาธรรมะที่พระพุทธเจ้าท่านสอนนั้น ก็สอนให้แก่พวกเราทั้งหลายนี้แหละ พวกเราที่เป็นปุถุชนให้เป็นอริยชน เหมือนเราจะสร้างบ้านเรือน เราก็ต้องหาสิ่งที่ยังไม่สำเร็จ จะเป็นเสา เป็นขื่อ เป็นแป ฯลฯ มันไม่ได้สำเร็จมาเลยทีเดียวหรอก เราต้องไปแปลงสภาพมันขึ้นมา เสาเรือนก็ดี เดิมเกิดจากไม้ที่มันยาว มันคดอยู่ ซึ่งรวมอยู่กับต้นไม้นั่นแหละ เราต้องไปเลื่อย ไปแปรรูปออกมา คนฉลาดก็สามารถนำเอามาสร้างบ้านเรือนได้
   เราก็เหมือนกัน ยังเป็นปุถุชนอยู่ มีลูกมีเมีย มีอะไรต่างๆ เป็นธรรมดาของโลก แต่ถ้าเรารู้จักการภาวนา รู้จักธรรมะแล้ว ก็สามารถระบายสิ่งไม่ดี สิ่งที่ผิดออกได้ ไม่วันนี้ก็พรุ่งนี้ ไม่น้อยก็มาก เหมือนกับเราแบกของหนัก เมื่อเอาทิ้งไปทีละน้อยๆ ทิ้งบ่อยๆ มันก็เบาได้ เมื่อทิ้งไปๆ ผลที่สุดก็วางหมด เหมือนกับเราแบกไม้ฟืนนั่นแหละ เมื่อถึงกระท่อมก็ทิ้งโครมเลย มันก็เบาเห็นไหมล่ะ นี่ความเบาเป็นอย่างนี้
   ความชั่วทั้งหลาย ที่เราทำมามันหนักใจของเรา เราค่อยฝึกหัดปฏิบัติไปๆ ใจมันก็ค่อยสว่างไสว ของยากก็เลยกลายเป็นของง่าย ของมืดมันก็สว่าง ของสกปรกมันก็สะอาด รู้จักหลักประพฤติปฏิบัติอย่างนั้น รู้เรื่องอย่างนั้นคือธรรมะ ถ้าไม่รู้เรื่องท่านบอกว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อย่างนี้ เราก็ไม่รู้อะไร



หลวงพ่อชา สุภทฺโท
วัดหนองป่าพง ต.โนนผึ้ง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี  

42
ธรรมะ / ความพอใจทำให้หมดปัญหา
« เมื่อ: 17 พ.ค. 2553, 08:40:32 »
เมื่อหากว่า เราพอแล้ว สิ่งอื่นก็หมดราคา พูดง่ายๆว่าเรารับประทานอาหาร แม้ว่าอาหารจะเอร็ดอร่อยอย่างไรก็ช่างมัน เมื่อมันมีเกินที่เราต้องการแล้ว ถ้าหากว่าเราอิ่มอยู่ทุกอย่างแล้ว อาหารที่เหลือนั้นมันหมดราคาน้อยลง ไม่เหมือนเรารับประทานครั้งแรก ทีแรกอันนั้นก็จะเอา อันนี้ก็จะเอามีราคาหมดทุกอย่าง พออิ่มเข้าอิ่มเข้า อาหารที่อร่อย ย่อมหมดราคาน้อยลง เพราะเราอิ่ม มันเลยเป็นของหมดราคา เมื่อความหิวมีอยู่ก็เอาหมด ผักน้ำพริกก็เอา แก่เท่าไรก็ว่าอ่อน เพราะความหิวมีอยู่ ความอยากมีอยู่เป็นต้น ความต้องการมีอยู่ เมื่อความเป็นเราเป็นเขามีอยู่เป็นต้น มันก็มีปัญหาอยู่ตลอดกาลตลอดเวลาเสมอ


หลวงพ่อชา สุภทฺโท
วัดหนองป่าพง ต.โนนผึ้ง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี  
 

43
จากการะทู้ที่แล้วhttp://www.bp.or.th/webboard/index.php/topic,16452.html เช้าวันเดินทางตื่นมาตีสามกว่า เพื่อสวดมนต์ก่อนเดินทาง ทริปนี้ไปจอดรถบ้านเพื่อนแล้วนั่งรถเพื่อนไปครับ สวดมนต์เป็นระยะๆ จุดมุ่งหมายทริปนี้ไปตราดครับ บ้านเพื่อนอยู่ที่นั่น ไปพักบ้านสวน ได้สัมผัสกลิ่นอายธรรมชาติเต็มที่ เก็บผลไม้กันสนุกสนาน พาลูกๆมาเที่ยวแบบนี้ก็สนุกไปอีกแบบครับ ได้เรียนรู้วิถีชาวสวน จนลูกสาวผมถึงกับเอ่ยปากว่า ดีจังอยู่ที่นี่ไม่ต้องใช้เงิน อยากกินผลไม้ก็ไปเด็ดเอา(มังคุด เงาะ) อยากกินไข่เจียวก็มีไก่ป่ามาออกไข่ เก็บยอดตำลึงไปทำแกงจืด ตราดฝนตกเป็นระยะๆก็ดีครับอากาศไม่ร้อนดี ไปถึงตราดก็ต้องไปกราบกรมหลวง ชุมพร เพื่อความเป็นศิริมงคล



44
อาการเหมือนเข็มจะทิ่มออกมา แบบเจ็บจนรู้สึกได้ คลำดูแน่ใจว่าเป็นเข็มทอง นี่คืออาการของการเตือนภัยของเข็มทองหรือเปล่าครับ ขณะเกิดอาการ ถ้ากำหนดจิตสักพักเข็มก็จะกลับเข้าไปครับ คลำไม่เจอเข็มแล้ว ไม่ทราบว่ามีใครพออธิบายได้ไหมครับว่าเป็นอะไรครับ
ปล.ยังไม่สามารถฝึกจิตให้เรียกเข็มได้น่ะครับ แต่เวลากำหนดจิตให้เข็มกลับลงไปคิดว่าสามารถทำได้หรือเป็นการเตือนแล้วเข็มกลับไปเองไม่แน่ใจ แต่สองครั้งที่มีอาการเช่นนี้ เมื่อกำหนดจิตให้เข็มกลับลงไปไม่ถึงนาทีความเจ็บก็หายไป และก็คลำเข็มไม่เจอแล้วครับ

45
โกรธคือโง่ โมโหคือบ้า
ไม่โกรธดีกว่า จะได้ไม่บ้าไม่โง่


คนเราควรทำตัวเหมือนคนร่อนแร่
คนร่อนแร่โกยหินโกยทรายใส่ตะแกรง แล้วก็ร่อน
เจอเพชรพลอยก็เก็บไว้
เจอหินเจอดินก็เหวี่ยงทิ้งไป


พอมีความสามัคคีเกิดขึ้น                                                
ทำให้หนักกลายเป็นเบา
ยากเป็นง่าย
ช้าเป็นเร็ว


การคิดดี เป็นมิตร
การคิดชั่ว เป็นศัตรูอันร้ายกาจ


ชีวิตคนเราเลือกเกิดไม่ได้
แต่เลือกเก่ง เลือกกล้าได้


ดินจะดีไม่ดี ดูที่หญ้า
คนจะโง่จะฉลาด ดูที่คำพูด

                                                                
อยู่ด้วยกัน อย่าอวดดี
ถ้าความดีมีอยู่จริง มันจะอวดตัวมันเอง

                                                  
ค่าอาหาร ค่าภารกิจ ไม่เท่าไร
แต่ค่าเลี้ยงดูกิเลส นี้มันมาก


อย่าเห็นแก่ตัว อย่ากลัวเสียเปรียบ
แล้วจะเข้ากับเพื่อนฝูงได้ดี


อย่าทำอะไรตามอยากกันเรื่อยไป
ถ้าขืนทำตามโดยไม่ยับยั้งชั่งใจ
ชีวิตก็จะวนเวียนอยู่ในวัฏจักรแห่งทุกข์ไม่สิ้นสุด


ขั้วของความชั่ว อยู่ที่เห็นแก่ตัว
ขั้วของความดี อยู่ที่เสียสละ


ทรัพย์สมบัติในบ้านที่เราว่า “เป็นของเรา”
มันเคยพูดกับเราว่า “ฉันเป็นของคุณ” บ้างไหม
มีแต่เสียงกิเลสของเราสั่งเอาว่า นั่นของกู นี่ของกู


คนขยันเปรียบเหมือนแมลงผึ้ง
ชอบบินไปดูดดมตอมเอาเกสรดอกไม้
ส่วนคนขี้เกียจเปรียบเหมือนแมลงวัน
ชอบดมตอมแต่สิ่งสกปรกโสโครก


คิดทำลายผู้อื่นเท่าไร
ตัวเองก็ต้องถูกทำลายเท่านั้น



พระพยอม กัลยาโณ (พระราชธรรมนิเทศ เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว )

46
สนทนาภาษาผู้ประพฤติ / เสบียงธรรม
« เมื่อ: 13 เม.ย. 2553, 03:10:40 »
อย่าดูหมิ่น บุญกรรม จำนวนน้อย

มันจะคอย ตามต้อง สนองผล

เหมือนตุ่มใหญ่ เปิดหงาย รับสายชล

ย่อมเต็มล้น ด้วยอุทก ที่ตกลง

สาธุชน สั่งสม บ่มบุญบ่อย

ทีละน้อย แนบไว้ มิไหลหลง

บุญนั้นย่อม เต็มพลัน ด้วยมั่นคง

กุศลส่ง สู่สถาน นิพพานเอย


จากหนังสือธรรม ดีไซน์เก๋ๆ เสบียงธรรม




47
ธรรมะ / วาสนา...บุญบารมี
« เมื่อ: 19 มี.ค. 2553, 09:06:39 »
วาสนา หรือบุญบารมี หรือผลบุญกุศลที่ได้สั่งสมกระทำไว้ ณ.วันนี้ จะส่งผลให้ได้รับผลบุญกุศลในวันข้างหน้า วาสนาของคนเรานั้นขึ้นอยู่ที่นิสัยใจคอของแต่ละบุคคล หากผู้ที่มีวาสนาสั่งสมทำแต่คุณงามความดีมากพอแล้ว และวันหนึ่งเกิดไปคบคนพาลที่อับโชควาสนา หรือไม่เคยคิดสั่งสมบุญบารมีเอาไว้เลย เมื่อเราหลงไปคบคนเหล่านั้นเข้า เราก็อาจจะเป็นเหมือนกับเขาได้ แต่หากคนบางคนมีบุญวาสนาหรือบุญบารมรน้อย แต่รู้จักเลือกคบคน ไปเลือกคบคนที่มีวาสนาดีบารมีสูง วาสนาของคนคนนั้นก็จะสูงตามด้วยเช่นกัน ดังนั้น หากท่านคิดจะคบใคร ท่านก็ควรไตร่ตรองให้ถ้วนถี่เลือกคบแต่คนดีมีบุญบารมีสูง เพื่อจะเลื่อนฐานะความมีวาสนาบุญบารมีของตัวเองให้เพิ่มมากขึ้นด้วย


หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
วัดป่าสุทธาวาส อ.เมือง จ.สกลนคร

48
ลูกๆปิดเทอม ก็เลยได้โอกาสพาลูกๆไปเที่ยว ตกลงใจไปเที่ยวทะเลที่หัวหิน แต่ก่อนถึงหัวหินขอแวะไหว้พระก่อนครับ
กราบขอพรหลวงพ่อวัดบ้านแหลม









49
ธรรมะ / ต้นเหตุ...ปลายเหตุ
« เมื่อ: 07 มี.ค. 2553, 08:32:24 »
" การไม่กระทำบาปนั้นมันเลิศที่สุด บางคนบางคราว โจรมันก็ให้ได้ มันก็แจกได้ แต่ว่าจะพยายามสอนให้มันหยุดเป็นโจรนั้นน่ะ มันยากที่สุด การจะละความชั่วไม่กระทำผิดมันยาก การทำบุญ โจรมันก็ทำได้ มันเป็นปลายเหตุ การไม่กระทำบาปทั้งหลายทั้งปวงนั้นน่ะ เป็นต้นเหตุ"


หลวงพ่อชา สุภทฺโท
วัดหนองป่าพง ต.โนนผึ้ง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี 

50
........คิด กับ พิจารณา........

ปัญหาอีกข้อหนึ่งที่นักปฏิบัติมักสงสัยบ่อย ๆ ก็คือการพิจารณาคืออะไรกันแน่ คอยสงสัยว่ามันต่างกับความนึกคิดอย่างไร หลวงพ่อได้อธิบายเรื่องนี้ไว้อย่างชัดแจ้งในคำตอบที่ท่านให้กับนักปฏิบัติจากอเมริกาที่มากราบนมัสการและสนทนาธรรมที่วัดหนองป่าพง

“ความคิดอย่างหนึ่ง ความพิจารณาอย่างหนึ่ง คือความคิดนั้นจิตมันไม่ส่ายหรอก มันก็คิดของมันไปเรื่อย ๆ หยาบ ๆ ทีนี้เมื่อจิตสงบปุ๊บมันจะมีความรู้สึก เกิดความรู้สึกอย่างหนึ่งขึ้นมา คล้าย ๆ ความคิด แต่มันไม่ใช่ความคิด อันนี้มันเกิดมาจากความสงบที่กลั่นกรองออกมาแล้ว มันจะเป็นปัญญาอ่อน ๆ ถ้าเรารู้ไม่ทันมัน มันก็เป็นสังขาร ถ้าเรารู้ทันมัน มันก็เป็นปัญญา เป็นปัญญายังไง เมื่ออะไรมันรู้เกิดขึ้นมามันก็เห็นว่าเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นี่เป็นปัญญา ถ้าเราปรุงแต่ง คิดยังงั้นคิดยังงี้ นี่มันเป็นสังขารแล้ว ไอ้ความรู้อันนั้นมันเกิดมาจากอวิชชาแล้วมันจึงเป็นอย่างนั้น ถ้าเกิดมาจากวิชชาแล้วก็ต้องรู้จักปล่อย อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ปล่อยมันไปเรื่อย ๆ นี่มีปัญญาแล้ว ควรให้มีตรงนี้ อันนี้แหละจะเป็นวิปัสสนาต่อไป ตรงนี้เริ่มแล้ว”

ถาม “แล้วตอนนั่งจะรู้ได้ยังไงว่าเป็นปัญญาจริงหรือว่าเป็นอวิชชา ?”

หลวงพ่อ “เป็นปัญญาที่แท้จริงคือมันไม่ไปยึดหมายในอารมณ์อันนั้น เห็นแล้วก็ไม่รำคาญ เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นเรื่องธรรมดาไม่มีอะไรแล้ว เมื่อกิเลสเกิดขึ้นมา ความรู้มากระทบ มันก็หายไป ๆ ถ้าเป็นอวิชชากระทบมาจับเลย คือเรื่องการภาวนามันมีสองอย่าง ท่านตรัสไว้ว่า มัน เจโตวิมุตติ อันหนึ่ง ปัญญาวิมุตติ อันหนึ่งนะ ปัญญาวิมุตติ นั้นเรียกว่ามันเร็วมาก อย่างคนสองคนนี้จะเดินไปดูลวดลายซักอย่างหนึ่ง อย่างโยมก็ไปดูพร้อมกันนี่น่ะ ดูห้านาทีพร้อมกันนี่ เข้าใจเอามาทำเลย รู้ ทีนี้อีกคนหนึ่งจะต้องมานั่งคิดตรงนั้นมันทำยังงั้น ก็กลับไปดูอีก ตรงนั้นมันทำยังงั้น แน่ะ เจโตวิมุตติ ต้องมาทำจิตให้มันมาก ๆ เสียหน่อยหนึ่ง ทำสมาธิให้มากเสียหน่อยหนึ่ง โยมนี่ไม่ต้องอะไรแล้วนี่ ไปมองดูเข้าใจแล้วก็มาทำ ไม่สงสัย กลับมาเขียนเลยทำเลย นี่ ปัญญาวิมุตติ ทั้งปัญญาวิมุตติและเจโตวิมุตติ นี้ก็ไปถึงที่สุดเหมือนกัน แต่ว่ามีอาการต่างกัน มีอาการต่างกันอย่างไร ปัญญาวิมุตตินี้มีสติสัมปชัญญะรอบอยู่เสมอเลย เมื่อเห็นอะไรพ้นขึ้นมา รู้ รู้ มันปล่อย มันวางง่าย คนที่เจโตวิมุตตินี่เห็นขึ้นมาแล้วไม่ได้ ต้องไปนั่งพิจารณา นี่ก็ไปได้เหมือนกัน ให้รู้จักจริตของเรา บางคนที่อาจจะไม่รู้ว่ามันเป็นสมาธิด้วย เราเดินไปเดินมา สมาธิคือความตั้งใจมั่น มันมีอยู่ในตัวของมันอยู่แล้ว ถ้าคนมีปัญญาไม่ต้องยาก ทำสมาธินี่พอเป็นรากฐานเฉย ๆ คล้าย ๆ ว่าเขาเรียนกัน มศ.3 น่ะ มศ.6 นะ ได้ม.6 ปุ๊บแล้วก็แยกไป จะไปเข้าตรงไหน ใครชอบอะไร ใครชอบเกษตรก็ไปเกษตร ใครชอบอะไรก็ไป มันแยกตรงนี้อย่างนี้ สมาธิก็เหมือนกันอย่างนี้ มันไปอย่างนี่ก็ไปถึงที่สุดของมัน”


หลวงพ่อชา สุภทฺโท
วัดหนองป่าพง ต.โนนผึ้ง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี

51
จากกระทู้เดิม http://www.bp.or.th/webboard/index.php/topic,15275.html วันนี้แผลหาย เลยขออณุญาตินำมาให้ชมกันน่ะครับ

เก้ายอด...หลวงพี่แป๊ว



ยันต์แม่ทัพ...หลวงพี่แป๊ว




52
ธรรมะ / แก้วแตก....
« เมื่อ: 15 ก.พ. 2553, 09:31:08 »
แก้วแตก
โยมว่า "อย่ามาทำแก้วฉันแตกนะ" ของมันแตกได้ โยมจะไปห้ามมันไม่ได้ ไม่แตกเวลานี้ ต่อไปมันจะ
แตก เราไม่ทำแตก คนอื่นจะทำแตก คนอื่นไม่ทำแตก ไก่มันจะทำแตก
พระพุทธเจ้าท่านให้ยอมรับ ท่านมองทะลุไปว่า แก้วใบนี้แตกแล้ว แก้วที่ไม่แตกนี้ ท่านให้รู้ว่ามันแตกแล้ว
จับทุกทีใส่น้ำดื่มเข้าไปแล้ววางไว้ ท่านก็ให้เห็นว่าแก้วมันแตกแล้ว เข้าใจไหม นี่คือความเข้าใจของ
ท่านเป็นอย่างนั้น เห็นแก้วที่แตกอยู่ในแก้วใบที่ไม่แตก เพราะเมื่อมันหมดสภาพแล้ว ไม่ดีเมื่อไรมันก็จะ
แตกเมื่อนั้น ทำความรู้สึกอย่างนี้แล้ว ก็ใช้แก้วใบนี้ไป รักษาไป
อีกวันหนึ่ง พอมันหลุดมือแตก "ผัวะ" สบายไปเลย ทำไมสบาย เพราะเห็นว่ามันแตกก่อนแตกแล้ว เห็น
ไหม แต่ถ้าเป็นโยม "แหม ฉันถนอมมันเหลือเกิน อย่าทำให้มันแตกนะ" อีกวันหนึ่งสุนัขทำแก้วแตก
เกลียดสุนัข ถ้าลูกทำแตกก็เกลียดลูก เกลียดทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำให้แก้วแตก เพราะเราไปกั้นฝายไว้ไม่
ให้น้ำไหลออกไป กั้นไว้อย่างเดียว ไม่มีทางระบายน้ำ ฝายมันก็แตกเท่านั้นแหละใช่ไหม ต้องทำฝาย
แล้วทำทางระบายน้ำด้วย พอน้ำได้ระดับแค่นี้ ก็ระบายน้ำข้าง ๆ นี่ เมื่อมันเต็มที่ก็ให้มันออกข้างนี้
ท่านเห็นอนิจจัง ความไม่เที่ยงอยู่อย่างนั้น นั่นแหละเป็นทางระบายของท่าน
อย่างนี้โยมจะสงบ นี่คือการปฏิบัติธรรมะ



หลวงพ่อชา สุภทฺโท
วัดหนองป่าพง ต.โนนผึ้ง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี

 

53
หลายคนคงเคยสงสัย ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่วจริงหรือ เพราะหลายครั้งเคยเห็นคนทำชั่วได้ดีมีถมไปใช่ไหมครับ เลยอยากจะเปรียบเทียบให้เป็นข้อคิดกันน่ะครับ คนทำชั่วก็เปรียบได้กับ การจุดไฟเผากระดาษอยู่ ไฟโหมแรงเมือไฟติดกระดาษ หากเปรียบเทียบความชั่วคือกระดาษ ยิ่งทำชั่วก็เหมือนโยนกระดาษเข้ากองไฟ ไฟก็น่าจะลุกลาม โหมให้กองไฟใหญ่ขึ้น ก็เหมือนคนชั่วยิ่งทำชั่ว ยิ่งน่าได้รับผลกรรมทันตาเห็นเหมือนการโยนกระดาษเข้ากองไฟ แต่บางทีกลับไม่ใช่ตามนั้น เคยไหมครับที่จุดไฟเผากระดาษในถังแล้วอัดกระดาษไปเยอะๆ แทนที่ไฟจะลุกโชนแต่ไฟกลับเหมือนจะดับลง เพราะเมื่อไฟกำลังลุกโชนพออัดกระดาษเข้าไปเยอะๆไฟกลับดับลง เปรียบได้กับคนทำชั่วแล้วเหมือนได้ดีไม่เห็นได้ชั่วเหมือนคำสอน แต่จริงๆแล้วกระดาษที่โยนไปในกองไฟที่เหมือนจะดับไฟได้ แต่ซักพักไฟก็จะกลับมาลุกอีกครั้ง ซ้ำยังลุกไหม้มากกว่าเดิม เพราะกระดาษไม่สามารถห่อไฟได้ ฉันใดก็ฉันนั้น ความชั่วก็ไม่มีวันทำให้คนได้ดีเช่นกัน บางคนทำชั่วแล้วได้ดีก็เหมือนเอากระดาษยัดลงในกองไฟ เหมือนไฟจะดับลงแต่จริงๆแล้วไฟกำลังรอจะกลับมาไหม้อีกครั้งแล้วหนักกว่าเดิม เหมือนคนบางคนทำชั่วแต่ไม่ได้รับผลกรรมในชาตืนี้ แต่ชาติหน้าชีวิตก็จะเหมือนกองไฟที่กลับมาลุกไหม้อีกครั้ง เวรกรรมที่ทำก็จะตามไปในชาตืหน้าและจะหนักกว่าชาตินี้ด้วยซ้ำ ผมเชื่อครับทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วแน่นอนครับ
ปล. จากความคิดตอนเผากระดาษในพิธีไหว้ไถ่ซิงเอี้ย วันตรุษจีนครับ

54
จากคืนก่อนฝันว่าได้ไปวัดบางพระแล้วได้พบหลวงพ่อเปิ่น ในฝันหลวงพ่อเปิ่นบอกผมว่า ให้ไปสักยันต์เพิ่มอีก2ยันต์แล้วจะโชคดี ท่านบอกว่าให้ไปสักยันต์ที่อยู่เหนือสาริกา(9ยอดแน่นอนครับ เหตุที่หลวงพี่แป๊วยังไม่ได้สัก9ยอดให้ผม ผมคิดว่าท่านคงไม่อยากให้รอยสักเลยเสื้อออกมาครับ) และท่านชี้รูปยันต์แม่ทัพ แล้วย้ำว่าสัก2ยันต์นี้เพิ่มแล้วชีวิตจะดี ในฝันยังไม่ได้สักเพราะตื่นเสียก่อน วันนี้เลยไปวัดบางพระ บอกเล่าความฝันให้หลวงพี่แป๊วฟัง วันนี้ท่านเลยเมตตามาทั้ง2ยันต์ โดยยกพาน2รอบ วันนี้ช่วงบ่ายๆที่กุฎิหลวงพี่แป๊วเหมือนคนจะน้อยครับ พานแรกท่านเมตตา9ยอดมา  ส่วนพาน2รอถึงค่ำๆท่านเมตตาให้ยันต์แม่ทัพมา เป็นอันสมหวังทุกประการ ต้องกราบขอบพระคุณหลวงพี่แป๊วอีกครั้งที่เมตตาในวันนี้ วันนี้ตกดึกคนเยอะมากครับ ผมกลับประมาณ2ทุ่มยังมีเพื่อนๆรอสักอยู่ราว20คน ขากลับน้องที่มาสักอยู่ใกล้บ้านกันผมเลยชวนกลับด้วยครับ จะได้มีเพื่อนคุยระหว่างทางครับ
ปล.ไปวัดบางพระอบอุ่นทุกครั้งวันนี้ได้เจอพี่เจมส์ คนรักษ์พระ ต้องขอบคุณที่อวยพรให้ผมสมหวังในการขอยันต์น่ะครับ แล้วที่ขาดไม่ได้เจอทีไรอบอุ่นเฮฮาเสมอ ใหญ่ โรนัลโด้ วันนี้พาเพื่อนๆมาเป็นสิบเลยครับ และนมัสการหลวงพี่เก่งอีกครั้ง วันนี้ได้สนทนากับท่านเล็กน้อยเพราะท่านติดนิมนต์ครับ เขียนมาซะยาวขอบคุณที่อ่านน่ะครับ เพราะจริงๆอยากจะบอกแค่เพียงว่าดีใจมากๆครับ เพราะฝันดีแล้วยังได้ทำตามที่ฝันด้วยครับ        
                                   

55
วันปีใหม่จีนกำลังมาถึง ขออวยพรให้ทุกๆคนร่ำรวย สุขภาพแข็งแรง โชคดีตลอดปี ขอให้มีความสุข สมหวังในสิ่งที่หวังทุกประการน่ะครับ
ปล.ไม่มีอั้งเปาให้น่ะครับ มีแต่ความหวังดีและความรักให้ทุกๆคนน่ะครับ



56
เป็นคำสอนต่างกรรมต่างวาระในแต่ละหัวข้อ ผมนำมาให้อ่านให้คิดให้ปฎิบัติตามกันน่ะครับ
นักปฏิบัติ
กินน้อย นอนน้อย พูดน้อย คือนักปฏิบัติ
กินมาก นอนมาก พูดมาก คือ คนโง่

ธรรมดาๆ
ตามความเป็นจริงแล้ว โลกที่เราอยู่นี้ไม่มีอะไรทำไมใครเลย ไม่มีอะไรจะเป็นที่วิตกวิจารย์เลย
ไม่มีอะไรที่น่าจะร้องไห้หรือหัวเราะ เพราะมันเป็นเรื่องอย่างนั้นธรรมดาๆ
แต่เราพูดธรรมดาได้ แต่มองไม่เห็นธรรมดา แต่ถ้าเรารู้ธรรมะสม่ำเสมอ
ไม่มีอะไรเป็นอะไรแล้ว มันเกิดมันดับของมันอยู่อย่างนั้น เราก็สงบ

อยู่กับใคร
การคลุกคลีอยู่กับผู้มีปฏิปทาไม่เสมอกัน ทำให้เกิดความลำบาก ความรู้สึกจะมารวมอยู่ตรงนี้
อารมณ์เราเป็นอย่างนี้ เราจึงจะรู้จักที่รวมแห่งสมาธิ ปล่อยลม-ได้สมาธิ-ปัญญา
เรากำหนดลมหายใจเข้าออกอย่างเดียว เราปล่อยลมให้เป็นธรรมชาติ
อย่าไปบังคับลมให้มันยาว อย่าไปบังคับลมให้มันสั้น ปล่อยสภาพลมให้พอดี
แล้วดูลมหายใจเข้าออก เมื่อปล่อยอารมณ์ได้ เสียอะไรก็ไม่ได้ยิน ถ้าจิตเราวุ่นวายกับสิ่งต่างๆ
ไม่ยอมรวมเข้ามา ก็ต้องสูดลมเข้าไปให้มากที่สุด จนกว่าจะไม่มีที่เก็บ แล้วก็ปล่อย
ลมออกให้มากที่สุด จนกว่าลมจะหมดในท้องสัก 3 ครั้งถ้าเรามีสติอย่างนี้ อย่างวันนี้ เข้าสมาธิ
สัก 30 นาที หรือ 1 ชั่วโมง จิตใจของเรา จะมีความเยือกเย็น ไปตั้งหลายวัน แล้วจิตจะสะอาด
เห็นอะไรจะรับพิจารณาทั้งนั้น นี้เรียกว่าผลเกิดจากสมาธิ สมาธิมีหน้าที่ทำให้สงบ เมื่อจิตเรา
สงบแล้ว จะมีการสังวร สำรวมด้วยปัญญา เมื่อสำรวมเข้า ละเอียดเข้า มันจะเป็นกำลัง
ช่วยศีลให้บริสุทธิ์ขึ้นมาก แล้วสมาธิก็จะเกิดขึ้นมาก เมื่อสมาธิเต็มที่ก็จะเกิดปัญญา

ไม่กลัวตาย
กลัวอะไร? กลัวตายความตายมันอยู่ที่ไหน? อยู่ที่ตัวเราเอง
จะหนีพ้นมันได้ไหม? ไม่พ้น ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ในที่ มืด หรือในที่แจ้ง ก็ตายทั้งนั้น หนีไม่พ้นเลย
จะกลัวหรือไม่กลัวก็ไม่มีทางพ้น เมื่อรู้อย่างนี้ ความกลัวไม่รู้หายไปไหน
เลยหยุดกลัว เหมือนกับที่เราออกจากที่มืดสู่ที่สว่างนั่นแหละ


หลวงปู่ชา สุภทฺโท
วัดหนองป่าพง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี



57
ธรรมะ / การปล่อยวาง
« เมื่อ: 22 ม.ค. 2553, 10:04:33 »
“การปล่อยวาง” ความจริงมันหมายความอย่างนี้ อุปมาเหมือนเราแบกก้อนหินหนักอยู่ก้อนหนึ่ง แบกไปก็รู้สึกหนัก แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรกับมัน ก็ได้แต่แบกอยู่นั่นแหละ พอมีใครบอกว่าให้โยนมันทิ้งเสียซิ ก็มาคิดอีกแหละว่า เอ๊ะ! ถ้าเราโยนมันทิ้งเสียแล้ว เราก็ไม่มีอะไรเหลือน่ะซิ ก็เลยแบกอยู่นั่นแหละ ไม่ยอมทิ้ง ถึงจะมีใครบอกว่า โยนทิ้งไปเถอะ แล้วจะดีอย่างนั้น เป็นประโยชน์อย่างนี้ เราก็ยังไม่ยอมโยนทิ้งอยู่นั่นแหละเพราะกลัวแต่ว่าจะไม่มีอะไรเหลือ ก็เลยแบกก้อนหินหนักไว้ จนเหนื่อยอ่อนเพลียเต็มทีจนแบกไม่ไหวแล้ว ก็เลยปล่อยมันตกลง ตอนที่ปล่อยมันตกลงนี่แหละ ก็จะเกิดความรู้เรื่อง การปล่อยวาง ขึ้นมาเลย เราจะรู้สึกสบาย แล้วก็รู้สึกได้ด้วยตนเองว่า การแบกก้อนหินนั้นมันหนักเพียงใด แต่ตอนที่เราแบกอยู่นั้น เราไม่รู้หรอกว่า การปล่อยวาง มันมีประโยชน์เพียงใด


หลวงพ่อชา สุภทฺโท
วัดหนองป่าพง ต.โนนผึ้ง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี

58
ธรรมะ / บุรุษจับเหี้ย.......
« เมื่อ: 18 ม.ค. 2553, 09:55:17 »
วิธีกำหนดอารมณ์ จับอารมณ์ ให้รู้จักจิตของตน
ให้รู้จักอารมณ์ของตน เปรียบโดยวิธีที่บุรุษทั้งหลายจับเหี้ย
เหี้ยตัวหนึ่งเข้าไปในโพรงจอมปลวกที่มีรูอยู่หกรู ก็ปิดรู้นั้น ๆ
เสียห้ารู เหลือรูเดียวให้เหี้ยออกแล้วนั่งจ้องมองที่รูเดียวนั้น
เหี้ยออกมาก็จับได้ ฉันใด
การกำหนดจิตก็ฉันนั้น ปิดตา ปิดหู ปิดจมูก ปิดลิ้น ปิดกาย
เหลือแต่จิตอันเดียวเปิดไหว้ คือ การสำรวมสังวร กำหนดจิตอย่างเดียว
การภาวนาก็เหมือนกับบุรุษจับเหี้ย ค
กำหนดจิตให้อยู่ที่ลมหายใจ มีสติ ระมัดระวังรู้อยู่แล้ว กำลังทำอะไร
มีสัมปชัญญะ คือ รู้ตัวว่ากำลังทำสิ่งนั้น
ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในจิตขณะนั้น คือรู้ตัวว่ากำลังทำสิ่งนั้น
ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในจิตขณะนั้น ทำให้รู้จัก



พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภัทโท)
วัดหนองป่าพง ตำบลโนนผึ้ง อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี

59
เมื่อวานนี้ได้มีโอกาศไปวัดบางพระมาครับ พอไปถึงกุฎิหลวงพี่แป๊วมีชาวต่างชาติหลายคนครับ นั่งดูชาวต่างชาติแต่ละคนสักแล้วเห็นถึงความมุ่งมั่นที่อยากได้ยันต์ของเค้าครับ ยิ่งคนแรกสักที่แขน เห็นท่าเค้าก้มลงกราบหลวงพี่แป๊วแล้วนึกชมอยู่ในใจครับ เค้ามาปีละครั้งปีที่แล้วได้ไปแล้วมาปีนี้เลยมาขอเพิ่ม เค้าบอกปีหน้าจะมาอีกครับ ส่วนอีกกรุ๊ปมากัน3คนชาย2หญิง1แต่สักจะเฉพาะผู้ชายครับ ได้เก้ายอด แปดทิศกันไป ส่วนผู้หญิงก็ถ่ายรูปกันไป มาจากอเมริกาครับ กรุ๊ปนี้ให้แท๊กซี่พามาครับ ถัดไปก็เป็นหนุ่มชาวญี่ปุ่น คงมาสักหลายรอบแล้ว แต่เท่าที่เห็นยันต์เก่าคงสักช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาเพราะยังใหม่ๆอยู่เลยครับ คงอยากจะสักให้มากที่สุดที่มีเวลาอยู่เมืองไทย ตอนแรกหลวงพี่แป๊วฝากให้ผมไปส่งชาวญี่ปุ่นตอนกลับด้วยแต่ตอนหลังท่านให้ผมไปส่งหนุ่มนักศึกษาแลกเปลี่ยนจากอมริกาครับ คนนี้เคยได้29ยอดจากหลวงพี่แป๊วมาแล้ว คราวนี้ตั้งใจอยากได้แปดทิศและเค้าก็ได้สมใจครับ ดูเค้าดีใจมากๆครับ คนนี้เค้าติดรถผมกลับ เท่าที่คุยดูเค้าจะศรัทธาในการสักยันต์ครับ แต่อาทิตย์หน้าเค้าก็จะกลับอเมริกาแล้ว เพราะเค้าเป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยนมาเรียนม.รังสิตแค่4เดือนเองครับ เค้าบอกครั้งหน้าเค้าจะกลับมาให้ตรงกับวันไหว้ครู เค้าสอบถามเรื่องวันไหว้ครู พอผมเล่าให้ฟังคร่าวๆเค้าดูตื่นเต้นมากๆครับอยากร่วมงาน(เหตุผลที่ต้องเล่าคร่าวๆเพราะภาษาอังกฤษไม่แข็งแรงครับ555เลยเล่าแบบละเอียดไม่ได้ครับ) จริงๆเค้างงผมมากๆครับที่ผมรอเค้าเกือบชั่วโมงและพาเค้ามาส่ง(จริงๆแล้วหลวงพี่แป๊วบอกให้ผมรอและส่งเค้าครับ) เค้าถามผมถึงจุดนี้ผมเลยตอบไปว่าเป็นวัฒนธรรมของคนไทย(ที่มีน้ำใจ)คนไทยเป็นทุกคนไม่ใช่ผมคนเดียว เค้าบอกว่าเค้ากลับอเมริกาไปจะนำไปใช้บ้างครับ เพราะวัฒนธรรมของเค้าต่างคนต่างอยู่ครับ วันนี้ผมเห็นชาวตางชาติมาสักกับหลวบพี่แป๊ว5คนแต่ละคนมุ่งมั่นและเชื่อมั่นในยันต์ที่จะได้รับ ผมอดนึกถึงสังคมไทยไม่ได้ว่าทำไมคนส่วนมากของประเทศไม่เห็นคุณค่าของการสักยันต์เลยครับ สายตาของคนบางคนมองคนสักยันต์ไปในทางที่ไม่ดี คงเป็นหน้าที่ของพวกเราที่จะต้องทำตัวให้เป็นตัวอย่าง ให้สังคมเห็นว่าคนสักยันต์เป็นคนดี เรามาเริ่มต้นจากสังคมที่นี่ศิษย์วัดบางพระทุกคนน่ะครับ
ปล.วันนี้ยังภาพที่เห็นแล้วดูอบอุ่นมากๆคือคุณแม่พาลูกชาย(อายุ22กำลังจะไปเรียนที่ออสเตเลีย)มาสักยันต์ครับ ตอนแรกๆก็ยังตกลงใจไม่ได้ว่าจะสักดีหรือไม่ จะสักน้ำมันหรือหมึกดี พอนั่งคุยกันสักพัก ก็เชื่อผมครับ ลงหมึกเลยครับ ดูแล้วอบอุ่นครับ ยิ่งตอนหลวงพี่แป๊วให้ลูกชายของพี่เค้า กวาดถูกุฎิดูหน้าแม่เค้ามีความสุขที่เห็นลูกชายทำความดีครับ
ปล.อีกครั้ง วันนี้ผมไม่ได้ยันต์เพิ่มครับเพราะหลวงพี่แป๊วย้ำยันต์เก่าให้ครับ นี่เป็นครั้งที่สองติดต่อกันที่หลวงพี่แป๊วย้ำยันต์เดิมให้ผม(ยันต์จางลง) หลวงพี่แ๊ป๊วท่านคงอยากให้ยันต์ที่หลังผมเข้มสวยทุกยันต์ครับ เท่าที่เห็นไม่ค่อยมีคนได้รับการสักย้ำยันต์เดิมกันน่ะครับ แต่2ครั้งหลังหลวงพี่แป๊วย้ำให้ผม3ยันต์เลยครับ แต่เดือนหน้าก่อนไหว้ครูคงต้องไปอีกครั้งเพราะตั้งใจไว้ตั้งแต่ก่อนปีใหม่ว่าจะขอยันต์เพิ่มอีกยันต์ครับ ก่อนผมกลับแวะไปกุฎิริมน้ำเพื่อจะไปสนทนาธรรมกับหลวงพี่นริทร์ เพราะทุกครั้งที่ได้สนทนาธรรมกับหลวงพี่ หลวงพี่ได้สอนและให้แนวคิดผมเสมอครับ แต่เมื่อวานหลวงพี่ไม่อยู่ครับ ครั้งหน้าจะไปกราบท่านน่ะครับ เขียนมาซะยาวขอบคุณที่อ่านกันน่ะครับ



60
รากฐานที่เราจะต้องปฏิบัติใหม่ๆ
๑. ให้เป็นคนซื่อสัตย์ ตรงไปตรงมา
๒. ให้เป็นคนกลัว เป็นคนละลายต่อบาป
๓. มีลักษณะที่ถ่อมตัวในใจของเรา เป็นคนที่มักน้อย เป็นคนที่สันโดษ ถ้าคนมักน้อยในการพูดการอะไรทุกอย่าง มันก็เห็นตัวของตัวไม่เข้าไปวุ่นวาย
รากฐานที่มีอยู่ในจิตนั้นก็ล้วนแต่ศีล สมาธิ ปัญญาเต็มอยู่ในจิต ไม่มีอะไรอื่น จิตในขณะนั้นก็เดินในศีล ในสมาธิ ในปัญญาโดยอาการเช่นนั้น ฉะนั้นนักปฏิบัติเรานั้นอย่าประมาท ถึงแม้ว่าถูกต้องแล้วก็อย่าประมาท ผิดแล้วก็อย่าประมาท ดีแล้วก็อย่าประมาท มีสุขแล้วก็อย่าประมาท ทุกอย่างท่านว่าอย่าประมาท ทำไมไม่ให้ประมาท เพราะอันนี้มันเป็นของไม่แน่ ให้จับมันไว้อย่างนี้ จิตใจเราก็เหมือนกัน ถ้ามีความสงบแล้วก็วางความสงบไว้ แหม มันอยากจะดีใจ แต่ดีก็ให้รู้เรื่องมัน ชั่วก็ให้รู้เรื่องมัน




พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภัทโท)

วัดหนองป่าพง ตำบลโนนผึ้ง อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี

61
สวัสดีปีใหม่พี่น้องชาววัดบางพระทุกคนน่ะครับ ปีเก่าได้ผ่านไปแล้วปีใหม่เพิ่งเริ่มต้น ปี52ที่ผ่านมาถือวาเป็นปีที่ดีที่สุดของชีวิตผมเลยทีเดียว เพราะเป็นปีที่ผมได้เข้าถึงพระธรรมมากที่สุดตั้งแต่ผมเกิดมา เมื่อชีวิตเข้าถึงคำสอนของพระพุทธเจ้าก็ไม่มีอะไรที่จะดีไปกว่านี้ แม้มรสุมของชีวิตยังไม่หมดไป แต่ก็ถือว่าสามารถควบคุมปัญหาไว้ได้ ขอเพียงให้ผมมีสติอีกซัก2ปีก็จะผ่านพ้นวิกฤตไปได้อย่างแท้จริง ก่อนหน้านี้คิดว่าตัวเองทำดีมาตลอด โทษโน้นโทษนี่มาตลอดเวลามีปัญหา แต่เมื่อพบพระธรรมจึงรู้ว่าปัญหาทั้งหมดเกิดจากตัวเอง ขาดสติไร้ปัญญา เมื่อศีล สมาธิ และ ปัญญาเข้ามาในชีวิตทุกอย่างก็เปลี่ยนไป ชีวิตพบแต่สิ่งดีๆ ทุกวันนี้เตือนตัวเองอยู่เสมอ ว่าเมื่อชีวิตพบทางที่ถูกต้องแล้วอย่าออกนอกลู่นอกทางไปเดินบนทางไม่ดีอีก

62
พระมหาวุฒิชัย(ว วชิรเมธี) ได้ให้ธรรมะปีใหม่ในวันที่ 31 ธันวาคม 2551 4 อย่า 5 ต้อง

4 อย่า

1.  อย่าจับผิดคนอื่น   จงมองคน มองโลกในแง่ดี แม้ในสิ่งที่เป็นทุกข์ ถ้ามองเป็น ก็เป็นสุข

2.  อย่าริษยาคนอื่น   เราสามารถถอดถอนความริษยาออกจากใจเราโดยใช้วิธี " แผ่เมตตา "

3.  อย่าเสียเวลากับความหลัง   อยู่กับปัจจุบันให้เป็น  ให้กายอยู่กับจิต จิตอยู่กับกาย คือมี "สติ" กำกับตลอดเวลา

4.  อย่าฟังเสียงปาปมิตร  ปาปมิตรคือมิตรชั่ว  จงอย่าคบ


5 ต้อง

1.  ต้องมีปัญญา  ปัญญาเป็นสิ่งที่ติตตัวเราไปตลอด ไม่มีใครขโมยจากเราไปได้

2.  ต้องกล้าคิดนอกกรอบ  เป็นตัวของตัวเอง อย่าทำอะไรจากความเคยชินเพียงอย่างเดีย

3.  ต้องชอบตั้งคำถาม   ควรจะฝึกตั้งคำถามและค้นหาคำตอบด้วยตนเอง

4.  ต้องทำให้ดีกว่าเมื่อวาน  ต้องทำชีวิตของตนเองในวันนี้ให้ดีกว่าเมื่อวานนี้

5.  ต้องฝึกใจให้ตื่นรู้  ทำใจให้ตื่นรู้ ก่อนนอนสำรวจตนเองว่าตนเองทำอะไรที่ไม่ถูกต้องหรือไม่



พระมหาวุฒิชัย(ว.วชิรเมธี)

63
วันนี้ไปพบลูกค้าแถวปทุมธานี พอเสร็จธุระราวๆเที่ยงเลยถือโอกาศไปไหว้สมเด็จโต เห็นป้ายหลายครั้งไม่เคยไปเลยตัดสินใจขับตามป้ายไป  ขับไปขับมาหลงพอเป็นพิธีก็ถึงวัดโบสถ์ สามโคก ปทุมธานี วัดอยู่ในขั้นตอนปรับภูมิทัศน์โดยรอบอยู่เลยยังไม่ร่มรื่นเท่าที่ควร แต่อีกสักพักคงร่มรื่นสวยงาม

กราบสมเด็จโตขอพรครับ มีคาถาชินบัญชรให้ท่องเพื่อเป็นศิริมงคล



สมเด็จโตองค์ใหญ่ สวยงาม ดูเข้มขลัง มีโอกาศแวะไปกราบกันน่ะครับ



                             
                             

64
ธรรมะ / <<<< กรรม >>>>
« เมื่อ: 18 ธ.ค. 2552, 09:09:19 »
กรรมคือการกระทำ กรรมคือการยึดมั่นถือมั่น กาย วาจา และใจ ล้วนสร้างกรรม เมื่อมีการยึดมั่นถือมั่น เราทำกันจนเกิดความเคยชินเป็นนิสัย ซึ่งจะทำให้เราเป็นทุกข์ได้ในกาลข้างหน้า นี่เป็นผลของ การยึดมั่นถือมั่นและของกิเลสเครื่องเศร้าหมองของเราที่เกิดขึ้นในอดีต ความยึดมั่นทั้งหลายจะทำให้ เราสร้างกรรม สมมติว่าท่านเคยเป็นขโมยก่อนที่จะบวชเป็นพระ ท่านขโมยเขา ทำให้เขาไม่เป็นสุข ทำให้ พ่อแม่หมดสุข ตอนนี้ท่านเป็นพระแต่เวลาที่ท่านนึกถึงเรื่องที่ท่านทำให้ผู้อื่นหมดสุขแล้ว ท่านก็ไม่สบายใจ และเป็นทุกข์แม้จนทุกวันนี้ จงจำไว้ว่า ทั้งกายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม จะเป็นเหตุปัจจัยให้เกิด ผลในอนาคตได้ ถ้าท่านเคยสร้างกรรมดีไว้ในอดีต และวันนี้ก็ยังจำได้ ท่านก็เป็นสุข ความสุขใจเป็นผล จากกรรมในอดีต สิ่งทั้งปวงมีเหตุเป็นปัจจัยทั้งในระยะยาว และถ้าใคร่ครวญดูแล้วทั้งในทุกๆ ขณะด้วย แต่ท่านอย่าไปนึกถึงอดีตหรือปัจจุบันหรืออนาคต เพียงแต่เฝ้าดูกายและจิต ท่านจะต้องพิจารณาจนเห็น จริงในเรื่องกรรมด้วยตัวของท่านเอง จงเฝ้าดูจิต ปฏิบัติแล้วท่านจะรู้อย่างแจ่มแจ้ง อย่าลืมว่ากรรมใคร ก็เป็นของคนนั้น อย่ายึดมั่นและอย่าจับตาดูผู้อื่น ถ้าผมดื่มยาพิษ ผมก็ได้รับทุกข์ ไม่ใช่เรื่องที่ท่านจะมา เป็นทุกข์ด้วย จงรับเอาแต่สิ่งดีที่อาจารย์สอน แล้วท่านจะเข้าถึงความสงบ จิตของท่านจะเป็นเช่นเดียว กันกับจิตของอาจารย์ ถ้าท่านพิจารณาดู ท่านก็จะรู้ได้ แม้ว่าขณะนี้ท่านจะยังไม่เข้าใจ เมื่อท่านปฏิบัติต่อไป มันก็จะแจ่มแจ้งขึ้น ท่านจะรู้ได้ด้วยตนเอง ได้ชื่อว่าปฏิบัติธรรม
           เมื่อเรายังเล็ก พ่อแม่วางกฎระเบียบกับเรา และหัวเสียกับเรา แท้จริงแล้วท่านต้องการจะช่วยเรา กว่าเราจะรู้ก็ต่อมาอีกนาน พ่อแม่และครูบาอาจารย์ดุว่าเราและเราก็ไม่พอใจ ต่อมาเราจึงเข้าใจว่า ทำไม เราจึงถูกดุ ปฏิบัติไปนานๆ แล้วท่านก็จะเห็นเอง ส่วนผู้ที่คิดว่าตนฉลาดล้ำก็จะจากไปในเวลาอันสั้น เขา ไม่มีวันจะได้เรียนรู้ ท่านต้องขจัดความคิดว่าตัวฉลาดสามารถออกไปเสีย ถ้าท่านคิดว่าท่านดีกว่าผู้อื่น ท่านก็จะมีแต่ทุกข์ เป็นเรื่องน่าสงสาร อย่าขุ่นเคืองใจ แต่จงเฝ้าดูตนเอง




หลวงพ่อชา สุภทฺโท
วัดหนองป่าพง ต.โนนผึ้ง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี


65
ธรรมะ / ตามรู้จนอยู่มือ.........
« เมื่อ: 09 ธ.ค. 2552, 09:43:33 »
            จิตก็เหมือนนกที่บินไปๆที่สุดพอเหน็ดเหนื่อยมันก็ต้องกลับรังมานอนที่เดิม มันบินไปไม่รอด จิตมันก็เหนื่อยของมันได้เหมือนกัน มันเพลียมันก็กลับ ทีแรกมันมีกำลังอยู่ก็ปรุง แต่งคิดโน่นคิดนี่เอาเป็นเอาตายทีเดียว
             จิตก็เป็นอย่างนั้น เราตามดูตามรู้ตามเห็น ผลที่สุดไม่มีอะไรเลย มันจะมีกำลังพักหนึ่ง นึกร่ำนึกรวย นึกมีนึกเป็น ตามดูมันเถอะเดี๋ยวมันก็หยุดคิดเอง พอหยุดคิดจับได้แล้วคราวนี้เราก็เป็นเจ้าของมัน วิชชาเกิดขึ้นแล้ว วิชชาก็คือรู้ใจตนเองนี่เอง
              การที่ไม่รู้ทันความคิดตัวเองนั่นเป็นอวิชชา คือ คิดไม่รู้ตัว รู้แบบวิชชา คือ รู้จักที่จะทำใจของตนเอง ให้ดับทุกข์ดับนิวรณ์ได้เป็นบุญเป็นกุศลเป็นวาสนาบารมีที่จะทำให้ถึงทางดับทุกข์ ทางสงบถึงที่สุดได้ ทำใจให้รู้จักนิพพานได้ คือทำใจให้ว่างเป็นนั่นเอง



หลวงพ่อสนอง กตปุญโญ วัดสังฆทาน อ.เมือง จ.นนทบุรี

66
ห่างหายบอร์ดไปหลายวัน พาครอบครัวไปไหว้พระไหว้เจ้ามาครับ คราวนี้พาไปไกลหน่อย ไปฮ่องกงมา ครั้งนี้เป็นครั้งที่9ที่ผมมาประเทศนี้ ที่ไปหลายครั้งเพราะพ่อตาผมเป็นชาวฮ่องกงครับ พ่อตาผมมี2บ้าน ฉะนั้นแฟนผมเลยมีพี่ชาย(พ่อเดียวกันแต่คนละแม่)อยู่ที่นั่น การไปฮ่องกงเลยกลายเป็นมาหาสู่กันระหว่างพี่น้องไปด้วย เวลาไปที่นั่นก็ไปพักบ้านญาติ อยู่ชานเมืองแถวtaipo ข้อดีเวลาไปพักย่านชานเมืองคือจะได้ซึบซับความเป็นตัวตนของเมืองเค้าอย่างแท้จริงครับ ครั้งนี้ตั้งใจจะไปไหว้เจ้าขอพรเลยบอกญาติให้เค้าไปทำงาน เดี๋ยวผมไปเอง(จะได้ไปไหว้เจ้าสะดวกๆ)ครั้งนี้ที่แรกที่ไปก็คือไปไหว้พระใหญ่ Giant Buddha ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ได้ไปที่นี่ ตื่นเต้นกันทั้งครอบครัวครับ นั่งรถไฟฟ้าต่อไปต่อมา4ต่อก็มาถึงทางที่จะขึ้นไปไหว้พระใหญ่ (การเดินทางที่ฮ่องกงนักท่องเที่ยวอย่างเราสามารถไปได้โดยใช้รถไฟฟ้าเพราะรถไฟฟ้าที่ยั่นมีโครงข่ายครอบคลุมเกือบๆทั้งเกาะครับ) การขึ้นไปไหว้พระใหญ่ทำได้2วิธีคือขึ้นกระเช้าหรือรถเมล์ ผมเลือกขึ้นกระเช้า ถึงราคาจะสูงกว่า แต่ก็ถือว่าจะได้ประสบการณ์ที่ดีครับ

มาแต่เช้าคิวรอขึ้นกระเช้าเลยไม่เยอะครับ รอคิวสบายๆ



ขอแอ๊คท่ากับกระเช้าหน่อยน่ะครับ




67
ธรรมะ / ธรรมโอสถ...
« เมื่อ: 02 ธ.ค. 2552, 06:15:14 »
“..พวกแพทย์...พวกหมอ..

เขาปรุงยาปราบโรคทางกาย

จะเรียกว่า..สรีระโอสถ..ก็ได้

ส่วนธรรมของพระพุทธเจ้านั้น

ใช้ปราบโรคทางใจ..

เรียกว่า...ธรรมโอสถ..

ดังนั้น...พระพุทธเจ้าของเรา..

จึงเป็นแพทย์ปราบโรคทางใจ

ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก..

โรคทางใจเป็นได้ไว

และเป็นได้ทุกคนไม่เว้นเลย..

เมื่อท่านผู้รู้ว่า...ท่านเป็นไข้ใจ...

จะไม่ใช้ธรรมโอสถรักษาบ้างดอกหรือ..

พิจารณาดูเถิด..

การเดินทางเข้าถึงพุทธธรรม..

มิใช่เดินด้วยกาย...

แต่ต้องเดินด้วยใจ...

จึงจะเข้าถึงได้...”


 
พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภัทโท)
วัดหนองป่าพง ตำบลโนนผึ้ง อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี

68
ปริยัติปฏิบัติ

หลวงพ่อมักแนะนำพระภิกษุสามเณร ผู้ที่มุ่งเข้ามาประพฤติปฏิบัติที่วัดหนองป่าพงว่า

"ไม่ต้องอ่านหนังสือ ให้อ่านใจตัวเองดีกว่า" แต่ไม่ใช่ว่าท่านประมาทในเรื่องปริยัติธรรม เพียงแต่เป็นห่วงว่าลูกศิษย์จะหลงเข้าใจผิดว่า ตนรู้ธรรมะดีแล้ว ทั้ง ๆ ที่จิตยังเข้าไม่ถึง

"ปริยัตินี้เหมือนตำรายาที่ชี้บอกให้หารากไม้ แต่ถ้าไม่ปฏิบัติ ออกแสวงหาต้นยา ให้รู้จักว่า ต้นนี้เป็นอย่างนั้น ต้นนั้นเป็นอย่างนี้ มันไม่เกิดประโยชน์อะไร"

มิหนำซ้ำ ความรู้ที่เป็นสัญญาความทรงจำอาจจะมีโทษต่อผู้ภาวนา

"นักปริยัติชอบสงสัย เช่น เวลานั่งสมาธิ ถ้าจิตสงบปั๊บ เอ! มันเป็นปฐมฌานละกระมัง ชอบคิดอย่างนี้ พอนึกอย่างนี้จิตถอนเลย ถอนหมดเลย เดี๋ยวก็นึกว่าเป็นทุติยฌานแล้วกระมัง

อย่าเอามาคิด พวกนี้มันไม่มีป้ายบอก มันคนละอย่าง ไม่มีป้ายบอกว่า นี่ทางเข้าวัดหนองป่าพง มิได้อ่านอย่างนั้น มันไม่บอก มีแต่พวกเกจิอาจารย์มาเขียนไว้ว่า ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน มาเขียนไว้ทางนอก

ถ้าจิตเราเข้าไปสงบถึงขั้นนั้นแล้ว ไม่รู้จักหรอก รู้อยู่แต่ว่ามันไม่เหมือนปริยัติที่เราเรียน ถ้าผู้เรียนปริยัติแล้วชอบกำเข้าไปด้วย ชอบนั่งคอยสังเกตว่าเอ เป็นอย่างไร มันเป็นปฐมฌานแล้วหรือยัง

นี่มันถอนออกหมดแล้ว ไม่ได้ความ ทำไมจึงเป็นอย่างนั้น เพราะมันอยาก พอตัณหาเกิดมันจะมีอะไร มันก็ถอนออกพร้อมกัน นี่แหละเราทั้งหลายต้องทิ้งความคิดความสงสัยให้หมด ให้เอาจิตกับกายวาจาล้วน ๆ เข้าปฏิบัติ

ดูอาการของจิต อย่าแบกคัมภีร์เข้าไปด้วย ไม่มีคัมภีร์ในนั้น ขืนแบกเข้าไปมันเสียหมด เพราะในคัมภีร์ไม่มีสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง ผู้ที่เรียนมากๆ รู้มาก ๆ จึงไม่ค่อยสำเร็จ เพราะมาติดตรงนี้"

หลวงพ่อเคยสอนพระที่แตกฉานในทางปริยัติรูปหนึ่งว่า

"เอาปริยัติของคุณใส่หีบใส่ห่อเก็บไว้เสีย อย่าเอามาพูด เวลามีอะไรขึ้นมา มันไม่เป็นอย่างนั้น เหมือนกับเราเขียนหนังสือว่า ความโลภ

เวลามันเกิดขึ้นในใจมันไม่เหมือนกับตัวหนังสือ เวลาโกรธก็เหมือนกัน เขียนใส่กระดานดำเป็นอย่างหนึ่ง มันเป็นตัวอักษร เวลามันอยู่ในใจ มันอ่านอะไรไม่ทันหรอก

มันเป็นขึ้นมาที่นี่เลย สำคัญนัก สำคัญมาก จริงอยู่ปริยัติเขียนไว้ถูก แต่ต้อง โอปนยิโก ให้เป็นคนน้อม ถ้าไม่น้อมก็ไม่รู้จักความจริง"




พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภัทโท)วัดหนองป่าพง อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี

คัดลอกจาก: อุปลมณี
แก้วก่องส่องธรรมนำชน
เรืองโลก เรืองอุบล
คือ พระโพธิญาณเถร

69
ธรรมะ / ผู้มีปัญญา...
« เมื่อ: 08 พ.ย. 2552, 08:03:24 »
ผู้มีปัญญา
ไม่ควรให้สิ่งที่ล่วงแล้วตามมา
ไม่ควรหวังในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง

ผู้มีปัญญา
ได้เห็นในธรรมซึ่งเป็นปัจจุบัน
ควรเจริญความเห็นนั้นเนืองๆ
ควรรีบทำเสีย

ผู้มีปัญญา
ซึ่งมีธรรมเป็นเครื่องอยู่
มีความเพียรแยกกิเลสให้หมดไป
จะไม่เกียจคร้าน
ขยันหมั่นเพียรทั้งกลางวันและกลางคืน


หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต


70
การศึกษาเรียนรู้
แล้วไปรู้ไปเห็นอะไรมากมายขนาดไหนก็ตาม
ก็ไม่อาจทำให้จิตพ้นไปจากทุกข์ได้เลย
ถ้าการศึกษาเรียนรู้อะไรที่มากมายนั้น
ไม่ใช่การเรียนรู้แล้วนำไปสู่ความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งว่า
กายนี้ จิตนี้ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตน
ดังนั้นเมื่อได้ลงมือเรียนรู้ปฎิบัติธรรมกันแล้ว
ก็ขออย่าได้หลงใหลหรือพึงพอใจกับสิ่งต่างๆที่ไปเจอะเจอเข้า
ขอให้ตั้งเป้าให้แน่วแน่ไปเลยว่า
เมื่อมีอะไรปรากฎให้รู้ให้เห็น ก็จะหัดให้ดูให้เห็นลักษณะ
ไม่เที่ยงบ้าง เป็นทุกข์บ้าง ไม่ใช่ตัวตนบ้างเท่านั้น
เพื่อจะเป็นหนทางนำพาจิตไปสู่สภาวะพ้นจากทุกข์ต่อไป


หน้า15จากหนังสือบันทึกดูจิตตอนระลึกรู้ระลึกชอบ...สุรวัฒน์ เสรีวิวัฒนา

71
ธรรมะ / ความสุขที่แท้จริง...
« เมื่อ: 29 ต.ค. 2552, 03:33:20 »
ความสุขที่แท้จริง
เป็นสิ่งที่ได้มาเปล่าๆ ไม่ต้องเสียสตางค์
เหมือนดังที่ตรัสว่า...
ถอนความรู้สึกว่าเป็นตัวตนเสียได้แล้ว
ก็ได้นิพพานมาเปล่าๆ ไม่ต้องเสียมูลค่าอะไร
ส่วนความสุขเทียมหรือความเพลิดเพลินที่หลอกลวงนั้น
ใช้เงินซื้อมาเท่าไหร่ก็ไม่รู้จักพอ
จนตัวตาย...ก็ไม่พบกับความสุขที่แท้จริง


ท่านพุทธทาสภิกขุ


72
ธรรมะ / ฆ่าอะไรจึงไม่บาป?
« เมื่อ: 28 ต.ค. 2552, 11:05:43 »
     ครั้งหนึ่ง อูนุมาเมืองไทยแล้วจะไปอยู่อยุธยา ต้องมีหน่วยอารักขา กลัวชาวอยุธยาจะมาเล่นงาน อูนุแกไม่ได้รู้เรื่อง แกไม่ได้มีส่วนมาเผากรุงศรีอยุธยาอะไรแม้แต่น้อย ไอ้พวกเผากรุงศรีอยุธยา ตายตกนรกยังไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดสักคนเดียว แล้วเราจะโกรธคนสมัยใหม่ได้อย่างไร ถ้าเราจะโกรธ โกรธให้มันถูก
     โกรธอะไร โกรธกิเลสสิ ไอ้นี่แหละที่ควรจะโกรธ ควรจะฆ่า ควรจะโกรธความโลภ ความโกรธ ความหลง ความริษยาพยาบาท ความแข่งดี ความถือตัว เรียกว่ากิเลสทุกประเภท เป็นเรื่องน่าโกรธ น่าเกลียด แล้วน่าฆ่ามันเสียเลย อย่าเอาไว้
      กิเลสที่ควรฆ่า มันอยู่ที่ไหน อยู่ที่ตัวเรานั่นแหละ สำคัญนักหนา เราดูว่าตัวเรามีอะไร ฆ่ามันเสีย ฆ่าความโลภ ฆ่าความโกรธ แล้วเราก็สบาย

      เคยมีคนไปถามพระพุทธเจ้าว่า ฆ่าอะไรจึงจะไม่บาปและมีความสุขด้วยนะ พระองค์ตรัสว่า..
      โกธัง ฆัตตะวา สุขัง เสติ
      ฆ่าความโกรธได้มีความสุข
      ฆ่าความโกรธได้ มีความสุข เพราะฉะนั้น เราอย่าไปโกรธคน แต่เราโกรธสิ่งที่ทำให้เราไม่เป็นคน

      สิ่งที่ทำให้คนไม่เป็นคนคืออะไร... ก็คือกิเลสประเภทต่างๆ ตัวใหญ่ก็ ๓ ตัว โลภะ โทสะ โมหะ นี่แหละ โลภ โกรธ หลง ไอ้สามตัวนี้แหละตัวร้าย เป็นตัวที่เราเห็นหน้ามันแล้ว ต้องเล่นงานมันเลยทีเดียว อย่าปล่อยให้มันมาโจมตีเรา อย่าให้มันมาเป็นนายเหนือเรา เดี๋ยวนี้คนเราไม่โกรธกิเลส แต่ว่ากลับไปโกรธคน มันไม่ถูก คนเรานี่ใช่ว่าจะชอบการมีกิเลสกับเขาเมื่อไหร่ ไม่รู้ไม่เข้าใจแล้วเผลอ มันก็มีขึ้น

      คนทำชั่วนี่เป็นคนที่น่าสงสาร ควรหาทางว่าเราจะช่วยเขาอย่างไรให้ดีขึ้น ให้เขาเจริญขึ้น ให้มีปัญญา ให้รู้จักรักษาตัวรอดปลอดภัย เราควรจะทำอย่างไร นั่นแหละจึงจะเป็นการถูกต้อง

      แต่เราไม่ค่อยคิดอย่างนั้น เขามีกิเลสแล้ว เรากลับมีกิเลสขึ้นมาด้วย เช่น เราเกลียดเขานี่มันเป็นกิเลส เราโกรธเขาเราก็มีกิเลส เราริษยาเขาเราก็มีกิเลส เราทำอะไรในทางไม่ดีก็เท่ากับว่าช่วยเพิ่มสิ่งชั่วร้ายขึ้นในสังคม สังคมจะดีขึ้นอย่างไร ถ้าเราไม่ช่วยกันทำลายสิ่งชั่วร้าย

      หน้าที่ของเราทุกคน คือต้องทำลายสิ่งชั่วร้ายในตัวของเรา และในบุคคลอื่น.

       ปาฐกถาธรรม วันอาทิตย์ที่ ๑ เมษายน ๒๕๒๗
       พระพรหมมังคลาจารย์ (หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ)
     
       



73
ธรรมะ / ....สติ...
« เมื่อ: 27 ต.ค. 2552, 11:41:03 »
   ในพุทธศาสนานี้มีการฝึกหัดสติอันเดียว  การฝึกหัดเรื่องอะไรก็ตาม  ฝึกหัดสติอันเดียวเท่านั้น    พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนสาวกทั้งหลายแต่ก่อนนี้ ก็ทรงสอนให้ฝึกสติอันเดียวเท่านั้น  ทรงสอนฆราวาสก็เหมือนกัน ทรงสอนเรื่องสติ  ให้มนุษย์คนเราพากันมีสติ    พวกเราก็พากันถือคำสอนของพระองค์นั่นแหละมาพูด เช่น พอพลั้งๆเผลอๆ ก็ว่า ไม่มีสตินี่  ก็พูดกันไปอย่างนั้นแหละ  ตัวผู้พูดเองก็ไม่รู้เรื่องว่าตัวสติมันเป็นอย่างไร  พูดไปเฉยๆ อย่างนั้นแหละ  มิหนำซํ้าบางคนไม่มีสติอยู่แล้ว ยิ่งไปดื่มสุรายาเมาเข้า ยิ่งไปใหญ่จนเสียสติเป็นบ้าไปก็มี    เหตุนี้จึงว่า คำสอนของพุทธศาสนาทั้งหมดมาลงที่สติอันเดียว  ตั้งแต่เบื้องต้นก็สอนสติ  ท่ามกลาง  ที่สุดก็สอนสติ  เป็นศาสนาที่สอนถึงที่สุด  แต่คนทำนั่น ทำสติไม่ถึงที่สุดสักที  ทำมากี่ปีกี่ชาติก็ไม่สมบูรณ์สักที  พระพุทธเจ้าพระองค์ใดก็ทรงสอนสติตัวเดียวนี้

   เราเกิดมากี่ภพกี่ชาติก็มาหัดสติตัวเดียวนี้  แต่ก็หัดสติไม่สมบูรณ์สักที  เหตุนั้นจึงควรที่พวกเราจะพากันรีบเร่งหัดสติทุกคนแต่บัดนี้    อายุอานามมาถึงป่านนี้แล้ว  เรียกว่าจวนเต็มที  จวนจะหมดสิ้น  จวนจะตายอยู่แล้ว  ไม่ทราบว่าจะตายวันไหน   ควรที่จะหัดสติให้อยู่ในเงื้อมมือของตนให้ได้  อย่าให้จิตไปอยู่ในเงื้อมมือของความหลงมัวเมา  ผู้ใดจิตไม่อยู่ในอำนาจของตนก็ชื่อว่าเราเกิดมาแล้วเสียเปล่า  ได้ฟังคำสอนของพระพุทธเจ้าเสียเปล่า  เปล่าจากประโยชน์

   อย่าให้จิตอยู่แต่ในอำนาจของกิเลส  ให้จิตอยู่แต่ในอำนาจของสติ  สติเป็นตัวระมัดระวัง  อันนั้นแหละเป็นประโยชน์ส่วนตัวโดยแท้   ถ้าจิตอยู่ใต้อำนาจของกิเลสแล้วหมดท่า  ตัวของเราจึงเป็นทาสของกิเลส  เหตุนั้นจึงควรที่จะพากันรู้สึกตัว  ตื่นตัวเสียตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป  แล้วฝึกอบรมกัมมัฏฐาน

   การอบรมกัมมัฏฐานนั้น  ทุกคนต้องอบรมเหมือนกันหมด  มิใช่อบรมเฉพาะพระภิกษุ  สามเณร  แม่ชี  อุบาสกอุบาสิกาเท่านั้น  การฝึกหัดธรรมะก็ต้องหัดสติตัวนี้แหละ  ถือพุทธศาสนาก็ต้องหัดสติตัวนี้แหละ  มีสติสมบูรณ์บริบูรณ์ก็เรียกว่าถึงศาสนา  ถ้ายังไม่มีสติเสียเลยก็เรียกว่ายังไม่ถึงศาสนา


  หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี (พระราชนิโรธรังสีคัมภีรปัญญาวิศิษฏ์) 
   วัดหินหมากเป้ง ตั้งอยู่ที่บ้านไทยเจริญ ต.พระพุทธบาท อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย   




74
วันอาทิตย์ที่ผ่านเป็นวันเริ่มต้นวันแรกของเทศกาลกินเจ จึงพาครอบครัวไปไหว้เจ้าแม่กวนอิมที่อุทยานพระโพธิสัตว์กวนอิม ท่าฉลอม สมุทรสาคร วันนี้ผิดคาดเพราะคนไม่เยอะอย่างที่คิด จึงได้ไหว้และขอพรเจ้าแม่กวนอิมอย่างสบายๆ

กินเจปีนี้เป็นปีที่15ที่ผมได้กินเจมาครับ แต่ปีนี้พิเศษตรงลูกๆ2คนของผมขอกินเจเอง แต่ไม่รู้จะได้สักกี่วัน แต่อย่างน้อยผมก็ดีใจที่เค้าตั้งใจทำความดีด้วยตัวเองครับ

การไปไหว้พระ ไหว้เจ้าขอพร เป็นสิ่งที่ลูกๆผมคุ้นเคยและทำเป็นประจำ แต่สิ่งที่ยากที่สุดของผมก็คือ เมื่อเค้าขอแล้วไม่ได้ต้องหาเหตุผลมาอธิบายให้เค้าเข้าใจให้ได้ เพราะถ้าอธิบายไม่ดี ความศรัทธาของเค้าจะลดน้อยลง

ลูกสาวผมชอบมาที่นี่เพราะได้ปิดทองเจ้าแม่ ถวายสร้อยมุก และมีถ้ำให้เดินเล่นครับ


วันอาทิตย์ผมจะยกให้เป็นวันครอบครัว โดยปกติถ้าไปไหนจะพยายามไปทั้งครอบครัวหรือถ้าไม่อย่างน้อยก็ต้องไปกับแฟนครับ การทำกิจกรรมกันทุกวันอาทิตย์เป็นการสร้างสายใยในครอบครัวที่ผมทำแล้วและคิดว่าได้ผลดีครับ วันอาทิตย์เป็นวันที่ดีสำหรับผมเสมอครับ
ฝากบทสวดมนต์เจ้าแม่กวนอิมไว้ให้สวดกันน่ะครับ
นำโม ไต่ซื้อ ไต่ปุย กิ้วโค่ว กิวหลั่ง กวงไต๋เหล่งก้ำ กวงสีอิมผ่อสัก ( กราบ )
นำโม ไต่ซื้อ ไต่ปุย กิ้วโค่ว กิวหลั่ง กวงไต๋เหล่งก้ำ กวงสีอิมผ่อสัก ( กราบ )
นำโม ไต่ซื้อ ไต่ปุย กิ้วโค่ว กิวหลั่ง กวงไต๋เหล่งก้ำ กวงสีอิมผ่อสัก ( กราบ )
นำโมฮู๊ก นำโมหวบ นำโมเจ็ง นำโมกิ้วโค่ว กิวหลั่ง กวงสี่อิมผ่อสัก ถั่งจี้ตอ โอม เกียล้อฮวดตอ เกียล้อฮวดตอ เกียคอฮวดตอ หล่อเกียฮวดตอ หล่อเกียฮวดตอ ซาผ่อออ เทียงหล่อซิ้ง ตี่หล่อซิ้ง นั้งหลี่หลั่ง หลั่งหลี่ซิง เจ๊กเฉียกใจ เอียงห่วยอุ่ยติ้ง นำมอ หม่อ ออปวกเยี๊ย ปอหล่อบิ๊ก ( กราบ )
คำแปล
นะโมบุญบารมีสูงส่ง ปกป้องคุ้มครองมนุษย์ปวงชน ด้วยบารมีองค์พระโพธิสัตว์ ( กราบ )
นะโมบุญบารมีสูงส่ง ปกป้องคุ้มครองมนุษย์ปวงชน ด้วยบารมีองค์พระโพธิสัตว์ ( กราบ )
นะโมบุญบารมีสูงส่ง ปกป้องคุ้มครองมนุษย์ปวงชน ด้วยบารมีองค์พระโพธิสัตว์ ( กราบ )
นะโมพุทธองค์บารมี นะโมบุญฤทธิ์บารมี นะโมศักดิ์สิทธิ์บารมี นะโมปลดทุกข์ ปราศจากภัยอันตรายทั้งปวง ด้วยบารมีองค์พระโพธิสัตว์ บุญบารมีอันศักดิ์สิทธิ์ ขอจงได้ประทานบารมี ขอจงได้ประทานบารมี ขอทูลซึ่งบารมี บารมีจงเวียนมา บารมีจงเวียนมา ให้บุญบันดาล ฟ้าคุ้มครอง ดินปกป้อง จงปลอดภัยปราศจากภัยอันตรายทั้งปวง หากมีเคราะห์ร้ายสิ่งใด ขอบุญนี้จงช่วยคุ้มครองให้หลุดพ้นจากภัยอันตรายทั้งปวง ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บตลอดกาล เทอญ ฯ


75
บทความ บทกวี / ถือศีล กินเจ....
« เมื่อ: 16 ต.ค. 2552, 08:34:32 »
เทศกาลเจ เริ่มขึ้นเมื่อประมาณ 400 ปีมาแล้วในประเทศจีน ตามตำนานระบุว่า เกิดขึ้นในสมัยที่ชาวจีนถูกแมนจูเข้ามาปกครอง และบังคับชนชาติจีนยอมรับวัฒนธรรมของตน

สมัยนั้นเองมีคนจีนกลุ่มหนึ่งรวมตัวกันต่อต้านแมนจู โดยใช้หลักทางธรรมเข้าร่วมด้วย

ชาวจีนกลุ่มนี้นุ่งขาว ห่มขาว และไม่รับประทานเนื้อสัตว์ ตามความเชื่อว่า การประพฤติปฏิบัติตามแนวทางนี้จะช่วยสร้างความเข้มแข็งให้กับตนเองได้

คนกลุ่มนี้เรียกตัวเองว่า "หงี่หั่วท้วง" แต่ท้ายที่สุดก็พ่ายแพ้ต่อแมนจู และพลีชีพไปจำนวนมาก

ทุกวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 9 ชาวจีนที่ยังอยู่ภายใต้การปกครองของแมนจู จึงพร้อมใจกันถือศีลกินเจ เพื่อรำลึกถึง "หงี่หั่วท้วง"

นอกจากนั้น การกินเจยังเชื่อกันว่าเพื่อเป็นการสักการะพระพุทธเจ้า 7 พระองค์ และพระมหาโพธิสัตว์อีก 2 พระองค์ รวมเป็น 9 พระองค์ หรือดาวนพเคราะห์ทั้ง 9

ในพิธีกรรมนี้งดเว้นการฆ่าสัตว์ ตัดชีวิต หันมาบำเพ็ญศีล โดยตั้งปณิธานการกินเจ งดเว้นอาหารคาว เพื่อสมาทานศีลคือ

1. เว้นจากการเอาชีวิตของสัตว์มาบำรุงชีวิตของตน
2. เว้นจากการเอาชีวิตของสัตว์มาเพิ่มเลือดของตน
3. เว้นจากการเอาชีวิตของสัตว์มาเพิ่มเนื้อของตน
เทศกาลกินเจของคนเชื้อสายจีนในไทยก็เป็นไปตามความเชื่อข้างต้น คือเพื่อสักการบูชาพระพุทธเจ้า และเจ้าแม่กวนอิมมหาโพธิสัตว์

ความหมายของธงเจ

อักษรแดง บนพื้นเหลือง เขียนว่า "ไจ" หรือ "เจ" มีความหมายว่า "ของไม่มีคาว"

สีแดงเป็นตัวแทนของความเป็นสิริมงคลในชีวิต ส่วนสีเหลืองเป็นสีของพุทธศาสนา หรือผู้ทรงศีล

ธงเจนอกจากเป็นสัญลักษณ์ของอาหารเจแล้ว ยังเตือนพุทธศาส นิกชนที่ปฏิบัติตน "ถือศีล-กินเจ" ตระหนักถึงการไม่เบียดเบียนชีวิตสัตว์ และการตั้งอยู่ในศีลตลอดช่วงระยะเวลา 9 วัน 9 คืน

การปฏิบัติตัวช่วงเทศกาลกินเจ

งดเว้นเนื้อสัตว์ หรือทำอันตรายต่อสัตว์
งด นม เนย หรือน้ำมันจากสัตว์
งดอาหารรสจัด หมายถึง อาหารรสเผ็ดมาก เค็มมาก หวานมาก เปรี้ยวมาก
งดผักกลิ่นฉุน 5 ชนิด คือ กระเทียม หัวหอม หลักเกียว กุยช่าย ใบยาสูบ รวมทั้งเครื่องเทศที่มีกลิ่นฉุน
รักษาศีล 5
รักษาจิตใจให้บริสุทธิ์ รักษาอารมณ์ให้คงที่
ทำบุญ ทำทาน บางคนที่เคร่งอาจนุ่งขาว ห่มขาว

"อาหารเจ" เป็นอาหารที่ปรุงขึ้นจากพืชผักธรรมชาติล้วนๆ ไม่มีเนื้อสัตว์ปน และที่สำคัญต้องไม่ปรุงด้วยผักฉุนทั้ง 5

ตามความเชื่อทางการแพทย์จีน ของผักเหล่านี้มีรสหนัก กลิ่นรุนแรง เป็นเหตุให้อวัยวะหลักสำคัญภายในทั้ง 5 ทำงานไม่ปกติ

สำหรับคนที่กินเจอย่างเคร่งครัด นอกจากจะ "ถือศีล-กินเจ" แล้ว ยังต้องเลือกผู้ปรุงอาหารเจที่กินเจด้วย เพื่อให้ "อาหารเจ" นั้นบริสุทธิ์จริงๆ

บางคนจะคัดแยกภาชนะบรรจุหรือปรุงอาหาร จากที่ใช้ใส่อาหารที่มีเนื้อสัตว์อย่างเด็ดขาด

และในบางแห่งอาจพบว่ามีการจุดตะเกียงเก้าดวงไว้เป็นเวลา 9 วันตลอดระยะเวลากินเจ เพื่อรำลึกถึงบุญคุณพ่อแม่ญาติพี่น้อง และเพื่อเป็นพุทธบูชา

การกินเจทำได้ 2 แบบ คือ
1.กินเป็นกิจวัตร คือ ละเว้นการกินเนื้อสัตว์ทั้ง 3 มื้อทุกวัน
2.กินเฉพาะช่วงกินเจ คือ กินเจช่วงวันขึ้น 1 ถึง 9 ค่ำ เดือน 9 ตามปฏิทินจีน
ส่วนจะปฏิบัติที่เคร่งครัดกว่า หรือเกินความคิดคำนึงพื้นฐานของคนทั่วไป เช่น ลุยไฟ ใช้เหล็กเสียบแทงตนเอง หรือม้าทรงต่างๆ ในเทศกาลกินเจที่ภูเก็ต หรือตรัง นั่นคือ ความเชื่ออันแรงกล้าทำให้เกิดสิ่งที่ตนคิดว่าเป็นไปได้เสมอ
ที่มา นสพ.ข่าวสด
สำหรับเทศกาลกินเจปีนี้อยู่ระหว่างวันที่ 18-26 ตุลาคม 2552

76
           ให้โยมทำจิตให้อยู่กับลมหายใจ หายใจออกยาวๆ สูดลมเข้ามายาวๆ หายใจออกไปยาวๆ แล้วก็ตั้งจิตขึ้นใหม่ แล้วก็กำหนดลมว่า พุทโธ พุทโธ โดยปกติถึงแม้ว่ามันจะเหนื่อยมากเท่าไร ก็ยิ่งกำหนดลมเข้าให้ละเอียด ละเอียดเข้าไปมากเท่านั้นทุกครั้ง เพื่ออะไรเพื่อจะต่อสู้กับเวทนาเมื่อมันกำลังเหน็ดเหนื่อยก็ให้โยมหยุดความคิดทั้งหลาย ให้โยมหยุดคิดอะไรๆ ทั้งปวงเสียให้เอาจิตมารวมอยู่ที่จิต แล้วเอาจิตให้รู้จักลมภาวนาพุทโธ พุทโธ ปล่อยวางข้างนอกให้หมด อย่าไปเกาะกับลูก อย่าไปเกาะกับหลาน อย่าไปเกาะกับสิ่งทั้งหลายทั้งปวงทั้งนั้นให้ปล่อย ให้เป็นอันเดียว รวมจิตลงที่อันเดียว ดูลม ให้กำหนดลมเอาจิตนั่นแหละไปรวมอยู่ที่ลม คือให้รู้ที่ลมในเวลานั้น ไม่ต้องไปรู้อะไรมากมายกำหนดให้จิตมันน้อยไปๆ ละเอียดไปๆ เรื่อยๆ ไปจนกว่าจะมีความรู้สึกน้อยๆ มันจะมีความตื่นอยู่ในใจมากที่สุด
            อันนี้เวทนาที่มันเกิดขึ้น มันจะค่อยๆ ระงับไปๆ ผลที่สุดเราก็ดูลมเหมือนกับญาติมาเยี่ยมเรา เราก็จะตามไปส่งญาติขึ้นรถลงเรือ เราก็ตามไปถึงท่าเรือ ไปถึงรถเราก็ส่งญาติเราขึ้นรถ เราก็ส่งญาติเราลงเรือ เขาก็ติดเครื่องเรือเครื่องรถไปลิ่วเท่านั้นแหละ เราก็มองไปเถอะเมื่อญาติเราไปแล้ว เราก็กลับบ้านเรา เราดูลมก็เหมือนกันฉันนั้น เมื่อลมมันหยาบเราก็รู้จัก เมื่อลมมันละเอียดเราก็รู้จัก เมื่อมันละเอียดไปเรื่อยๆ เราก็มองไปๆ ตามไปน้อมไปๆ ทำจิตให้มันตื่นขึ้น ทำลมให้มันละเอียดเข้าไปเรื่อยๆ ผลที่สุดแล้วลมหายใจมันน้อยลงๆ จนกว่าลมหายใจไม่มี มันก็จะมีแต่ความรู้สึกเท่านั้นตื่นอยู่
            นั้นก็เรียกว่า เราพบพระพุทธเจ้าแล้ว เรามีความรู้ตื่นอยู่ ที่เรียกว่า พุทโธ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ถ้าเป็นเช่นนั้นเราได้อยู่กับพระพุทธเจ้าแล้ว เราได้พบพระพุทธเจ้าแล้ว เราพบความรู้แล้ว เราพบความสว่างแล้ว มันไม่ส่งจิตใจไปทางอื่นแล้ว มันจะรวมอยู่ที่นั่น  นั้นเรียกว่า เข้าถึงพระพุทธเจ้าของเรา ถึงแม้ว่าท่านปรินิพพานไปแล้ว นั่นเรียกว่าพระพุทธรูป เป็นรูปกาย มีรูปแต่พระพุทธเจ้าอย่างแท้จริงนั้นก็คือ ความรู้อันสว่างไสว เบิกบานอย่างนี้ เมื่อพบเช่นนี้เราก็มีอันเดียวเท่านั้น ให้มารวมที่นี้ ฉะนั้นให้วาง วาางทั้งหมดเหลือแต่ความรู้อันเดียว แต่อย่าไปหลงนะ อย่าให้ลืม ถ้าเกิดนิมิตเป็นรูปเป็นเสียงอะไรมา ก็ให้ปล่อยวางทั้งหมด ไม่ต้องเอาอะไรทั้งนั้นแหละ ไม่ต้องเอาอะไร เอาแต่ความรู้สึกอันเดียวเท่านั้นแหละ ไม่ห่วงข้างหน้า ไม่ห่วงข้างหลัง หยุดอยู่กับที่ จนกว่าว่าเดินไปก็ไม่ใช่ ถอยกลับก็ไม่ใช่ หยุดอยู่ก็ไม่ใช่ ไม่มีที่ยึดไม่มีที่หมาย เพราะอะไรเพราะว่าไม่มีตัว ไม่มีตน ไม่มีเราและไม่มีของของเรา...หมด
นี้คือคำสอนของพระพุทธเจ้า สอนให้เราหมดอย่างนี้ ไม่ให้เราคว้าเอาอะไรไป ให้เรารู้อย่างนี้ รู้แล้วก็ปล่อย ก็วาง


หลวงพ่อชา สุภทฺโท
วัดหนองป่าพง ต.โนนผึ้ง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี

77
ธรรมะ / \\\\\ คู่ครอง /////
« เมื่อ: 04 ต.ค. 2552, 10:46:56 »
คนเราเดี๋ยวนี้ การเลือกคู่ครอง ตามยุคใหม่สมัยใหม่ เขาไม่ค่อยเลือก เจอเช้าได้เย็น เจอเย็นได้เช้า ไม่มีหลักคุณธรรมไร้เหตุผลมาก เมื่อสมัยก่อนนานมาแล้วนั้น ปู่ย่า ตายาย เข้าวัดมีหลักธรรม เลือกคู่ครองแสนจะยาก ก็ขอเจริญพรว่า การจะมีเย้ามีเรือน จะปลูกเรือน ตามใจผู้อยู่ ปลูกอู่ตามใจผู้นอน ก็จริง แต่ต้องมีหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เรียกว่าครองเรือนครองรัก จะเลือกตรงไหน คนเราส่วนมากก็ขอเจริญพร พี่น้องชาวพุทธศาสนิก เขาใจผิดกันเยอะ การจะมีครอบมีครัวนี้แสนจะยาก สำหรับคนมีคุณธรรมไม่ไร้คุณภาพ อันนี้ต้องพูดให้ยาวนิดหนึ่ง เพราะว่าบางคนเลือกไม่ดีเลย เอาแต่ความถูกใจ ความถูกต้องไม่มี คนเราจึงอยู่เย็นเป็นสุขไม่ได้ ในเมื่ออยู่เย็นเป็นสุขไม่ได้แล้ว หย่าร้างกันมากมาย หลากหลายกันด้วยไม่ดี ไร้คุณธรรม เพราะฉะนั้นการเลือกคู่ของคนโบราณนั้น เอาหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้ามาเป็นหลัก หลักการเลือกคู่นี้มีอยู่ ๖ ประการ
๑. รูปสวย
๒. รวยทรัพย์
๓. นับวิชา
๔. มีมารยาท
๕. เป็นชาติผู้ดี
๖. มีศีลธรรม
อันนี้เป็นวิชาเลือกคู่ ใครสอน พระพุทธเจ้าเป็นผู้สอน คำว่ารวยทรัพย์ ไม่ได้หมายความว่ามีเงินทอง หมายความว่า มีอริยทรัพย์ ทรัพย์ภายใน และมีทรัพย์ภายนอก นี่เขาเรียกรูปสวย รวยทรัพย์ รูปสวย เขาสวยด้วยอะไร สวยด้วยรูปธรรม สวยด้วยนามธรรม สวยนอกสวยใน สวยจิต สวยใจ รวยทรัพย์ คือ อริยทรัพย์ภายในมีไหม คุณสมบัติมีไหม และทรัพย์ภายนอกมีไหม มีวิชาไหม นับวิชาไหม มีวิชาความรู้ดี เป็นชาติผู้ดี ไหม มีมารยาท ชาติผู้ดี มีศีลธรรม ๖ ประการ อันนี้เป็นวิธีเลือกคู่ แต่ไม่ใช่หมายความว่าไปหาหมอดู เดี๋ยวนี้ขอเจริญพรแทนเหลือเกิน แม่ไม่ดี เอาวันเดือนปี ผู้ชาย เอาวันเดือนปี ผู้หญิง เอาไปดูตรงกันไหม วันได้เดือนถึง เป็นเนื้อคู่กัน แต่งงานกัน ผิดหวังน่าเสียดาย จุดมุ่งหมาย ข้อที่สอง จะดูตรงไหน ขอเจริญพร จิตใจเข้ากันได้ไหม นี่ข้อ ๒ นอกเหนือดูจาก ๖ ข้อ คุ้นเคยกันไหม รู้นิสัยใจคอกันไหม มีความรู้เสมอหน้าเสมอตากันไหม แล้วอัธยาศัย วิสัยทัศน์ กว้างไกลไหม มีมนุษยสัมพันธ์ หรือเปล่า และมีเมตตาหรือเปล่า และคนนั้นมีกตัญญูกตเวทิตาธรรม ต่อ คุณพ่อ คุณแม่ ไหม ถ้าหากอันนั้นเข้ากันได้ อาตมาคิดว่าอันนั้นแหละเป็นการเลือกคู่ ที่ถูกต้อง แล้วการเป็นเนื้อคู่ที่ถูกต้อง การจะฝังหลักปลูกเรือนเสนจะยาก ต้องหลายอย่างหลายประการถึงจะมีความสุข นี่อาตมาพูดเป็นตอนแรกก่อน ว่าเลือกคู่ต้องมี ๖ ประการ ข้อ ๒ ต้องจิตใจเข้ากันได้ มีความรู้เทียมกัน อัธยาศัยคล้ายคลึงกัน และเกรดเดียวกัน สเปคเดียวกัน นี่เลือกอันนี้ก่อน คนเรานี่ เลือกคู่แล้ว จะอยู่เย็นเป็นสุข ต้องมีเรือนนอก เรือนใน เรือนใจ อันนี้เป็นข้อต่อไป ไม่ใช่เอาอันนี้เป็นข้อแรก การเลือกคู่นะ มี ๖ ประการ และ ข้อ ๒ จิตใจเข้ากันได้ ไหม และข้อต่อไป ปลูกเรือนแล้ว จะอยู่เย็นเป็นสุขหรือไม่ เป็นข้อต่อไป



78
ธรรมะ / ทะเลาะ............
« เมื่อ: 01 ต.ค. 2552, 01:44:51 »
  สมัยหนึ่งอาตมาไปบริหารพระ ๓-๔ องค์ ไปอยู่ในป่า ไฟไม่ค่อยจะมี เพราะอยู่บ้านป่า องค์หนึ่งก็ได้หนังสือธรรมะมาอ่าน อ่านอยู่ที่หน้าพระประธาน ที่ทำวัตรกัน อ่านอยู่ก็ทิ้งตรงนั้นแล้วก็หนีไป ไฟไมมีมันก็มืด พระองค์มาทีหลังก็มาเหยียบหนังสือ จับหนังสือขึ้นมาก็โวยวายขึ้นว่า "พระองค์ไหนนไม่มีสติ ทำไมไม่รู้จักที่เก็บหนังสือ" สอบสวนถามก็ไปถึงพระองค์นั้น พระองค์นั้นก็รับปากว่า "ผมเอาหนังสือเล่มนี้ไว้ที่นี่" "ทำไมท่านไม่รู้จักที่เก็บหนังสือ ผมเดินมาผมเหยียบหนังสือนี้" "โอ...อันนั้นเป็นเพราะท่านไม่สำรวมต่างหากเล่า" เห็นไหมมันมีเหตุผลอย่างนั้น จึงเถียงกัน องค์นั้นบอกว่า "เพราะท่านไม่เอาไปไว้ในที่เก็บ ท่านไม่รู้จักเก็บหนังสือ ท่านจึงไว้อย่างนี้" องค์นี้บอกว่า "เป็นเพราะท่านไม่สำรวม ถ้าท่านสำรวมแล้ว คงไม่เดินเหยียบหนังสือเล่มนี้" มีเหตุผลว่าอย่างนั้น มันก็เกิดเรื่องทะเลาะกัน ทะเลาะกันไม่จบ ด้วยเรื่องเหตุผล
   เรื่องธรรมะที่แท้จริงนั้น ต้องทิ้งเหตุทิ้งผล คือธรรมะมันสูงกว่านั้น ธรรมะที่พระพุทธองค์ท่านตรัสรู้ ระงับกิเลสทั้งหลายได้นั้นมันอยู่นอกเหตุเหนือผล ไม่อยู่ในเหตุ อยู่เหนือผล ทุกข์มันจึงไม่มีสุขมันจึงไม่มี ธรรมนั้นท่านเรียกว่าระงับ ระงับเหตุ ระงับผล ถ้าพวกใช้เหตุผลอยู่อย่างนี้ เถียงกันตลอดจนตายเหมือนพระสององค์นั้น


ธรรมที่พระพุทธองค์ท่านตรัสรู้
" ต้องอยู่นอกเหตุเหนือผล นอกสุขเหนือทุกข์ นอกเกิดเหนือตาย "




ป.ล บางส่วนบางตอนจากธรรมะเรื่องการปล่อยวาง
หลวงพ่อชา สุภทฺโท
วัดหนองป่าพง ต.โนนผึ้ง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี

79
ธรรมะ / >>>แมว<<<
« เมื่อ: 29 ก.ย. 2552, 06:38:29 »
แมว  

กิเลสนี่เหมือนแมว ถ้าให้กินตามใจ มันก็ยิ่งมาเรื่อย ๆ 
แต่มีวันหนึ่ง มันข่วนนะถ้าเราไม่ให้อาหารมัน 
 
ไม่ต้องให้อาหารมัน มันจะมาร้องแงว ๆ อยู่ เราไม่ให้อาหารมันสักวัน หนึ่ง สองวัน เท่านั้นก็ไม่เห็นมันมาแล้ว 
เหมือนกันแหละ กิเลสไม่มากวนเรา เราก็จะได้สงบใจต่อไป




หลวงพ่อชา สุภทฺโท
วัดหนองป่าพง ต.โนนผึ้ง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี

80
ความจริง พระพุทธเจ้าท่านทรงบอกทรงสอนไว้หมดทุกอย่างแล้ว เรื่องศีลก็ดี สมาธิก็ดี ปัญญาก็ดีตลอดจนข้อประพฤติปฏิบัติทุกประการก็ทรงพร่ำสอนไว้หมดทุกอย่าง เราไม่ต้องไปคิด ไปบัญญัติอะไรอีกแล้วเพียงให้ทำตามในสิ่งที่ท่านทรงสอนไว้เท่านั้น นับว่าพวกเราเป็นผู้มีบุญ มีโชคอย่างยิ่ง ที่ได้มาพบหนทางที่ท่านทรงแนะทรงบอกไว้แล้ว คล้ายกับว่าพระพุทธเจ้าท่านทรงสร้างสวนผลไม้ที่อุดมสมบูรณ์พร้อมไว้ให้เรา แล้วก็เชิญให้พวกเราทั้งหลายไปกินผลไม้ในสวนนั้น โดยที่เราไม่ต้องออกแรงทำอะไรในสวนนั้นเลย เช่นเดียวกับคำสอนในทางธรรม ที่พระองค์ทรงสอนหมดแล้ว ยังขาดแต่บุคคลที่จะมีศรัทธาเข้าไปประพฤติปฏิบัติเท่านั้น

ฉะนั้น พวกเราทั้งหลายจึงเป็นผู้ที่มีโชคมีบุญมากเพราะเมื่อมองไปที่สัตว์ทั้งหลายแล้ว จะเห็นว่าสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น เช่น วัว ควาย หมู หมา เป็นต้น เป็นสัตว์ที่อาภัพมาก เพราะไม่มีโอกาสที่จะเรียนธรรม ไม่มีโอกาสที่จะปฏิบัติธรรม ไม่มีโอกาสที่จะรู้ธรรม ฉะนั้นก็หมดโอกาสที่จะพ้นทุกข์ จึงเรียกว่าเป็นสัตว์ที่อาภัพ เป็นสัตว์ที่ต้องเสวยกรรมอยู่

ด้วยเหตุนี้ มนุษย์ทั้งหลายจึงไม่ควรทำตัวให้เป็นมนุษย์ที่อาภัพ คือไม่มีข้อประพฤติ ไม่มีข้อปฏิบัติ อย่าให้เป็นคนอาภัพ คือ คนหมดหวังจากมรรค ผลนิพพาน หมดหวังจากคุณงามความดี อย่าไปคิดว่าเราหมดหวังเสียแล้ว ถ้าคิดอย่างนั้น จะเป็นคนอาภัพเหมือนสัตว์เดรัจฉานทั้งหลาย คือไม่อยู่ในข่ายของพระพุทธเจ้า

ฉะนั้น เมื่อมนุษย์เป็นผู้มีบุญวาสนาบารมีเช่นนี้แล้ว จึงควรที่จะปรับปรุงความรู้ ความเข้าใจ ความเห็นของตนให้อยู่ในธรรม จะได้รู้ธรรม เห็นธรรม ในชาติกำเนิดที่เป็นมนุษย์นี้ ให้สมกับที่เกิดมาเป็นสัตว์ที่ควรตรัสรู้ธรรมได้




หลวงพ่อชา สุภทฺโท
วัดหนองป่าพง ต.โนนผึ้ง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี

81
ธรรมะ / ความสุข
« เมื่อ: 21 ก.ย. 2552, 07:44:20 »
ความสุขเกิดจากอบายมุขเล่นการพนัน   หาความสนุกในสังคมและการดื่มสุรายาเมา    เพราะความสุขประเภท
นี้มันเจือปนด้วยความทุกข์    ไม่ใช่ความสุขที่แน่นอนและแท้จริง    เป็นความสุขที่ได้ชั่วคราว   บางคนติดสุรา
ยาเมา    ถึงเวลาต้องบ่ายหน้าไปเข้าในวงสุรา   ถือว่าเป็นความสุขของเขาเพราะเขาคิดว่าความสุขที่แท้จริง
จากการดื่มสุรายาเมา    ก็ถูกต้องของเขา   แต่ถ้าพิจารณาโดยปัญญาแล้ว   จะพบว่ามีแต่การเพิ่มทุกข์
หาความสุขที่แท้จริงไม่ได้   กลับไปเจอความสุขที่เจือปนด้วยความทุกข์
     สุขที่แท้จริงจะได้จากการที่เรามาบำเพ็ญกุศลเจริญภาวนาทำใจให้สบาย    ชำระใจให้สะอาด   
ตั้งสติสัมปชัญญะไว้ที่จิต    บางคนก็น่าเสียดาย   คนโง่ชอบเอาจิตไว้ที่ปาก   นึกจะพูดก็พูดมาก   พูดอะไร
ไม่มีเหตุไม่มีผล    ส่วนคนฉลาดชอบเอาสติไว้ที่ใจ    กำหนดจิตเจริญพระกรรมฐาน   เป็นการพัฒนาจิตใจ
เป็นบัณฑิตผู้มีความฉลาด   สามารถแก้ปัญหา   จึงจะรู้ว่าความทุกข์เป็นประการใด    ท่านจะรู้ว่าความสุขที่
ผ่านมาแล้ว    มันเจือปนด้วยความทุกข์นานาประการ    หาความสุขที่แท้แน่นอนไม่ได้



82
เช้าวันอาทิตย์ ผมตื่นแต่เช้าเช่นเคย(เพราะที่บ้านมีนาฬิกาปลุกส่วนตัว ที่ทำงานเที่ยงตรง ไม่มีวันหยุด ไม่รู้จักวันอาทิตย์) ทุกๆวันต้องรีบตื่นเพราะเจ้าสี่ขาที่บ้าน6ตัวจะพร้อมใจกันเห่าเมื่อถึงเวลา ฝนตกปรอยๆผมเลยไม่ปลุกแฟนและลูกตื่นให้ไปออกกำลังกาย ผมเลยทำหน้าที่ไปตลาดซื้อกับข้าว และ ใส่บาตร (ขอบคุณเอ๊กซ์และtum72ที่วันเสาร์มาโพสเรื่องใส่บาตร ทำให้ผมคิดได้ว่า ผมใส่บาตรน้อยไปแล้ว) ตอนแรกแฟนตั้งใจจะไปวัดปากน้ำเพื่อถวายเพล แต่เมื่อวานกิจกรรมครอบครัว(อาบน้ำหมา)กินเวลาจนไปวัดไม่ทัน ผมเลยเปลี่ยนแผนพาครอบครัวไปราชบุรี ขับรถไม่นานก็ถึงจุดหมาย อุทยานขี้ผึ้งสยาม

83
ธรรมะ / ความพอดี
« เมื่อ: 18 ก.ย. 2552, 01:09:59 »
ความพอดี

 
"มะม่วงมันอยู่สูงห้าเมตร

เราอยากได้

เอาไม้สิบเมตรมาสอย

ไม่ได้ ... มันยาวเกินไป

เอาไม้สองเมตร มาสอยมะม่วงห้าเมตร

มันก็ไม่ได้ ไม่พอดี มันสั้นเกินไป

เราอย่าเข้าใจว่า คนจบดอกเตอร์มาปฏิบัติ

สบายเหลือเกิน เพราะเรียนรู้มาพอแล้ว

อย่าเข้าใจอย่างนั้น

ดอกเตอร์มันยาวเกินไป ... ก็ได้"


 

ดี...ให้พอดี

บางคนนั่งสมาธิกัดฟันจนเหงื่อไหล...ความสงบไม่ได้อยู่ตรงนั้น ความสงบอยู่ที่ความพอดี ดีเกินไปก็ไม่สงบ เพราะดีเกินครู มันไม่พอดี ต้องดีให้พอดี ถ้าดีเกินดี มันไม่ดีหรอก จิตจะวิ่งวุ่นตลอดเวลา การฝึกสมาธิหรือการทำกรรมฐานนี้ เรื่องสำคัญอยู่ที่อารมณ์ จิตเรามีอารมณ์หลายๆอย่าง แต่เราต้องฝึกให้จิตมีอารมณ์เดียวเช่นเราจะดูลมหายใจเข้า-ออก ก็ใช้การเฝ้าดูลมนี้เป็นอารมณ์ให้จิตระลึกอยู่อย่างเดียว

หลวงพ่อชา สุภทฺโท
วัดหนองป่าพง ต.โนนผึ้ง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี



84
ธรรมะ / ไม้ท่อนหนึ่ง...
« เมื่อ: 15 ก.ย. 2552, 09:47:09 »
ดูไม้ท่อนนี้ซิ..... สั้นหรือยาว
สมมติว่า คุณอยากได้ไม้ที่ยาวกว่านี้..... ไม้ท่อนนี้มันก็สั้น
แต่ถ้าคุณอยากได้ไม้สั้นกว่านี้..... ไม้ท่อนนี้มันก็ยาว
หมายความว่า “ตัณหา” ของคุณต่างหาก
ที่ทำให้มีสั้น มียาว มีชั่ว มีทุกข์ มีสุข ขึ้นมา


หลวงพ่อชา สุภทฺโท
วัดหนองป่าพง ต.โนนผึ้ง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี

85


ผมมีข้อสงสัยอยู่อย่างครับว่ารูปด้านบน เป็นรูปของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี)หรือเปล่า เพราะตอนนี้ไปที่ไหนรูปก็จะเป็นรูปนี้กันหมด แต่ที่ผมเห็นในหนังสือสวดมนต์รูปของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี)จะเป็นรูปนี้



ซึ่งผมดูอย่างไรก็ไม่น่าจะไม่เหมือนรูปที่ใช้กันในปัจจุบันครับ อีกรูปจากการปั้นหุ่นขี้ผึ้ง ของอุทยานหุ่นขี้ผึ้งสยามครับ


ใครพอทราบข้อเท็จจริงอย่างไร ไขข้อข้องใจให้ด้วยน่ะครับ และถ้ารูปที่ใช้กันแพร่หลายในปัจจุบันไม่ใช่รูปที่ถูกต้องก็เป็นที่น่าห่วงน่ะครับ เพราะมีผู้คนมากมายใส่กรอบไปบูชามากมายครับ หรือถ้าใช่ทำไมดูยังไงก็ไม่เหมือนครับ ขอความคิดเห็นด้วยครับ

86
    จงรู้จักธรรมะข้อที่ว่า ทุกขตา ซึ่งแปลว่า ความเป็นทุกข์ จงจำไว้ว่า

     ชีวิตของคนเรานั้นล้วนแล้วแต่มีความทุกข์ด้วยกันทั้งนั้น ลักษณะ

     ของความทุกข์นั้นได้แก่ ความเกิด ความแก่ ความตาย

     ความเศร้าโศก ความอาลัย อาวรณ์ ความไม่สบายกาย

     ความไม่สบายใจ ความคับแค้นใจ ความที่ได้รับสิ่งที่ไม่น่า

     ปรารถนา ความพลัดพราก จากคนรักหรือของรัก และความ

     ผิดหวัง เหล่านี้แหละคือ ความทุกข์ที่คนทุกชาติทุกภาษา

     ในโลกนี้กำลังประสพอยู่



     ท่านจะต้องรู้ความจริงด้วยว่า ปัญหาหลายๆอย่างท่านไม่สามารถ

     จะแก้ไขมันได้ เพราะมันเป็นสิ่งที่แก้ไขไม่ได้ตามสภาวะแวดล้อม

     ของมัน แต่หน้าที่ของท่านคือ ท่านจะต้องพยายามหาวิธีทำกับมัน

     ให้ดีที่สุด โดยคิดว่า ท่านทำได้ดีที่สุดเพียงเท่านี้ ผลจะเกิดขึ้นอย่างไร

     ช่างมัน ปัญหามันจะหมดไปหรือไม่ก็ช่างมัน ท่านจะได้หรือจะเสีย

     ก็ช่างมัน ท่านทำหน้าที่ของท่านได้ดีที่สุดแล้ว ท่านก็ถูกต้องแล้ว

     เรื่องจะดีร้ายได้เสียมันก็ไม่ใช่เรื่องของท่าน



     จงจำไว้ว่า ปัญหาอันยิ่งใหญ่ในชีวิตของท่านก็คือ ความทุกข์

     ความกลัดกลุ้มใจ และความทุกข์นั้นก็จะไม่หมดไปได้เพราะ

     การไหว้วอนบวงสรวงสิ่งศักดิ์ต่างๆ แต่มันจะหมดไปจากใจของท่านได้

     ถ้าท่านมีปัญญารู้เท่าทันตามเป็นจริงในสิ่งที่ทำให้ท่านเป็นทุกข์


****จาก105ข้อ คู่มือปฎิบัติธรรม(ฉบับโอสถ)




87
2 แบ่งเวลาในแต่ละวันให้พอเหมาะพอดีแก่สภาพชีวิตของตน
มีเวลาทำงานเพียงพอ มีเวลาพักผ่อนเพลิดเพลินในครอบครัวตามสมควร
สำหรับผู้เป็นฆราวาส และมีเวลาฝึกสมาธิเพื่อทำจิตให้สงบ
 


48 จงอย่าคิดว่า ฉันปฎิบัติไม่ได้
ฉันไม่มีกำลังใจที่จะปฎิบัติควบคุมจิตตัวเอง
อย่าคิดอย่างนั้นเป็นอันขาด
เพราะความคิดอย่างนั้นมันเป็นการดูหมิ่นตัวเอง
เป็นการตีค่าตัวเองต่ำเกินไป ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง



78 การปฎิบัติธรรมที่แท้จริง ไม่ใช่เรื่องลึกลับมหัศจรรย์
ที่ทำไปเพื่อติดต่อพบปะกับดวงวิญญาณต่างๆ ไม่ใช่อย่างนั้น
แต่การปฎิบัติธรรมที่แท้ เป็นเรื่องของการฝึกจิตให้สงบและฉลาด
ให้จิตมั่นคงและปล่อยวาง ความทุกข์จะหมดไปด้วยการปฎิบัติอย่างนี้เท่านั้น


ที่มา บางส่วนจาก105ข้อ หนังสือ คู่มือปฎิบัติธรรม(ฉบับโอสถ)

88
สมัยนี้ ชาวพุทธ เอาแต่ไหว้
พอบอกให้ ประพฤติธรรม รีบจ้ำหนี
อ้างโน้นนี่ จิปาถะ ประดามี
พุทธทั้งที ควรมีดี กว่านี้เอย


*จากหนังสือแก่นธรรม หน้า25


89
วันนี้ตื่นแต่เช้าเพราะมีนัดกับครอบครัวไปไหว้พระกันที่อยุธยา เริ่มเดินทางตั้งแต่7.30น.ถึงอยุธยา8.30 ตอนขับรถไปก็ทบทวนว่าถ้าเป็นเมื่อก่อนคงจะยากที่จะพร้อมแต่เช้า เพราะคืนวันเสาร์ผมมักมีนัดดื่มกับเพื่อนๆเสมอ ทำให้เช้าวันอาทิตย์ผมมักจะตื่นมาแบบไม่เต็มร้อย ส่วนใหญ่ก็ราวๆ80เปอร์เซ็นต์ หรือถ้าดื่มหนักๆวันอาทิตย์จะเสียไปทั้งวันเลยครับ กว่าจะฟื้นก็เย็นๆแล้วครับ แต่เดี๋ยวนี้เช้าวันอาทิตย์แปดโมงกว่าๆผมก็ได้ไปกราบพระนเรศวรที่วัดใหญ่ชัยมงคลแล้วครับ


90
เมื่ออาทิตย์ที่แล้วต้องไปติดต่องานที่ม.บูรพาขากลับเลยไปไหว้เจ้าที่ ศาลเจ้าหน่าจาซาไท้จื้อ อยู่เขาสามมุก ถ้ามาจากบางแสนก็มาทางไปอ่างศิลาครับ



สถานที่มีความสวยงาม ยิ่งใหญ่ แบบถ้าเพื่อนๆแวะไปแถวนั้น ก็ไปกราบขอพรกันได้น่ะครับ





91
เมื่อวานได้ไปหาลูกค้าเพื่อทำธุระสำคัญ(เก็บเช็คสำคัญสุดในยุคนี้ครับ)หลังจากทำธุระเสร็จก็ตั้งใจจะไปวัดสังฆทาน เพราะปกติเวลาอยู่ในรถจะฟัง89.5คลื่นสังฆทานธรรมเป็นประจำ ตั้งใจว่าจะไปที่วัดสังฆทานหลายครั้งแล้วแต่หาวัดไม่เจอสักที รู้อยู่ว่าอยู่ตรงสะพานพระราม5แต่หาไม่เจอ วันนี้เลยใช้เจ้าGPSนำทางเสียเลยครับ พอไปถึงซอยวัดแล้วนึกโมโหตัวเองเลยครับ เพราะซอยนี้เคยเข้าๆออกหลายครั้งแล้วครับ เพราะในซอยนี้มีร้านอาหาร บรรยากาศดีริมคลอง อาหารอร่อย แถมค่ำๆมีดนตรีบรรเลงเพลงสากลเก่าๆกับเพลงไทยฟังสบายๆ แบบว่าร้านนี้เหมาะมากที่ทำผิดศีล5ครับ เมื่อก่อนขับเข้าออกก็รู้ว่ามีวัดแต่ไม่เคยสังเกต แย่จริงๆเลยตัวเรา พอขับไปถึงวัด มีระบบรักษาความปลอดภัยที่ดีมากครับ มีแลกบัตรตอนจอดรถด้วยครับ ทำให้ผู้มาปฏิบัติธรรมไม่ต้องกังวลใจเกี่ยวกับรถเลยครับ จากนั้นพอเข้าเขตวัดผมก็ไปสอบถามซีดีธรรมะครับ เพราะปกติฟังจากรายการวิทยุเลยคิดว่าจะซื้อไว้ฟังครับ ร้านซีดีอยู่ชั้นใต้ดิน มีซีดีมากมายครับ มีแบบทั้งเป็นMP3ราคา69และAUDIO CDราคา59  ผมหาซีดีหลวงพ่อชาก่อนเป็นอันดับแรกเป็นเอ็มพี3ครับ มีทั้งหมด8แผ่นครับ ผมก็อ่านเนื้อหาแต่ละแผ่นเพื่อเปรียบเทียบกับของเดิมที่ผมมี2แผ่น ก็มีเนื้อหาซ้ำกันบ้าง แต่แม่ชีบอกว่าเป็นเสียงหลวงพ่อชา ผมเลยเลือกทั้ง8แผ่นเลยครับ(เพราะของที่ผมมีเป็นเสียงของคนที่มาอ่านอีกทีครับ) การซื้อที่นี่พอซื้อเสร็จก็เอาเงินหยอดตู้ทำบุญเลยครับ ใจตอนแรกก็กะจะซื้อแค่2แผ่นก่อน แต่คิดไปคิดมาซื้อไปทีเดียวเลย เพราะคิดว่าเงิน600ที่ซื้อซีดีไป ถ้าผมนำไปฟังแล้วทำความเข้าใจแล้วนำไปปฎิบัติในชีวิต อาจจะทำให้ชีวิตผมอยู่อย่างสุขสบายไปชั่วชีวิต ถือว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ามากครับ และตั้งใจว่าครั้งหน้าจะมาหาของพระอาจารย์สนองไปฟังครับ เพราะเคยฟังในวิทยุทั้งเนื้อหาและน้ำเสียงของท่าน ผมฟังแล้วชอบมากๆครับ พอซื้อเสร็จผมก็ขึ้นไปในอุโบสถแก้ว ภายในบรรจุพระสารีรกธาตุ และพระธาตุอัฐฐิครูบาอาจารย์สายหลวงปู่มั่น ผมดีใจมากที่ได้กราบพระธาตุอัฐิของหลวงปู่ชา  เพราะโดยส่วนตัวนับถือท่านมากครับ แม้ไม่เคยได้พบท่านและไม่เคยไปวัดหนองป่าพง เคยแต่อ่านหนังสือท่าน ฟังซีดีท่านแค่นั้น แต่ท่านก็ทำให้ผมเปลี่ยนแปลงอะไรในชีวิตให้ดีขึ้นกว่าเดิมโดยเฉพาะเปลี่ยนแนวคิดผมได้หลายอย่าง คำสอนของหลวงปู่ชาไม่ซับซ้อน ง่ายต่อการทำความเข้าใจ ประยุกต์ใช้ได้ในชีวิตประจำวัน มองดูนาฬิกาเที่ยงนิดๆเป็นเวลาที่ดีเพราะเป็นช่วงพักคงไม่มีใครโทรหา เลยนั่งสมาธิต่อหน้าอัฐิท่าน แต่นั่งได้ไม่นานลูกค้าก็โทรมาตามงาน เลยต้องลากลับไปปฎิบัติหน้าที่การงานต่อไปครับ เพราะเป้าหมายชีวิตคือดำรงค์ชีวิตอยู่ได้ทั้งทางโลกและทางธรรม


92
การเดินภาวนา     

การเดินจงกรมจะใช้สติพิจารณารู้อาการที่ปรากฏทางกายเป็น 6 ระยะดังนี้

1. การเดินจงกรม 1 ระยะ กำหนดรู้ ขวาย่างหนอ-ซ้ายย่างหนอ

        เดินจงกรม 1 ระยะ ขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ ให้ตั้งสติกำหนด ยกเท้าขึ้นเหนือระดับพื้นเสมอตาตุ่มแล้วก้าวเท้าขวาช้า ๆ พอประมาณ โดยกำหนดในใจตามไปพร้อมกับเท้าที่ก้าวไปให้ได้ปัจจุบัน อย่าก้าวไปก่อนแล้วกำหนดตามทีหลัง และอย่ากำหนดก่อนโดยที่ยังมิได้ยกเท้าขึ้น เช่น เดินจงกรม 1 ระยะ ขณะที่เท้าขวาก้าวไป จนวางเท้าลงกับพื้น ก็ให้กำหนดในในแต่แรกเริ่มยกเท้า ไปกับคำว่า ?ขวาย่างหนอ? พอเท้าเหยียบลงถึงพื้นก็ให้ทันกับคำว่า ?หนอ? พอดี
        และขณะที่ยกเท้าซ้ายก้าวไปจนวางเท้าลงกับพื้นก็ให้กำหนดในใจว่า ?ซ้ายย่างหนอ? พอเท้าลงถึงพื้นก็ให้ทันกับคำว่า ?หนอ? พอดี เช่นเดียวกับเท้าขวา ทำอย่างนี้ทุกครั้งและทุกก้าว เรียกว่าจงกรม 1 ระยะ
        เมื่อเดินไปถึงที่สุด้านใดด้านหนึ่งแล้ว ให้หยุดยืนสองเท้าวางชิดกัน แล้วกำหนดในใจช้า ๆ ว่า ?หยุดหนอ หยุดหนอ หยุดหนอ? เมื่อรูปยืนปรากฏขึ้นก็ให้กำหนดในใจว่า ?ยืนหนอ ยืนหนอ ยืนหนอ? เมื่อจะกลับก็ให้หันตัวมาทางขวา และยกเท้าขวาแยกมาตั้งเป็นมุมฉาก พร้อมกับกำหนดในใจว่า ?กลับหนอ? แล้วยกเท้าซ้ายตามมาวางชิดกันกับเท้าขวา พร้อมกับกำหนดใจใจว่า ?กลับหนอ?
        ขั้นที่ 2 ก็ปฏิบัติเช่นเดียวกันกับครั้งที่ 1 คือ หมุนเท้าขวาแยกมาตั้งเป็นมุมฉาก พร้อมกับกำหนดในใจว่า ?กลับหนอ? แล้วยกเท้าซ้ายตามมาวางชิดกับเท้าขวาพร้อมกับกำหนดในใจว่า ?กลับหนอ? เมื่อรูปยืนปรากฏขึ้น ก็กำหนดว่า ?ยืนหนอ ยืนหนอ ยืนหนอ? แล้วจงเดิน พร้อมกับกำหนดว่า ?ขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ? ต่อไป

        การเดินจงกรมและการกำหนดรู้ตัวอยู่เสมอ ดังนี้ เป็นการฝึกปฏิบัติกรรมฐานในอิริยาบถบัพพะ ที่ว่า
        ?คจฺฉนฺโต  วา  คจฺฉามีติ  ปชานาติ เมื่อเดินอยู่ก็ให้กำหนดรู้ว่าเดินอยู่
        ฐิโต  วา ฐิโตมหิติ  ปชานาติ เมื่อยื่นอยู่ก็ให้กำหนดรู้ว่ายืนอยู่?
        และการเดินจงกรมไปยืนอยู่กับกลับ พร้อมกับกำหนดรู้ตัวอยู่เสมอ ๆ เป็นการฝึกปฏิบัติกรรมฐานในหมวดสัมปชัญญะบัพพะ ที่ว่า
?อภิกฺกนฺเต  ปฏกฺกนฺเต  สมฺปชานการี  โหติ เป็นผู้ทำความรู้ตัวอยู่เสมอในการก้าวไปข้างหน้าในการถอวไปข้างหลัง?
        ตลอดเวลาที่เดินจงกรม 1 ระยะ นี้ วิปัสสนาจารย์ จะสอนให้โยคีนั่งสมาธิกำหนดอาการพอง - ยุบ สลับกันไปด้วย


เดินจงกรม 2 ระยะ ยกหนอ เหยียบหนอ  
       โยคีพึงยืนชิดเท้าทั้งสองให้ปลายเท้าเสมอกัน แล้วตั้วตัวให้ศีรษะตรง และกำหนดในใจว่า ?ยืนหนอ ยืนหนอ ยืนหนอ? ตั้งสติกำหนดและกดเท้าซ้ายมั่นไว้ แล้วยกเท้าขวาขึ้นช้า ๆ ควบไปกับการยื่นเท้าไปข้างหน้า กำหนดในใจว่า ?ยกหนอ? แล้วก้าวไปวางเท้าลงกับพื้นพร้อมกับกำหนดใจในว่า ?เหยียบหนอ ดังนี้เรียกว่า เดินจงกรม 2 ระยะ
        นอกนั้นคงปฏิบัติเหมือนการเดินจงกรม 1 ระยะ ทุกประการ


เดินจงกรม 3 ระยะ ยกหนอ ย่างหนอ เหยียบหนอ
       การเดินจงกรม 3 ระยะ ก็ไม่ผิดแผกแตกต่างกับการเดินจงกรมดังที่กล่าวมาข้างต้น จะต่างกันก็แต่ว่า ขณะยกเท้าขึ้นก็ให้กำหนดในใจ ไปพร้อมกับการเคลื่อนไหวของเท้าว่า ?ยกหนอ? ขณะที่ยกเท้าขึ้นจากพื้นเสมอตาตุ่ม เท้าเคลื่อนไปข้างหน้านั้นกำหนดว่า ?ย่างหนอ? ขณะทั้งลงเหยียบราบกับพื้นกำหนดว่า ?ย่างหนอ? ขณะเท้าลงเหยียบรมกับพื้นให้กำหนดว่า ?เหยียบหนอ? ในการเดินจงกรม 3 ระยะ นี้
        ระยะที่ 1 ให้ยกเท้าขึ้นตรง ๆ ไม่ใช้เผยอส้นเท้าก่อน แล้วจึงยกเท้า เพราะจะเหมือนกับกการเดินจงกรม 4 ระยะ ที่จะกล่าวต่อไป


เดินจงกรม 4 ระยะ ยกส้นหนอ ยกหนอ ย่างหนอ เหยียบหนอ

        1. ให้เผยอส้นขึ้นพร้อมกับกำหนดในใจว่า ?ยกส้นหนอ?
        2. ขณะยกเท้าขึ้นจาพื้นให้กำหนดในใจว่า ?ยกหนอ?
        3. ขณะที่ยื่นเท้าไปข้างหน้าให้กำหนดในใจว่า ?ย่างหนอ?
        4. ขณะที่เท้าเหยียบราบกับพื้นให้กำหนดว่า ?เหยียบหนอ?
        จะเห็นได้ว่าไม่ต่างกับเดินจงกรม 3 ระยะ เพียงแต่เพิ่มระยะ 1 โดยเผยอส้นขึ้นก่อน พร้อมกับกำหนดใจในว่า ?ยกส้นหนอ? แล้วจึงยกเท้าขึ้นจากพื้น เช่นเดียวกับการเดิน 3 ระยะ


เดินจงกรม 5 ระยะ ยกส้นหนอ ยกหนอ ย่างหนอ ลงหนอ ถูกหนอ
   
     1. ให้เผยอส้นขึ้นพร้อมกับกำหนดในใจว่า ?ยกส้นหนอ?
         2. ขณะยกเท้าขึ้นจากพื้อนให้กำหนดในใจว่า ?ยกหนอ?
        3. ขณะที่เคลื่อนเท้าไปข้างหน้าให้กำหนดในใจว่า ?ย่างหนอ?
        4. ขณะที่ลดเท้าลงต่ำแต่ยังไม่ถึงพื้น ให้กำหนดว่า ?ลงหนอ?
        5. ขณะที่ปลายเท้าแตะพื้นกำหนดว่า ?ถูก? จนส้นเท้าสัมผัสพื้นกำหนด ?หนอ?


เดินจงกรม 6 ระยะ ยกส้นหนอ ยกหนอ ย่างหนอ ลงหนอ ถูกหนอ กดหนอ
 
      1. ให้เผยอส้นเท้าขึ้นแล้วกำหนดในใจว่า ?ยกส้นหนอ?
        2. ขณะยกเท้าขึ้นพ้นจากพื้นให้กำหนดในใจว่า ?ยกหนอ?
        3. ขณะที่เคลื่อนเท้าไปข้างหน้าให้กำหนดในใจว่า ?ย่างหนอ?
        4. ขณะที่ลดเท้าลงต่ำแต่ยังไม่ถึงพื้นให้กำหนดในใจว่า ?ลงหนอ?
        5. ขณะที่ปลายเท้าแตะกับพื้นให้กำหนดในใจว่า ?ถูกหนอ?
        6. ขณะที่ส้นเท้ากดลงกับพื้นให้กำหนดในใจว่า ?กดหนอ?


ข้อที่ควรสังเกต
       1. เมื่อโยคีเดินจงกรมในระยะใดได้ผลดี เมื่อพระวิปัสสนาจารย์ได้ตรวจสอบอารมณ์แล้วเห็นว่าโยคีปฏิบัติได้ผลเป็นที่พอใจ ก็จะสอนให้เดินไปจนถึง 6 ระยะ โยคีผู้ปฏิบัติไม่ควรจะไปขอร้องหรือเร่งรัดพระวิปัสสนาจารย์ขอเปลี่ยน หรือขอต่อระยะเดินจงกรมตามอารมณ์ของตนเอง
        2. การเดินจงกรมตั้งแต่ 1 ถึง  6 ระยะ ต้องเริ่มต้นด้วยกากรก้าวเท้าขวาก่อน และมีข้อสังเกตบางประการ คือ ในการเดินจงกรมระยะที่ 1
        ถ้ากำหนดแยกคำ ?ขวา ? ย่าง ? หนอ และ ซ้าย ? ย่าง  - หนอ? จะกลายเป็น 3 ระยะไป จะซ้ำกับการเดินจงกรม 3 ระยะ จะต่างกันตรงที่มีหนอ 3 หนอ เท่านั้น
        ถ้ากำหดนควบ คำว่า ?ขวาย่าง ? หนอ? ก็จะกลายเป็น 2 ระยะไป จะซ้ำกับการเดินจงกรม 2 ระยะ จะต่างกันตรงที่มีหนอ 2 หนอ เท่านั้น แต่เราใช้ควบคำ คือ ?ขวาย่างหนอ? ?ซ้ายย่างหนอ?
        3. การเดินจงกรม ?2 ? 3 ? 4? เวลาวางเท้าลงกับพื้น เช่น ?เหยียบหนอ? ฝ่าเท้าควรถูกพื้นพร้อมกับทั้งส้นเท้าและปลายเท้า
        ส่วนระยะที่ 5 นั้น ?ถูกหนอ? ปลายเท้าลงก่อนนิดหนึ่ง แต่ในการเดินจงกรม 6 ระยะตอนถึงระยะถูกหนอ คงหย่อนปลายเท้าลงแตะพื้น ครั้นถึงระยะกดหนอจึงกดส้นเท้าลงกับพื้น
        4. การเดินจงกรม ไม่ควรเดินจงกรมครั้งหนึ่ง ๆ เกิน 1 ชั่วโมง แต่ควรเดินวันละหลาย ๆ ครั้ง
 
ที่มา http://www.watrampoeng.com/index.php/en/2009-07-04-06-43-57

93
บทความ บทกวี / มงคลชีวิต 38 ประการ
« เมื่อ: 09 ส.ค. 2552, 10:06:06 »
วันนี้เปิดDMCดู ได้ฟังเพลง มงคลชีวิต 38 ประการ มีรูปการ์ตูนเป็นMV ฟังแล้วดีเลยนำมาให้อ่านกันครับ

๑. การไม่คบคนพาล            ๑๔.ทำงานไม่ให้คั่งค้าง             ๒๗.มีความอดทน
๒. การคบบัญฑิต                ๑๕.การให้ทาน                       ๒๘.เป็นผู้ว่าง่าย
๓. การบูชาบุคคลที่ควรบูชา    ๑๖.การประพฤติธรรม                ๒๙.การได้เห็นสมณะ
๔. การอยู่ในถิ่นอันสมควร      ๑๗.การสงเคราะห์ญาติ              ๓๐.การสนทนาธรรมตามกาล
๕. เคยทำบุญมาก่อน           ๑๘.ทำงานที่ไม่มีโทษ               ๓๑.การบำเพ็ญตบะ
๖. การตั้งตนชอบ                ๑๙.ละเว้นจากบาป                   ๓๒.การประพฤติพรหมจรรย์
๗. ความเป็นพหูสูต              ๒๐.สำรวมจากการดื่มน้ำเมา        ๓๓.การเห็นอริยสัจ
๘. การรอบรู้ในศิลปะ            ๒๑.ไม่ประมาทในธรรมทั้งหลาย    ๓๔.การทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน
๙. มีวินัยที่ดี                      ๒๒.มีความเคารพ                    ๓๕.มีจิตไม่หวั่นไหวในโลกธรรม
๑๐.กล่าววาจาอันเป็นสุภาษิต   ๒๓.มีความถ่อมตน                   ๓๖.มีจิตไม่เศร้าโศก
๑๑.การบำรุงบิดามารดา          ๒๔.มีความสันโดษ                  ๓๗.มีจิตปราศจากกิเลส
๑๒.การสงเคราะห์บุตร           ๒๕.มีความกตัญญู                   ๓๘.มีจิตเกษม
๑๓.การสงเคราะห์ภรรยา         ๒๖.การฟังธรรมตามกาล 


ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติม ขยายความแต่ละข้อได้ที่ http://www.muanglung.com/mongkol38.html

94
น่าเสียดาย ที่เรามีพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ
แต่เรากลับศรัทธาไสยศาสตร์หัวปักหัวปำ

น่าเสียดาย ที่เรามีพระมหากษัตริย์ที่แสนดี
แต่เรากลับมีคนโกงกินเต็มบ้านเต็มเมือง

น่าเสียดาย ที่เรามีวัดอยู่เกือบทุกหมู่บ้าน/ตำบล
แต่เรากลับมากด้วยคนขาดจริยธรรมอยู่ทั่วไป

น่าเสียดาย ที่เราสถาปนาประชาธิปไตยตั้งแต่ พ.ศ. 2475
แต่เรากลับมีปฏิวัติ/รัฐประหารมาแล้ว 14 ครั้ง

น่าเสียดาย ที่เรามีมหาวิทยาลัยมากมายติดอันดับโลก
แต่เรากลับโชคร้ายที่คนไทยชอบดูดวงบวงสรวงเทพยดา

น่าเสียดาย ที่เรามีป่าไม้-แม่น้ำ-ธรรมชาติอุดมสมบูรณ์
แต่เรากลับเทิดทูนการทำลายแทนการรักษา

น่าเสียดาย ที่เรามีศิลปวัฒนธรรมเป็นของตนเอง
แต่เรากลับเก่ง ?การลอกเลียนแบบ? เป็นที่สุด

น่าเสียดาย ที่เรามีสื่อมวลชนมากมายไร้พรมแดน
แต่เจ็บปวดเหลือแสนเมื่อสื่อมวลชนมุ่งแต่การขายสินค้า

น่าเสียดาย ที่เรามีกฎหมาย
แต่เรากลับปล่อยให้มีการใช้กฎหมู่จนเป็นเรื่องธรรมดา

น่าเสียดาย ที่เรามีหนังสือมากมายหลายพันเล่มในห้องสมุด
แต่สถิติสูงสุดคือเราอ่านหนังสือกันปีละ 8 บรรทัด

น่าเสียดาย ที่เรามีอินเตอร์เน็ตใช้ก่อนประเทศในโลกที่สาม
แต่เรากลับเสื่อมทรามเพราะใช้ส่งภาพถ่ายคลิปโป๊

น่าเสียดาย ที่เรามีโทรทัศน์หลายสิบช่อง
แต่เรากลับจ้องจะดูแต่ละครน้ำเน่า

น่าเสียดาย ที่เรามีพ่อแม่อยู่ในบ้าน
แต่เรากลับปล่อยให้ท่านอยู่อย่างเปลี่ยวเหงา

น่าเสียดาย ที่เราสามารถกลับตัวเป็นคนดีได้
แต่เรากลับชอบใจที่จะเป็นคนเลวตลอดกาล

น่าเสียดาย ที่เราเป็นอิสระจากความอยากได้
แต่เรากลับพึงใจอยู่กับการสนองความอยาก

น่าเสียดาย ที่เราบรรลุนิพพานได้ในชาตินี้
แต่เรากลับยินดีอยู่แค่การทำบุญให้ทาน

ข้อคิดดีๆจากท่าน ว.วชิรเมธี


95
สนทนาภาษาผู้ประพฤติ / MY FIRST TIME......
« เมื่อ: 04 ส.ค. 2552, 11:31:29 »
เมื่อตอนเย็นขับรถกลับบ้านตามปกติ พอเข้าซอยบ้าน(ซอยสน.ท่าข้าม)ใจก็อยากจะลองแวะเข้าไปดูสำนักสงฆ์แทนวันดีเจริญสุข เลยเลี้ยวรถไปแทนที่จะกลับบ้าน เห็นป้ายสำนักสงฆ์มานานเป็นปีๆแต่ไม่เคยแวะเข้าไป แต่พอไปถึงผิดคาดมากๆ สำนักสงฆ์แทนวันดีเจริญสุข ใหญ่กว่าที่นึก ร่มรื่น เหมาะแก่การปฎิบัติธรรม มีลานให้เดินจงกรม เห็นคนนั่งสมาธิอยู่ที่ร่มไม้อยู่2คน และเห็นมีพระอยู่ที่ศาลาพัก เลยเข้าไปกราบสอบถามว่าสามารถมาใช้สถานที่ปฎิบัติธรรมได้หรือเปล่า ได้รับคำตอบว่าได้ และท่านชวนให้ทำวัตรเย็น พอเสียงกลองดังขึ้น ผมก็ขึ้นศาลาไปทำวัตรเย็น ที่นี่สงบมาก หลวงพี่บอกให้ผมขึ้นศาลาแบบช้าๆ คือให้เดินจงกรมขึ้นศาลา พอขึ้นไปถึงก็มีจัดเตรียมสถานที่ไว้ ผมหาที่นั่งหลังสุด มุมสุด เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ผมมาทำวัตรเย็น ที่สำนักสงฆ์มีพระ8รูป ตอนผมเข้าไปทุกองค์กำลังนั่งสมาธิ ผมเลยนั่งสมาธิรอเวลา ราวๆ6โมงก็เริ่มสวดมนต์ทำวัตรเย็น วันนี้มีคนไปทำวัตรเย็นราว10คน ผมเป็นผู้ชายคนเดียว คุณยายท่านหนึ่งคงเห็นผมมาใหม่เลยมานั่งข้างๆและช่วยบอกผมว่าสวดหน้าไหนบ้าง สวดมนต์ราวๆ40นาทีจากนั้นพระก็ขึ้นเทศน์ ในระหว่งพระเทศน์คนที่ฟังก็นั่งสมาธิฟัง พระท่านเทศน์ราวๆ40นาที เป็นครั้งแรกที่ผมนั่งฟังพระเทศน์แล้วผมนั่งสมาธิไปด้วยทำให้ผมได้คิดอ่านตามคำสอนอย่างตั้งใจและเข้าใจในเนื้อหาค่อนข้างดี หลังจากท่านเทศน์จบท่านก็ให้นั่งสมาธิต่อ รวมเวลาทั้งหมดราว2ชั่วโมง เป็น2ชั่วโมงที่ผ่านไปค่อนข้างเร็ว จิตใจนิ่งสงบดีแต่ขาเหน็บชารบกวนค่อนข้างมาก ก่อนกลับผมได้กราบลาท่านแต่ไม่ได้คุยอะไรกับใครเพราะไม่รู้จักใคร กลุ่มที่มาคงมากันเป็นประจำเพราะเห็นทักทายกันดี ตอนขับรถกลับผมเองอดนึกไม่ได้ว่า ไม่น่าเชื่อว่าสิ่งที่ทำเสร็จไปผมจะทำได้ ผมรู้สึกยินดีกับตัวเอง ที่ต่อสู้กับความอายได้สำเร็จ เพราะบางคนการไปวัดเพื่อทำวัตรอาจจะเป็นเรื่องปกติ แต่สำหรับผมเป็นสิ่งที่แม้แต่ตัวผมเองก็ไม่เคยคิดว่าผมจะทำ และผมคิดว่านี่เป็นครั้งแรกและคงไม่เป็นครั้งสุดท้าย ผมคงต้องจัดสรรเวลาเพื่อมาทำวัตรเย็นที่นี่อีกแน่นอน คำสอนของพระอาจารย์โด่ง (ดำเนินชีวิตอยู่ได้ทั้งในทางโลกและทางธรรม) วิ่งวนอยู่ในหัวผมให้ได้คิด เพราะช่วงเวลา6โมงเย็นถึง2ทุ่มเป็นช่วงเวลาที่ผมต้องให้กับลูกผมด้วย ผมคงต้องจัดสรรเวลาให้เหมาะสม เมื่อก่อนผมเคยดีใจที่ปากซอยมีBIG C และรู้สึกสะดวกสบายเมื่อCENTRAL RAMA2 มาเปิด รู้สึกตื่นเต้นที่โรงเบียร์ฮอลแลนด์มาเปิดบริการตรงข้ามซอยบ้าน แต่วันนี้ผมรู้สึกดีใจมากๆที่ผมขับรถจากบ้านแค่5นาทีผมก็มีที่จะปฎิบัติธรรมที่ร่มรื่น ที่ให้ผมปฎิบัติธรรมได้ทุกเวลา ให้อิสระในการปฎิบัติ เพื่อนๆคนไหนอยู่แถบพระราม2ลองแวะเข้าไปสำนักสงฆ์แทนวันดีเจริญสุข อยู่ซอยสน.ท่าข้าม อยู่กลางๆซอย ปากทางเข้ามีร้านประดับยนต์อยู่ ลองไปปฎิบัติธรรมกันน่ะครับ (ที่นี่จะมีคอร์สอบรมแบบ3วัน2คืนด้วย) สุดท้ายอยากจะบอกอีกครั้งว่า เพียงแค่คุณนั่งลงแล้วหลับตา คุณก็จะพบความสุขที่แท้จริงครับ

96
เมื่อเรานั่งอยู่นั่น ไม่ต้องรับรู้อารมณ์ เมื่ออารมณ์ที่มากระทบกระทั่งเมื่อไร รู้สึกในจิตของเรา แล้วปล่อยมันไป มันจะดีจะชั่วก็ช่างมัน ในเวลานั้นไม่ใช่ธุระหน้าที่ของเราจะไปจัดแจงในสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น ปล่อยมันออกไปเสียก่อน แล้วกำหนดลม เอาคืนมาให้มีความรู้สึกแต่ลมอย่างเดียว เข้าออก แล้วให้มันสบาย อย่าให้มันทุกข์เพราะมันสั้น ทุกข์เพราะมันยาว อย่าให้มันทุกข์ ดูลมหายใจ อย่าให้มีความกดดัน คืออย่ายึดมั่น รู้แล้วให้ปล่อยตามสภาวะของมันอย่างนั้นให้ถึงความสงบ ต่อไปจิตมันก็จะวางลมหายใจ มันก็จะเบา เบาไป ผลที่สุดลมหายใจมันจะน้อยไปน้อยไป จนกระทั่งปรากฏว่ามันไม่มีลม ในเวลานั้นจิตมันก็จะเบา กายมันก็จะเบา การเหน็ดเหนื่อยเลิกหมดแล้ว มีเหลือความรู้อันเดียวอยู่อย่างนั้น นั่นเรียกว่าจิตมันเปลี่ยนไปหาความสงบ แล้วนี่พูดถึงการกระทำในเวลาเรานั่งสมาธิอย่างเดียว
พระโพธิญาณเถร หลวงพ่อชา สุภทฺโท

97
...ทุกข์เกิดขึ้นเพราะเราไม่เห็นความคิดนั่นแหละ
ตัวความคิดจริง ๆ นั้น มันก็ไม่ได้มีความทุกข์
ที่มันมีทุกข์เกิดขึ้นคือ...เราคิดขึ้นมา
เราไม่ทันรู้ ไม่ทันเห็น ไม่ทันเข้าใจความคิดอันนั้น
มันก็เลยเป็นโลภ เป็นโกรธ เป็นหลงไป
เมื่อมันเป็นโลภ เป็นโกรธ เป็นหลงไป มันก็นำทุกข์มาให้เรา
ดังนั้น พระพุทธเจ้าท่านจึงสอนให้เราว่า ?คอยระมัดระวังที่จิตที่ใจ?
เราไม่เคยดูใจเรา บางคนเกิดมาจนตาย(ไป)ก็มีนะ
บางคนไม่เคยดูชีวิตจิตใจของเรา นี่เป็นอย่างนั้น


หลวงพ่อเทียน  จิตฺตสุโภ  วัดสนามใน  จ.นนทบุรี

98
"... คนขาดสติลงไป วินาทีหนึ่งก็ตาม ห้านาทีก็ตาม ชั่วโมงหนึ่งก็ตาม สามารถทำให้เราเป็นได้ทุกอย่าง
เป็นสัตว์นรกก็ได้ เป็นเปรตก็ได้ เป็นอสุรกายก็ได้ เป็นสัตว์เดรัจฉานก็ได้ เป็นผีก็ได้ มันเป็นอย่างนั้น..."

"... คนใดที่ลืมตัวลงไปขณะหนึ่งนั้น เรียกว่า คนไม่มีสติ ท่านเปรียบว่าเหมือนคนตาย แต่ไม่ใช่ตาย หมดลมหายใจ แต่ตายจากความดีความงาม  ...คนไม่มีสติสามารถพูดได้ ทำได้ คิดได้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผิดๆไปตามอารมณ์ของตัวเอง"
"... คนมีสตินั้น สามารถทำให้เป็นคน เป็นมนุษย์ เป็นเทวดา หรือเป็นพระอริยบุคคลก็ยังได้..."
"... ความทุกข์นั้นเกิดขึ้น เพราะเราขาดสติอย่างเดียวเท่านั้น  เมื่อเรามีสติยับยั้งสั่งใจได้แล้ว กิเลสมันก็เกิดขึ้นไม่ได้..."

หลวงพ่อเทียน  จิตฺตสุโภ  วัดสนามใน  จ.นนทบุรี


99
หลังจากทำธุระเสร็จที่ม.บูรพา ก็ตัดสินใจขับรถสู่ชายหาดบางแสนโดยใช้เวลาไม่ถึง5นาที วันนี้เป็นวันธรรมดาเลยจอดรถสบาย พอเปิดประตูรถก็ได้กลิ่นไอของทะเล วันนี้ลมแรง เย็นสบาย รู้สึกได้ทันทีที่ลงจากรถเลยครับ มองไปที่ทะเลเห็นฟ้าเห็นคลื่นคิดในใจวันนี้มีความสุขจังครับ ตอนเช้าไปไหว้พระหลวงพ่อโสธร สายๆไปทำงานที่ม.บูรพา เสร็จงานได้พักผ่อนริมทะเล....



พอเดินมาที่ชายหาดเห็นสภาพชายหาดบางแสนแล้วหดหู่ใจเลยครับ ย้อนคิดไปถึงวันเก่าๆ ผมไปบางแสนตั้งแต่เด็กๆ ตั้งแต่ผมจำความได้ ทะเลในความหมายของผมคือบางแสน เพราะตอนเด็กๆบ้านผมอยู่บางจาก การไปบางแสนคือการไปทะเลที่สะดวกที่สุดเมื่อเทียบกับที่อื่นๆ ผมเคยเอารูปตอนเด็กๆที่ไปบางแสนมาดู ทรายยังขาวหาดยังสวย ไม่น่าเชื่อเพียงระยะเวลาราวๆเกือบๆ40ปี บางแสนในวัยเด็กของผม จะกลายเป็นชายหาดที่แม้จะเดินลงไปผมยังต้องคิดหนัก ไม่หลงเหลือสภาพชายหาดอันดับต้นๆของเมืองไทยในอดีตหลงเหลืออยู่เลยครับ วันนี้ชายหาดบางแสนเต็มไปด้วยขยะ มีขยะเรียงรายไปตลอดหาด ความสุขที่ผมคิดว่าจะได้รับ หายไปในทันที



ด้วยความสงสัยผมจึงเดินไปสอบถามพนักงานที่กำลังเก็บขยะอยู่ ได้รับคำตอบว่า ขยะพวกนี้มาจากทะเลทั่วสารทิศในบริเวณนั้น เพราะหาดบางแสนเปรียบได้กับท้องกระทะที่ทุกอย่างจะมาลงที่นี่ เก็บไม่มีวันหมด เพราะจะมีขยะใหม่มาเพิ่มทุกวัน ได้ฟังแล้วยิ่งเศร้า หาดที่เคยสวยงามในอดีตบัดนี้เป็นอดีตซะแล้ว



ทางแก้ที่จะทำให้ชายหาดบางแสนกลับมาสวยงามอีกครั้ง คงต้องแก้จิตสำนึกของทุกคน อย่าทิ้งขยะลงทะเล ไม่ว่าจะเป็นทะเลหรือแล่งธรรมชาติทุกที่ อย่าทิ้งขยะ วันนี้เราคงต้องช่วยกันรักษาธรรมชาติไว้ให้คนรุ่นหลังสัมผัส เพราะแค่คนรุ่นเดียวอย่างผม ลูกๆผมคงไม่มีโอกาศที่จะสัมผัสบางแสนในมุมของผมแน่นอน หยุดทำร้ายโลกกันน่ะครับ โลกจะสวยงามได้ถ้าเราทุกคนช่วยกันครับ

100
เมื่อวานมีธุระที่จะต้องไปทำที่ม.บูรพา ตั้งใจว่าไปถึงม.บูรพาราวๆสัก11โมง แต่เมื่อวานก็ออกจากบ้านแต่เช้าเพื่อไปส่งลูกไปโรงเรียนปกติ ส่งลูกเสร็จก็มุ่งหน้าไปชลบุรีทันที ดูนาฬิกาแล้ว ยังมีเวลาเหลือเฟือ จากมอเตอร์เวย์เลยเลี้ยวซ้ายไปฉะเชิงเทรามุ่งหน้าสู่วัดโสธร จากมอเตอร์เวย์เพียงอึดใจเดียวก็ถึงวัดโสธรวรารามวรวิหาร

ถึงแม้จะเป็นวันธรรมดา แต่ก็มีคนมากพอสมควร พอไปถึงผมก็รีบไปกราบขอพร นั่งสวดมนต์ขอพรสักพัก ส่วนใหญ่คนที่นั่งนานๆคือจะมาแก้บน ส่วนใหญ่คนจะมาบนไข่ต้มกันเป็นส่วนใหญ่ครับ

จากนั้นก็ไปพระอุโบสถหลังใหม่ ที่มีความสวยงาม เข้าไปในพระอุโบสถ ดูสงบ มีคนมานั่งสมาธิกันหลายคน ผมดูเวลาแล้วยังพอมีเวลา เลยนั่งสมาธิราวๆ20นาที ให้จิตใจสงบครับ

ก่อนกลับเข้าไปบูชาหลวงพ่อโสธรกลับไปบูชาที่บ้านเพื่อความเป็นสิริมงคล จากนั้นก็มุ่งหน้าไปม.บูรพาเพื่อทำงานครับ

ปล.รูปไม่ค่อยชัดเพราะถ่ายจากมือถือครับ

101
พระไตรปิฎก ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย
ในพระบรมราชูปถัมภ์ เล่มที่ 14 ทีฆนิกาย มหาวรรค ข้อ 275 หน้า 211-212 มหาสติปัฏฐานสูตร
----------------------------------------------------------------------------------
กายานุปัสสนา
อิริยาบถบรรพ
[ ๒๗๕ ] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอยู่อีก ภิกษุเมื่อเดินอยู่ ก็รู้ชัดว่า เราเดิน หรือเมื่อยืน ก็รู้ชัดว่า
เรายืน หรือเมื่อนั่ง ก็รู้ชัดว่า เรานั่ง หรือเมื่อนอน ก็รู้ชัดว่า เรานอน อนึ่งเมื่อเธอนั้น เป็นผู้ตั้งกายไว้ แล้วอย่างใดๆ
ก็ย่อมรู้ชัดอาการกายนั้น อย่างนั้นๆ ดังนี้ ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย เป็นภายในบ้าง ย่อมพิจารณาเห็น
กายในกายเป็นภายนอกบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย ทั้งภายในภายนอกบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา
คือ ความเกิดขึ้นในกายบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ความเสื่อมไปในกายบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือ
ทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมไปในกายบ้าง ก็หรือสติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่ากายมีอยู่ แต่เพียงสักว่าเป็นที่รู้ แต่เพียง
สักว่าเป็นที่อาศัยระลึก เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัยอยู่ด้วย ย่อมไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลกด้วย
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกายเนืองๆ อยู่อย่างนี้
จบข้อกำหนดว่าด้วยอิริยาบถ
 

102
เกรียนคือ ?
ภาษาไทยวันละคำวันนี้ขอเสนอคำว่า เกรียน หากเปิดหาคำนี้ใน พจนานุกรรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 หน้า 141 จะพบว่าถูกนิยามความหมายไว้ 3 ความหมายด้วยกันดังนี้
เกรียน ๑ [เกรียน] ว. สั้นเกือบติดหนังหัว ผิวหนังหรือ พื้นที่ เช่น ผมเกรียน หมาขนเกรียน หญ้าเกรียน
เกรียน ๒ [เกรียน] ดู เลี่ยน ๑.
เกรียน ๓ [เกรียน] น. แป้งซึ่งนวดด้วยน้ำร้อนแล้วไม่น่ายเป็นเม็ดปนอยู่ เม็ดนั้นเรียกว่า เกรียน; เรียกปลายข้าวขนาดเล็กว่า ข้าวปลายเรียน

ต้นกำเนิดแห่ง เกรียน
เกรียน คำนี้มีต้นกำเนิดมาจากที่ใดไม่มีหลักฐานระบุชี้ชัดได ้ แต่ที่แน่ๆ บนศิลาจารึก หลักไหนๆ ก็คงไม่มีคำๆ นี้ปรากฏอยู่เป็นแน่ ผู้คว่ำวอร์ดในวงการณ์เกมบางคนบอกว่า พบเห็นคำนี้ครั้งแรกมาจากเกมออนไลน์ที่มีผู้นิยมเล่น สูงสุดเกมหนึ่ง ส่วนผู้คว่ำวอร์ดในวงการณ์บอร์ดบอกว่าเห็นครั้งแรกใน เว็บซื้อขายแลกเปลี่ยนที่มีผู้ใช้มากที่สุดแห่งหนึ่ง ผมจึงไม่สามารถอ้างอิงได้ว่ามันมีต้นกำเนิดจากที่ใดกันแน่ รู้แต่เพียงว่าวันนี้มันถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลาย

การขยายตัวของ เกรียน
เกรียน ไม่ใช่คำด่าพร่ำเพรื่อเหมือนอย่างคำด่าอื่นๆ ที่เราคุ้นเคยมาตั้งแต่สมัยพ่อขุนรามคำแห่ง แต่เป็นคำที่ใช้ เฉพาะเจาะจงสำหรับกลุ่มคนประเภทหนึ่ง กลุ่มคนกลุ่มนี้เป็นกลุ่มคนพิเศษนักวิชาการบางท่านบอกว่า เป็นอาการของคนที่เสพหญ้ามากเกินไป จนคอโรฟิวในหญ้าไปอุดตันสมอง จนส่งผลให้การทำงานของสมองซีกขวา ซึ่งเป็นสมองด้านของเหตุผลและการเรียนรู้ หดตัวลง ในขณะที่สมองซีกซ้ายที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการใช้อารม ณ์ขยายตัวใหญ่ขึ้น จึงส่งผลให้คนกลุ่มนี้ใช้แต่อารมณ์มากกว่าเหตุผลและก ารวิเคราะห์ไตร่ตรอง ดังจะพบพฤติกรรมดังกล่าวได้บ่อยๆ ในเกมออนไลน์ หรือตามเว็บบอร์ดทั่วไป สาเหตุที่ทำให้คำนี้เกิดการใช้อย่างแพร่หลายมากขึ้นไ ม่ใช่เพราะมันถูกนำมาใช้เป็นคำแฟชั่นหากแต่กลุ่มคนประเภทดังกล่าวขยายตัวมากขึ้นและล ุกลามอย่างรวดเร็วจนยากที่จะหยุดยั้งได้ต่างหาก

กลุ่มที่อยู่ในสภาวะ เกรียน
หลายคนอาจจะเข้าใจผิดจนเหมารวมไปเลยว่า เกรียน คือ กลุ่มเด็ก ตั้งแต่ ป.1 จนถึง มัธยมปลาย ที่ตัดผมสั้นเกรียน สาเหตุที่หลายคนตีความแบบนั้นอาจจะเป็นด้วยลักษณะทาง กายภาพที่โดดเด่นคือทรงผมที่เลี่ยนเกรียนติดหนังหัว ซึ่งความจริงแล้วตาม ?กฎของ เกรียน? หรือ ?เกรียน Law? นั้นลักษณะดังกล่าวเป็นเพียงรากศัพท์ของคำว่า เกรียน เท่านั้นเอง หากแต่ในความเป็นจริง ตามหลักของ ?เกรียน Law? คือ ?ความเกรียนไม่จำกัด ทรงผม อายุ เพศ หรือ ฐานะ ทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมในความเกรียนเหมือนกันหมด? ดังนั้นจึงพอจะสรุปได้ว่า สภาวะเกรียน เป็นสภาวะของพฤติกรรม ทางความคิด หาใช่ลักษณะทางกายภาพอย่างที่หลายคนเข้าใจกัน

ทำไมต้อง เกรียน
หลังจากที่ได้ทำการศึกษาและค้นคว้าเป็นเวลาหลายวันผม ได้พบว่า คำเหยียดสติปัญญาคำนี้เกิดขึ้นด้วยสาเหตุที่ว่า กลุ่มคนที่อยู่ในสภาวะเกรียนส่วนใหญ่จะเป็นเด็ก และเป็นกลุ่มเด็กที่เล่นเกมออนไลน์ อาจจะด้วยเพราะเกมออนไลน์ในบ้านเรา เปิดกว้างมากจนเกินไป จนเกิดการกระจุกตัวทางการแสดงออกในสถานที่เดียวกัน จนเมื่อเด็กๆ เกิดการคลุกคลีกับพฤติกรรมไม่เหมาะสมบ่อยๆ จึงดูดซึมพฤติกรรมเลวร้ายเหล่านั้นมาใช้โดยไม่มีคนคอ ยให้คำแนะนำ โดยพฤติกรรที่เราจะพบเห็นได้จากเด็กที่อยู่ในสภาวะเกรียนก็คือ การกระทำที่ไร้ความคิด พฤติกรรมไร้เหตุผล พฤติกรรมก้าวร้าวทางคำพูดและความคิด เมื่อเข้าสู่สภาวะเกรียนสมองซีกซ้ายจะขยายตัวอย่างรว ดเร็ว จนบางครั้งคนที่อยู่ข้างๆ ต้องเข้าระงับสติด้วยการ เบิร์ดกระบาล ซีกซ้ายซะหนึ่งที ก่อนที่อาการจะลุกลามถึงขั้น ?โคบ้า? ถ้าเป็นพวกวิกฤติหนักๆ ก็อาจจะกลายเป็น ?กระบือบ้า? ได้เหมือนกัน

อาการที่เรียกว่า เกรียน
-กลุ่ม เกรียน มักจะมีความเชื่อมั่นตัวเองสูงในจินตนาการ แต่ปฏิบัติตัวตรงกันข้าม อยากเทพแต่ทำตัว*** เกรียนประเภทนี้มีคนให้นิยามจำแนกออกมาเป็น กลุ่ม เทพเกรียน หรือ King of เกรียน หรือ เกรียน เหนือ เกรียน
- กลุ่ม เกรียน มักจะมีความอดทนต่อสิ่งเร้าภายนอกน้อยกว่าบุคคลปกติ และควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ค่อยได้ มักแสดงออกทางคำพูด มากกว่าทางความคิด หรือทีเรียกว่า ?พูดโดยไม่คิด? ในบางรายจะชอบด่าทอผู้อื่นแบบไร้เหตุผล โดยเชื่อมั่นว่าตัวเองถูกเสมอ จนบางครั้งก้าวล่วงไปถึงบุพการีของผู้อื่น
- ชาวเกรียนจะมีความสุขไปกับการ ด่าคนแบบไร้ เหตุผล และอดีนาลีนของชาวเกรียนจะสูบฉีดรุนแรงขึ้นเมื่อถูกด ่าตอบ ชาวเกรียนมีพฤติกรรมที่ชอบเรียกร้องความสนใจ ดังจะพบได้ตามเว็บบอร์ด ในกระทู้ดักควายต่างๆ พอเห็นคนเข้ามาด่าก็นั่งยิ้มชื่นใจ จนกลายเป็นค่านิยมเสพติดของพวกเค้าไปแล้ว
- อาการหนึ่งที่เห็นได้ชัดจาก กลุ่มเกรียนคือจะเป็นกลุ่มคนที่มี IQ และ EQ ต่ำ เนื่องจากไม่ค่อยชอบใช้ความคิด ชอบใช้แต่อารมณ์ สมองไม่สามารถดูดซึมเหตุผลเข้าไปได้ แต่ถ้าเป็นเรื่องปลุกเร้าอารมณ์ก้าวร้าวจะตื่นตัวในทันที

ข้อมูลจาก http://bbs.asiasoft.co.th/showthread.php?t=26017


103
วจนกฺขโม = อดทนต่อถ้อยคำล่วงเกิน

เมื่อใดที่เราเป็นผู้อดทนต่อถ้อยคำหยาบ คำเสียดสี...

เราจะลดและบรรเทากรรมเวรที่ต้องตอบโต้กับผู้กล่าววาจาร้ายใส่เราได้

เป็นการฝึก ขันติ(อดกลั้น) ทมะ(ข่มใจ) รวมไปถึงอภัยทาน(ทานที่ทำได้ยากเมื่อทำได้จะตัดเวรตัดกรรม) แก่ผู้ที่มาทำร้ายทางวาจา

บางท่าน ใครพูดทับถม หรือเสียดสีเล็กๆน้อยๆ ก็ร้อนใจ นอนไม่หลับ กินไม่ลง สายตาระทม ผิวพรรณหม่นหมองเพราะแรงฟุ้ง เป็นกิเลสอย่างหนึ่งทำให้คิดหมุนวน

นี่เป็นผลของการเก็บเอาคำพูดของคนอื่นมาทิ่มแทง

ใครล่ะที่ยินดีเก็บคำพูดของคนอื่นไว้ ถ้าไม่ใช่ใจท่านเอง

บางท่าน โดนด่า โดนพูดเสียด ตั้งแต่เดือนก่อน แต่เก็บเอาคำพูดมาแทงตัวเองทุกๆวัน
รู้หรือไม่ ว่าคนที่ด่าท่าน เขาลืมไปนานแล้ว ท่านต่างหากที่ยังไม่ลืม และใช้ใจตัวเองหมักหมมถ้อยคำไร้สาระเก็บไว้ไม่ยอมสลัดทิ้ง

ท่านห้ามพระอาทิตย์ไม่ให้ส่องแสงได้ ท่านคงสามารถห้ามคนนินทาได้

ธรรมดา..ที่ต้องเกิดมาเจอถ้อยคำกล่าวโทษ เพ่งโทษ

ธรรมดา..ที่ต้องเกิดมาเจอถ้อยคำเสียดสี เหน็บแนม

ธรรมดา..ที่ต้องเกิดมาเจอถ้อยคำด่าทอ ผรุสวาท

แต่อะไรก็ตามที่เป็นสิ่งสมมุติ ล้วน เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ในที่สุด

ถ้อยคำล่วงเกินต่างๆ มันได้"ดับ"ไปนานแล้วตั้งแต่ที่คนๆนั้นเขาพูดเสร็จ
แต่ท่านเอง กลับทำให้ถ้อยคำเหล่านั้น "เกิดใหม่"ทุกๆวัน ด้วยการเก็บเอามาคิดแค้นใจ น้อยใจ เสียใจ ไม่หยุดหย่อน

ข้อความจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
?......ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อาสวะอันภิกษุพึงละด้วยความอดกลั้น.... คือภิกษุในธรรมวินัยนี้ พิจารณาโดยแยบคายแล้ว ย่อมเป็นผู้อดทนต่อหนาว ร้อน หิว กระหาย เหลือบ ยุง ลม แดด ย่อมเป็นผู้อดทนต่อถ้อยคำหยาบ คำเสียดสี... อดกลั้นต่อทุกขเวทนาทางกาย.... เมื่อเธออดทนอยู่ อาสวะเหล่านั้นที่ทำความคับแค้นและความเร่าร้อนย่อมไม่มีแก่เธอ...."

พระพุทธองค์ท่านก็ยังกล่าวถึงการอดทนต่อถ้อยคำต่างๆที่มากระทบเรา หากอดทนได้ ก็เป็นปัจจัยในการปล่อยวางต่อกิเลสเครื่องร้อยรัดดวงจิตของเราได้

ปัญหา เมื่อเราถูกด่าว่าด้วยถ้อยคำหยาบคาย เราควรจะปฏิบัติอย่างไร?

พุทธดำรัสตอบ ?.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ทางแห่งถ้อยคำที่บุคคลอื่นจะพึงกล่าวกะท่านมีอยู่ ๕ ประการ คือ
กล่าวโดยกาลอันสมควรหรือไม่สมควร ๑
กล่าวด้วยเรื่องจริงหรือไม่จริง ๑
กล่าวด้วยคำอ่อนหวานหรือคำหยาบคาย ๑
มีจิตเมตตาหรือมีโทสะในภายในกล่าว ๑
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลอื่นจะกล่าวโดยกาลอันสมควรหรือไม่สมควรก็ตาม
จะกล่าวด้วยเรื่องจริงหรือไม่จริงก็ตาม
จะกล่าวด้วยคำอ่อนหวานหรือคำหยาบคายก็ตาม
จะกล่าวถ้อยคำประกอบด้วยประโยชน์หรือไม่ประกอบด้วยประโยชน์ก็ตาม
จะมีจิตเมตตาหรือมีโทสะภายในกล่าวก็ตาม
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แม้ในข้อนั้น พวกเธอพึงศึกษาอย่างนี้ว่า จิตของเราจักไม่แปรปรวน
เราจักไม่เปล่งวาจาลามก
เราจักอนุเคราะห์ด้วยสิ่งอันเป็นประโยชน์
เราจักมีจิตเมตตา ไม่มีโทสะในภายในเราจักแผ่เมตตาจิตไปถึงบุคคลนั้น
และจักแผ่เมตตาจิตอันไพบูลย์ ใหญ่ยิ่งหาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มีพยาบาทไปตลอดโลก ทุกทิศทุกทางซึ่งเป็นอารมณ์ของจิตนั้นดังนี้
ดูก่อนภิกษุทั้งหลายเธอทั้งหลายถึงศึกษาด้วยอาการดังที่กล่าวมานี้แลฯ ?

หากท่านกำลังฝึกปล่อยวาง ลองสำรวจดูอีกสักหน่อย ว่าได้ปล่อยวางคำพูดของผู้อื่นแล้วหรือยัง

พึงจดจำข้อความที่ให้กำลังใจท่านในการอดทนต่อคำพูดของคนอื่น
"อดทนต่อคำที่ล่วงเกินได้ ประเสริฐยิ่ง"

เมื่ออดทนได้แล้ว ให้ใช้เมตตาลบล้างอำนาจโทสะในใจท่าน การไม่สบายใจในคำพูดของคนอื่นก็เป็นโทสะอย่างหนึ่งที่ท่านเก็บฝังไว้
จงระงับโทสะจิตด้วย
1.เมตตาต่อคนที่ด่าเรา(สงสาร)
2.กรุณาต่อคนที่ด่าว่าเราด้วยการไม่ตอบโต้
3.มุทิตา ยินดีที่ได้ชดใช้กรรมให้เขาด่า (เพราะในอดีตเราต้องเคยทำกรรมกับเขาไว้ เขาจึงตามมาด่า-ทุกอย่างมีเหตุปัจจัย)
4.อุเบกขา เห็นถึงความไม่เที่ยงของคำพูด มีเกิดมีดับ

ชีวิตนี้น้อยนัก สั้นนัก คนเราได้เวลามาเท่ากัน คือ 1นาทีก็มี60วินาที เท่ากัน อยู่ที่ใครจะทำให้มีความสุขที่แท้จริงมากกว่ากัน

ดังนั้นอย่าเสียเวลากับการคิดหมุนวนในคำพูดของคนอื่นเลย....

ที่มา http://www.dhammajak.net




104
ตั้งแต่ไหนแต่ไรผมเข้าใจมาตลอดว่าปัญหาคือความทุกข์ เวลาผมมีปัญหามันจะมีความทุกข์ตามมาด้วยเสมอ จนมาถึงเมื่อผมได้อ่านหนังสือคู่มือมนุษย์ของท่านพุทธทาส(ปกติเวลาว่างๆก็จะหยิบหนังสือมาอ่าน ไม่ว่าไปทำอะไรถ้าว่างก็จะหาหนังสืออ่าน ระยะหลังๆชอบหยิบหนังสือประเภทซุบซิบดารามาอ่าน เพราะอ่านแล้วสนุกดี เพลินดี แต่พอเริ่มคิดได้จึงพบว่า อ่านไปทำไม มีประโยช์นอะไร เค้าไปกินข้าวที่ไหนกับใครเกี่ยวอะไรกับเรา ดาราจะรักใครเลิกใคร โกรธใครทะเลาะกันเรื่องอะไร เราจะรู้ไปทำไม พอคิดได้ช่วงนี้ก็จะติดหนังสือไว้อ่าน เช่นรอล้างรถ รอคิวธนาคาร ผมได้ประโยช์นจากหนังสือดีๆมากมาย ใช้เวลาให้เป็นประโยช์นดีกว่าไปรู้ว่าดาราหน้าหล่อแอบไปหลีใครเป็นไหนๆครับ)ผมสะดุดกับ โอวาทปาฎิโมทข์ ซึ่งแปลว่า คำสอนที่เป็นประธานของคำสอนทั้งหมด มีอยู่3ข้อสั้นๆคือ ไม่ทำความชั่วทั้งปวง ทำความดีให้เต็มที่ และทำจิตใจให้สะอาดปราศจากความเศร้าหมอง นี้เป็นหลักสำหรับปฎิบัติ ผมมาเกิดความสงสัยเรื่องทำจิตใจให้สะอาดปราศจากความเศร้าหมอง ซึ่งในข้อนี้ผมเกิดคำถามขึ้นในใจว่า ผมมักมีปัญหาเลยมักเกิดความเศร้าหมองเป็นอาจิณ แล้วผมก็พิจารณาเรื่องนี้จึงพบว่า จริงๆแล้วผมคิดผิดมาตลอด ปัญหาไม่ใช่ทุกข์ คนที่กำลังประสบปัญหาไม่ใช่คนที่กำลังมีความทุกข์ เพราะเมื่อมีปัญหา เราควรมีสติและใช้ปัญญาแก้ไขปัญหา เปรียบได้กับถ้าเราหกล้มมีแผล ก็ควรไปทำแผลทายา ไม่ใช่มาคร่ำครวญว่าเจ็บแผล โทษโชคชะตาว่ากลั่นแกล้ง การรับมือกับปัญหาที่ดีที่สุดคือการแก้ปัญหาด้วยสติและปัญญา แต่การรับมือกับปัญหาด้วยความทุกข์ โทษชะตาฟ้าดิน โอดโอยกับผู้อื่นเพื่อร้องขอความเห็นใจ ซึ่งเป็นวิธีการรับมือกับปัญหาที่ผมทำมาตลอดเป็นวิธีที่ไม่ถูกต้อง คนเราเกิดมาก็ต้องมีปัญหา เด็กก็มีปัญหาแบบเด็ก ผู้ใหญ่ก็มีปัญหาแบบผู้ใหญ่ ลูกน้องก็มีปัญหาแบบลูกน้อง หัวหน้าก็มีปัญหาแบบหัวหน้า สรุปแล้วใครๆก็มีปัญหาด้วยกันทั้งนั้น เมื่อมีปัญหาก็แก้กันไปตามปัญหา ด้วยสติและปัญญา เปลี่ยนมุมมองเสียใหม่ เมื่อมีปัญหาก็แก้ไข ปัญหาไม่ใช่ทุกข์ เมื่อเราไม่ทุกข์ใจเราก็ไม่เศร้าหมอง เมื่อไม่เศร้าหมอง ก็สามารถปฎิบัติตนตาม โอวาทปาฎิโมทข์ ได้ เลยอยากเชิญชวนทุกคนมาปฎิบัติตัวตาม โอวาทปาฎิโมทข์  คือ ไม่ทำความชั่วทั้งปวง ทำความดีให้เต็มที่ และทำจิตใจให้สะอาดปราศจากความเศร้าหมอง มาเริ่มกันวันนี้เลยน่ะครับ
ปล.เป็นความคิดอ่านของตัวผม ถ้าสิ่งใดไม่ถูกต้องต้องขออภัย และถ้าใครมีข้อคิดดีๆรบกวนบอกกล่าวกันด้วยครับ

105
วิทิสาสมาธิ โดย พระเทพเจติยาจารย์(หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินุธโร)


วิทิสาสมาธิ คืออะไร?
หลักวิธีการทำสมาธิที่ง่ายที่สุดใช้เวลาทำสมาธิน้อยที่สุดแต่ให้ผลประโยชน์ที่ได้จากการทำสมาธิคือพลังจิตสูงอย่างต่อเนื่อง (ทำน้อยแต่ได้ผลมาก) และเพียงพอต่อความต้องการของจิตใจให้สามารถดำรงความเป็นมนุษย์ได้อย่างสมบูรณ์
วิทิสาสมาธิเหมาะกับบุคคลเช่นไร?
เหมาะกับทุกๆคนไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่เคยฝึกสมาธิหรือไม่เคยและเหมาะที่สุดสำหรับผู้ที่มีภาระหน้าที่การงานมากหาเวลาว่างในชีวิตประจำวันเพื่อทำสมาธิได้น้อย
( เหมาะกับทุกเพศ , ทุกวัย , ทุกโอกาส , ทุกสถานที่ )
วิทิสาสมาธิทำอย่างไร?เพียงกำหนดจิตทำสมาธิคือนึกบริกรรมพุทโธในใจครั้งละ5 นาทีในอิริยาบทใดก็ได้ (ยืน , เดิน , นั่ง , นอน) โดยแบ่งทำวันละ 3 เวลา(เช้า , เที่ยง, เย็น) ตามแต่โอกาสจะอำนวยและจังหวะเวลาที่สะดวกรวมได้ 15 นาทีต่อวันและจะต้องทำอย่างต่อเนื่องทุกวันมิให้ขาดทำได้ดังนี้เดือนหนึ่งจะรวมชั่วโมงการทำสมาธิได้ถึง7 ชั่วโมงครึ่ง (450 นาที / เดือน)ซึ่งถือว่าเป็นเกณฑ์เฉลี่ยขั้นต่ำเพียงพอที่บุคคลจะด ำรงตนอยู่ได้โดยมีความสุขทางใจ (เกณฑ์เฉลี่ยต่ำสุดในการทำสมาธิคือ6 ช.ม./เดือน)
วิทิสาสมาธิทำแล้วได้ประโยชน์อย่างไร?
(ประโยชน์ของสมาธิ)
1.ทำให้หลับสบายคลายกังวล
2.กำจัดโรคภัยไข้เจ็บ
3.ทำให้สมองปัญญาดี
4.ทำให้รอบคอบก่อนทำงาน
5.ทำให้ระงับความร้ายกาจ
6.บรรเทาความเครียด
7.มีความสุชพิเศษ
8.ทำให้จิตใจอ่อนโยน
9.กลับใจได้
10.เวลาจะสิ้นลม พบทางดี
11.เจริญวาสนาบารมี
12.เป็นกุศล

106
สนทนาภาษาผู้ประพฤติ / Beautiful Sunday.......
« เมื่อ: 12 ก.ค. 2552, 05:13:01 »
เช้านี้ตื่นแต่เช้าครับ มีนัดกับพี่สาวและลูกชายจะไปวัดพุทธบูชา วันนี้ตั้งใจไปอบรมเรื่องการนั่งสมาธิครับ พอไปถึงก็ไปลงทะเบียนเรียนคอร์สสั้นๆ1วัน หลักสูตรชินนสาสมาธิ(สมาธิชนะใจตัวเอง) ของหลวงพ่อวิริยังค์ สิรินุธโธ การอบรมมีท่านวิทยากรมาบรรยาย แบ่งเป็นช่วงเช้าและบ่าย ช่วงเช้าวิทยากรก็บรรยายเรื่องทั่วไปเกี่ยวกับการนั่งสมาธิ ส่วนช่วงบ่ายก็มีบรรยายอีกหน่อย แล้วก็ฝึกปฎิบัติ มีการฝึกเดินจงกรม และฝึกการนั่งสมาธิ หลักสูตรนี้ใช้เวลาเพียงวันเดียว เหมาะแก่ผู้ที่กำลังสนใจในการนั่งสมาธิ เพราะเป็นการบรรยายขั้นพื้นฐาน เพื่อที่ผู้เข้าอบรมจะตัดสินใจสมัครเข้าเรียน ครูสมาธิ เรียนวันเสาร์และอาทิตย์ใช้เวลา6เดือน ก่อนจบไปปฎิบัติธรรมดอยอินทนนท์ ทุกคอร์สไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายน่ะครับ ช่วงกลางวันมีอาหารกลางวันให้ด้วยครับ วันนี้ในห้องเรียนมีตั้งแต่เด็กๆ วัยรุ่น จนถึงผู้สูงอายุ วันนี้ผมดีใจที่ได้ไปซึบซับบรรยากาศของผู้ใฝ่ที่จะปฎิบัติธรรม และดีใจที่ลูกชายไปด้วยโดยที่ไม่ได้บังคับแต่ขอไปด้วยเอง เมื่อก่อนผมมีความคิดว่าถ้าวันหนึ่งลูกชายโตขึ้นมา คงได้นั่งกินเหล้าคุยกัน แต่ตอนนี้ความคิดนี้ในหัวผมไม่มีแล้ว ผมว่าการที่ได้ไปวัดกับลูกได้ไปปฎิบัติธรรมด้วยกัน น่าจะเป็นหนทางที่ถูกต้องและมีความสุขที่แท้จริงมากกว่าครับ จบหลักสูตรวันนี้ผมคงไม่สมัครเรียนหลักสูตร ครูสมาธิ ไม่ใช่ไม่ถูกใจหรือไม่ชอบน่ะครับ ทุกอย่างดีหมด แต่ผมตั้งใจปฎิบัติเองที่บ้านตามแนวทางที่ได้ฝึกมาน่าจะเป็นประโยช์นกับตัวผมเองมากกว่าครับ แต่สำหรับคนที่ฝึกที่บ้านแล้วไม่มีสามารถปฎิบัติได้ผมแนะนำว่าเข้าอบรมหลักสูตรแบบนี้ น่าเป็นทางเลือกที่ดีน่ะครับ เพราะฝึกเป็นหมู่คณะน่าจะง่ายกว่าทำคนเดียวครับ วันนี้ผมได้รับการอบรมเรื่องวิทิสาสมาธิ ซึ่งจะขอสรุปให้ฟังกระทู้ต่อไปน่ะครับ

107
สนทนาภาษาผู้ประพฤติ / ปิติ
« เมื่อ: 10 ก.ค. 2552, 10:11:40 »
เท่าที่ค้นหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ท อาการปิติหลักๆจะมีด้วยกันอยู่5ข้อ
อาการของปีติมี5อย่าง
1 มีการขนลุกขนชัน ท่านเรียกว่าขนพองสยองเกล้า
2 มีน้ำตาไหลจากตาโดยไม่มีอะไรไปทำให้ตาระคายเคือง
3 ร่างกายโยกโคลง คล้ายเรือกระทบคลื่น
4 ร่างกายลอยขึ้นเหนือพื้นที่นั่ง บางรายลอยไปได้ไกลๆ และลอยสูงมาก
5 อาการกายซู่ซ่า คล้ายร่างกายโปร่ง และใหญ่โตสูงขึ้นอย่างผิดปกติ
อยากกราบเรียนถามพระอาจารย์ว่า ช่วงนี้จะเกิดอาการ3 และรู้สึกว่าโคลงหนักมากๆ อยากจะเรียนถามว่าในขณะนั้นตัวเราได้เอียงไปมาจริงๆด้วยหรือเปล่าครับ เพราะถ้าตัวเอียงไปเอียงมาจริงๆหัวโยกจริงๆ เกรงว่าเดี๋ยวคนที่บ้านหากพบเห็นจะตกใจครับ และถ้าตัวเอียงไปมาจริงๆจะได้ทำความเข้าใจกันก่อนครับ อย่างเมื่อคืนเกิดปิติเกือบครบทุกข้อเว้นข้อ2 แต่ได้พบเห็นภาพบ้างแต่ไม่เด่นชัดครับ แต่ในขณะนั่งสมาธิ ก็ไม่ได้หวั่นไหวไปกับปิติต่างๆคงนั่งต่อไปให้ปิติดับลงครับ แต่ที่สงสัยคือ เหตุใดจึงเกิดปิติมากมายครับ และแนวทางที่จะปฎิบัติต่อไปคือไม่สนใจต่อปิติที่เกิดขึ้นใช่ไหมครับ ให้นั่งไปเรื่อยๆเกิดอะไรขึ้นมาก็ดูไปเดี๋ยวก็ดับไปเองใช่ไหมครับ ขอบพระคุณพระอาจารย์ล่วงหน้าครับ

108
สงบจิตด้วยการนั่งสมาธิ

ปฏิบัติทำไมมันถึงยากถึงลำบาก เพราะว่ามันอยาก พอไปนั่งสมาธิปุ๊บก็ตั้งใจว่าอยากจะให้มันสงบ ถ้าไม่มีความอยากให้สงบก็ไม่นั่งไม่ทำอะไร พอเราไปนั่งก็อยากให้มันสงบ เมื่ออยากให้มันสงบ ตัววุ่นวายก็เกิดขึ้นมาอีก ก็เห็นสิ่งที่ไม่ต้องการเกิดขึ้นมาอีก มันก็ไม่สบายใจอีกแล้ว นี่มันเป็นอย่างนี้

ฉะนั้น พระพุทธเจ้าท่านสอนว่า อย่าพูดให้เป็นตัณหา อย่ายืนให้เป็นตัณหา อย่านั่งให้เป็นตัณหา อย่านอนให้เป็นตัณหา อย่าเดินให้เป็นตัณหา ทุกประการนั้นอย่าให้เป็นตัณหา ตัณหาแปลว่าความอยาก ถ้าไม่อยากจะทำอะไรเราก็ไม่ได้ทำ อันนั้นปัญญาของเราไม่ถึง ทีนี้มันก็เลยอู้เสีย ปฏิบัติไปไม่รู้จะทำอย่างไร พอไปนั่งสมาธิปุ๊บ ก็ตั้งความอยากไว้แล้ว

อย่างพวกเราที่มาปฏิบัติอยู่ในป่านี้ ทุกคนต้องอยากมาใช่ไหม นี่จึงได้มา อยากมาปฏิบัติที่นี้ มาปฏิบัตินี่ก็อยากให้มันสงบ อยากให้มันสงบก็เรียกว่าปฏิบัติเพราะความอยาก มาก็มาด้วยความอยาก ปฏิบัติก็ปฏิบัติด้วยความอยาก เมื่อมาปฏิบัติแล้วมันจึงขวางกัน ถ้าไม่อยากก็ไม่ได้ทำ จึงเป็นอยู่อย่างนี้ จะทำอย่างไรกับมันล่ะ

อย่าให้ตัณหาเข้าครอบงำในการปฏิบัติ
การกระทำความเพียรก็เป็นอย่างนั้น พระพุทธเจ้าว่า อย่าทำให้เป็นตัณหา อย่าพูดให้เป็นตัณหา อย่าฉันให้เป็นตัณหา ยืนอยู่ เดินอยู่ นั่งอยู่ นอนอยู่ ทุกประการท่านไม่ให้เป็นตัณหา คือทำด้วยการปล่อยวาง เหมือนกับซื้อมะพร้าว ซื้อกล้วยมาจากตลาดนั่นแหละ เราไม่ได้เอาเปลือกมันมาทานหรอก แต่เวลานั้นยังไม่ถึงเวลาจะทิ้งมัน เราก็ถือมันไว้ก่อน การประพฤติปฏิบัตินี้ก็เหมือนกันฉันนั้น

สมมุติวิมุติมันก็ต้องปนอยู่อย่างนั้น เหมือนกับมะพร้าว มันจะปนอยู่ทั้งเปลือกทั้งกะลาทั้งเนื้อมัน เมื่อเราเอามาก็เอามาทั้งหมดนั่นแหละ เขาจะหาว่าเราทานเปลือกมะพร้าวอย่างไรก็ช่างเขาปะไร เรารู้จักของเราอยู่เช่นนี้เป็นต้น อันความรู้ในใจของตัวเองอย่างนี้ เป็นปัญญาที่เราจะต้องตัดสินเอาเอง นี้เรียกว่าตัวปัญญา ดังนั้น การปฏิบัติเพื่อจะเห็นสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ไม่เอาเร็วและไม่เอาช้า ช้าก็ไม่ได้ เร็วก็ไม่ได้ จะทำอย่างไรดี ไม่มีช้า ไม่มีเร็ว เร็วก็ไม่ได้ มันไม่ใช่ทาง ช้าก็ไม่ได้ มันไม่ใช่ทาง มันก็ไปในแบบเดียวกัน

ตั้งใจทำสมาธิมากเกินไป ก็กลายเป็นความอยาก

แต่ว่าพวกเราทุกๆ คนมันร้อนเหมือนกันนะ มันร้อน พอทำปุ๊บก็อยากให้มันไปไวๆ ไม่อยากจะอยู่ช้า อยากจะไปหน้า การกำหนดตั้งใจหาสมาธินี้ บางคนตั้งใจเกินไป บางคนถึงกับอธิษฐานเลย จุดธุปปักลงไป กราบลงไป ?ถ้าธูปดอกนี้ไม่หมด ข้าพเจ้าจะไม่ลุกจากที่นั่งเป็นอันขาด มันจะล้ม มันจะตาย มันจะเป็นอย่างไรก็ช่างมัน จะตายอยู่ที่นี้แหละ?

พออธิษฐานตั้งใจปุ๊บก็นั่ง มันก็เข้ามารุมเลย พญามาร นั่งแพล็บเดียวเท่านั้นแหละ ก็นึกว่าธูปมันคงจะหมดแล้วเลยลืมตาขึ้นมาดูสักหน่อย โอ้โฮ ยังเหลือเยอะ กัดฟันเข้าไปอีก มันร้อนมันรน มันวุ่นมันวาย ไม่รู้ว่าอะไรอีก เต็มทีแล้ว นึกว่ามันจะหมด ลืมตาดูอีก โอ้โฮ ยังไม่ถึงครึ่งเลย สองทอดสามทอดก็ไม่หมด เลยเลิกเสีย เลิกไม่ทำ นั่งคิดอาภัพอับจน แหม ตัวเองมันโง่เหลือเกิน มันอาภัพ มันอย่างโน้นอย่างนี้ นั่งเป็นทุกข์ว่าตัวเองเป็นคนไม่จริง คนอัปรีย์ คนจัญไร คนอะไรต่อมิอะไรวุ่นวาย ก็เลยเกิดเป็นนิวรณ์ นี่ก็เรียกว่าความพยาบาทเกิด ไม่พยาบาทคนอื่น ก็พยาบาทตัวเอง อันนี้ก็เพราะอะไร เพราะความอยาก

ทำสมาธิด้วยการปล่อยวาง อย่าทำด้วยความอยาก

ความเป็นจริงนั้นนะ ไม่ต้องไปทำถึงขนาดนั้นหรอก ความตั้งใจนะคือตั้งใจในการปล่อยวาง ไม่ต้องตั้งใจในการผูกมัดอย่างนั้น อันนี้เราไปอ่านตำราเห็นประวัติพระพุทธเจ้าว่า ท่านนั่งลงที่ใต้ต้นโพธิ์นั้น ท่านอธิษฐานจิตลงไปว่า ?ไม่ตรัสรู้ตรงนี้จะไม่ลุกหนีเสียแล้ว แม้ว่าเลือดมันจะไหลออกมาอะไรก็ตามทีเถอะ?

ได้ยินคำนี้เพราะไปอ่านดู แหม เราก็จะเอาอย่างนั้นเหมือนกัน จะเอาอย่างพระพุทธเจ้าเหมือนกันนี่ ไม่รู้เรื่องว่ารถของเรามันเป็นรถเล็กๆ รถของท่านมันเป็นรถใหญ่ ท่านบรรทุกทีเดียวก็หมด เราเอารถเล็กไปบรรทุกทีเดียวมันจะหมดเมื่อไหร่ มันคนละอย่างกัน เพราะอะไรมันถึงเป็นอย่างนั้น มันเกินไป บางทีมันก็ต่ำเกินไป บางทีมันก็สูงเกินไป ที่พอดีๆ มันหายาก

หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง ต.โนนผึ้ง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี


109
เรื่องนิมิตที่ปรากฏเห็น หรือบังเกิดขึ้นนั้น มีนัยดังจะกล่าวต่อไปนี้คือ
๑. จิตในเวลานอนหลับ ก็บังเกิดนิมิตได้ เรียกว่า ฝัน
๒. จิตในเวลานั่งสมาธิ ก็บังเกิดนิมิต เรียกว่า นิมิตสมาธิ


กราบนมัสการพระอาจาร์ย อยากกราบเรียนพระอาจาร์ย ช่วยอธิบายนิมิตรสมาธิ ให้พวกผมด้วยครับ เพราะปัญหาที่พบในการนั่งสมาธิของหลายคน คือยึดติดกับนิมิตรเกินไป จนคิดไปว่าการที่ได้เห็นนิมิตรต่างๆเป็นเรื่องที่สำคัญและประสบความสำเร็จในการนั่งสมาธิ คือถ้าได้เห็นคือสำเร็จ จนหลายๆคนอาจเห็นนิมิตรจากจิตที่ปรุงแต่งขึ้นมาเองครับ กราบรบกวนพระอาจาร์ยโด่ง ช่วยอธิบายและชี้แนะด้วยน่ะครับ

110
เมื่อวานได้ไปเพชรบุรี ไปวัดถ้ำรงค์ ให้หลวงพ่อแดงเมตตา ทำพิธีเสริมดวงให้ครับ




ของที่จะทำพิธี



หลวงพ่อแดงทำพิธีเสริมดวงให้ผมและแฟน






111


ท่านั่งสมาธิ
วิธีนั่ง นั่งเหมือนพระพุทธรูปปางสมาธิ คือ นั่งเอาเท้าขวาทับเท้าซ้าย เอามือซ้ายวางบนหน้าตักและเอามือขวาทับมือซ้ายนั่งตัวตรงดำรงสติไว้ให้มั่นควบคุมไว้มิให้ใจฟุ้งซ่านไปภายนอก แล้วกำหนดลมหายใจเข้าออก ปล่อยให้เข้าออกตามสบาย พร้อมกับภาวนาว่า พุท เมื่อหายใจเข้า และภาวนาว่า โธ เมื่อหายใจออก โดยกำหนดจุดหรือฐานที่ลมกระทบ 3 จุด คือ ปลายจมูก หรือ ริมฝีปากบน 1 ท่ามกลางอก 1 ที่ท้อง 1 ใน 3 จุดนี้ จุดใดกำหนดได้ง่ายสุด ท่านให้ถือเอาจุดนั้น ซึ่งส่วนมากจะเป็นจุดที่ปลายจมูก แต่สำหรับผู้เริ่มใหม่ๆนั้นจะต้องกำหนดทั้ง 3 จุดที่ลมกระทบหรือผ่าน แต่เมื่อกำหนดได้คล่องแล้ว ก็มากำหนดที่ปลายจมูกเพียงจุดเดียวหรือตามถนัด
เมื่อนั่งได้ตามระยะเวลาที่กำหนดไว้แล้ว หรือ รู้สึกว่านั่งนานเกินไป ก็เปลี่ยนไปสู่อิริยาบทใหม่ต่อไป

ข้อมูลจาก http://www.buildboard.com

112
ระดับขั้นของสมาธิ
แบ่งออกเป็น ๓ ขั้นกล่าวคือ
๑.สมาธิที่เกิดขึ้นชั่วขณะ แต่ตั้งมั่นอยู่ได้ไม่ได้นาน (ขณิกสมาธิ)
๒.สมาธิที่ตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์เดียวได้นิ่งสงบ และนิ่งสงบนานกว่าระดับแรกแต่ยังไม่สามารถตัดขาดจากสิ่งรบกวนภายนอกหรือเรียกว่าสมาธิขั้นจวนเจียน (อุปจารสมาธิ)
๓.สมาธิที่แนบแน่นและมั่นคงอยู่ในอารมณ์นั้นๆ จนตัดจากสิ่งรบกวนภายนอกได้สิ้น เป็นสมาธิในฌาน (อัปปนาสมาธิ)
กราบนมัสการรบกวนพระอาจาร์ย ช่วยอธิบายเพิ่มเติมระดับขั้นของสมาธิ เพื่อให้เกิดความเข้าใจมากขึ้นและเป็นความรู้ให้กับผู้สนใจที่จะปฎิบัติครับ

113
หลายคนคงเคยมีความคิดแบบนี้ อยากปฎิบัติธรรมแต่ติดตรงที่ตัวเองไม่มีเวลาไปปฎิบัติที่วัด บางทีอยากนั่งสมาธิแต่ไม่รู้จะทำยังไง เริ่มต้นอย่างไร จะไปปฎิบัติธรรม3วัน7วัน ก็ลางานไม่ได้ อยากจิตใจสงบอยากไปวัดป่า แต่ยังหาเวลาไปไม่ได้ อยากปฎิบัติธรรมต้องหาชุดขาวมาใส่ เลยยังไม่ได้ไปซื้อ สรุปคืออยากปฎิบัติธรรม อยากสงบ แต่ติดตรงไม่มีเวลา ติดเงื่อนไขต่างๆ เลยไม่ได้ปฎิบัติซะที อยากสงบ เลยไม่ได้สงบ เรามาหาคำตอบ แนวทางที่เราจะปฎิบัติธรรม มาทำให้เรื่องปฎิบัติธรรมเป็นเรื่องง่ายๆใกล้ตัว เราจะได้เริ่มลงมือปฎิบัติธรรมกันตั้งแต่วันนี้ ถึงวันนี้ผมพอรู้แนวทางแต่ผมคงไม่กล้าตอบในคำถามที่ผมตั้งได้ เพราะปัญญาในธรรมผมมีน้อยนิด จึงขอรบกวนผู้รู้ วานตอบที หรือ รบกวนพระอาจาร์ยช่วยเมตตา ชี้ทางให้ด้วยครับ

114
เมื่อวานได้ไปวัดบางพระเพื่อเข้าร่วมงาน ทำบุญวันคล้ายวันมรณะภาพ พระอุดมประชานาถ ( หลวงพ่อเปิ่น ฐิตคุโณ )ครบรอบ ปีที่7 ผมถึงวัดราวๆ10โมงเช้า พอไปถึงก็พบพี่ๆน้องๆในบอร์ดเรามากมาย บรรยากาศเป็นไปอย่างอบอุ่น แม้ครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกที่ได้พบกันแต่เราก็ทักทายพูดคุยเหมือนคนคุ้นเคย ผมได้รางวัลจากผู้การเสือ วันนี้ผู้การเสือเมตตาให้พระและซีดีรวมถึงเป่าให้ผมตอนรับของด้วย หลังจากนั้นก็เจอเก่ง(สิบทัศน์) พอเจอหน้าเก่งก็มอบเหรียญเสด็จพ่อร.๕ให้ผม2เหรียญ(ขอบคุณอีกครั้งน่ะครับ) หลังจากนั้นเก่งก็พาไปกราบ พระอาจาร์ย(หลวงพี่โด่ง,ระวีสัจจะ)วันนี้ได้สนทนาธรรม ให้ท่านสอนสั่งอยู่นานสองนาน ท่านเมตตาผมมาก ขนาดไม่ลงไปฉันที่งานเพราะจะสอนธรรมะให้ผม พี่ๆน้องของเราเลยนำมาถวายที่กุฎิริมน้ำเลย คำสอนของท่าน สัมผัสได้  เข้าใจง่าย ปฎิบัติได้ สนทนากับท่านได้เกือบชั่วโมง ก็ลาท่านไปสักกับหลวงพี่แป๊ว โดยบอกท่านว่าเย็นนี้จะไปส่งท่าน ตอนแรกที่ไปกุฎิหลวงพี่แป๊ว วันนี้คนน้อยกว่าทุกครั้ง หลวงพี่แป๊วท่านถามผมว่าวันนี้รีบไหม มีธุระไหม ผมเลยตอบว่าไม่รีบครับ วันนี้ผมเลยได้อยู่นานกว่าทุกครั้ง แต่ก็สุขใจครับ ผมได้ช่วยขึงหนัง ได้สนทนากับหลวงพี่แป๊ว และที่สำคัญวันนี้ผมภูมิใจที่ได้นวดหลวงพี่แป๊วครับ เป็นความสุขของผมที่ได้ทดแทนคุณท่านครับ และวันนี้ วอน (TTTUTTT)ก็มารอสัก ทำให้วันนี้ไม่เหงาด้วยครับ ช่วงที่หลวงพี่แป๊วพัก ก็ได้คุยกับวอน เพลินดีครับ หลวงพี่แป๊วถามผมสามสี่ครั้งว่าไม่รีบใช่ไหม ผมก็ตอบว่าไม่รีบ จนเวลาล่วงมาหนึ่งทุ่ม ผมก็ยังไม่ได้สัก ท่านก็ถามผมอีกว่ายังไม่รีบกลับใช่ไหม แต่คราวนี้ผมนึกถึงหลวงพี่โด่งว่า ท่านจะนึกว่าผมกลับไปแล้วหรือเปล่า เลยกราบเรียนหลวงพี่แป๊วไปว่า มีนัดไปส่งหลวงพี่โด่งครับ หลวงพี่แป๊วเลยเมตตา สาริกาคู่มาให้ วันนี้ที่วัดมีงาน ในงานมีการเปิดเพลง ต้องบอกว่าหนวกหูโครตๆ ทำลายโสตประสาทสุดๆ กระจกกุฎิกระเพื้อมสุดๆ บ้าไปแล้วครับ ขนาดวันนี้หลวงพี่แป๊วให้พวกผมเอานมไปให้คนเปิดเพลงแล้วบอกว่าให้รางวัลที่เปิดเพลงถูกใจ แทนที่จะสำนึก เค้าคงคิดว่าผมให้เพราะถูกใจจริงๆ เพราะกระหน่ำเปิดต่อ หนักกว่าเดิมอีก555 วันนี้ตอนสักยุงเยอะมากครับ ตอนสักรู้สึกว่ายุงทำไมกัดเจ็บกว่าโดนเข็มแทงซะอีก หลังจากที่สักเสร็จก็กราบลาหลวงพี่แป๊ว แล้วไปกุฎิริมน้ำทันที หลวงพี่โด่งยังอยู่ครับ กำลังแต่งกลอนสอนใจพวกเราอยู่ครับ หลวงพี่นรินทร์เลยเมตตาสนทนากับผมรอให้หลวงพี่โด่งแต่งจนเสร็จ หลังจากนั้นก็เดินทางกลับโดยผมอาสาไปส่ง ระหว่างทางจากวัดบางพระจนถึงราชดำเนิน หลวงพี่ได้สอนผมมากมายครับ ตั้งแต่ช่วงเช้าแล้วจนถึงตอนกลับบ้าน ไม่ว่าจะเป็นวิธีนั่งสมาธิ แนวคิดในการปฎิบัติธรรม แนวคิดในการใช้ชีวิต หลักคิดในการแก้ปัญหา เรียกว่าวันนี้ผมได้รับคำสอนคำแนะนำมากมายจากท่าน คำสอนท่านที่ฝังใจและน้อมจะปฎิบัติตามคือ ไร้รูปแบบแต่ไม่ไร้สาระ...........ปัญหาในชีวิตถ้ามารวมกันหมด มันจะแก้ยาก เพราะมันเยอะไปหมด ให้ค่อยๆแบ่งปัญหาใหญ่แบ่ง ซอยให้เป็นปัญหาเล็กๆ แล้วค่อยแก้ทีละเล็ก เมื่อแก้ปัญหาเล็กๆเราก็จะแก้ได้เพราะปัญหามันไม่ใหญ่ แต่ถ้าเราแก้ปัญหาเล็กๆไปเรื่อยๆ ในที่สุดเราก็จะแก้ปัญหาได้จนหมด  ...............คนเราเวลาวิเคราะห์ปัญหาของคนอื่นจะทำได้ดี ทะลุปุโปร่ง แต่เวลาวิเคราะห์ปัญหาตัวเอง มักจะเข้าข้างตัวเองโทษแต่คนอื่น ลองวิเคราะห์ปัญหาของจัวเอง โดยถอนตัวจากตัวตน แล้ววิเคราะห์ปัญหาของตัวเองให้เหมือนมองคนอื่น ถ้าเราทำได้ เราก็จะแก้ปัญหาได้ทะลุปุโปร่ง ........เหล่านี้เป็นแค่บางส่วนจากคำสอนของท่านเรื่องการดำเนินชีวิตครับ ระยะทางจากวัดบางพระกับราชดำเนินจะดูใกล้ไปถนัดตา ก่อนที่ท่านจะลงจากลงท่านยังเมตตาให้นามบัตรผม เผื่อผมมีข้อสงสัยอะไรในธรรมจะได้มีช่องทางอื่นในการติดต่อท่านได้ ผมกลับบ้านอย่างมีความสุข วันนี้ผมได้ของดี และคำสอนดีๆ ตลอดจนน้ำใจไมตรีที่ผมได้รับ ดีใจจังครับที่ชีวิตมีเมื่อวานนี้ครับ

115
กสิณ คือ อะไร?

กสิณ แปลว่าวัตถุสำหรับดึงจิตให้เป็นสมาธิ

กสิณเป็นกรรมฐานสำหรับฝึกจิตด้วยวิธีเพ่งมองและหลับตานึกสลับกัน ทำให้จิตเป็นสมาธิได้ง่ายและรวดเร็ว เพราะจิตจะสนใจอยู่กับกสิณที่เพ่งมอง เมื่อหลับตาลงจะเห็นภาพนิมิตของกสิณนั้นติดตามาด้วย ถ้าฝึกบ่อยๆ นิมิตจะปรากฏเด่นชัดมากยิ่งกว่ากสิณจริงเป็น100ๆ เท่า ผู้เพ่งกสิณจิตจะไม่ฟุ้งซ่านและไม่ง่วงนอนในเวลาทำสมาธิเพราะจิตมีกสิณเป็นตัวยึด

วิธีการเพ่งกสิณ

นั่งห่างจากแผ่นกสิณ 1 เมตรเพ่งมองไป ณ จุดกึ่งกลางแผ่นกสิณชั่วขณะหนึ่งแล้วหลับตาลงนึกภาพกสิณนั้น  ถ้าจิตเป็นสมาธิจะเห็นภาพของกสิณผุดขึ้นมาในใจเป็นสีตรงข้ามกับแผ่นกสิณจริง เมื่อภาพนั้นหายไปให้ลืมตาขึ้นมาเพ่งมองใหม่แล้วหลับตาลงนึกภาพกสิณอีกสลับกันไปเช่นนี้ จนกว่าจะเห็นภาพกสิณนั้นเป็นสีเดียวกันกับสีที่เพ่ง จึงหยุดการเพ่งแล้วฝึกเข้าฌานเพื่อทำวิปัสสนาญาณให้เกิดต่อไป

ประโยชน์ของกสิณ

เบรกอารมณ์ตนเองได้โดยอัตโนมัติเมื่อถูกกระทบ(อภิภายตนะ)

ทำให้จิตเร็วต่อการรับรู้และมีความทรงจำดี

มีสมาธินิ่งอยู่กับสิ่งที่ทำได้นานเท่าที่ต้องการ

ทำฌานได้สูงสุดตามหลักพระพุทธศาสนา

พัฒนาความคิดทำให้เกิดปัญญาเฉพาะตัวขึ้นมาได้เอง

วิธีทำกสิณ

วิธีทำกสิณต้องทำเป็นวงกลม ได้ขนาดพอดี มีความละเอียดและข้อกำหนดบางอย่างยุ่งยากพอสมควร ถ้าทำไม่ถูกก็อาจกลายเป็นกสิณมีโทษไป ก่อนทำควรศึกษาให้ดี วัตถุที่ทำเป็นกสิณได้มี 10 ชนิด คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ (ภูตกสิณ 4 ชนิด) สีแดง สีเขียว สีเหลือง สีขาว (วรรณกสิณ 4 ชนิด) แสงสว่าง และอากาศ

ที่มา:http://www.kasina.org
 


116
เพื่อนๆหลายๆคนคงเคยมีความคิดที่อยากจะลองนั่งสมาธิดูใช่ไหม..... วันนี้เรามาลองนั่งสมาธิกันไหมครับ เริ่มกันง่ายๆที่หน้าจอคอมพิวเตอร์กันเลยน่ะครับ ขออนุญาติแปะลิงค์น่ะครับ (ไม่มีเจตนาอื่นใดนอกจากให้เพื่อนๆศึกษาเรื่องการนั่งสมาธิน่ะครับ ถ้าผิดกฎก็ขออภัยน่ะครับ)
http://www.polyboon.com/worship/dhumma03_04.html

117
พระนเรศวรมหาราช.........พระเจ้าตากสินมหาราช...........สมเด็จพระปิยมหาราช
ต่อจากกระทู้เดิม http://www.bp.or.th/webboard/index.php/topic,9790.0.html
วันนี้เลยอยากนำเหรียญทั้ง3พระองค์ที่พอมีนำมาให้ชมกันครับ ภาพเบลอๆไปหน่อย ขอโทษด้วยครับ เมื่อวานถ่ายแล้วมือคงสั่นไปหน่อยครับ

เสด็จพ่อร.๕ 2เหรียญนี้ เพิ่งได้มาล่าสุด จากวัดยายร่มครับ



118
วันนี้ขับรถผ่านคลองถมเลยตัดสินใจแวะเข้าไป จุดมุ่งหมายคือไปซื้อซีดีครับ เข้าที่จอดรถ จอดรถยากเหมือนเคย แถบๆนี้หาที่จอดยากเย็นเหลือเกินครับ พอได้ที่จอดรถก็มุ่งหน้าไปร้านซีดีเลยครับ ไม่อยากเสียเวลาหาเลยถามคนขายเลยครับ ว่าซีดีสวดมนต์อยู่ตรงไหน พนักงานชี้ไป พร้อมแนะนำว่า ล๊อคแรก บทสวดไทย ถัดมา บทสวดจีน และบทสวดอินเดีย วันนี้ตั้งใจจะซื้อบทสวดชินบัญชรครับ และแล้วก็หาได้อย่างที่ตั้งใจครับ

จากนั้นก็เลือกบทสวดเจ้าแม่กวนอิมสักแผ่นครับ

แล้วสายตาก็ไปเจอ VCDหลวงพ่อเปิ่นครับ ไม่รอช้าเลยครับ รีบคว้าเลย เป็นVCDชีวประวัติของท่านพร้อมภาพพิธีไหว้ครูครับ ถือว่าวันนี้ไปแล้วได้มากกว่าที่ตั้งใจครับ



วีซีดี ชุดนี่ดีมากๆครับ มีสัมภาษณ์หลวงพ่อเปิ่นเล่าที่มาว่าทำไมต้องเสือครับ และมีหลวงพี่แป๊วกำลังสักให้ลูกศิษย์ด้วยครับ ใครผ่านไปที่คลองถม แวะไปร้านชิบูย่าได้เลยครับ 50บาทเองครับ น่าเก็บสะสมไว้อย่างยิ่งครับ

ปล.วันก่อนไปที่โลตัสได้ซื้อหนังสือ 108พระเครื่อง หลวงพ่อเปิ่น มาครับ ลดราคาอยู่29บาทเองครับ



119
ธรรมะ / นินทากาเล.................
« เมื่อ: 20 มิ.ย. 2552, 10:53:19 »
เมื่อเขานินทาต้องหยุดนิ่งพิจารณาดูว่าเขาว่าอะไรกัน ถ้าไม่เป็นจริงก็แล้วไป แต่หากเป็นจริงอย่างเขาว่า ก็แก้ไขตัวเราเสียก็หมดเรื่องกันเท่านั้นเองธรรมะไปในแง่นี้ ถ้าเราไม่มีธรรมมะอย่างนั้นเขาว่าให้เรา เราก็โกรธให้เขา อันนี้ไม่ใช่แง่ธรรมะ ถ้าเป็นแง่ธรรมะแล้ว เขาว่าให้เรามัน จริงหรือเปล่า? มีอะไรมั้ย? ที่เขาว่าไม่ดีจริงไหม? เราควรเคารพ เออเราเป็นจริงนะ เราก็เขี่ยสิ่งที่ไม่ดีออกจากใจของเราเสีย อย่างนั้นมันจะเกิดประโยช์น ที่เขานินทาเกิดประโยช์นแล้ว เราจะต้องเอาความดีในสิ่งที่ไม่ดีเราจะต้องเอาความสงบในสิ่งที่มันวุ่นวายให้มันได้ นี่เราเรียกว่าแง่ธรรมมะ ฉะนั้นจึงว่าให้น้อมใจเข้าสู่ธรรมะ ไม่ใช่น้อมธรรมะเข้ามาสู่ใจ เพราะธรรมะมันเป็นอย่างนี้ เพราะธรรมะคือความถูกต้องเสมอ
                       จากหน้า37 หนังสือมรดกธรรมเล่มที่38 ความสงบอยู่ที่ไหน พระโพธิญาณเถร หลวงพ่อชา สุภทฺโท


                                                      

120
(chinese tantra totem for good luck) (จาก Fw - mail)

จงให้มากกว่าที่ผู้รับต้องการ และทำอย่างหน้าชื่นตาบาน
จงพูดกับคนที่ถึงแม้จะอายุน้อยกว่า แต่เขาก็มีความสำคัญเท่ากัน
จงอย่าเชื่อทุกอย่างที่ได้ยิน ใช้ทั้งหมดที่มี และนอนเท่าที่อยากจะนอน
เมื่อกล่าวคำว่า 'ฉันรักเธอ' จงหมายความตามนั้นจริง ๆ
เมื่อกล่าวคำว่า 'ขอโทษ' จงสบตาเขาด้วย
ก่อนจะตัดสินใจแต่งงาน จงหมั้นเสียก่อนอย่างน้อย 6 เดือน
จงเชื่อในรักแรกพบ
อย่าหัวเราะเยาะความฝันของผู้อื่น คนที่ไม่มีฝันก็เหมือนไม่มีอะไร
เมื่อรักจงรักให้ลึกซึ้ง และ ร้อนแรง อาจจะต้องเจ็บปวดแต่นั่นคือหนทางเดียวที่ทำให้ชีวิตถูกเติมเต็ม
ในเหตุการณ์ขัดแย้ง โต้อย่างยุติธรรม ไม่มีการตะโกนใส่กัน
อย่าตัดสินคนเพียงเพราะญาติๆ ของเขา
จงพูดให้ช้า แต่ต้องคิดให้เร็ว
ถ้าถูกถามด้วยคำถามที่ไม่อยากตอบ จงยิ้มแล้วถามกลับว่า จะรู้ไปทำไม
จงจำไว้ว่า สองสิ่งที่ยิ่งใหญ่ คือความรัก และความสำเร็จ ล้วนต้องมีการเสี่ยง
พูดว่า ขอพระคุ้มครอง เมื่อได้ยินใครจาม
เมื่อพ่ายแพ้ จงอย่าสูญเสียบทเรียนไปด้วย
จงจำ 3 R :- นับถือผู้อื่น นับถือตนเอง รับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองทำ
จงอย่าให้ความขัดแย้งเล็กๆ น้อยๆ มาทำลายมิตรภาพที่ยิ่งใหญ่
ทันทีที่รู้ตัวว่าทำผิด ลงมือแก้ไขทันที
จงยิ้มเวลารับโทรศัพท์ ผู้ฟังจะเห็นได้จากน้ำเสียงของเรา
จงหาโอกาสอยู่กับตัวเองบ้าง

121
พระนเรศวรมหาราช.........พระเจ้าตากสินมหาราช...........สมเด็จพระปิยมหาราช
พระมหากษัตริย์ทั้ง3พระองค์ เป็นที่เคารพบูชา โดยผมมีเหตุผลส่วนตัวที่อยากจะแบ่งปันให้กับทุกคนครับ ทุกคนคงทราบว่าทั้ง3พระองค์มีบุญคุณต่อประเทศมากมายเพียงใด พระนเรศวร พระเจ้าตาก ทรงกู้ชาติประกาศเอกราชให้แก่ประเทศ เสด็จพ่อร.5ทรงเลิกทาส เหตุการณ์ที่ว่ามาเป็นเหตุผลที่ผมบูชา 3พระองค์ เพราะตั้งแต่ทำงานมา19ปีผมมีปัญหาเรื่องหนี้สินส่วนตัวมาตลอด หลังจากที่ผมทำงานได้2ปีหรือ17ปีที่แล้วเงินเดือนผมก็ถึงหนึ่งหมื่น ก็เริ่มมีบัตรเครดิตใบแรก ช่วงแรกๆที่ใช้บัตรพลาสติกก็สนุกสนานกับการจับจ่าย ระเบียบวินัยการใช้เงินต่ำ ชีวิตผมเลยผูกพันธ์กับการจ่ายขั้นต่ำมาโดยตลอด พอยิ่งใช้เครดิตยิ่งดี และก่อนที่ฟองสบู่จะแตก เงินเดือนก็รุดหน้าไปพอสมควร บัตรเครดิตเสนอให้ทำมากมาย บัตรทองวงเงินแสนกว่ามีให้ใช้หลายใบ สรุปมีบัตร10ใบ ฟุ่มเฟือย ทำอะไรไม่ยั้งคิด อยากได้อะไรรูดไปก่อน อยากทำอะไรก็ทำ อยากเปิดร้านซีดีบนห้างก็เปิด โดยรูดเงินสดลงทุน และแล้วก้อถึงวันอวสานร้านเจ๊ง เป็นหนี้บัตรล้านกว่า ผ่อนขั้นต่ำต่อเดือนเป็นแสน ผมต้องยอมแพ้ เดินขึ้นลงศาลเป็นว่าเล่น ปัจจุบันก็ก้มหน้าทำงานใช้หนี้อย่างเดียว จึงมีความคิดตลอดว่า ตัวเองตกเป็นทาสบัตรพลาสติก และเป็นเมืองขึ้นของธนาคารต่างๆ ทุกวันวันนี้ ทุกวันจะเพียรขอพรจากทั้ง3พระองค์ ภาวนาอยากจะประกาศเอกราชทางการเงิน หรืออีกนัยหนึ่งคืออยากจะเลิกเป็นทาสทางการเงิน เหตุผลในการบูชาของผมอาจจะแตกต่างจากหลายๆคนครับ แต่ผมเชื่อว่า กษัตริย์ทั้ง3พระองค์จะช่วยให้ผมพ้นวิกฤตไปได้ครับ อยากจะฝากไว้เรื่องครับ ใช้บัตรเครดิตซื้อของก็ต้องจ่ายเงินเหมือนกันครับ ระวังอย่าหลวมตัวเข้าไปในวังวนการใช้จ่ายเกินตัว เพราะถ้าหลงเข้าไปแล้วก็ยากที่จะหาทางออกน่ะครับ
ปล.เอารูปหิ้งที่บ้านมาให้ดูน่ะครับ



122
ไม่ได้ตั้งกระทู้ผิดบอร์ดหรอกครับ แต่ตอนนี้ผมมีปัญหามากๆเนื่องจากผมเลี้ยงสุนัขไว้6ตัว ปอมเมอร์เรเนี่ยน4 ชิสุ2 เป็นธรรมดาเมื่อมีหมาก้อต้องมีเห็บหมัด วิธีการกำจัดเห็บหมัดก็มีอยู่หลายวิธี แต่ละวิธีก็ได้ผลดีครับ แต่ติดที่ว่า ทุกครั้งที่ผมกำจัดมัน ผมก็กำลังทำบาป คือฆ่าสัตว์ ผิดศีล5 ยิ่งคิดก็ยิ่งงงไม่รู้จะหาทางออกอย่างไรดี อ่านหลายเว๊ปก็หาทางออกไม่เจอ การหยอดยาป้องกันเห็บหมัดก็ไม่น่าจะได้เพราะหลักการคือหยอดแล้ว เห็บหมัดมาดูดเลือดก็จะตาย มันก็เหมือนวิธีอื่นๆครับ จับแล้วปล่อยทิ้งเดี๋ยวก็กลับมาบนตัวหมาอีก เลยอยากจะถามผู้รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดีครับ ทุกวันนี้พยายามทำผิดศีล5ให้น้อยที่สุดครับ


123
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / วัดอโศการาม
« เมื่อ: 08 มิ.ย. 2552, 08:54:00 »
เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ได้ไปงานบวชที่วัดอโศการาม อยู่สมุทรปราการ แถวๆบางปูครับ เป็นวัดใหญ่มีคนมาบวชที่นี่เยอะมากครับ และจะมีพิธีบวชแค่วันเสาร์และวันอาทิตย์ครับ วันเสาร์ที่ผ่านมามีคนจะบวช15คน พอประมาณเที่ยงก้อแห่นาคเข้าโบสท์ ที่วัดแห่งนี้จะมีคิวให้นาคที่จะบวชพระเรียงตามอันดับเวลาจะบวช แต่ตอนที่แห่นาครอบโบสท์ ต่างคนต่างแห่ทำให้การแห่นาครอบโบสท์มีบรรยากาศที่ผมไม่เคยเจอครับ เพราะคนจะแน่น ต่างคนต่างโห่ แถวก้อค่อนข้างสับสน เพราะแต่ละขบวนอาจมีตัดขบวนกันไปมาครับ เวลาเดินต้องดูขบวนดีๆไม่งั้นอาจผิดขบวนได้ครับ เอารูปมาฝากน่ะครับ อาจจะไม่ชัดเพราะถ่ายจากมือถือ และหยุดได้ไม่นานด้วยเดี๋ยวขบวนหายครับ




วันนี้ตั้งใจจะให้นาคขี่คอครับ แต่ดูจากสถานการ์ณแล้ว3รอบคงไม่ไหวครับ เลยให้นาคขึ้นคอตอนเหลือแค่ครึ่งรอบครับ แบบไม่ได้บุญเต็มๆก้อแค่แบ่งบุญบ้างครับ ตอนครึ่งรอบยังไม่เท่าไหร่ แต่ตอนรอขึ้นโบสท์ซิครับ รอคิวสิบกว่านาที แถมจะมีลัดคิวกันอีก จนคนในขบวนต้องเจรจากับคนจัดคิวนาคขึ้นโบสถ์ว่าขบวนผมมาก่อน ให้เข้าก่อน เพราะคนในขบวนเค้ากลัวผมไม่ไหวครับ กว่าจะส่งนาคเข้าโบสถ์ได้ ผมแทบแย่เลยครับ

124
ทีนี้เวลาตื่นนอน ตอนเช้า "ล้างหน้าแล้วก้อให้ล้างใจด้วย บางคนล้างแต่หน้าไม่ล้างใจ"จึงมีหน้าตาบูดบึ้ง เริ่มบ่นตั้งแต่ดึก นึ่งข้าว ต้มแกง จนสว่าง มองเห็นถ้วยชามก้อขวางหูขวางตาไปหมด เราจะต้องล้างทั้งภายนอกและภายใน พิจารณาดูว่า วัตถุสิ่งของ ดินฟ้าอากาศมันก็เป็นไปตามสภาพเดิมของมันนั่นแหละ แต่เรามันเป็นของเราเพราะไม่รู้จักล้างใจ ฉะนั้นภายในจึงมีขี้โลภ ขี้โกรธ ไหลออกมา ถ้าเราพิจารณารู้ทัน มันกลัวไม่กล้ามันก็ถอยออกหนีเหมือนกัน การล้างภายในเป็นยาอายุวัฒนะ ล้างบ่อยๆจิตใจสบายพ้นจากนรกหมดความขุ่นมัว ไหว้พระแล้วทำใจให้สงบนึกถึงคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คุณบิดามารดา ปู่ ย่า ตา ยาย ท่านมีบุญคุณต่อเรามาก แต่ท่านก็ตายไปแล้ว เราเองก็ต้องตายเช่นกันไม่มีอะไร เที่ยงแท้แน่นอน

คำสอน หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง  ตำบลโนนผึ้ง อำเภอวารินชำราบ  จังหวัดอุบลราชธานี

125
ได้รับเมล์นี้มา เนื้อความน่าสนใจมากๆ ผมเอามาโพส โดยไม่มีเจตนาดูหมิ่นเพศหญิงน่ะครับ แต่เดี๋ยวนี้ในสังคม เมื่อวัตถุนิยมครอบครองใจคน เหตุการณ์แบบนี้เลยเกิดขึ้นครับ

   จากใน board pantip ... 
ก่อนอื่นดิฉันขอสาบานว่าสิ่งที่ดิฉันพูดเป็นความจริงค่ะ ดิฉันอายุ 25 ปีค่ะ ความสูง 170 ซม. น้ำหนัก 50 กิโล ส่วนสัด 34-24-36 ผมยาว หน้าตาจัดว่าสวยมาก เซ็กซี่ มีรสนิยม ดิฉันอยากจะแต่งงานกับผู้ชายรายได้สักสองแสนบา ทอัพต่อเดือนสักคน คุณอย่าเพิ่งมองฉันโลภนะคะ รายได้ประมาณสองแสนเนี้ยแค่ชนชั้นระดับกลางๆในห้องสินธรหรือวงการตลาดหุ้นเอง ฉันไม่ได้เรียกร้องมากไปใช่ไหมคะ มีใครในพันทิพ ห้องสินธร นี้ที่รายได้เกินสองแสนบ้างคะ พวกคุณแต่งงานไปกันหมดหรือยัง กรุณาช่วยตอบดิฉันทีค่ะ คือดิฉันอยากแต่งงานกับคนรวยๆ อย่างพวกคุณ พวกที่ดิฉันคบด้วยนี่มีแต่พวกธรรมดาๆรายได้อย่างมากไม่เกินสามหมื่นเอง รายได้แค่นี้จะอุตริไปซื้อบ้านแถวสีลมเนี่ย ยังได้แค่มองเลยใช่ไหมคะ ดิฉันมีคำถามดังนี้ค่ะ กรุณาช่วยตอบด้วยนะคะ
1. หลังจากตลาดหุ้นปิด พวกคุณมักไปต่อที่ไหนกันคะ ( ชื่อร้าน , ผับ , fitness, ฯลฯ)
2. ถ้าจะแอบมองสาว คุณจะมองสาววัยไหนคะ
3. ทำไมคนที่แต่งงานกับคนรวยๆถึงมีแต่พวกอาซิ่มเฉิ่มๆ รสนิยมห่วยๆล่ะคะ   
4. คุณใช้อะไรเป็นเกณฑ์ในการเลือกคนที่คุณจะแต่งงานด้วยคะ'
------------------------
หลังจากนั้นไม่เกิน 30 นาที ก็มีเมล จากชายหนุ่มคนนึงส่งมาถึงเจ้าหล่อนว่า :   

ถึงคุณสุดสวยครับ...
หัวข้อกระทู้ของคุณน่าสนใจมากครับ และคงมีผู้หญิงหลายคนมีคำถามเดียวกันกับคุณ ขออนุญาตตอบคำถามในมุมมองของคนเล่นหุ้นแบบผมนะคับ
รายได้ของผมจากการเป็นนักวิเคราะห์หลักทรัพย์และลงทุนในตลาดหุ้นมากว่า 10 ปี อยู่ที่ประมาณห้าแสนบาท ต่อเดือนขาดเหลือนิดหน่อย ซึ่งก็น่าจะผ่านเกณฑ์ของคุณ ดังนั้นผมเชื่อว่าคำตอบของผม น่าจะไม่ทำให้คุณเสียเวลาอ่านนะครับ
จากมุมมองของผมซึ่งเป็นนักธุรกิจ การที่แต่งงานโดยเลือกเฉพาะที่ความสวยเพียงอย่างเดียวนั้น ถือว่าเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลา ด คำตอบนั้นง่ายมาก อธิบายตามตรง จากข้อมูลที่คุณให้มา คุณพยายามจะเน้นจุดแข็งของสินค้าคือ 'ความสวย' เพื่อแลกกับ 'เงิน'
เมื่อคุณมีความสวย และผมมีเงิน แน่นอนว่ามัน Fair และน่าจะเป็นไปได้กับโอกาสทางธุรกิจที่คุณเสนอแต่ก็ติดปัญหาที่ว่าความสวยของคุณนั้นจืดจางลงทุกวัน ในขณะที่เงินของผมไม่ได้ไปไหน ถ้าไม่มีปัญหาอะไร หรือในอีกนัยหนึ่ง รายได้ของผมมีแต่จะเพิ่มทุกปีและเงินของผมก็สามารถนำไปให้ก่อให้เกิดผลตอบแทนงอกเงยขึ้นอย่างสม่ำเสมอ ในขณะที่คุณไม่ได้สวยขึ้นเมื่อข้ามปี และมีแนวโน้มที่จะลดลงๆ ในแต่ละปีที่ผ่านไปเช่นกัน
ในมุมมองของนักเศรษฐศาสตร์ คุณคือสินทรัพย์ที่เสื่อมค่า ไม่ได้เสื่อมธรรมดานะ เสื่อมแบบอัตราก้าวหน้า ดังนั้นถ้าความสวยคือสิ่งเดียวที่คุณมี ก็จงคิดต่อว่า 10 ปีข้างหน้าจะทำอย่างไร
นิยามที่เราใช้กันในตลาดหุ้น คือ ทุกๆ การ Trade มี Position การคบกับคุณก็ถือเป็น Position แต่ถ้า Value ของมันลดลง เราจะขายมันทิ้ง ไม่ใช่ความคิดที่ดีที่จะดันทุรังเก็บมันไว้ ซึ่งหมายถึงการแต่งงานที่คุณต้องการ อาจจะแทงใจดำถ้าผมต้องบอกคุณตรงๆอย่างจริงใจว่า ถ้า Value ของ Asset ลดลงเรื่อยๆ ถ้าเราไม่ขายทิ้ง เราจะ ใช้วิธีการ 'ให้เช่าซื้อ' แทน
แน่นอนว่าคนที่มีรายได้เกินสองแสนบาทต่อเดือนฉลาดพอ พวกเขาแค่คบคุณ แต่จะไม่แต่งงานกับคุณ
ดังนั้นจึงขอแนะนำคุณอย่างหวังดีว่าคุณควรที่จะหยุดที่จะหาวิธีที่จะได้แต่งงานกับคนรวย และคุณควรที่จะทำให้ตัวเองเป็นคนที่มีรายได้เกินสองแสนบาทแทนซะเอง ซึ่งในทางเทคนิคแล้วน่าจะมีโอกาสมากกว่าการหาคนรวยแต่โง่คนนึง (รวยธรรมดาอย่างเดียวไม่พอ ต้องโง่พร้อมด้วย) หวังว่าคำตอบนี้จะช่วยคุณได้บ้าง อย่างไรก็ตามถ้าหากคุณสนใจ option ในบริการ ! 'เช่าซื้อ' กรุณาติดต่อผม..... เพื่อทำ Bid offer ในโอกาสต่อไป ***** *********
   



 

126
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / หัวอกพ่อแม่
« เมื่อ: 01 มิ.ย. 2552, 01:47:17 »
เห็นหลายๆกระทู้จะพูดถึงความรู้สึกที่เรามีต่อพ่อแม่ อาจเป็นเพราะส่วนใหญ่อาจจะยังไม่มีครอบครัวและยังไม่มีลูก จึงอยู่ในสถานะเดียวก้อคือลูก แต่พอดีวันนี้ผมได้สัมผัสทั้ง2สถานะคือสถานะที่เป็นลูก และสถานะที่เป็นพ่อ เมื่อก่อนผมไม่เข้าใจพ่อผมครับว่าทำไม ไม่ยอมนอนถ้าผมไม่กลับบ้าน ไม่ว่าผมจะกลับดึกแค่ไหน ตี1 ตี2 ตี3 ตี4 ตี5 หรือ6โมงเช้า(เมื่อก่อนผับเธคเลิกก้อตี2ตี3แล้วครับ แล้วยังต่อต่อข้าวต้มเธค แถวๆสี่พระยา มีดนตรีให้เต้นถึงเช้าครับ หลายครั้งที่ออกจากร้านมาแล้วมีพระบิณฑบาตรสวนไป)พ่อผมถ้าผมกลับถึงบ้านเมื่อไหร่ก้อถึงจะนอนครับ พ่อผมเป็นอย่างนี้ตั้งแต่ผมเรียน จนผมทำงาน จนผมแต่งงาน จนผมมีลูก พ่อผมก้อยังเป็นเหมือนเดิม ถ้าไอ้ตี๋ยังไม่กลับบ้านป๊าจะไม่นอน ผมไม่เคยถามพ่อผมว่าทำไมแต่ผมรู้ว่าพ่อผมห่วงผม เพราะรู้ว่าผมกินเหล้ากลัวผมได้รับอุบัติเหตุ (ส่วนแม่ผมก้อห่วงผมไม่แพ้พ่อ แต่จะเก็บอาการดีกว่าครับ) ความรักที่พ่อแม่มีต่อผมมันยิ่งใหญ่จนผมคิดว่ายังทดแทนท่านไม่หมดท่านก้อจากไปทั้ง2คน มาถึงวันนี้ วันที่ผมเป็น คุณพ่อลูกสอง วันที่ผมเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าคำว่า ความรักของพ่อแม่ยิ่งใหญ่ เป็นเช่นไร ผมไม่ได้มาบอกว่าผมเป็นคนดี เป็นคนรักลูกมากมายกว่าคนอื่น แต่ผมอยากจะบอกว่า ความรักและความห่วงใยที่ผมมีให้ลูก มันก้อแค่ความรักพื้นฐานที่พ่อแม่ทุกคนที่มีต่อลูก ความรักที่มีให้ลูกเป็นความรักที่ยิ่งใหญ่ แต่เป็นความรักที่หวังผลตอบแทน ผมกล้าฟันธงครับ ว่าพ่อแม่ทุกคนหวังสิ่งตอบแทนจากลูกครับ แต่ผลตอบแทนที่พ่อแม่ทุกคนหวังในลูก คงไม่ใช่ เงิน ทอง ข้าวของเครื่องใช้ หรืออะไรทีมีมูลค่ามากมาย พ่อแม่ทุกคนหวังผลตอบแทนจากลูกคือ ให้ลูกเป็นคนดี เรียนหนังสือดีๆ มีงานทำดีๆ มีชีวิตที่ดี แค่นั้น แค่นั้นจริงๆ วันนี้ วันที่ผมเป็นพ่อ ผมเพียงอยากเห็นลูกๆเป็นคนดี มีการศึกษาที่ดี เรียนจบ มีงานทำ อนาคตมีครอบครัวของเค้าที่อบอุ่น เพียงแค่นี้หัวอกของคนเป็นพ่อเป็นแม่ ก้อเป็นสุขแล้วครับ สักวันผมก้อจะกลายเป็นผู้ชายแก่ๆ หลงๆลืมๆ เจ็บออดๆแอดๆ ไม่มีรายได้มีแต่รายจ่าย ขอเพียงแค่ ถ้าถึงวันนั้น ลูกๆไม่ผลักไสไล่ส่งผม เหมือนกับที่เค้าชอบพูดกันว่า พ่อแม่เลี้ยงลูกหลายคนได้แต่ลูกๆหลายคนเลี้ยงพ่อคนเดียวยังไม่ได้ แต่ถ้าถึงวันนั้น ลูกๆยังเคารพและรัก ยังทำตัวกับผมเหมือนเดิม แค่นี้ หัวอกคนเป็นพ่อก้อสุขใจแล้วครับ ขอฝากความในใจของพ่อ ให้ลูกๆทุกคนน่ะครับ

ปล.ผมชอบกลอนอยู่บทครับ ถึงขนาดทำเป็นป้ายไม้ติดผนังบ้าน เพื่อเตือนใจลูกๆครับ

พ่อแม่ไม่มีเงินทองจะกองให้

จงตั้งใจพากเพียรเรียนหนังสือ

หาวิชาความรู้เป็นคู่มือ

เพื่อยึดถือเอาไว้ใช้เลี้ยงกาย

พ่อแม่มีแต่จะแก่เฒ่า

จะเลี้ยงเจ้าเรื่อยไปนั้นอย่าหมาย

ใช้วิชาช่วยตนไปจนตาย

ลูกสบายพ่อกับแม่ก็ชื่นใจ





127
บทความ บทกวี / เธอ.........จงระวัง
« เมื่อ: 31 พ.ค. 2552, 08:13:49 »
เธอจงระวังความคิดของเธอ
เพราะความคิดของเธอ
จะกลายเป็นความประพฤติของเธอ

เธอจงระวังความประพฤติของเธอ
เพราะความประพฤติของเธอ
จะกลายเป็นความเคยชินของเธอ

เธอจงระวังความเคยชินของเธอ
เพราะความเคยชินของเธอ
จะกลายเป็นอุปนิสัยของเธอ

เธอจงระวังอุปนิสัยของเธอ
เพราะอุปนิสัยของเธอ
จะกำหนดชะตากรรมของเธอชั่วชีวิต

คำสอน หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง  ตำบลโนนผึ้ง อำเภอวารินชำราบ  จังหวัดอุบลราชธานี

128
จำเป็นไหมที่จะต้องนั่งภาวนาให้นานๆ
           ไม่จำเป็นต้องนั่งภาวนานานนับเป็นหลายๆ ชั่วโมง บางคนคิดว่ายิ่งนั่งภาวนานานเท่าใดก็จะยิ่ง เกิดปัญญามากเท่านั้น ผมเคยเห็นไก่กกอยู่ในรังของมันทั้งวันนับเป็นวันๆ ปัญญาที่แท้เกิดจากการที่เรา มีสติในทุกๆ อิริยาบถ การฝึกปฏิบัติของท่านต้องเริ่มขึ้นทันทีที่ท่านตื่นนอนตอนเช้า และต้องปฏิบัติ ให้ต่อเนื่องไปจนกระทั่งนอนหลับไป อย่าไปห่วงว่าท่านต้องนั่งภาวนาให้นานๆ สิ่งสำคัญก็คือท่าน เพียงแต่เฝ้าดูไม่ว่าท่านจะเดินอยู่ หรือนั่งอยู่ หรือกำลังเข้าห้องน้ำอยู่
           แต่ละคนต่างก็มีทางชีวิตของตนเอง บางคนต้องตายเมื่อมีอายุ ๕๐ ปี บางคนเมื่ออายุ ๖๕ ปี และบางคนเมื่ออายุ ๙๐ ปี ฉันใดก็ฉันนั้น ปฏิปทาของท่านทั้งหลายก็ไม่เหมือนกัน อย่าคิดมาก หรือกังวลใจในเรื่องนี้เลย จงพยายามมีสติและปล่อยทุกสิ่งให้เป็นไปตามปกติของมัน แล้วจิตของท่านก็จะสงบมากขึ้นๆ ในสิ่งแวดล้อมทั้งปวง มันจะสงบนิ่งเหมือนหนองน้ำใสในป่า ที่ซึ่งบรรดาสัตว์ป่าที่สวยงาม และหายากจะมาดื่มน้ำในสระนั้น ท่านจะเข้าใจถึงสภาวะธรรมของสิ่งทั้งปวง (สังขาร) ในโลกอย่างแจ่มชัด ท่านจะได้เห็นความอัศจรรย์และแปลกประหาดทั้งหลายเกิดขึ้นและดับไป แต่ท่านก็จะยังคงสงบอยู่เช่นเดิม ปัญหาทั้งหลายจะบังเกิดขึ้นแต่ท่านจะรู้ทันมันได้ทันที นี่แหละคือศานติสุขของพระพุทธเจ้า
หลวงพ่อชา สุภัทโท(พระโพธิญาณเถร)ตอบปัญหาธรรม(ตอบปัญหาธรรมแก่พระสงฆ์)
                                                                                                                              

129
เมื่อวานตอนเช้ามีนัดลูกค้า เนื่องจากวันก่อนลูกค้าโทรมาคอมเพลนสินค้าตัวอย่าง กับน้อง(เซลที่รับผิดชอบ)ว่าไม่ดี ไม่ได้คุณภาพ พอน้องรายงานมาก้อค่อนข้างงงเลยขอนัดไปพรีเซนต์ด้วย เมื่อวานพอไปถึง ผมก้อท่องคาถาและบอกกล่าวสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่นับถือให้ช่วยให้งานวันนี้ สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี เนื่องจากเป็นโปรเจ๊คที่มีมูลค่าพอควร หลังจากนั้น ก้อเข้าพบลูกค้า พอลูกค้าเห็นสินค้า แล้วผมพรีเซนต์นิดหน่อย ลูกค้าก้อบอกตัวนี้โอเค ไม่เหมือนตัวที่แล้ว งานตัวนี้ดี เนี๊ยบ อย่างนี้เค้ารับได้ ลูกค้ามองหน้าผม ผมก้อทำได้แค่ยิ้ม ครั้งจะพูดว่าได้แก้ไขแล้วก้อไม่อยากผิดศีล เพราะสินค้าตัวนี้เป็นตัวเดียวกับที่ลูกค้าบอกว่าไม่ดี ไม่ได้มาตราฐาน ผมไม่ได้ทำอะไรใหม่เลยครับ ของเดิม100% การคุยกับลูกค้าจบเร็วภายใน10นาที พร้อมกับคำสั่งของลูกค้าว่า ของจริงเอาแบบนี้ไม่เอาเหมือนตัวที่แล้ว ผมได้แต่ครับและมองหน้าน้องที่เป็นเซลได้แต่ยิ้มๆ งานนี้จบลงได้อย่างง่ายดายครับ ขากลับขับรถกลับอย่างสบายใจ พลางนึกในใจว่าเป็นอย่างนี้ได้อย่างไร แต่บางที บางเรื่อง ก้อไม่ต้องหาเหตุผลมารองรับก้อได้ครับ


130
บทความ บทกวี / กำลังใจ........
« เมื่อ: 21 พ.ค. 2552, 02:15:35 »
กำลังใจ.......... คำๆนี้เป็นคำสั้นๆที่แฝงด้วยพลังอันยิ่งใหญ่ ยามเมื่อคนเราผิดหวังท้อแท้ เราก้อจะไขว่คว้าหากำลังใจจากคนรอบข้าง ยามเราอกหัก หัวใจแทบสลาย เราก้อคงรอกำลังใจ...จากใครบางคน มาเยียวยาบาดแผลทางใจของเรา แต่เราเคยนึกไหมว่า กำลังใจมาจากไหน กำลังใจมาจากคำพูด หรือ การกระทำของคนรอบข้าง หรือไม่ใช่ทั้ง2อย่าง บางคนอาจจะได้กำลังใจ จากท้ายรถสิบล้อที่มีคำคมติดไว้หลังรถ หรือกำลังใจสำหรับใครบางคนอาจได้มาจาก บทเพลงที่มีเนื้อหากินใจ หรือหลายๆคนอาจจะได้กำลังใจจากที่ต่างๆแล้วแต่ที่จะได้กันมา แต่อยากให้ลองนึกทบทวนให้ดี การที่เราได้กำลังใจมา หาได้จากใครที่ไหนไม่ เพราะ......กำลังใจ ที่เราได้มา เราเป็นคนสร้างมันขึ้นมา ไม่มีใครหรือสิ่งใด มาสร้างกำลังใจให้เราได้ ถ้าเราไม่คิด ตั้งสติ แล้วเราก้อมีกำลังใจขึ้นมา ถูกต้องที่ต้นตอของกำลังใจอาจจะมาจากคำปลอบประโลมจากเพื่อน จากคำสั่งสอนที่ห่วงใยจากคนที่เราเคารพ หรืออาจจะจากบทเพลงเนื้อหาดีๆ สิ่งที่ว่ามาทั้งหมดก้อแค่ข้อมูลเริ้มต้น แต่กำลังใจ จริงๆแล้ว เกิดขึ้นจากตัวเราเอง เราคิด เราสร้าง........ กำลังใจ ขึ้นมาเอง หากวันนี้คุณกำลัง ท้อแท้ สิ้นหวัง คุณไม่ต้องรอกำลังใจจากใครที่ไหน เพราะกำลังใจเกิดได้จากตัวคุณเอง เมื่อคุณอ่านมาถึงตรงนี้คุณพร้อมหรือยังที่จะสร้างมัน มีคนชอบบอกว่า กรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จในวันเดียว อย่างนั้นก้อไม่เห็นจะแปลกอะไร ที่เราจะสร้างกำลังใจภายในวันเดียวไม่ได้ แต่อย่างน้อยทุกๆวันที่เราสร้างกำลังใจให้ตัวเอง คงไม่นานเราก้อจะสร้างมันจนเสร็จครับ แล้วเมื่อถึงวันนั้น วันที่เรามีกำลังใจ ปัญหาที่ทำให้คุณท้อแท้สิ้นหวัง ที่วันนั้นเรามองปัญหานี้เหมือนภูเขาที่ยิ่งใหญ่ ดูไร้หนทางที่จะข้ามไป แต่ในวันนี้วันที่เรามีกำลังใจเมื่อเราหันมองย้อนกลับไป ปัญหาที่เราว่าเป็นขุนเขาที่แท้มันก้อคือเนินลูกเล็กๆที่เราจะข้ามไปข้ามมา เมื่อไหร่ก้อได้  สุดท้าย เมื่อเราเป็นคนสร้างกำลังใจขึ้นมาได้ ก้อไม่มีใครหน้าไหนมาทำลายมันได้ครับ นอกเสียจากตัวเรา

ที่มา จากความรู้สึกตอนนี้ ในขณะที่รอรถเข้าศูนย์บริการครับ

131
เช้าวันอาทิตย์ตื่นแต่เช้าเพราะวันนี้มีนัดกับเพื่อนๆจะไปปากช่องเพื่อไปนมัสการหลวงพี่(เพื่อน)ที่สำนักปฎิบัติธรรมแสงธรรมส่องชีวิต สาขาปากช่อง เวลาเช้าๆก่อนออกจากบ้าน ผมมักจะเกิดอาการนี้คือ วันนี้จะนิมนต์องค์ใดไปกับผมดีครับ



ขับรถสบายๆช่วงนี้อากาศไม่ร้อน ไม่นานก้อถึงปากช่องครับ



สำนักปฎิบัติธรรมที่นี่สงบ ร่มรื่น อยู่ท่ามกลางขุนเขาครับ



ไปถึงก้อไปกราบพระก่อนครับ ตรงนี้ไว้เป็นที่นั่งสมาธิ บรรยากาศสงบ เหมาะแก่การทำสทาธิครับ



ไปถึงรอพระอยู่สักพัก เพราะท่านติดเรียนภาษาอังกฤษอยู่ ช่วงนี้มีชาวต่างชาติสนใจปฎิบัติธรรม พระที่นี่เลยต้องเรียนภาษาไว้ครับ



เวลาพระเจอเพื่อน ถึงแม้ท่านจะบวชเรียนได้10พรรษาแล้ว แต่แววตา สีหน้าท่าน ก้อแสดงออกถึงความยินดีที่ได้พบกันอีกครั้ง หลวงพี่เป็นเพื่อนสมัยเรียนขาสั้นกัน ในวัยนั้นถ้ามีใครบอกว่าท่านจะบวชและไม่สึก ไม่มีใครเชื่อแน่นอนครับ พวกผมเรียนโรงเรียนคริส สวดมนต์กันยังไม่เป็นเลยครับ
ก๊วนผมส่วนใหญ่รู้จักกันมานาน30กว่าปีเลยครับ จบมัธยม ตอนจบร้องห่มร้องไห้กันใหญ่ว่าต้องจากกัน แต่แล้วเกือบทั้งหมดก้อเรียนมหาลัยเดียวกัน ตอนอยู่มหาลัยนึกว่าเรียนมัธยมเพราะเข้ามาพร้อมกันเกือบ50คนครับ พอเรียนมหาลัยจบเริ่มทำงาน ก้อไม่ได้ขาดการติดต่อกัน ถึงศุกร์เสาร์ก้อยังไปเที่ยวกันเหมือนเดิม ใครไปเรียนต่อเมืองนอกเมืองนา2-3ปีก้อกลับมาเข้าก๊วนกันเหมือนเดิม แต่เมื่อสิบปีก่อน หลวงพี่(ตอนนั้นยังไม่ได้บวช) ขับรถแล้วเกิดอุบัติเหตุ เพื่อนที่นั่งมาด้วยเสียชีวิต (คนที่เสียชีวิตก้อคือเพื่อนในกลุ่ม) หลังจากนั้นท่านเลยตัดสินใจว่า จะบวชอุทิศบุญกุศลให้5พรรษา แล้วท่านก้อตัดสินใจบวช แล้วไปปฎิบัติธรรมที่ สำนักปฎิบัติธรรมแสงธรรมส่องชีวิตที่สระบุรี พอท่านบวชครบ5พรรษา พวกผมทั้งหมดก้อพร้อมใจกันชักชวนให้ท่านสึก แบบถ้าเจอท่านเมื่อไหร่ หัวข้อในการสนทนามีอย่างเดียวคือให้ท่านสึก มีการโน้มน้าวท่านทุกวิธี รวมถึงจะหางานให้ท่านเวลาท่านสึกออกมา ชวนอยู่หลายปี ท่านก้อเริ่มจะตัดสินใจลาสิขา แต่จนแล้วจนรอดท่านก้อยังไม่ลา เมื่อวานนี้ก้อยังมีคำถามแบบนี้จากเพื่อนๆถึงท่าน ท่านก้อตอบทำนองว่า พระที่นี่มีน้อย สำนักก้อใหญ่ มีพระ5รูป มีงานที่ต้องช่วยมากมาย บางทีก้อมีกิจนิมนต์ไปที่ต่างๆ (เพิ่งไปจำพรรษาที่มาเลเซียมา3เดือน) แต่จริงๆผมว่าเรื่องงานที่จะต้องทำในวัดคงไม่ใช่ประเด็น แต่ท่านคงเข้าถึงพระธรรม และปลงชีวิตทางโลกได้แล้ว หลังๆท่านเลิกใช้มือถือ (คงอยากจะตัดทางโลก ไม่อยากให้ใครมากวน) เพราะเพื่อนๆเวลาไป ก้อจะมีแต่คำถามเดิมๆ ว่าเมื่อไหร่จะสึก มีแต่เรื่องโนมน้าวจิตใจท่าน ท่านคงเบื่อที่จะฟัง ถึงแม้วันนี้ผมและหลวงพี่ จะอยู่ในสถานะที่แตกต่างกัน แต่ทุกครั้งที่ผมสบตากับท่าน มิตรภาพที่มีต่อกันอย่างยาวนาน ยังคงเหมือนเดิม แม้วันนี้เราจะไม่สามารถพูดคุยกันแบบเดิม ไม่สามารถทำตัวระหว่างกันได้เหมือนเดิม แต่มิตรภาพของความเป็นเพื่อนในใจยังคงเหมือนเดิม ไม่มีอะไรที่จะเปลี่ยนแปลงความรู้สึกนี้ได้จากใจ คำว่าเพื่อน ยิ่งใหญ่เกินกว่าจะบรรยาย คำว่าเพื่อนแท้.......ลึกซึ้งเสมอครับ สุดท้ายอยากจะบอกว่าถ้าคิดว่าเจอเพื่อนแท้แล้ว อย่าให้อะไรมาทำลายได้น่ะครับ มีอยู่ไม่กี่เรื่องหรอกที่จะมาทำลายมิตรภาพลงได้ เงินกับผู้หญิง คือปัญหาหลักของผู้ชาย อย่าให้2สิ่งนี้มาทำลายน่ะครับ
ปล.เอารูปครอบครัว และ รูปหมู่กับครอบครัวเพื่อนครับ มาให้ดูครับ



จากเพื่อนวัยเด็กจนถึงวันที่ทุกคนมีครอบครัว วันเวลาเปลี่ยนแปลงอะไรหลายๆอย่าง แต่มิตรภาพไม่เคยเปลี่ยนครับ











132
ตามความคิดผม ผมว่าเพื่อนๆในบอร์ดส่วนใหญ่คงคุ้นเคยกับการไหว้พระ แต่ผมลูกคนจีน จะคุ้นเคยการไหว้เจ้าด้วย ก้อเลยอยากจะแนะนำสถานที่ไหว้เจ้าให้เพื่อนๆบ้าง เพื่อบางที อาจจะลองไปไหว้เจ้าแบบจีนกันบ้าง วัดแรกที่ผมจะแนะนำคือวัดมังกรกมลาวาส(เล่งเน่ยยี่) วัดนี้อยู่ที่เยาวราช เป็นวัดจีนที่ดังมากๆ ผมว่าคนไทยเชื้อสายจีนในเมืองไทยน่าจะรู้จักวัดนี้ทุกคนครับ วัดนี้มีเทพเจ้าให้กราบไหว้หลายองค์ มีเจ้าแม่กวนอิม (แฟนผมไปขอให้มีลูกกับเจ้าแม่กวนอิมที่วัดนี้ และผมก้อได้ลูกชาย ตอนแฟนใกล้คลอด หลานผมฝันว่าลูกผมเป็นนาจา ตอนลูกชายออกจากรพ.หลังคลอดไม่กี่วัน ก้อแต่งตัวเป็นนาจาเลยครับ งงกันทั้งรพ.ครับ) วัดมังกรเป็นวัดที่คนไทยเชื้อสายจีนมักจะไปทำพิธีสะเดาะห์เคราะห์ตอนต้นปีจีน(ตรุษจีน) ซึ่งความเชื่อของคนจีนในทุกๆปีจะเป็นปีชงของปีต่างๆครับ เอารูปวัดเล่งเน่ยยี่ที่เยาวราชมาให้ดูครับ



รูปจากเว๊บไซด์วัดมังกรกมลาวาส

133
วันนี้นั่งลบรูปในเครื่องคอม แล้วมาเจอรูปนี้ จำไม่ได้ว่าเซฟมาจากที่ไหนเลยให้เครดิตไม่ได้น่ะครับ แต่มานั่งดูแล้วคิดตามรูปก้อเป็นจริงและชัดเจนมากๆครับ ที่คนเราถ้าคิดจะทำอะไรแล้วคิดว่าดี ทำไปเถอะครับ เพราะมุมมองของคนมีร้อยแปด ยากที่จะถูกใจทุกคนครับ



ปล.ผมจำไม่ได้จริงๆครับว่าเซฟรูปนี้มาจากที่ไหนน่ะครับ เลยให้เครดิตไม่ได้ครับ แต่ที่แน่ๆผมไม่ได้ทำเองครับ

134
จงเชื่อว่า เมื่อท่านทำดีแล้วถูกต้องแล้ว มันก็ดีแล้วและถูกต้องแล้ว คนอื่นจะรู้ความจริงหรือไม่ เขาจะยอมรับและสรรเสริญท่านหรือไม่ นั่นไม่ใช่เรื่องของท่าน แต่เรื่องของท่านคือ ท่านต้องทำดีให้ดีที่สุด และทำให้ทุกสิ่งถูกต้องที่สุด โดยไม่หวังผลตอบแทน เมื่อนั้นท่านก็จะเป็นมนุษย์ผู้มีความประเสริฐสุดอยู่ในตัวท่านเอง
๑ใน๑๐๕ข้อ คู่มือดับทุกข์ ฉบับสมบูรณ์

135
เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ได้ไปไหว้พระที่วัดหลวงพ่อโอภาสี (3วันที่ผ่านมาได้ไหว้พระตลอด วันศุกร์เวียนเทียนที่พุทธมณฑล วันเสาร์หลวงพ่อโอภาสี วันอาทิตย์วัดบางพระ) วัดนี้มีกฎระเบียบที่อาจไม่เหมือนที่อื่นคือ ในบริเวณวัดห้ามใส่รองเท้าเดิน และมีบางบริเวณที่ไม่อณุญาติให้ผู้หญิงเข้า เคยอ่านประวัติหลวงพ่อ หลวงพ่อโอภาสีจะนับถือเสด็จพ่อร.๕ และบูชาเพลิง คือตั้งแต่ท่านอยู่จนถึงปัจจุบันจะมีการจุดไฟตลอด24ชม. และจากหนังสือของหลวงพ่อเปิ่น หลวงพ่อเปิ่นได้เคยไปศึกษาธรรมกับหลวงพ่อโอภาสีด้วยครับ ใครไปที่วัดหลวงพ่อโอภาสี แนะนำไปตอนเช้าน่ะครับ วันเสาร์ที่ผ่านมาผมไปบ่ายโมงกว่า ตอนเดินเข้าวัดไปก้าวแรกๆยังพอทนแต่สักพักร้อนที่เท้าถึงขนาดเรียกว่าทนไม่ได้ ผมและแฟนรีบกระโดดหลบแดดไปที่ร่มแทบไม่ทัน ยังดีครับที่มีที่ร่ม(เล็กๆ)ไว้ได้พักเท้า ส่วนลูกสาววิ่งรวดเดียวเลยครับ (แต่กลับบ้านขอให้เอาถังใส่น้ำมาแช่ขาเลยครับ) ภายในวัดมีสิ่งศักดิ์สิทธ์ให้กราบหลายที่ครับ แต่ที่ผมสงสัยคือทำไมต้องถอดรองเท้าในเขตวัด (จากที่อ่านประวัติท่าน สมัยท่านยังอยู่ ถ้าใครมาถวายของท่านไม่ว่าจะเป็นอะไร เงิน ทอง ข้าวของต่างๆ ถ้าเกินที่จะต้องฉัน หรือใช้ ท่านจะโยนเผาไฟทั้งหมด ไม่ว่าเงิน หรือ ทอง แต่ถ้าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ท่านจะฝังดินครับ ตรงนี้หรือเปล่าที่เป็นสาเหตุที่ท่านไม่ให้ใครใส่รองเท้าเข้าวัด) เพื่อนๆคนไหนรู้ที่มาชัดเจนรบกวนไขข้อข้องใจด้วยน่ะครับ


136
อาทิตย์นี้ตื่นแต่เช้ามุ่งหน้าสู่วัดบางพระ แวะรับเพื่อนแฟน วันนี้แฟนกับเพื่อนเค้าตั้งใจไปลงนะหน้าทอง เลยอาสาพาไปให้หลวงพี่ติ่งลงให้ครับ แต่จริงๆผมอยากไปสักมากกว่าครับ อิอิได้หน้าแถมได้สักด้วยครับ พอส่งแฟนเข้ากุฎิหลวงพี่ติ่งเสร็จ ผมก้อมายกพานหลวงพี่แป๊วทันที วันนี้คนเยอะครับนับดูมีคนรอคิวอยู่ราว15คน นั่งรออยู่แป๊ปหลวงพี่แป๊วก้อให้มายกพาน สอบถามว่าวันนี้มากับครอบครัวหรือเปล่า เลยตอบไปว่ามาครับแต่แฟนไปลงนะกับหลวงพี่ติ่ง จากนั้นท่านก้อสักให้ศิษย์ต่อ แต่สักไม่เสร็จท่านก้อบอกให้ผมถอดเสื้อให้ดู พิท่านสักเสร็จก้อเรียกผมเป็นคนต่อไป ท่านเมตตาอีกแล้ว(ขอโทษเพื่อนๆที่รออยู่ก่อนผมที่ผมลัดคิวน่ะครับ) วันนี้หลวงพี่แป๊วล้อมอักขระด้านล่างแปดทิศให้ครับ (พอจะมีใครทราบไหมครับว่าลงอะไร) พอสักเสร็จ เดินไปหาแฟน แฟนกับเพื่อนยังรอคิวอยู่เลย พอดีวันนี้มีทีมงานจากอเมริกามาถ่ายทำสารคดีเกี่ยวกับเรื่องสักที่วัดบางพระครับ ก้อเลยไปดูเค้าถ่ายทำกัน ฝรั่งที่ทำหน้าที่เป็นพิธีกรสักทั้งตัวแบบไม่มีที่ว่าง สักกราฟฟิคแบบสวยงาม แต่วันนี้เค้าก้อจะสักยันต์ที่วัดบางพระครับ เลยโกนผม ตรงนั้นเลยแล้วตั้งใจจะสักที่หัว โดยให้หลวงพี่แป๊วสักให้ แต่เวลาใกล้เที่ยง หลวงพี่เลยบอกทีมงานว่าคงต้องรอก่อนเพราะติดเพล ทีมงานฝรั่งก้อเข้าใจครับ เพราะทีมงานลงมาข้างล่างแล้วถ่ายต่ออีกหน่อย พิธีกรพูดแบบประมาณว่าคงต้องรอ เพราะพระจะไปฉันเพลแล้ว พร้อมอธิบายว่าถ้าเลยเที่ยงพระจะไม่สามารถฉันอะไรได้แล้วครับ พอดีแฟนลงนะเสร็จเรียบร้อย ก้อเลยไม่ได้ดูต่อ จากนั้นก้อไปให้หลวงพ่อเป่าครอบ และไปเช่าเบี้ยแก้ ก่อนกลับเลยไปกินข้าวที่นครไชยศรี ร้านติ๊ก ร้านนี้คนเยอะดีครับแต่แพงไปหน่อยครับ จากนั้นก้อกลับบ้าน วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ดีสำหรับผม เป็นเช้าวันอาทิตย์ที่สดใส อยากมีเช้าวันอาทิตย์แบบนี้อีกหลายๆครั้งครับ


137
วันนี้ได้รับของขวัญวันวิสาขบูชาจากแม่ยายครับ เป็นกล่องซูกัสเก่าๆกล่องหนึ่งครับ



นึกว่าแม่ยายซื้อซูกัสมาให้ แต่พอเปิดกล่องมา ก้อพบพระเต็มกล่องเลยครับ



แม่ยายให้พระทั้งหมดเลยครับ เป็นพระเก่าเก็บที่แม่เก็บมานานครับ ต้องใช้กล้องส่องอยู่เป็นชั่วโมงกว่าจะเช็คหมดว่าเป็นพระอะไรบ้างครับ

138
เวลาพบกับอารมณ์ที่ไม่น่าพอใจ มันชวนให้ท่านโกรธ หรือเดือดร้อนใจขึ้นมา จงอย่าเพิ่งพูดอะไรออกไป จงอย่าเพิ่งทำอะไรลงไป จงคิดให้ได้ก่อนว่า นี่คือสิ่งที่เราทุกคนในโลกนี้ต่างไม่ปรารถนาที่จะพบเห็น แต่เราทุกคนต้องได้พบมัน สิ่งนี้คือสิ่งที่ท่านจะต้องเอาชนะมัน ด้วยการสลัดมันให้หลุดไปจากใจท่านก่อน ถ้าสลัดมันออกไปจากใจได้ ก็จะเป็นอิสระ และไม่เป็นทุกข์ เมื่อไม่เป็นทุกข์เพราะมัน ก็หมายความว่าท่านชนะมัน

นี่เป็น1ใน105ข้อของคู่มือดับทุกข์ฉบับสมบูรณ์

139
ผมอ่านทุกครั้ง สอนใจผมทุกครั้ง หลายๆคนคงได้เคยอ่านกันแล้ว แต่ก้ออยากจะให้อ่านกันอีกซักรอบครับ

"บุญเราไม่เคยสร้าง...ใครที่ไหนจะมาช่วยเจ้า"..!

"ลูกเอ๋ย ก่อนจะเที่ยวไปขอบารมีหลวงพ่อองค์ใด
เจ้าจะต้องมีทุนของตัวเองคือบารมีของตนลงทุนไปก่อน
เมื่อบารมีของเจ้าไม่พอจึงค่อยขอยืมบารมีคนอื่นมาช่วย
มิฉะนั้นเจ้าจะเอาตัวไม่รอด เพราะหนี้สิน ในบุญบารมี
ที่เที่ยวไปขอยืมมาจนพ้นตัว... เมื่อทำบุญทำกุศลได้
บารมี ก็ต้องเอาไปผ่อนใช้หนี้เขาจนหมด ไม่มีอะไรเหลือติดตัว..
แล้วเจ้าจะมีอะไรไว้ในภพหน้า หมั่นสร้างบารมีไว้..แล้วฟ้าดินจะช่วยเอง"...!

"จงจำไว้นะ...เมื่อยังไม่ถึงเวลาเทพเจ้าองค์ใดจะคิดช่วยเจ้าไม่ได้....
ครั้นถึงเวลา...ทั่วฟ้าจบดินก็ต้านเจ้าไม่อยู่..
จงอย่าไปเร่งเทวดาฟ้าดินเมื่อบุญเราไม่เคยสร้างไว้เลยจะมีใครที่ไหนมาช่วยเจ้า..."

นี่คือคำเทศนา ของเจ้าประคุณสมเด็จพุฒาจารย์ (โต) พรมรังษี
ที่ได้โปรดชี้ธรรมไว้ในนิมิตหลังจากที่ท่านล่วงลับไปแล้วเมื่อ 100 กว่าปี
อันเป็นปฐมเหตุที่ต้องสร้างความดีอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

140
ช่วงนี้มีข่าวเหรียญแควนตัมออกมาพอสมควร ขนาดแคตตาล๊อคเซเว่นยังมี1หน้าเนื้อหาคือหลอกลวงถ้าใครมาขายให้แจ้งคุ้มครองผู้บริโภคได้เลย เหรียญนี้มีราคาแพงพอสมควร ธุรกิจที่นำเหรียญนี้มาทำตลาดและขายให้สมาชิกเหรียญละ6250บาทเป็นลักษณะขายตรง(mlm) มีสรรพคุณร้อยแปด ทำให้ร่างกายปรับสมดุลย์ แข็งแรง รักษา บำบัดโรค เหรียญนี้ไม่มีคุณสมบัติในเชิงไสยศาสตร์ใดๆทั้งสิ้น เค้าบอกว่าเป็นวิทยศาสตร์ล้วนๆ เหรียญนี้ทำมาจากลาวาภูเขา เป็นเทคโนโลยีจากญี่ปุ่น ผมเป็นคนหนึ่งที่ห้อยเหรียญนี้ตลอด24ชม.มาหลายเดือนแล้ว ตอนนี้ร่างกายผมดีขึ้น แต่ผมไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร เพราะผมเริ่มห้อยเหรียญนี้พร้อมกับเริ่มสวดมนต์นั่งสมาธิ และออกกำลังกายนิดหน่อย ผมเลยหาสาเหตุจริงๆว่าผมดีขึ้นจากอะไรไม่ได้ แต่ผมคิดว่าจากการที่ผมสวดมนต์นั่งสมาธิ แต่ที่ห้อยเหรียญแควนตัมเพราะคิดว่าถึงช่วยอะไรไม่ได้ก้อแค่ห้อยเหรียญผมไม่เสียหายอะไร (ตอนนี้เลยมีสร้อย2เส้น ห้อยพระกับห้อยเหรียญ) หรือถ้าเหรียญมีรังสีที่ทำให้ร่างกายดีขึ้นจริง ร่างกายผมก้อแข็งแรง ที่เล่ามาซะยาวไม่ได้มีเจตนามาขายเหรียญน่ะครับ เพราบอกตามตรงเหรียญนี้เพื่อนผมเห็นว่าผมไม่ค่อยดี(เบาหวาน ความดัน หัวใจ)เพื่อนเลยซื้อให้ครับ ถ้าให้ผมซื้อเองผมคงไม่ซื้อแน่ๆครับ ใครพอจะรุถึงเหรียญนี้มาออกความคิดเห็นกันหน่อยน่ะครับ


141
เมื่อวานเป็นวันหยุด เลยตื่นแต่เช้าชวนแฟนและลูกๆมุ่งหน้าไปไหว้พระที่อยุธยา ออกจากบ้านแปดโมงกว่าถึงอยุธยาก้อราว10โมง เริ่มต้นวัดแรกที่วัดกษัตราธิราชวรวิหาร วันนี้อากาศดีครับ ไม่ร้อน คนก้อไม่มาก แต่พอไปถึงไม่ถึง5นาที ทัวร์9วัดมาลงหลายคัน ทั้งวัดก้อเลยเต็มไปด้วยผู้คนเลยครับ ไหว้พระขอพรเสร็จก้อไปเช่าพระ และมุ่งหน้าสู่วัดต่อไป



142
วันนี้ขอตั้งกระทู้ทูอินวันเลยน่ะครับ เรื่องแรกเรื่องถ่ายรูป เห็นเพื่อนๆหลายๆคนมีปัญหาเวลาจะถ่ายรูปพระ ไม่สามารถถ่ายในระยะใกล้ได้ เนื่องจากมีแค่กล้องจากมือถือ ไม่มีกล้องที่มีมาโคร เพื่อที่จะถ่ายโคสอัพได้ วันนี้ผมมีวิธีง่ายๆมาแนะนำ ถึงถ่ายแล้วจะสู้กล้องไฮเอนด์ไม่ได้ แต่เชื่อว่ามันจะเพิ่มประสิทธิภาพให้กล้องจากมือถือขึ้นมากโขเลยครับ เริ่มต้นสิ่งที่เราจะมีก้อคือโทรศัพท์ที่ถ่ายรูปได้(ความละเอียดทั่วไปซัก1.3หรือ2ล้านน่ะครับ) และอีกอย่างก้อคือแว่นส่องพระ(ผมคิดว่าทุกคนมีอยู่แล้ว) เอาแว่นส่องพระประกบกับเลนส์กล้องจากมือถือ แค่นี้เราก้อสามารถเติมฟังส์ชั่นมาโครให้กับโทรศัพท์เราได้ เราสามารถถ่ายรูปในระยะใกล้มากๆ สามารถโคสอัพได้ เหมือนตอนที่เราใช้ตาดูผ่านแว่นส่องพระเลยน่ะครับ รูปที่ผมถ่ายมานี้ถ่ายด้วยเทคนี้ และถ่ายตอนกลางคืน(คิดว่าถ้าถ่ายจากแสงแดดจะคมชัดมากกว่านี้) เพื่อนๆลองไปถ่ายดูน่ะครับแล้วจะรู้ว่ากล้องมือถือเราก้อถ่ายรูปพระแบบโคสอัพได้คร๊าบ
อีกเรื่องคืออยากจะถามครับ ว่าพญาเต่าของหลวงพ่อหลิว วัดไร่แตงทอง ปี2536 มีข้อสงสัยคือความหมายของพญาเต่าหมายถึงอะไรครับ มีพุทธคุณด้านไหน เหรียญนี้เป็นเหรียญที่อยู่บนหิ้งพระที่บ้าน ผ่านไป16ปีแต่ทำไมสีทองยังอร่ามไม่มีดำเลยครับ




และเหรียญนี้ก้ออยู่บนหิ้งพระ พอมีใครทราบว่าเป็นของที่ใดหรือไม่ครับ




สุดท้ายครับ อยากถามว่าใครพอรู้ว่าพระองค์นี้เป็นพระอะไรครับ ผมเห็นองค์นี้มากว่า30ปี เมื่อก่อนพ่อและพี่ชายดูค่อนข้างหวงครับ แต่ไม่รู้จะถามใครเพราะไม่อยู่แล้วทั้งคู่ครับ รบกวนผูรู้ด้วยครับ




รบกวนเรื่องที่ถามด้วยน่ะครับ และเพื่อนๆอย่าลืมไปลองเทคนิคการถ่ายภาพพระกันน่ะคร๊าบ

143
เช้า สาย บ่าย เย็น ค่ำ มืด ทางคอนกรีต  ทางลาดยาง ทางลูกรัง ทางตรง ทางโค้ง ทางขึ้นเขา ทางลาดชัน ผมอุ่นใจที่จะไปทุกที่ทุกเวลา ถึงรถผมจะไม่มี AIRBAG และ ABS แต่รถผมมีมากกว่าครับ รถหรูๆจากยุโรปก้ออาจไม่มีอย่างรถผมน่ะครับ






ดื่มหรือไม่ดื่ม สำคัญไฉน ที่สำคัญมีสติหรือเปล่า ทุกชีวิตจะปลอดภัยถ้าขับรถอย่างมีสติน่ะครับ

144
เมื่อเช้าไปหาหมอตรวจ โรคประจำตัว (หัวใจ ความดัน เบาหวาน) หลังจากเจาะเลือด พอฟังผลเลือด ระดับน้ำตาลในเลือด=109  ปกติครับและเป็นค่าน้ำตาลที่น้อยที่สุดตั้งแต่รู้ตัวว่าเป็นเบาหวาน(2ปีกว่า) งงนิดหน่อย เพราะการใช้ชีวิตไม่มีอะไรเปลี่ยนเเปลงมากนัก แต่ที่เปลี่ยนแปลงมากๆคือเดี๋ยวนี้สวดมนต์นั่งสมาธิ(ซึ่งเมื่อก่อนไม่เคยทำเลย) จึงลองค้นหาในเน็ตจึงพบข้อมูลว่า การสวดมนต์นั่งสมาธิ ช่วยรักษาโรคได้ครับ ลองอ่านบทความดูน่ะครับ

วิจัยพบ สวดมนต์ สมาธิ วิปัสสนา รักษาโรคได้

ความเจ็บป่วยเป็นส่วนหนึ่งของการมีชีวิตอยู่ในโลกและ เป็นทุกข์อย่างหนึ่งที่คนทุกคนต้องพบทางกายและทางใจม ากบ้างน้อยบ้าง การที่จะไม่ให้ร่างกายเจ็บป่วยเลยนั้นเป็นสิ่งเป็นไป ไม่ได้แน่นอน เพราะเป็นธรรมชาติของร่างกายที่อวัยวะต่างๆ จะเสื่อมลงและถูกคุกคามด้วยโรค โอกาสที่ร่างกายจะเจ็บป่วยนั้นมีอยู่เสมอในทุกช่วงขอ งชีวิต โดยเฉพาะในวัยเด็กที่อวัยวะแต่ละส่วนยังทำหน้าที่ได้ ไม่เต็มที่ และในวัยชราที่อวัยวะเสื่อมลงทุกที พุทธศาสนาเกิดขึ้นเพื่อช่วยเหลือมนุษย์ให้พ้นทุกข์แล ะพบสุข คำสอนและพิธีกรรมต่างๆ มีไว้เพื่อวัตถุประสงค์นี้ ถึงแม้ว่าโรคภัยไข้เจ็บเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ พุทธศาสนาก็ถือว่า การไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ เพราะจะทำให้เราสามารถปฏิบัติธรรมให้ได้รับประโยชน์เ ต็มที่ตามคำสอน
ในศาสนา ด้วยเหตุนี้พุทธศาสนาจึงมุ่งสอนวิธีปฏิบัติที่จะทำให ้มีสุขภาพดีทั้งกายและทางใจ วิธีสำคัญที่พุทธศาสนาใช้ป้องกันและรักษาโรคคือ การสวดมนต์ การ ปฏิบัติสมาธิและวิปัสสนา วิธีเหล่านี้นอกจากจะเป็นประโยชน์แก่สุขภาพแล้ว ยังนำไปสู่ความสุขสูงสุดทาง ศาสนาได้ด้วย

การสวดมนต์ ปฏิบัติสมาธิและวิปัสสนาเป็นสิ่งที่ชาวพุทธทุกคนรู้จ ัก และปฏิบัติเป็นส่วนมาก มากน้อย ตามวาสนา วิปัสสนาหรือที่เรียกกันทั่วไปว่ากรรมฐาน เป็นจุดเด่นที่สุดของพุทธศาสนาและเป็นสิ่งสำคัญที่ดึ งดูดคนต่างศาสนาให้หันเข้าหาพุทธศาสนา เพราะกรรมฐานให้ประโยชน์แก่ผู้ปฏิบัติทั้งทางโลกและท างธรรม ในทางโลกประโยชน์ของกรรมฐานที่สนใจกันมากในบรรดาชาวต ่างประเทศเป็นเรื่องของสุขภาพมาก กว่าอย่างอื่น ส่วนประโยชน์ทางธรรมหรือทางศาสนาได้รับความสนใจน้อยก ว่า ยิ่งมีผู้นำกรรมฐานไปประยุกต์ใช้บำบัดโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ เช่นโรคความ เครียดและความดันโลหิตสูงเป็นผลสำเร็จมากเท่าไร ยิ่งทำให้ประโยชน์ของกรรมฐานทางด้านสุขภาพเป็นที่ กล่าวถึงกันมากขึ้น

หนังสือและงานวิจัยที่เกี่ยวกับประโยชน์ทางด้านนี้ ของกรรมฐานมีจำนวนเพิ่มขึ้นทุกปี ในสังคมตะวันตก ในเวลานี้ ชาวตะวันตกที่ไม่เคยได้ยินคำว่ากรรมฐานหรือเมดิเตชั่ น (Meditation) ในภาษาอังกฤษแทบจะไม่มีเลย ส่วนในประเทศไทยนั้นผู้สนใจกรรมฐานมีจำนวนมากกว่าในต ะวันตกโดยไม่ต้องสงสัย แต่งานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่ างสุขภาพและกรรมฐานยังมีอยู่น้อย มีจำนวนไม่เพียงพอ ที่จะนำมาสนับสนุนความเชื่อว่ากรรมฐานรักษาโรคได้

ในหนังสือชุด กฎแก่งกรรม ที่พระธรรมสิงหบุราจารย์ หรือหลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม วัดอัมพวัน จังหวัดสิงห์บุรี พิมพ์เผยแพร่ทุกปี ผู้ปฏิบัติกรรมฐานหลายคนได้เขียนเล่าเกี่ยวกับผลงานข องกรรมฐานที่มีต่อสุขภาพของตน ผู้เล่าคงเล่าด้วยความจริงใจตามการสังเกตของตน แต่เรื่องที่พูดที่เล่าให้ฟังนี้ยังไม่มีการทดสอบควา มจริง จึงไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะใช้ยืนยันความเชื่อดังกล ่าวได้ ด้วยเหตุนี้ในการกล่าวถึง ประโยชน์ในด้านสุขภาพ เราจึงจำเป็นต้องอ้างอิงเอกสารงานวิจัยของแพทย์ชาวตะ วันตกเป็นสำคัญ

ความสัมพันธ์ระหว่างสภาพจิตใจและโรคภัยไข้เจ็บ
ก่อนที่จะวิเคราะห์ประโยชน์ของกรรมฐานที่งานวิจัยต่า งๆชี้ให้เห็น เราควรจะทราบก่อนว่า การมีสุขภาพดีไม่ได้หมายถึงการมีร่างกายแข็งแรงไม่มี โรค ภัยไข้เจ็บเท่านั้น แต่หมายรวมถึงการมีจิตใจดีงามควบคู่ไปด้วย พุทธศาสนามองดูสุขภาพในลักษณะนี้ เพราะถือว่าร่างกายและจิตใจมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกัน มากจนแทบจะแยกออกจากกันไม่ได้ การแพทย์แผนปัจจุบันยอมรับทัศนะที่กล่าวมานี้และชี้ใ ห้เห็นว่า จิตใจมีความสำคัญต่อการเกิดโรคและการหายของโรค โรคทางกายหลายโรค เช่น ปวดศีรษะจากความเครียด โรคกระเพาะอาหาร โรคหอบหืด โรคหัวใจและโรคระบบทางเดินอาหาร เป็นผลมาจากสภาพของจิตใจที่ผิดปกติเป็นส่วนมาก

การวิจัยทางการแพทย์พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า สภาพของจิตใจมีอิทธิพลต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายท ี่เป็นป้อมปราการธรรมชาติ สำหรับป้องกันการโจมตีของสิ่งแปลกปลอมจากนอกร่างกาย เช่น แบคทีเรีย ไวรัส เซลล์มะเร็ง เพราะสภาพของจิตใจมีความสัมพันธ์กับระบบประสาทอัตโนม ัติที่ทำให้เกิดผลต่างๆ ต่อร่างกายตามมา จิตใจไม่ปกติ เช่น มีความเครียด หรือความโกรธ จะไปกระตุ้นระบบประสาทอัตโนมัติ ทำให้ร่างกายหลั่งสารเคมีทางปลายประสาทที่เชื่อมต่อ จากเซลล์ของภูมิคุ้มกันในไขกระดูก มีผลให้ภูมิคุ้มกันของเราลดลง ทำให้เราติดเชื้อหรือเป็นมะเร็งได้ง่าย ในทางตรงกันข้ามจิตใจที่ปกติปราศจากอารมณ์ที่เป็นพิษ เป็นภัย เช่น ความรัก ความเมตตา จะทำให้ภูมิคุ้มกันดีขึ้น (Danial Goleman , Emotional Intelligence) การค้นพบความเกี่ยวข้องระหว่างสภาพจิตใจและการ เปลี่ยนแปลงในร่างกายที่มีผลต่อระบบคุ้มกัน ทำให้แพทย์หันมาสนใจค้นคว้าหาวิธีบำบัดรักษาโรคภัย ไข้เจ็บในรูปแบบใหม่ โดยไม่ต้องใช้ยาแต่โดยการสร้าง เสริมปัจจัยต่างๆ ให้ร่างกายมีภูมิต้านทานดีขึ้น ให้ร่างกายค่อยๆรักษาตัวเอง (Andrew Weil , Spontaneous Healing)

วิธีการรักษาแบบนี้ เป็นทางเลือกใหม่ของการแพทย์ เรียกกันว่าวิธีการรักษาตามธรรมชาติ แพทย์ทั้งในประเทศและต่างประเทศที่นิยมการรักษาด้วยว ิธีนี้มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น สำหรับในประเทศไทย นายแพทย์ บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล และคณะ รวมทั้งศาสตราจารย์ ดร. สาทิส อินทรคำแหง และชุมนุมชีวจิต เป็นผู้บุกเบิก แนะนำวิธีการบำบัดนี้มาเผยแพร่ โดยเน้นการรับประทานอาหารธรรมชาติที่มีกากใย (เช่น ข้าวกล้องหรือ ข้าวซ้อมมือ ผักผลไม้) การขจัดพิษออกจากร่างกาย(เช่นด้วยวิธีอดอาหารหรือสวน ทวาร) การออกกำลังกาย (เช่น การรำกระบอง การเต้นแอโรบิค) การฝึกหายใจ และการปฏิบัติสมาธิ (หรือสมถวิปัสสนา) เป็นสำคัญ

ปัจจัยสำคัญที่ส่งเสริมสุขภาพ ได้แก่ การออกกำลังกาย การพักผ่อน อาหาร สภาพสิ่งแวดล้อมและสภาพจิตใจ ประโยชน์ของการรับประทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ (เช่น รับประทานผักและผลไม้มาก เนื้อสัตว์น้อย และงดอาหารปรุงแต่งที่มีสารเคมีเจือปน) การออกกำลังกาย (เช่น การวิ่ง การเดิน การฝึกไทเก๊ก จี้กง โยคะ) การพักผ่อนให้เพียงพอและการ อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ปราศจากมลภาวะที่มีต่อสุขภาพทาง กายและทางใจเป็นที่รู้กันทั่วไป แต่ในเรื่องของสภาพจิตใจที่มีผลนั้นยังมีผู้รู้น้อย การศึกษาในการแพทย์สมัยใหม่พบว่า ถ้าหากเรามีความคิดในทางที่ดี (เช่น ไม่คิดมุ่งร้ายผู้ใดหรือไม่คิดเรื่องที่ทำให้เป็นทุก ข์) และมีอารมณ์ที่ดีงาม (หรือที่เรียกกันในวงวิชาการว่า อารมณ์ในทางบวก) เช่น มีความเมตตากรุณา และความเอื้ออาทร ภูมิต้านทานจะดีขึ้น)

ดร. เดวิท แมคคลีแลนด์ แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาด ได้ทดลองด้วยการแบ่งอาสาสมัครออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งให้ดูภาพยนตร์เกี่ยวกับแม่ชีเทเรซาในศาสนา คริสต์ที่กำลังดูแลคนยากจนในเมืองกัลกัตตาในประเทศอิ นเดีย ด้วยจิตใจที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตากรุณา อีก กลุ่มหนึ่งให้ดูภาพยนตร์เกี่ยวกับความโหดร้ายของทหาร นาซีเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่สังหารชาวยิวไม่น้อยกว่า 5 ล้านคน

ผลปรากฏว่าอาสาสมัครกลุ่มหนึ่งมีความเมตตาสงสารเห็นอ กเห็นใจคนยากจนมากขึ้น และกลุ่มที่สอง มีความโกรธ เมื่อเจาะเลือดดูปรากฏว่าอาสาสมัครใน กลุ่มแรกมีเซลล์ภูมิต้านทานชนิดที่เรียกว่า ที-เซล (ซึ่งมีหน้าที่ทำลายสิ่งแปลกปลอมในร่างกาย) เพิ่มขึ้น ในช่วงสั้นๆ และเมื่อให้อาสาสมัครแผ่เมตตา (หรือที่เรียกว่าเมตตาภาวนา) ต่อไปอีก 1 ชั่วโมง พบว่าที-เซล เพิ่มอยู่นาน แสดงให้เห็นว่าอารมณ์ที่ดีมีผลต่อสุขภาพโดยตรง ทำให้ภูมิต้านทานแข็งแกร่งขึ้น (Danial Goleman , Healing Emotions)

จิตใจที่แจ่มใสเบิกบานมีความสุขมีผลต่อการเพิ่ม ที-เซล เช่นเดียวกัน นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาด พบว่า เมื่อให้อาสาสมัครดูภาพยนตร์ตลกสนุกสนานแล้วเจาะเลือ ดดูพบว่า เซลล์ภูมิต้านทานที-เซลเพิ่มขึ้น (Danial Goleman , Emotional Intelligence) ในทำนองเดียวกันการศึกษาผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งเต้านมจำนวน 36 คน พบว่า 7 ปีผ่านไป ผู้ป่วยเสียชีวิตไปเพียง 24 ราย เมื่อตรวจสภาพจิตใจของพวกที่เหลืออยู่ ปรากฏว่าเป็นคนที่มีจิตใจแจ่มใสมีความสุข (Danial Goleman , Healing Emotions) นอกจากนั้น การศึกษาที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาดเหมือนกันชี้ให้เห็นว่ ากลุ่ม คนที่มีอารมณ์ในทางบวกที่กล่าวมาเป็นคนมีทัศนคติที่ด ีต่อโลกและชีวิต ไม่ค่อยมีปัญหาสุขภาพหรือเป็นโรคร้ายแรงเช่นมะเร็ง งานวิจัยที่มหาวิทยาลัยมิชิแกน ชี้ให้เห็นเพิ่มเติมว่าคนที่มีทัศนคติดังกล่าวส่วนมา กแล้ว จะไม่มีอาการแทรกซ้อนหลังผ่าตัดและฟื้นตัวได้ดีกว่า คนที่มองโลกในแง่ร้าย (Danial Goleman , Healing Emotions)

สำหรับผลของการมีอารมณ์ในทางลบหรืออารมณ์ ที่เป็นพิษเป็นภัย เช่น อารมณ์โกรธหรือเกลียดนั้น ดร. จอห์น แบร์ฟูด แห่งมหาวิทยาลัยนอร์ทคาร์โลไรนา ได้ศึกษาผู้ป่วยที่มีแนวโน้มว่าจะเป็นโรคหัวใจรุนแรง โดยทดสอบสภาพจิตใจเพื่อดูว่าผู้ป่วยเป็นคนมีโทสะมากน ้อยเพียงใด และเมื่อพิจารณาดูความตีบแคบของ เส้นเลือดหัวใจเปรียบเทียบกันแล้วปรากฏว่า ผู้ป่วยที่มี อารมณ์โกรธมาก จะมีเส้นเลือดตีบมากกว่าคนที่ใจเย็น (Danial Goleman , Healing Emotions)

ดร. เรดฟอร์ด วิลเลี่ยม อาจารย์แพทย์แห่งมหา-วิทยาลัยดุกซ์ในรัฐนอร์ทคาโลไรนา ในประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ติดตามนักศึกษาแพทย์ที่มีอารมณ์โกรธเรื้อรัง พบว่า กลุ่มที่มีอารมณ์โกรธน้อย และไม่ยาว นานเสียชีวิตไป 3 คน ในจำนวน 136 คน ส่วนกลุ่ม คนที่มีความโกรธเรื้อรัง ตายไป 16 คน ปัจจัยที่ทำให้คนเหล่านี้ตายก่อนอายุ 50 ปี คือการเป็นคนเจ้าโทสะ (Danial Goleman , Healing Emotions)

ในทำนองเดียวกัน การศึกษาที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาด พบว่าความโกรธเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผู้ป่วยโรคหัวใ จมีอาการเจ็บแน่นหน้าอกก่อนมาโรงพยาบาล 2 ชั่วโมง นอกจากนั้น การศึกษาคนไข้โรคหัวใจของมหาวิทยาลัยมีชื่อเสียงในปร ะเทศสหรัฐอเมริกา คือมหาวิทยาลัยเยลและสแตนฟอร์ด พบว่า เมื่อติดตาม ผู้ป่วยที่มีอาการทางหัวใจครั้งแรกไป 10 ปี ปรากฏว่า ผู้ป่วยที่เป็นคนโกรธง่าย จะมีอัตราการตายสูงกว่ากลุ่ม ผู้ไม่โกรธง่ายถึง 3 เท่า (Danial Goleman , Healing Emotions) และผู้ป่วยที่ได้รับการช่วยเหลือให้จิตใจมีอารมณ์ดีง ามแทนอารมณ์ในทางลบจะมีอัตราการตายลดลง 2 เท่าของผู้ป่วยที่ได้รับช่วยเหลือให้ปรับเปลี่ยนอารม ณ์

นอกจากอารมณ์โกรธแล้ว อารมณ์ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพทางใจและทางกายอีกอย่า งหนึ่ง คือ อารมณ์วิตกกังวล อีมิล กู เภสัชกรชาวฝรั่งเศสพบในการวิจัยว่า คนที่มีโรคทางกาย เช่น วัณโรค ผู้ป่วยที่กำลังเสีย เลือด ผู้ป่วยที่มีอาการท้องผูก จะมีอาการของโรคเลว ลง ถ้าหากผู้นั้นมีความวิตกังวลแต่เรื่องโรคภัยไข้เจ็บข องตน ความวิตกกังวลมักทำให้เกิดความเครียดที่ เป็นอันตรายแก่สุขภาพและเป็นสาเหตุของโรคภัยไข้เจ็บต ่างๆ รวมทั้งโรคมะเร็ง

น.พ.บรูช แมคอีแวน จิตแพทย์ของมหาวิทยาลัยเยล ได้ศึกษางานวิจัยทางการแพทย์เกี่ยวกับผลกระทบของความ เครียดต่อสุขภาพ พบว่า ความเครียดทำให้ภูมิต้านทานของร่างกายลดต่ำลงเป็นเหต ุให้เซลล์มะเร็งแพร่หลายได้เร็วขึ้น และทำให้ร่างกายติดเชื้อไวรัสได้ เร็วขึ้น นอกจากนั้นยังทำให้ไขมันอุดตันในเส้นเลือด ที่หัวใจ เป็นเหตุให้กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดมาเลี้ยง ทำให้โรคเบาหวานกำเริบและอาการของโรคหอบหืดเลวลง เกิดอาการลำไส้อักเสบ ความเครียดที่เกิดติดต่อกันนานๆ มีส่วนทำให้เซลล์สมองเสื่อมลง ซึ่งส่งผลให้ความจำเสื่อมลงไปด้วย (Bruce Mcevan , Eliot Stellor , Stress and the Individual of Internal Medicine , 1993)

จิตแพทย์ เซลดอน โคเฮน แห่งมหาวิทยาลัยคาร์เนกี เมลลอน ทำงานร่วมกับหน่วยวิจัยเกี่ยวกับไข้หวัดของเมืองเซฟฟ ิลด์ประเทศอังกฤษ พบว่า ผู้ป่วย ที่ได้รับเชื้อหวัด ไม่ได้เป็นไข้หวัดทุกคน ถ้าหากมีภูมิต้านทานดี คนที่มีความเครียดน้อยจะติดหวัดได้ 27 % เมื่อได้รับเชื้อหวัดจะติดหวัดทันที ในขณะที่ผู้มีความ เครียดมาก จะติดหวัดเป็น 47 % นอกจากนั้น นายแพทย์ ผู้นี้ได้ทดลองด้วยการให้คู่สมรสจำนวนหนึ่งจดบันทึกไ ว้ติดต่อกัน 3 เดือน ปรากฏว่าคู่สมรสที่มีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกันบ่อยๆ ราว 3-4 วัน เมื่อได้รับเชื้อหวัดจะติดหวัดทันที เพราะภูมิต้านทานต่ำมาก เนื่องจากมีความเครียดสูง

นอกจากนั้น จิตแพทย์ผู้นี้ยังพบว่าในกรณีผู้ป่วยที่มักเป็นเริมท ี่ริมฝีปากหรืออวัยวะเพศ เริมมักจะเกิด ขึ้นอีกในเวลามีความเครียด โดยวัดระดับแอนตี้บอดี (หรือสารภูมิต้านทาน ที่เม็ดเลือดขาวสร้างขึ้นมาเพื่อต่อต้านเชื้อไวรัสหร ือสารเคมีที่เข้าสู่ร่างกาย) ในเลือด ซึ่งแสดงให้เห็นภูมิต้านทานโรคต่อเชื้อไวรัสเริมและน ายแพทย์โคเฮน ยังพบว่า นักศึกษาแพทย์หญิงที่เพิ่ง หย่าใหม่ๆ หรือผู้ที่ดูแลผู้ป่วยโรคสมองเสื่อม (อัลไซ-เมอร์) มักจะมีเริมขึ้นบ่อยๆ เพราะมีความเครียดสูง (Sheldon Cohen, et al , ?Psychological stress and susceptibility to common cold ,? The new England Journal of Medicine , 1991)

การทดลองต่างๆ ชี้ให้เห็นความจริงของคำสอนใน พุทธศาสนาที่ว่า สาเหตุสำคัญของโรคคือกิเลสในใจเรา ซึ่งได้แก่ ความโลภ ความโกรธ ความหลง งานวิจัยหลายชิ้นชี้ให้เห็นว่าโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ เป็นผลมาจากการเป็นคนมีความโลภ และความโกรธ เช่น ความโลภทำให้รับประทานอาหารไขมันมากเพราะติดใจในรสอร ่อย ทำให้เกิดความอยากที่ยับยั้งไม่ได้ ในทำนอง เดียวกัน ความโกรธหรือความเกลียด มีผลร้ายต่อสุขภาพเช่นเดียวกับความเครียด ที่ทำให้เกิดโรคต่างๆ โดยเหตุที่สภาพจิตใจมีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคต่าง ๆ ทั้งทางกายและทางใจ ดังนั้นความผ่อนคลายทั้งทางกายและใจ จึงเป็นวิธีสำคัญที่จะช่วยป้องกันและรักษาโรคต่างๆ เช่น โรคหัวใจ ความดัน เบาหวาน โรคจิตประสาท หอบหืด รวมทั้งโรคร้ายต่างๆ เช่น มะเร็ง วิธีการผ่อนคลายที่แพทย์แผนปัจจุบันให้ความ สนใจมากเป็นพิเศษ คือ นำการปฏิบัติในพุทธศาสนา มาใช้ในการบำบัดโรค มีการสวดมนต์ การแผ่เมตตา และการปฏิบัติสมาธิวิปัสสนากรรมฐานเป็นสำคัญ

(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 83 ต.ค. 50 โดย ดร.พินิจ รัตนกุล ผอ.วิทยาลัยศาสนศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล)

145
ชื่อกระทู้มาจากสปอตที่อ่านโดยเสียงเด็กใสๆจากคลื่น FM89.25MHz สถานีวิทยุสังฆทานธรรม รู้จักคลื่นนี้เพราะวันนั้น รถติดไฟแดงแถวมาบุญครอง มองไปข้างๆมี taxi ติดสติ๊กเกอร์ของคลื่นนี้อยู่ ก้อลยตัดสิยใจเปิดฟังเลย แต่ตอนนั้นไม่แน่ใจว่าคลื่น.25จะรับได้หรือไม่เพราะคลื่นที่ลงท้ายแบบนี้มักเป็นวิทยุชุมชนที่ฟังได้แถบบริเวณสถานี แต่คลื่นนี้เท่าที่ฟังมาฟังได้น่าจะทั้งกรุงเทพครับ ขับรถมาทำงานสายสี่ยังฟังได้ครับ ฟังแล้วรู้สึกชอบได้ความรู้ดีๆ เป็นสถานีธรรมะ24ชม.ครับ ถ้าเพื่อนๆฟังเพลงจนเบื่อแล้ว ฟังข่าวสารบ้านเมือง กีฬา กันจบแล้ว ลองเปิดคลื่นนี้ฟังกันดูน่ะครับ รับรองว่าจิตใจสบายครับ พักเรื่องหนักๆมาผ่อนคลายด้วยธรรมะกันดีกว่าครับ

146
เมื่อเช้าหลังอาบน้ำเสร็จก้อทาน้ำมันมะกอกที่รอยสักทุกยันต์ ซึ่งเป็นการทำเป็นประจำหลังการอาบน้ำ แต่เมื่อเช้ารอยสัก5แถวซึ่งเป็นรอยสักแรกที่ไหล่ซ้าย มีความรู้สึกแสบร้อนที่รอยสักมากๆเป็นอยู่ประมาณ5นาทีก้อหายไป เลยเกิดความสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นครับ ใครมีประสบการณ์ หรือใครรู้ช่วยไขความกระจ่างด้วยน่ะครับ

147
จากที่อ่านกระทู้นี้ http://www.bp.or.th/webboard/index.php/topic,7914.0.html เมื่อวานที่ผ่านมาได้ไปผักผ่อนกับครอบครัว นัดเพื่อนๆไป7ครอบครัว ปิดโฮมสเตย์ ฉลองสงกรานต์กันที่อัพวา ทริปนี้เลยตั้งใจว่าจะไปเที่ยวด้วยไปไหว้พระด้วย พอไปถึงก้อไปไหว้หลวงพ่อวัดบ้านแหลม คนเยอะพอสมควร ไหว้พระขอพรเสร็จก่อนกลับก้อเลยบูชา หลวงพ่อวัดบ้านแหลมมาบูชา

ต่อจากนั้นก้อมุ่งตรงไปวัดยางงาม ไปไม่ยากเลยครับ จากอัมพวา เลี้ยวขวาเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาเลี้ยวจนจำไม่ได้อ่ะ แบบถ้าไม่ได้เจ้าเครื่องgpsรับรองว่าผมไปไม่ถูกแน่ๆคร๊าบ พอไปถึงวัดก้อถามหลวงพี่ในวัดท่านก้อบอกทางไปหาหลวงปู่โต๊ะ พอเข้าไปหาท่านก้อมีศิษย์คุยกับท่านอยู่2คน ท่านสอบถามว่ามาทำไมก้อเลยบอกตรงๆเลยว่ามาขอตะกรุดกันชง ท่านก้อบอกว่ารู้ได้ไง ไม่รู้มีเหลือหรือเปล่า แต่ท่านก้อไปหยิบมาให้ ท่านใจดีครับ ให้ผมมาครบครอบครัวผมเลย แล้วก้อเป่าให้ครอบครัวผมทุกคน ตอนที่ท่านไปหยิบตะกรุด พี่ที่นั่งอยู่บอกว่าเพื่อนเค้าเคยลองเอาปืนมายิง ผลก้อคือยิงไม่ออก ก่อนจะลาท่านกลับ ท่านบอกว่าตะกรุดของท่านจะขลังหรือไม่อยู่ที่คนที่นำไป เชื่อมั่นและศรัทธาหรือเปล่า

นอนค้างที่อัมพวา1คืน วันนี้เดินทางกลับ ก่อนกลับก้อไปไหว้พระที่วัดบางกุ้ง(UNSEEN น่ะครับ) และผมก้อเดินทางกลับทางเพชรเกษม มุ่งหน้าไปวัดบางพระ พอไปถึงก้อตั้งใจไปกราบหลวงพี่แป๊วก่อนเลย ตั้งใจว่าจะให้ท่านเป่าครอบให้ แต่หลวงพี่แป๊วถามว่า มาแล้วไม่สักเหรอ แปดทิศหายดีแล้วใช่ไหม(ดีใจมากๆครับที่ท่านจำได้ว่าครั้งที่แล้วสัก8ทิศ) เลยตอบท่านว่าคงไม่ครับ เพราะเห้นมีคนรออยู่พอสมควรและแฟนกับลูกก้อมาด้วย เดี๋ยวจะรอนาน แต่ท่านก้อบอกว่า เดี๋ยวให้สักคนต่อไปเลย ผมก้อยังบอกว่าไม่เป็นไรครับ หลวงพี่แป๊วยอกว่า วันนี้วันดี ไหนๆมาแล้ว เอาซะหน่อย ลงน้ำมันก้อได้แป๊ปเดียวก้อเสร็จ วันนี้ท่านเมตตามากๆผมเลยได้จิ้งจกมาครับ

จากนั้นก้อลาท่าน และไปให้หลวงพ่อสำอางค์เป่าครอบ ก่อนกลับเลยเช่าหลวงพ่อเปิ่นไปบูชา หลวงพี่ที่ตู้พระใจดีเลยให้ยันต์และสติ๊กเกอร์มาด้วยครับ

มีความสุขมากๆครับ2วันนี้ ได้ไปไหว้พระ ได้เช่าพระ ได้ตระกรุดกันชง ได้สัก ได้ไปเที่ยวกับครอบครัวและได้เฮฮากับเพื่อนๆ ถึงบ้านเมืองจะวุ่นวายน่าดูแต่สำหรับผม2วันนี้เยี่ยมมากๆคร๊าบ

148
ตั้งแต่ผมยังเด็กๆที่บ้านก้อเลี้ยงกุมารทองไว้ ซึ่งผมจะเรียกว่าพี่กุมารทอง ผมจำได้ว่าทุกคนในบ้านเชื่อสนิทใจทุกคนว่ากุมารทองมีจริง เพราะแต่ละคนจะได้รับรู้เรื่องราวต่างๆเช่น ไฟในบ้านชอบปิดและเปิดขึ้นเอง ไม่ก้อจะมีเสียงเด็กเล่นของเล่น หรือข้าวของกระจัดกระจาย บางทีไฟเลี้ยวในรถพ่อที่จอดอยู่เฉยๆก้อติดขึ้นมา ตั้งแต่เด็กมีอะไรจะขอก้อขอพี่กุมารมาตลอด จนตอนนั้นเรียนจบมีรถคันแรกขับได้สักปีก้ออยากจะขาย ตอนนั้นแยกบ้านมาแล้วแต่กลับไปบ้านเก่าเพื่อจะจอดรถไว้ขาย เลยขึ้นไปจุดธูปบอกพี่กุมารให้ช่วยขายรถให้หน่อย หลังจากนั้นก้อลงมาจากบ้านจะไปทำงาน โดยจอดรถทิ้งไว้ พอเดินผ่านรถตัวเอง ได้ยินเสียงเครื่องยนต์ติดอยู่ ตอนนั้นงงเพราะจำได้ว่าดับเครื่องไปแล้ว ล้วงในกระเป๋ากุญแจรถก้ออยูในกางเกง มองที่ประตูประตูก้อล๊อค มองที่สตาร์ทรถ ไม่มีกุญแจ อ้าววววววววแล้วรถติดเครื่องได้ไง ทันใดนั้นก้อคิดขึ้นได้ว่าพี่กุมารคงมาลองเล่นรถดู ก้อเลยเอากุญแจเปิดประตูรถ และเอากุญแจบิดดับเครื่อง และหลังจากนั้นไม่นานรถก้อขายได้  ต่อจากนั้นพี่ชายที่เป็นคนเลี้ยงพี่กุมารก้อย้ายบ้าน กว่า20ปีแล้วที่ไม่ได้พบอิทธิฤทธิ์ของพี่กุมารอีกเลย และตอนนี้ผมก้อไม่รู้ว่าพี่กุมารไปอยู่ที่ไหนเพราะพี่ชายเสียชีวิตไปแล้ว ที่เล่ามาก้ออยากจะบอกเพื่อนๆที่เลี้ยงกุมารทองไว้ว่า ถ้าเลี้ยงเค้าดีๆเค้าจะช่วยเราได้มากทีเดียวครับ

149
พอดีได้ไปสำนักปฎิบัติธรรม แสงธรรมส่องชีวิต (ยังไม่ถึงขั้นไปปฎิบัติธรรมน่ะครับ พอดีมีเพื่อนบวชที่นั่น) พอไปถึงหลวงพี่ไม่อยู่ เลยเดินอ่านป้ายที่ติดไว้ในสำนัก ข้อความโดนใจหลายข้อความ เลยเอามาให้เพื่อนๆอ่านกันน่ะครับ พูดถึงหลวงพี่ที่เป็นเพื่อนแล้วคิดว่าตัวเองเมื่อก่อนก้อบาปหนักเหมือนกัน เพราะท่านบวชมา7ปีแล้วถ้าเมื่อก่อนถ้าผมได้เจอท่านทุกครั้งผมจะบอกให้ท่านสึกทุกครั้งเข้าขั้นเรียกว่ากล่อมให้ท่านสึกเลยทีเดียว แต่ตอนนี้รู้แล้วว่า ท่านได้เลือกเดินถูกทางแล้ว ชีวิตท่านสงบอยู่กับธรรมะแล้วทำไมต้องให้ท่านออกมาเจอกับโลกที่เลวร้าย ยอมรับว่าเมื่อก่อนโง่จริงๆครับ
ปล.ถ้าใครสนใจไปปฎิบัติธรรมก้อเชิญน่ะครับ ที่นี่เหมาะแก่การปฎิบัติธรรมมากๆ มี2แห่งที่สระบุรีกับปากช่อง รายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ http://www.sangdhamsongchevit.com/






150
ประโยคนี้อ่านว่าอย่างไรครับ ฐิตคุโณ อ่านว่า ทิดคุโณ หรือ ทิดตะคุโณ ครับ ช่วยไขข้อสงสัยให้หน่อยครับ ที่สำคัญคือจะได้ท่องให้ถูกด้วยครับ ขอบคุณล่วงหน้าน่ะครับ

151
เวลาไปสักยันต์งบน้ำอ้อย ท่านจะเมตตาลงมาให้พร้อมกันทีเดียว2ข้างในพานเดียวหรือเปล่าครับ หรือต้องลงทีละข้างครับ รบกวนผู้รู้วานบอกด้วยน่ะครับ และมีพุทธคุณด้านใดครับ ขอบคุณล่วงหน้าน่ะครับ

152
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / จากใจ.......
« เมื่อ: 15 มี.ค. 2552, 09:57:55 »
อาทิตย์ที่แล้วพี่ชายแฟนมาจากฮ่องกง(พ่อเดียวกับแฟนแต่คนละแม่) มาพักที่บ้าน ช่วงนี้เศรษฐกิจที่ฮ่องกงไม่ดี มาครั้งนี้หลักๆคือจะมาขอพรจากหลวงพ่อสด วัดปากน้ำ เพราะพี่ชายคนนี้นับถือมากๆแม้ไม่ใช่คนไทยแต่ก้อชอบมาไหว้พระที่เมืองไทย มาวันแรกพาไปเดินห้างเจอร้านสัก พอดีพี่เค้ารู้ว่าผมมีรอยสักที่แขนขวา เลยหันมาถามผมว่าไม่สักเหรอ ผมเลยบอกว่าเดี๋ยวนี้ไม่สักแบบนี้แล้ว แต่สักยันต์ พอกลับบ้านเปิดหลังให้ดู พร้อมอธิบายให้เค้าฟัง พอฟังเสร็จ บอกให้ผมพาไปสัก วันเสาร์ที่ผ่านมาก้อเลยพาไปที่วัดบางพระ ไปถึงก้อบ่าย3โมงกว่า ตรงดิ่งไปกราบหลวงพี่แป๊ว เมื่อวานคนเยอะพอสมควร ถึงจะตั้งใจพาพี่ไปสักแต่ไปถึงแล้วก้อขอสักด้วยเลย รอสักพักหลวงพี่แป๊วก้อเรียกไปสัก (ขอโทษคนที่รอก่อนหน้าผมด้วยน่ะครับ) แล้วหลวงพี่ก้อลงแปดทิศให้ ตอนที่เห็นหลวงพี่หยิบกระป๋องมาก้อดีใจว่าวันนี้คงได้แปดทิศ สมใจ เพราะคราวที่แล้วไปขอ8ทิศท่านเมตตาให้7ยอดมา สักแปดทิศใช้เวลาพอสมควร ตอนผมสัก มีเพื่อนๆที่รอไม่ไหว(สงสัยรอมานาน)มากราบขอลากลับกันตั้ง4คน พอผมสักเสร็จ หลวงพี่ก้อเรียกพี่ชายมาสัก ผมเลยบอกหลวงพี่ว่าพี่ชายอยากได้5แถว หลวงพี่ก้อเมตตาลงให้ หลังจากนั้นก้อพาพี่ไปให้หลวงพ่อสำอางค์เป่าครอบและกราบหลวงพ่อเปิ่น หลังทำพิธีเสร็จ ดูพี่มีความมั่นใจมากขึ้น บอกว่าครั้งหน้าถ้ามาเมืองไทยจะสักเพิ่ม ส่วนผมตอนนี้ได้ยันต์จากหลวงพี่แป๊วมา4ยันต์ (5แถว2ข้าง เจ็ดยอด แปดทิศ) ถึงแม้ตั้งแต่สักยันต์ครั้งแรก(เดือนธค51) จะไม่เคยมี อิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์ ใดๆ แต่พอผมเริ่มสัก ผมก้อเริ่มสวดมนต์ ไหว้พระ หัดนั่งสมาธิ พยายามทำตามข้อห้าม พยามยามถือศีล5 ตอนนี้จิคใจสงบขึ้นไม่ฟุ้งซ่านเหมือนก่อน ชีวิตสุขขึ้น ไม่ทุกข์มากเหมือนก่อน เมื่อก่อนแค่ตอนเช้าสตาร์ทรถก้อทุกข์แล้ว เพราะจะคิดว่าทำไมบริษัทไม่ยอมเปลี่ยนรถให้ ทั้งๆที่มีรถฟรีให้ใช้ น้ำมัน ซ่อมบำรุงฟรีหมด เดี๋ยวนี้ตั้งใจทำงาน ไม่ฟุ้งซ่าน มีสติใช้ปัญญา ใช้อารมณ์น้อยๆใข้สติปัญญามากๆ งานการดีขึ้น นายยังเอ่ยปาก ลูกค้าเยอะขึ้น(ผมทำงานด้านขาย) ตอนนี้ผมคิดว่าผมได้สิ่งดีๆจากยันต์ที่หลวงพี่แป๊วเมตตาให้มากมาย ถึงแม้บางสิ่งบางอย่างที่ผมกำลังจะเปลี่ยนแปลง มันจะช้าไปบ้างแต่ก้อคิดว่าคงยังไม่สายไปน่ะครับ

153
เมื่อวานได้ไปวัดบางพระมา ไปถึงก้อราวเที่ยงกว่าๆ ไปถึงก้อมุ่งไปหาหลวงพี่แป๊ว แต่ช่วงนั้นท่านพักอยู่ก้อมีคนมารอเยอะเหมือนกัยราวสิบกว่าคน รออยู่สัก20นาทีหลวงพี่ก้อมา และหลวงพี่ก้อเมตตาผมเช่นเคยโดยเรียกให้ผมสักเป็นคนแรก(ขอโทษเพื่อนๆที่รอก่อนหน้าที่ผมลัดคิวน่ะครับ) คราวนี้ผมขอยันต์แปดทิศ แต่หลวงพี่พูดว่าน่าจะสักตรงกลางหลังขึ้นไปก่อน ก่อนสักหลวงพี่แป๊วถามผมว่าอยากได้แปดทิศเหรอ ผมตอบว่าใช่ หลังจากนั้นท่านก้อสักให้ผม สักเสร็จก้อลาท่านและไปเป่าครอบ ตอนนั้นผมก้อนึกว่าท่านสักแปดทิศให้เพราะท่านถามก่อนสัก แต่พอขับรถไปก้อหาที่มีกระจกเปิดหลังดู วันนี้หลวงพี่แป๊วไม่ได้สักแปดทิศให้ แต่ผมก้อคิดในใจว่าสงสัยคงไม่ถึงเวลาและยังไม่เหมาะสม ผมสักเป็นยันต์ที่3กับหลวงพี่แป๊ว ครั้งแรกไปขอ5แถว ท่านเมตตาให้ ครั้งที่2ไม่ได้ขออะไรให้ท่านลงให้ตามความเหมาะสม ท่านลง5แถวให้อีกข้าง และครั้งนี้ท่านก้อคงลงให้ตามความเหมาะสม แต่ตอนนี้ผมอยากถามผู้รู้ว่ายันต์ที่ผมสักมากลางหลังชื่ออะไร มีพุทธคุณด้านใด ผมลองหาในกระทู้เก่าๆก้อไม่มีครับ รบกวนผู้รู้ช่วยไขข้อข้องใจด้วยน่ะครับ และอีกเรื่องที่อยากถามเผื่อมีใครเป็นเหมือนผมคือ ผบทบที่บ้านไม่ค่อยปลื้มในการที่ผมสักเท่าไหร่เพราะกลัวว่าผมจะลงไปเรื่อยๆจนเต็มหลัง ใครมีวิธีช่วยทำให้ ผบทบที่บ้าน ไม่ยุ่งกับผมเรื่องนี้บ้างครับเผื่อมีไอเดียดีๆช่วยแนะนำ แต่เมื่อวานก่อนสักเหมือนหลวงพี่แป๊วรู้น่ะ เพราะท่านถามผมว่า ซ้อไม่ว่าหรือครับ ผมอึ้งไปเลยครับ
ปล.ครั้งหน้าจะไปขอแปดทิศหลวงพี่แป๊วอีกครั้งครับ


หน้า: [1]