แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - Kanya

หน้า: [1]
1
บทความ บทกวี / กวีเพ้อเจ้อ
« เมื่อ: 14 ม.ค. 2557, 12:38:46 »
ฤ ไร้ราก  จักมีใบ
    ฤ ไร้สาย   จักมีเสียง
    ฤ ไร้เมือง  จักมีเวียง
   ฤ ไร้เพียง จักมีพอ

2
ธรรมชาติที่ไม่รู้ตามความเป็นจริง เรียกว่า "อวิชชา" มี ๘ ประการ คือ

ความไม่รู้ในทุกข์(ทุกเข อัญญาณัง) ๑, ความไม่รู้ในเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์(ทุกขสมุทเย อัญญาณัง-ไม่รู้สมุทัย) ๑, ความไม่รู้ในความดับทุกข์(ทุกขนิโรเธ อัญญาณัง-ไม่รู้นิโรธ) ๑, ความไม่รู้ในข้อปฏิบัติให้ถึงซึ่งความดับทุกข์(ทุกขนิโรธคามินิยา ปฏิทายะอัญญาณังไม่รู้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา) ๑, ความไม่รู้ในส่วนที่เป็นอดีต ๑, ความไม่รู้ในส่วนที่เป็นอนาคต ๑, ความไม่รู้ทั้งในส่วนที่เป็นอดีตและในส่วนที่เป็นอนาคต ๑ และความไม่รู้ในปฏิจจสมุปบาทธรรมอีก ๑ รวมเป็น "อวิชชา ๘" สรุปรวมคือ "ความไม่รู้ในอริยสัจ ๔" [เมื่อสิ่งนี้มี..สิ่งนี้จึงมี "อวิชชาปัจจะยา สังขารา.......ฯ" (ปะฏิจจะสะมุปปาทะปาฐะ)]

ความไม่รู้ ท่านจัดเป็นอวิชชา แต่ความรู้ในอีกหลายๆอย่าง ก็จัดเป็นอวิชชาได้เช่นกัน

มันเป็นเช่นนั้นเอง..(ตถตา).



ศาสนาพุทธ มีธรรม 2 ระดับ คือโลกุตระ และโลกียะ ในระดับโลกุตระ อ้างได้ตามนั้น แต่ในระดับโลกียะ คาถาที่ว่าดูตามวัตถุประสงค์ คุณไม่ใช้เพื่อผิดศีล 5 (เป็นอย่างน้อย) เป็นไปในธรรมทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ และสัมปรายิกัตถประโยชน์

3
พระไทย ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร บวชได้ สึกได้

ขอเพียงแต่บวชก็ไม่เสียผ้าเหลือง สึกก็ไม่เปลืองผ้าลาย

4
สายธารแห่งกาลเวลา ยังคงไหลผ่าน
พาพัดทุกสรรพสิ่ง เกิดและดับไม่หยุดนิ่ง

5
ขอขอบคุณหลวงพี่เก่งขอรับ ที่ส่งวัตถุมงคลจากแดนใต้มาให้


6
เอ้อ!!เนาะ เอาละจะตอบก้อด้ายเนาะ
ที่หลวงพ่อท่านพูดก้อเห็นด้วย(แต่ไม่ทั้งหมด)
ส่วนที่นุชพูด ขอบอกว่ามันจำเป็นที่จะไปตามกระแสความทันสมัย
แต่บอกตามตรงอ่ะ อย่าว่ากันเลยนะ ผมน่ะปฏิเสธทฤษำีทันสมัย
พูดง่ายๆคือไม่ชอบมัน แต่ตัวเองก็ไม่พ้น ที่นุชพูดมา เป็นเพียงด้านหนึ่งเท่านั้น
แต่มันยังมีอีกหลายด้าน เราอาจไม่ชอบ Gossip แต่ไม่รับมันไม่ได้
เพราะเรารับด้านอื่นของมันมาแล้ว เฮ้อ เรื่องนี้ขนาดเรียน ยังเรียนกันเป็นคอร์ส
จะให้มาคุยแค่นี้ คงย๊าววว ยาววววว ที่เหลือ คิดเอาแล้วกานนน

 :079:

7
   วันนี้ว่างๆนะขอรับ เขียนเล่นๆมาให้อ่านกัน อย่าคิดมานะขอรับ คิดซะว่าอ่านผ่านตา

  กาลครั้งหนึ่งนั้นยังมี      ราชสีห์ในป่าใหญ่
เป็นเจ้าแห่งป่าพนาไพร      ชื่อเสียงเลื่องลือไปในปฐพี
  องอาจแลหาญกล้ากว่าสัตว์ไหน    สัตว์ร้ายล้วนเกรงในศักดิ์ศรี
สัตว์ป่าน้อยใหญ่ประดามี               ต่างเกรงกลัวราชสีห์เพียงตัวเดียว
  ครั้นอยู่มาในวันหนึ่ง                  เจ้าหมูป่าดันทะลึ่งมาทำซ่า
ร้องท้าทายราชสีห์เจ้าพนา            คิดว่าตัวข้าเก่งเหนื้อใครๆ
  เจ้าหมูน้อยไม่เจียมตน               นึกฉงนเมื่อถึงวันท้าสู้ใหญ่
ใจประหวั่นพรั่นพรึงนึกกลัวตาย       จึงหาอุบายเอาชนะ
  เจ้าหมูป่าไม่เจียมตน                 อดทนเหม็นลงคลุกอุจจาระ
หวังให้ราชสีห์ไม่ชนะ                  ให้เลิกราหนีไปให้ไกลเอง
  แผนเจ้าหมูสำเร็จสมประสงค์        ราชสีห์ไม่ลดตัวลงมาข่มเหง
เจ้าหมูรอดตายพ้นภัยเอง              รอดภัยร้ายอันเกิดเองเพราะปากตน
  ฝ่ายราชสีห์เมื่อกลับถ้ำ              นึกกระหยิ่มยิ้มในใจถึงตัวข้า
ถึงอย่างไรยังเป็นเจ้าพนา             แค่หมูป่าขลาดเขลาคงปล่อยไป
  นอนหลับสบายอยู่ในถ้ำ             ไม่นำพาปัญหาทั้งน้อยใหญ่
สะดุ้งตื่นอีกคราเกือบช้าไป           นั่นหลวงตาท่านมาไล่ตวาดมัน
  สุเอย เจ้าสุนัข                        เจ้ายังพาลเห่ากัด ประสาหมา
สร้างความเดือร้อนทั้ววัดวา           แม้หลวงตาท่านยังเกินจะทน
  กลับหลับฝันว่าเป็นราชสีห์          ปกครองสูงสัตว์ประดามีในป่าใหญ่
โอ้สุนัขเอย เจ้าฝันไป                 ครั้งหนึ่งตอนไหนยังรู้ตน
  สุเอย เจ้าสุนัข                          เจ้าลองหันกลับไปดูที่ข้างหลัง
เมื่อครั้งยังรู้ตนบ่นลำพัง               ว่าข้านี้ยังเพียงเป็นหมา
"แล้วยิ่งถ้าเป็นประเภทหมากัดไม่ปลอ่ย  จนกว่าเหยื่อจะขาดใจตายไปข้างหนึ่งอย่าง..."
  สุเอย เจ้าสุนัข                           นี่เราเพียงบอกเล่าว่าเจ้าฝัน   
จะบอกกล่าวบอกเล่าว่าเจ้ายัง            เป็นสุนัขที่คันเพราะโรคเรื้อน
  เมื่อสันดานเจ้าเป็นสุนัขวัด              ไม่มีวันที่เจ้าจักเป็นสิงเสือ
จะกลับกลอกหลอกไปใครจะเชื่อ         วาจาเจ้ากล่าวไปเพื่อลวงตน
  คำพูดของเจ้าที่กล่าวไว้                  นานวันผ่านไปเจ้าลืมหลง
เป็นเพียงหมาจงอย่าทะนงตน             คิดสับสนบอกเป็นราชสีห์
  หากเป็นคนพูดคำที่กลิ้งกลอก           ชาวบ้านเขาคงบอกว่าอย่าเห็น
มันเป็นเพียงแค่คนขลาดพลาดไปเอง     มันพูดเองเออเองเพราะลืมตน
  บางบ้านนั้นท่านพูดคำพูดหนัก          ท่านเกลียดนักพวกพูดพล่อยคนอื่นเสีย
ท่านเรียกมันว่า hna tour mear          เพราะสันดานมันเสียไม่ใช่ชาย
  เอาเถิดหนาชาวเราอย่าไปสน              คนเหมือนหมาลืมตนคนฉิบหาย
ปล่อยไปให้อยู่อย่างจัญไร      สักวันมันฉิบหายแพ้ภัยตน ฯ

                                                (อมยิ้ม)   

8
ไหนๆกระทู้นี้ก็เกี่ยวกับหมา เลยแต่งกลอนหมาๆ มาให้อ่านขอรับ

  สุเอย สุนัขเมือง เลี้ยงไม่เชื่องเพราะเย่อหยิ่ง
เจ้าของจึงจะทิ้ง ตัดหางทิ้งเอาปล่อยวัด
วัดเอย วัดบ้านนอก หมาบ้านนอกมันไม่กัด
มันเจียมตัวว่าหมาวัด มันไม่กัดมันไม่เห่า
สุเอย สุนัขเมือง เคยรุ่งเรืองและรู้มาก
เมื่อเจ้าถูกปล่อยวัด คิดว่าจักครองเป็นใหญ่
ไล่กัด ทั้งไล่เห่า ถือตัวเราว่ายิ่งใหญ่
หมาเมือง รู้เกินใคร เรายิ่งใหญ่ต้องชนะ
ชัยเอย ชัยชนะ เจ้าได้มา ว่าเจ้าเก่ง
ตั้งตนเป็นนักเลง หมาเมืองเก่งเกินใครๆ
  สุเอย เจ้าสุนัข สุขยิ่งนักวัดบ้านไกล
อารมณ์ดีสุขสบายวิ่งเล่นไล่ ประสาหมา
วันไหนขัดใจตน ออกมาข่มอวดศักดา
ทั้งกัดเห่า ราวหมาบ้า จนหลวงตาเกินจะทน
ท่านคิดอยู่ในใจ แต่ไหนๆสงบดี
ครั้นมีเจ้าหมาเมือง ก็มีเรื่องสุดหน่ายหนี
แต่ก่อนสงสารดี ให้ข้าวปลาแลอาหาร
แรกๆเราพอทน  รำพึงตนมันไม่พาล
นานเข้าเผยสันดาน อันธพาลสันดานมัน
เห็นทีต้องลงโทษ เอาแค่โปรดให้หราบจำ
ท่านเพียงทำขึงขัง ส่งเสียงดังตวาดไป
  สุเอย สุนัขเมือง ชื่อลือเลื่อง เลยเหริงใหญ่
วัดนี้มีอะไร จะยิ่งใหญ่ไปกว่าเรา
ชัยเอย ชัยชนะ ที่ข้ากัด และข้าเห่า
ได้มา ปัญญาเรา เพราะเราเก่งเหนือใครๆ
หลวงตาท่านตวาด เราหาขลาดหวาดกลัวไม่
ท่านจักทำอะไร เรายิ่งใหญ่ไม่เกรงกลัว
สุเอย สุนัขเมือง เลี้ยงไม่เชื่อง เกินเยียวยา
อันธพาลสันดานหมา แม้แต่หมายังไม่คบ
หลวงตา ท่านมีคุณ เจ้าเนรคุณเพราะใจคด
แม้ท่านคิดจะโปรด เจ้าใจคด จึงไม่ฟัง
สุดท้ายเจ้าดายเดียว เพียงท่องเที่ยวไปวันๆ
อวดปัญญา สันดานทราม ด้วยเพราะพาลไม่รู้ตน
  ใครเจอ คนเยี่ยงหมา โปรดเถิดหนา อย่าสับสน
หนีไปให้ไกลตน  อย่าไปสนคนอย่างมัน
เลี้ยงดูไม่รู้คุณ ถึงกระตุ้น มันไม่ฟัง
หนึ่งหนมันพลาดพลั้ง ทำใจยังให้อภัย
หนสอง ต้องระอา มันนี่หนา เหมือนได้ใจ
หนสามเกินอภัย คงทำใจอย่าไปแล
ปล่อยมันให้เห่าไป เราคงไม่ไปแยแส
เบื่อหน่ายเกินดูแล ให้มันแพ้ ภัยตนเองฯ

       (ยิ้ม)

9
นิทานเรื่องนี้อาจมีหลายท่านได้อ่านผ่านสายตามาบ้างแล้ว หรือแม้กระทั่งอาจเคยมีคนโพสต์ไปแล้ว

เพียงแต่กระผมคิดว่าอ่านแล้วก็น่าจะอ่านอีกได้ จึงนำมาให้อ่านขอรับ เรื่องมีอยู่ว่า


                  ลูกชายนักธุรกิจใหญ่มีชื่อเสียงระดับประเทศคนหนึ่งเพิ่งสำเร็จการศึกษากลับมาจากเมืองนอกยังไม่ทันทำงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอันก็ถูกผู้เป็นแม่ขอร้องให้บวชเรียนเสียก่อนเพื่อเห็นแก่แม่..

                  บัณฑิตใหม่หมาดๆจากเมืองนอกจึงบวชอย่างเสียไม่ได้เมื่อบวชที่วัดใหญ่ในกรุงเทพฯแห่งหนึ่งเสร็จแล้วผู้เป็นแม่จึงพาไปฝากให้จำพรรษาอยู่กับพระวิปัสสนาจารย์รูปหนึ่งที่วัดป่าแถวภาคอีสาน
                 พระหนุ่มการศึกษาสูงมาจากตระกูลผู้ดีมีแต่ความสุขสบายเมื่อมาอยู่วัดป่า   กว่าจะปรับตัวได้จึงใช้เวลานานเป็นแรมเดือนแต่ก็นั่นแหละ  กว่าจะนิ่งก็ทำเอาพระร่วมวัดหลายรูปพลอยอิดหนาระอาใจไปตามๆ กัน

               ปัญหาที่ทำให้พระทั้งวัดเหนื่อยหน่ายจนนึกระอาก็เพราะพระใหม่มีนิสัยชอบจับผิดและชอบอวดรู้ ยกหู ชูหางตัวเองอยู่เป็นประจำ  วันแรกที่มาอยู่วัดป่าก็นึกเหยียดพระเจ้าถิ่นทั้งหลายว่าไม่ได้รับการศึกษาสูงเหมือนอย่างตน ออกบิณฑบาตได้อาหารท้องถิ่นมาก็ทำท่าว่าจะฉันไม่ลง
               เห็นที่วัดใช้ตะเกียงน้ำมันก๊าดแทนไฟฟ้าก็วิพากษ์วิจารณ์เสียเป็นการใหญ่หาว่าล้าสมัยไม่รู้จักใช้เทคโนโลยี  ตอนหัวค่ำมีการทำวัตรสวดมนต์เย็นก็บ่นว่าท่านรองเจ้าอาวาสทำวัตรนานเหลือเกินกว่าจะสิ้นสุดยุติได้ก็นั่งจนขาเป็นเหน็บชา
                 ครั้นพอถึงเวรตัวเองล้างห้องน้ำเข้าบ้างก็ทำท่าจะล้างอย่างขอไปทีล้างไปบ่นไป ประเภทตูจบปริญญาโทมาจากเมืองนอกต้องมาเข้าเวรล้างห้องน้ำร่วมกับใครก็ไม่รู้ โอ้ชีวิต!  ความสำรวยหยิบโหย่งทำให้พระใหม่ไม่พอใจสิ่งนั้นสิ่งนี้ถือดีว่าตัวเองมีชาติตระกูลสูงมีการศึกษาสูงกว่าใครในวัดนั้นผิวพรรณก็ดูสะอาด สะอ้านชวนเจริญศรัทธากว่าพระรูปไหนทั้งหมดมองตัวเองเปรียบกับพระรูปอื่นแล้วช่างรู้สึกว่าตัวเองเหนือกว่าทุกประตูนึกแล้วก็ยิ้มกระหยิ่มอยู่ในใจ
               กลับเข้ากุฏิเมื่อไหร่ก็เอาปากกามาขีดเครื่องหมายกากบาทบนปฏิทินนับถอยหลังรอวันสึกด้วยใจจดจ่ออยู่มาได้พักใหญ่พระใหม่อดีตนักเรียนนอกก็สังเกตเห็นว่าท่านเจ้าอาวาสวัดป่าแห่งนี้ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจาซ้ำนานๆครั้งจะออกมาให้โอวาทกับลูกศิษย์เสียทีหนึ่ง  วันๆไม่เห็นท่านทำอะไรเอาแต่กวาดใบไม้  เก็บขยะ  ซักผ้าเอง  (เณรน้อยก็มีไม่รู้จักใช้) สอนก็ไม่สอนการบริหารวัดก็มอบให้ท่านรองเจ้าอาวาสเป็นคนจัดการไปเสียทุกอย่าง

              เห็นแล้ว เลยนึกร้อนวิชาเสนอให้ปรับโน่นลดนี่สารพัดที่ตัวเองเห็นว่าไม่เข้าท่าล้าสมัยรวมทั้งให้เสนอให้วัดใช้ไฟฟ้าแทนตะเกียงด้วยอีกข้อหนึ่งเพราะตนเห็นว่ายุคสมัยก้าวไกลมามากแล้วไม่ควรจะทำตนเป็นคนหลังเขาให้คนอื่นเขาดูถูกอีกหนึ่งในข้อวิจารณ์จุดด้อยของวัดทั้งหลายเหล่านั้นพระใหม่เสนอให้หลวงพ่อเจ้าอาวาสมีปฏิสัมพันธ์กับพระลูกวัดให้มากขึ้นกว่านี้สอนให้มากขึ้นเทศน์ให้มากขึ้นและแนะนำว่าคนระดับผู้บริหารไม่ควรจะทำงานอย่างการซักจีวรเองเป็นต้นด้วยตนเองควรจะกระจายอำนาจมอบงานให้คนอื่นทำดีกว่า

                    เย็นวันนั้นเป็นวันพระสิบห้าค่ำหลวงพ่อเจ้าอาวาส มานั่งทำวัตรที่โบสถ์ธรรมชาติกลางลานทรายด้วยท่านไม่ลืมที่จะหยิบข้อเสนอแนะจากพระใหม่มาอ่านให้พระหนุ่มสามเณรน้อยทั้งหลายฟังแต่ท่านไม่บอกว่าพระรูปไหนเป็นคนเขียนอ่านจบแล้วหลวงพ่อก็ยิ้มอย่างมีเมตตาพลางหยิบไมโครโฟนขึ้นมาแล้วชี้ให้ภิกษุหนุ่มสามเณรน้อยทั้งหลายดูหมาขี้เรื้อนตัวหนึ่งที่นอนอยู่ใต้ม้าหินอ่อนตัวหนึ่งจากใต้ต้นอโศกที่อยู่ใกล้ๆ
                   เธอทั้งหลายเห็นหมาขี้เรือนตัวนั้นหรือไม่เจ้าหมาตัวนั้นน่ะมันเป็นขี้เรื้อน  คันไปทั้งตัวฉันเห็นมันวิ่งวุ่นไปมาทั้งวันเดี๋ยวก็วิ่งไปนอนตรงนั้นเดี๋ยวก็ย้ายมานอนตรงนี้อยู่ที่ไหนก็อยู่ไม่ได้นานเพราะมันคันแต่พวกเธอรู้ไหมเจ้าหมาตัวนั้นน่ะมันไปนอนที่ไหนมันก็นึกด่าสถานที่นั้นอยู่ในใจหาว่าแต่ละที่ไม่ได้ดั่งใจตัวเองสักอย่าง  นอนที่ไหนก็ไม่หายคัน  สถานที่เหล่านั้นช่างสกปรกสิ้นดี คิดอย่างนี้แล้วมันจึงวิ่งหาที่ที่ตัวเองนอนแล้วจะไม่คัน แต่หาเท่าไหร่มันก็หาไม่พบสักที  เลยต้องวิ่งไปทางนี้ทางโน้นอยู่ทั้งวันเจ้าหมาโง่ตัวนั้นมันหารู้สักนิดไม่ว่า  เจ้าสาเหตุแห่งอาการคันนั้นหาใช่เกิดจากสถานที่เหล่านั้นแต่อย่างใดไม่ แต่สาเหตุแห่งอาการคันอยู่ที่โรคของตัวมันเองนั่นต่างหาก พูดจบแล้วหลวงพ่อก็วางไมโครโฟนลงเป็นสัญญาณให้รู้ว่าได้เวลาภาวนาหลังการทำวัตร สวดมนต์เย็น  แล้ว

                 ขณะที่ทุกรูปนั่งหลับตาภาวนาอย่างสงบนั้นในใจของพระใหม่กลับร้อนเร่าผิดปกติ นอกสงบแต่ในวุ่นวาย นึกอย่างไรก็มองเห็นตัวเองไม่ต่างไปจากหมาขี้เรื้อนที่หลวงพ่อชี้ให้ดู  ยิ่งนั่งสมาธินานๆ ยิ่งคันคะเยอในหัวใจ ทั้งอายทั้งสมเพชตัวเอง
                  นับแต่วันนั้นเป็นต้นมาพระใหม่อดีตนักเรียนนอกก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคนจากคนพูดมากกลายเป็นคนพูดน้อยจากคนที่หยิ่งยโสกลายเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนจากคนที่ชอบจับผิดคนอื่นกลายเป็นคนที่หันมาจับผิดตัวเอง
                 เมื่อออกพรรษาแล้วโยมแม่มาขอให้ลาสิกขาเพื่อกลับไปสืบต่อธุรกิจจากครอบครัวท่านก็ยังไม่ยอมสึก "อาตมาเป็นหมาขี้เรื้อนขออยู่รักษาโรคจนกว่าจะหายคันกับครูบาอาจารย์ที่นี่อีกสักหนึ่งพรรษา"โยมแม่ได้ฟังแล้วก็ได้แต่ยกมืออนุโมทนาสาธุการกราบลาพระลูกชาย แล้วก็เดินออกจากวัดไปขึ้นรถพลางนึกถามตัวเองอยู่ในใจว่าคำว่า  หมาขี้เรื้อนของพระลูกชายหมายความว่าอย่างไรกันแน่หนอ

สาธุ!!! จบแล้วขอรับ ตอนผมอ่านจบ ผมดีใจกับพระใหม่มากๆ ที่สามารถนำสิ่งที่หลวงพ่อพูดมาปรับปรุงแก้ไขตนเองได้
เช่นนี้จึงนับได้ว่าผู้มีการศึกษา การศึกษาทำให้เขารู้จักคิดและปรับปรุงตนเอง นี่คือจุดมุ่งหมายประการหนึ่งของการศึกษาที่ว่า
การศึกษาที่ประสบความสำเร็จต้องสามารถทำให้ผู้ที่เข้ารับการศึกษาเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไปในทางที่ดีได้
ไม่เช่นนั้น ต่อให้มีการศึกษาสูงเพียงใด มากมายสักเพียงไหนก็ไร้ค่า คงเป็นเพียงหมาขี้เรื้อนที่ไม่รู้สาเหตุแห่งการคันของตัวเอง .... สาธุ!!!

10
เพื่อความสงบสุขของชาวอบร์ดและผองเพื่อน

ผมขอให้ทุกท่านหยุดตอบกะทู้นี้ขอรับ ไม่จำเป็นต้องบล๊อค

แต่ขอให้หยุดตอบ มันจะจบในตัวมันเองขอรับ

เราก้อจะไม่ทะเลาะกัน มีประเด็นอะไรขึ้นมา ถ้าดีเราก้ออ่านและตอบ

ถ้าบ้า ก้อทำเป็นมองไม่เห็น แน่นอนที่ว่า คนบ้า มันไม่หยุดเพราะมันบ้า

แค่เราไม่บ้าไปกับมัน ผมอยากให้กะทู้ของผมเป็นกะทู้สุดท้าย

ขอความกรุณาขอรับ

11
ข้าว ๑ เม็ด ช่วยชาติได้อย่างเหลือเชื่อ
          ในประเทศไทย มีประชากรประมาณ ๖๔ ล้านคน หากช่วยกัน
ประหยัดข้าวเพียงคนละ ๑ เม็ด จะมีผลต่อคนทั้งประเทศอย่างไร
ชาวนาไทยจะเหน็ดเหนื่อยน้อยลง  เงินตราจะเข้าประเทศได้อีกมีมากมาย
มหาศาล หากประชาชนได้ร่วมกันทำอย่างจริงจัง
          ตัวอย่าง ขอให้ท่านพิจารณาดูให้ดี   ทั้งนี้เพื่อความหวังดีต่อ
ประเทศชาติ หรือ อาจจะให้แนวคิดแก่นักเศรษฐศาสตร์ ได้เป็นอย่างดี
          ต่อไปนี้ยกตัวอย่าง ให้ท่านพิจารณากัน
ข้าวสาร ๑ กิโลกรัม มีจำนวนนับเม็ดได้ประมาณ ๕๓๗๒๐ เม็ด
ส่วนราคา กิโลกรัมละ ๓๔ บาท (จำนวนเม็ดขึ้นอยู่กับชนิดของข้าว)
ถ้าต่อ ๑ คน เหลือข้าวสารคนละ ๑ เม็ด ต่อ ๑ มื้อ ประชากรไทย มี
จำนวนประมาณ ๖๔ ล้านคน  
          ฉะนั้น ข้าวที่กินเหลือจานแล้วทิ้งไปคนละ ๑ เม็ด ทำให้สูญเสียไปดังข้อมูลต่อไปนี้
1 มื้อ/คน/วัน   64,000,000       เม็ด   1,191.36 กก.   × 34   40,506.24 บาท
3 มื้อ/คน/วัน   192,000,000      เม็ด   3,574.08 กก.   × 34   121,518.72 บาท
90 มื้อ/คน/เดือน   5,760,000,000   เม็ด   107,222.64 กก.   × 34   3,645,569.76 บาท
1095 มื้อ/คน/ปี   70,080,000,000 เม็ด   1,304,542.07 กก.× 34   44,354,430.38 บาท

 
ไม่น่าเชื่อเลยว่า .....
เรากินข้าวเหลือมื้อละ ๑ เม็ด ใน ๑ ปี เราจะสูญเสียมากมายถึงเพียงนี้ คือ
(สี่สิบสี่ล้านสามแสนห้าหมื่นสี่พันสี่ร้อยสามสิบบาทสามสิบแปดสตางค์)
นี่ขนาดข้าวเพียงเม็ดเดียว แล้วอย่างอื่นที่เราสุรุ่ยสุร่ายไปแต่ละวัน โดยไม่ได้คิด
เรื่องการประหยัด ใช้เกินประมาณ กินเกินประมาณ สั่งกินทิ้งให้สูญเสีย อาหารใน
ตู้เย็นบูดเน่ากินไม่ได้เพราะแช่ไว้นานเกิน สิ่งเหล่านี้ ขอฝากให้ท่านคิดเป็นการ
บ้าน ว่า ท่านเป็นผู้หนึ่งหรือเปล่า ที่มีส่วนในการทำให้สูญเสียเหมือนกัน
วันนี้ ฝากไว้ให้ช่วยกัน คิด ช่วยกัน ประหยัด เพื่อประเทศชาติ.
ข้อมูลจาก Forward Mail

12
เฮ้อ สุวัจชัยเอยสุวัจชัย
สำนวนนี้เหมาะมากแต่คงไม่พอ ต้องเป็นทิฐิพระมานะคนแก่และปริญญาโท 2 ใบ ดูจะสมบูรณ์เป็นอย่างยิ่ง
เทียเภาเอยเทียเภอ แม้แก่แต่ชั่งน่าสรรเสริญเป็นยิ่งนัก คนโง่อวดรู้นำเอาเทียเภามาเปรียบเทียบเป็นคนมีมานะ
ไม่ยอมลงให้จิวยี่ แต่เทียเภายังรู้จักยอมรับในความสามารถของจิวยี่
แต่จิวยี่เอยจิวยี่ เจ้ายังเด็กเล็กนัก คิดว่าตนเองนั้นสามารถเสียนักหนา แม้โลซกเตือนกลับไม่ฟัง หวังใจจะให้ร้ายขงเบ้ง
ด้วยความหยิ่งแลไม่รู้ประมาณตน สุดท้ายเจ้ากลายเป็นผู้ถ่มนำลายลดฟ้า ให้คนรุ่นหลังตราหน้าว่าไม่เจียมตน
ส่งผลให้รู้ว่าคนมีความรู้ดี แต่ไม่รับฟังคำตักเตือนของผู้อื่น แม้จะเตือนแล้วเตือนอีก ผลคือความช้ำใจในตนเอง
พระดื้อ คนแก่ดื้อ นั่นคือมีดีให้ดื้อ คนแก่ดื้อพระเตือนท่านก็ฟัง พระดื้อ พระที่แก่กว่าเตือนท่านก็ฟัง เพราะต่างคนต่าง
เคารพกันตามคุณที่มี แต่ปัญหาที่ว่าคนอวดรู้ดื้อนี่หนาหามีใครเตือนได้ไม่ ล้วนแล้วแต่พาพวกตายไปกับตัวดังจิวยี่
อันเด็กดื้อเพราะอวดว่าข้าแน่ จะพระ จะแก่เตือนข้าไม่ฟัง ทั้งๆที่ว่าไปด้วยเหตุผล  เจ้าตนก็หาได้สำนึกไม่
เฮ้อ!! โง่แล้วหยิ่งนั่นหนาพาตนตาย  แต่โง่แล้วอวดฉลาดนี่ฉิบหายไปทั้งเมือง

13
     ผมอยากถามถึงความรู้สึกของท่านสมาชิกสักหน่อยนะครับ เพราะถ้าไม่ถามบางท่านอาจเข้าใจผิด หรืออาจเข้าใจผิดมานานแล้วก็เป็นได้ คือผมจะถามว่า...
     ท่านเข้าใจว่าวัตถุมงคลเมื่อเข้าพิธีแล้ว จะต้องศักดิ์สิทธิ์เสมอไปอย่างนั้นหรือเปล่า ?
     ผมว่ามีหลายท่านทีเดียวที่มีความเข้าใจว่าวัตถุมงคลเมื่อนำเข้าพิธีปลุกเสกหรือพิธีพุทธาภิเษกแล้ว จะต้องมีความศักิด์สิทธิ์เสมอไป ที่เห็นได้ง่าย ๆ เลยก็คือทุกวันนี้ เวลาที่มีการจัดพิธีพุทธาภิเษก ก็จะมีคนไปขอเช่าวัตถุมงคลกันเป็นจำนวนมาก รวมไปถึงมีผู้ที่นำเอาวัตถุมงคลของตัวเองที่เก็บไว้ ไปฝากเข้าพิธีด้วยโดยเชื่อว่านั่นจะเป็นการเพิ่มพลังความศักดิ์สิทธิ์หรือพุทธคุณให้กับวัตถุมงคลยิ่ง ๆ ขึ้น
     ก่อนอื่น ผมคงต้องขอออกตัวก่อนนะครับว่าผมไม่ได้มีเจตนาพูดว่าการปลุกเสกวัตถุมงคลเดี๋ยวนี้ไม่ศักดิ์สิทธิ์ แต่ความหมายของผมคือ " การปลุกเสกวัตถุมงคลเดี๋ยวนี้ หาได้ศักดิ์สิทธิ์ไปทุกพิธี " ทั้งนี้ เพราะการสร้างและปลุกเสกวัตถุมงคลให้ศักดิ์สิทธิ์นั้น มันต้องมีองค์ประกอบหลาย ๆ อย่าง อาทิเช่น การคำนวณหาฤกษ์พิธี การจัดพิธีกรรมได้อย่างถูกต้องตามตำรา พลังจิตของผู้สร้าง ตลอดจนเคล็ดลับต่าง ๆ ตามที่ตำราบ่งบอกเอาไว้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะขาดเสียมิได้เลยสำหรับการสร้างและปลุกเสกวัตถุมงคล
    แต่คนทุกวันนี้ มีความเข้าใจผิดกันมากว่าการสร้างและปลุกเสกวัตถุมงคลที่เกิดความศักดิ์สิทธิ์ได้นั้น ล้วนเกิดจาก " คาถาอาคม " ผมว่านั่นเป็นความเข้าใจที่ผิด
    หลายคนมักจะเข้าใจอย่างนี้ ซึ่งคงโทษกันไม่ได้ เพราะตำราการสร้างวัตถุมงคลต่าง ๆ เมื่อสร้างเสร็จแล้ว ก็จะต้องมีคาถาอาคมสำหรับการปลุกเสกเอาไว้เสมอ รวมไปถึงคาถาที่ใช้ในการท่องบ่นภาวนาที่ว่ามีอานุภาพทางเมตตามหานิยม แคล้วคลาด คงกระพัน มหาอุดและโชคลาภ เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงย่อมที่จะทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้ว่าคุณวิเศษต่าง ๆ ที่มีนั้น เกิดขึ้นได้เพราะคาถาอาคม
     หากจะว่ากันตรง ๆ ตามหลักการในด้านไสยศาสตร์หรือการสร้างวัตถุมงคลต่าง ๆ นั้น คาถามีส่วนทำให้วัตถุมงคลเกิดความศักดิ์สิทธิ์ได้ก็จริง แต่คาถาจะทำให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาไม่ได้อย่างเด็ดขาดหากปราศจากอำนาจของพลังจิต พูดง่าย ๆ ก็คือว่าคาถาจะเกิดความศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาได้ก็ต่อเมื่อผู้ท่องหรือบริ กรรมคาถานั้น มีพื้นฐานอำนาจจิต โดยเป็นผู้ที่ผ่านการฝึกฝนปฏิบัติสมาธิวิปัสนากรรมฐานจนได้ฌาณ ญาณสมาบัติหรือกสิณอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือถ้าพูดกันในด้านของการปฏิบัติก็หมายความว่า ผู้นั้นต้องมี " อภิญ ญา " เพราะหากไม่เป็นเช่นนั้น ต่อให้ท่องคาถาจนเหนียงยาน ความศักดิ์สิทธิ์ก็จะไม่มีวันบังเกิดขึ้นได้อย่างเด็ดขาดและแน่นอนที่สุดด้วย
     ทั้งนี้ หากว่าคาถาอาคมสามารถทำให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์ได้จริง ถ้าเช่นนั้น คนเราทุกคนก็สามารถเป็นผู้วิเศษได้หมด เพียงแค่ไปขอเรียนคาถาจากใครก็ได้สักบทสองบท หรือไม่ก็หาเอาจากในเว็บเรานี่แหละ...
แล้วถามว่าความศักดิ์สิทธิ์จะบังเกิดได้จริงเหรอ ?
     สมัยก่อนนั้น ในการเรียนคาถาอาคมหรือวิชาไสยศาสตร์  ก่อนที่อาจารย์จะถ่ายทอดให้แก่ศิษย์นั้น ท่านจะให้ไปหัดฝึกพิ้นฐานอำนาจจิตเสียก่อน หรือไม่ก็เรียนภาคทฤษฎีและฝึกปฎิบัติไปพร้อม ๆ กัน  แต่โดยธรรมเนียมแล้ว เขาจะต้องเริ่มฝึกพิ้นฐานอำนาจจิตเสียก่อน เปรียบเสมือนการขึ้นต้นไม้ ก็จะต้องปีนขึ้นไปจากทางด้านโคนต้นไม้ก่อนทั้งสิ้น หาใช่โดยการเรียนลัดด้วยการขึ้นต้นไม้ทางยอดโดยการกระโดดข้ามไปเรียนคาถาก่อนเลยแต่อย่างใดไม่ โดยไม่มีการฝึกพื้นฐานทางอำนาจจิตให้แข็งแกร่งเสียก่อน ซึ่งเมื่อฝึกไม่ถูกวิธี ขาดความอุตสาหะ ไร้ซึ่งบารมี เมื่อนั้นพื้นฐานทางอำนาจจิตก็จะไม่บังเกิดขึ้นด้วย...
     ผมเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าปัจจุบันนี้ จะมีพระเกจิอาจารย์สักกี่ท่านที่หยั่งรู้ว่าหลักของการเกิดความศักดิ์สิทธิ์ ต้องเกิดมาจากอำนาจจิตก่อน? หรือถึงแม้ว่ารู้ แล้วจะมีสักกี่ท่านที่สามารถฝึกเช่นนั้นได้ ? ด้วยเหตุนี้แหละครับ ผมจึงคิดว่าการปลุกเสกวัตถุมงคลสมัยนี้ หาใช่มีความศักดิ์สิทธิ์ไปเสียทุกพิธี ทั้งนี้ เพราะความศักดิ์สิทธิ์ มิได้อยู่ที่ตัวคาถา หากแต่อยู่ที่พลังจิตต่างหากครับ แล้วพวกท่านสมาชิกมีความคิดเห็นอย่างไรบ้างครับ ?
***********************
    สาระประโยชน์อันใดที่เกิดจากข้อเขียนอันเป็นข้อคิดนี้ ข้าพเจ้าขอมอบอุทิศคุณความดีและกุศลบุญทั้งหลายแด่รูบาอาจารย์และเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายทั้งในอดีตชาติและปัจจุบันชาติ.....
สุวัชัย สมไพบูลย์   

 หากจะบอกว่าความขลังของวัตถุมงคลเกิดจากอะไร ก่อนอื่นขอพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับวัตถุมงคลทางศาสนาพุทธก่อน
ครั้งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพิ่งตรัสรู้ มีพ่อค้าม้า 2 พี่น้องคือตปุสสะและภัลลิกะ ได้เข้าไปเฝ้าและเกิดการเลื่อมใส
ถึงพระพุทธ พระธรรมว่าเป็นสรณะ นับเป็น เทววาจิกอุบาสก (อ่านว่า ทะเววาจิกะอุบาสก) แล้วจึงทูลขอสิ่งที่เป็น
ตัวแทนองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้เป็นที่ระลึก ครั้งนั้น พระองค์ทรงลูบพระเศียรมีเส้นพระเกศาติดพระหัตถ์มา
จึงทรงมอบเส้นพระเกศาให้แก่สองพี่น้อง(ท่านคิดว่าเส้นพระเกศานี้ศักดิ์สิทธิ์ไหม เพราะองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ปลุกเสก)
   ครั้นต่อมา เมื่อมีภิกษุสาวกเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก เมื่อพระอริยะสาวกนิพพานลง พระองค์ก็ให้สร้างสถูป
เก็บอัฏฐิธาตุนั้นไว้เพื่อให้ผู้คนกราบไว้ แม้เมื่อพระอานนท์นิพพาน ก็มีผู้มาแย่งเอาพระธาตุไปไว้บูชา และแม้บริขารของ
องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ได้บรรจุเป็นบริโภคเจดีย์ โดยไม่ต้องปลุกเสก
   ทีนี้มาพูดกันเรื่องความขลังอีกส่วนหนึ่ง คือการทำน้ำมนต์ในงานบุญต่างๆ ความขลังของการทำน้ำมนต์
หรือน้ำพระพุทธมนต์มาจากไหน สมมุติว่ามาจากการสวดมนต์เพียงอย่างเดียว ถ้าแบบนั้นคงไม่ต้องนิมนต์พระไปสวด
ให้ชาวบ้านสวดก็คงได้ แล้วถ้าจะต้องให้พระที่พลังจิตไปสวด ถ้าแบบนั้นทำบุญนิมนต์พระกัน100บ้าน
จะมีสักบ้านไหมที่จะได้พระที่มีพลังจิต และถ้าได้พระที่ไม่มีพลังจิต ไม่สำเร็จฌาณไปสวด น้ำมนต์จะไม่ขลัง
ไม่ศักดิ์สิทธิ์ใช่ไหม ถ้าเป็นเช่นนั้น ต่อไปคงไม่ต้องเสาะหาแต่พระที่สำเร็จฌาณไปประกอบพิธีทำบุญบ้านกันหรือ
แล้วพระที่ได้ฌาณ ท่านก็บอกไม่ได้อีก ว่าท่านได้ฌาณหรือไม่ เพราะผิดพระวินัย เอาละสิ ยุ่งกันไปใหญ่แล้ว
   เอาละ มาดูกันอีกหน่อย สำหรับคนที่เคยบวช เคยสวดไหมคับ คาถากันไฟน่ะ อัตถิโลเก สีลคุโณ....
รู้ไหมบทนี้น่ะ ผู้ที่สวดครั้งแรก เป็นแค่ลูกนกตัวหนึ่ง อย่าว่าแต่ฌาณเลยนะขอรับ เราแค่เฉียดสมาธิยังไม่มีเลย
แต่ผลจากการสวด กลับทำให้ไฟไม่ไหม้รัง เอ้า!!งงกันไปใหญ่ ไอ้กระผมคนโง่เขลา ความรู้น้อย ด้อยปัญญา
หาความคิดไม่ได้ ก็เลยไม่รู้จะว่ายังไง กับคำว่า
   "ผมเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าปัจจุบันนี้ จะมีพระเกจิอาจารย์สักกี่ท่านที่หยั่งรู้ว่าหลักของการเกิดความศักดิ์สิทธิ์ ต้องเกิดมาจากอำนาจจิตก่อน? หรือถึงแม้ว่ารู้ แล้วจะมีสักกี่ท่านที่สามารถฝึกเช่นนั้นได้ ?"
   เพราะอะไรน่ะเหรอ เพราะกะแค่ลูกนกมันยังใช้คาถาจนตัวเองรอดจากพระเพลิงเสียได้ เฮ้อ!!มนุษย์ผู้ฉลาด
ขนาดจบปริญญาโท จะพูดอะไรไยไม่ศึกษาให้ถ่องแท้ เพราะคำๆนี้ ไอ้ที่ผมยกมาน่ะ คนเขียนจะปฏิเสธไม่ได้เลยว่า
เขียนเพื่ออวดตัวเองว่าข้ารู้จริง ว่า "หลักของการเกิดความศักดิ์สิทธิ์ ต้องเกิดมาจากอำนาจจิตก่อน" เอ้อหนอคนเรา ระดับการศึกษาสูงชั่งไม่ได้ทำให้จิตใจสูงขึ้นตามไปด้วยเลย
   เอาละ ทีนี้อยากรู้ไหมว่า ทำไมเจ้าลูกนกตัวนั้นสวดคาถานี้แล้วเกิดความศักดิ์สิทธิ์ แล้วน้ำพระพุทธมนต์
ที่พระไปสวดกันตามบ้านศักดิ์สิทธิ์ไหมยังไง ถ้าอยากรู้ก็ลองไปใช้ปัญญาศึกษามาขอรับ หรือไม่ ก็ถามมาขอรับ
สำหรับคนดีถามเพื่อความรู้ ข้าน้อยผู้ด้อยความรู้ จะใช้กำลังทั้งหมดเท่าที่มีไปเสาะหามาตอบให้อย่างเต็มกำลังความสามารถ
แต่หากถามไถ่มาภาษาพาล มีคำเหน็บแนมแฝงภายใน ข้าพเจ้าผู้โฉดเขลา ก็คงจะตอบเข้าไปเช่นที่ถามมาขอรับ

สาธุ
    ท่าน Kanya ครับ ท่านและพวกพ้องจะว่าจะด่าอะไรผม ก็เชิญตามสบายเลยนะครับและถ้าแน่จริง ช่วยกรุณาด่าผมให้ชัด ๆ ลงในหน้ากระดานนี้ด้วยนะครับ จะเป็นพระคุณอย่างสูง แต่ถ้าจะกรุณาเพื่อเป็นการประหยัดเวลาและเนื้อที่ ก็ไม่จำเป็นต้องยกมหาสมุทรอะไรทั้ง 7 สายมาเพื่ออวดภูมิปัญญาท่านหรอกครับ ด่าตรง ๆได้เลยครับตามที่นิสัยสันดานท่านได้รับการอบรมจากบุพการีและครูบาอาจารย์มาตั้งแต่เล็ก เพราะต่อไปนี้ ขอให้สบายใจว่าผมจะไม่โต้ตอบคนอย่างท่านอีก ผมเห็นใจในปูมหลังของท่านครับ ถือว่าผมยอมเปลืองตัวให้ท่านและพวกพ้องท่านด่าเพื่อเป็นทานก็แล้วกัน
โอ้โหห  เสียชื่อชาวชมพูฟ้าจังง  เฮ้อเศร้าขอรับ
ผมด่าแล้วเหรอ   :075: ถ้าผมจะด่า ผมด่าแต่พวกหน้าตัวเมียเรียกพี่ เพราะอะไรหว่า  :058:
แต่ที่ท่านอาจารย์(พิเศษ)สุวัจชัยด่าน่ะขอรับ ท่านด่าบรรดาอาจารย์ทั้งหลาย โดยที่ท่านไม่ด้องศึกษาให้ถ่องแท้
ผมด่า เพราะเรื่องมันควร(ถ้าด่านะขอรับ) แต่ท่านอาจารย์(พิเศษ)สุวัจชัยด่าน่ะขอรับ ท่านด่าเพราะ.....
คือบุพพการีและอาจารย์ผมสอนมาดี ไม่ให้ก้าวก่ายถึงบุพพการีผู้ใด เพราะบุพพการีของท่านอาจารย์(พิเศษ)สุวัจชัย
น่าจะตั้งใจอบรมท่านแล้วแต่ท่านไม่ฟังเอง
เอาเป็นว่าที่ท่านอาจารย์(พิเศษ)สุวัจชัยด่าน่ะขอรับ ท่านด่าเพราะความเขลาของท่านเองขอรับ :054:
ที่ท่านด่าเขา ดูมันสุภาพดีนะขอรับ ดูว่าเกจิอาจารย์เหล่านั้นผิด แต่หารู้ไม่ว่าคนเขียนแอบอวดภูมิแบบโง่
เสียสถาบันจัง :054:เรื่องมานน่าเศร้า

kanya สาธุ

14
     ผมอยากถามถึงความรู้สึกของท่านสมาชิกสักหน่อยนะครับ เพราะถ้าไม่ถามบางท่านอาจเข้าใจผิด หรืออาจเข้าใจผิดมานานแล้วก็เป็นได้ คือผมจะถามว่า...
     ท่านเข้าใจว่าวัตถุมงคลเมื่อเข้าพิธีแล้ว จะต้องศักดิ์สิทธิ์เสมอไปอย่างนั้นหรือเปล่า ?
     ผมว่ามีหลายท่านทีเดียวที่มีความเข้าใจว่าวัตถุมงคลเมื่อนำเข้าพิธีปลุกเสกหรือพิธีพุทธาภิเษกแล้ว จะต้องมีความศักิด์สิทธิ์เสมอไป ที่เห็นได้ง่าย ๆ เลยก็คือทุกวันนี้ เวลาที่มีการจัดพิธีพุทธาภิเษก ก็จะมีคนไปขอเช่าวัตถุมงคลกันเป็นจำนวนมาก รวมไปถึงมีผู้ที่นำเอาวัตถุมงคลของตัวเองที่เก็บไว้ ไปฝากเข้าพิธีด้วยโดยเชื่อว่านั่นจะเป็นการเพิ่มพลังความศักดิ์สิทธิ์หรือพุทธคุณให้กับวัตถุมงคลยิ่ง ๆ ขึ้น
     ก่อนอื่น ผมคงต้องขอออกตัวก่อนนะครับว่าผมไม่ได้มีเจตนาพูดว่าการปลุกเสกวัตถุมงคลเดี๋ยวนี้ไม่ศักดิ์สิทธิ์ แต่ความหมายของผมคือ " การปลุกเสกวัตถุมงคลเดี๋ยวนี้ หาได้ศักดิ์สิทธิ์ไปทุกพิธี " ทั้งนี้ เพราะการสร้างและปลุกเสกวัตถุมงคลให้ศักดิ์สิทธิ์นั้น มันต้องมีองค์ประกอบหลาย ๆ อย่าง อาทิเช่น การคำนวณหาฤกษ์พิธี การจัดพิธีกรรมได้อย่างถูกต้องตามตำรา พลังจิตของผู้สร้าง ตลอดจนเคล็ดลับต่าง ๆ ตามที่ตำราบ่งบอกเอาไว้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะขาดเสียมิได้เลยสำหรับการสร้างและปลุกเสกวัตถุมงคล
    แต่คนทุกวันนี้ มีความเข้าใจผิดกันมากว่าการสร้างและปลุกเสกวัตถุมงคลที่เกิดความศักดิ์สิทธิ์ได้นั้น ล้วนเกิดจาก " คาถาอาคม " ผมว่านั่นเป็นความเข้าใจที่ผิด
    หลายคนมักจะเข้าใจอย่างนี้ ซึ่งคงโทษกันไม่ได้ เพราะตำราการสร้างวัตถุมงคลต่าง ๆ เมื่อสร้างเสร็จแล้ว ก็จะต้องมีคาถาอาคมสำหรับการปลุกเสกเอาไว้เสมอ รวมไปถึงคาถาที่ใช้ในการท่องบ่นภาวนาที่ว่ามีอานุภาพทางเมตตามหานิยม แคล้วคลาด คงกระพัน มหาอุดและโชคลาภ เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงย่อมที่จะทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้ว่าคุณวิเศษต่าง ๆ ที่มีนั้น เกิดขึ้นได้เพราะคาถาอาคม
     หากจะว่ากันตรง ๆ ตามหลักการในด้านไสยศาสตร์หรือการสร้างวัตถุมงคลต่าง ๆ นั้น คาถามีส่วนทำให้วัตถุมงคลเกิดความศักดิ์สิทธิ์ได้ก็จริง แต่คาถาจะทำให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาไม่ได้อย่างเด็ดขาดหากปราศจากอำนาจของพลังจิต พูดง่าย ๆ ก็คือว่าคาถาจะเกิดความศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาได้ก็ต่อเมื่อผู้ท่องหรือบริ กรรมคาถานั้น มีพื้นฐานอำนาจจิต โดยเป็นผู้ที่ผ่านการฝึกฝนปฏิบัติสมาธิวิปัสนากรรมฐานจนได้ฌาณ ญาณสมาบัติหรือกสิณอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือถ้าพูดกันในด้านของการปฏิบัติก็หมายความว่า ผู้นั้นต้องมี " อภิญ ญา " เพราะหากไม่เป็นเช่นนั้น ต่อให้ท่องคาถาจนเหนียงยาน ความศักดิ์สิทธิ์ก็จะไม่มีวันบังเกิดขึ้นได้อย่างเด็ดขาดและแน่นอนที่สุดด้วย
     ทั้งนี้ หากว่าคาถาอาคมสามารถทำให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์ได้จริง ถ้าเช่นนั้น คนเราทุกคนก็สามารถเป็นผู้วิเศษได้หมด เพียงแค่ไปขอเรียนคาถาจากใครก็ได้สักบทสองบท หรือไม่ก็หาเอาจากในเว็บเรานี่แหละ...
แล้วถามว่าความศักดิ์สิทธิ์จะบังเกิดได้จริงเหรอ ?
     สมัยก่อนนั้น ในการเรียนคาถาอาคมหรือวิชาไสยศาสตร์  ก่อนที่อาจารย์จะถ่ายทอดให้แก่ศิษย์นั้น ท่านจะให้ไปหัดฝึกพิ้นฐานอำนาจจิตเสียก่อน หรือไม่ก็เรียนภาคทฤษฎีและฝึกปฎิบัติไปพร้อม ๆ กัน  แต่โดยธรรมเนียมแล้ว เขาจะต้องเริ่มฝึกพิ้นฐานอำนาจจิตเสียก่อน เปรียบเสมือนการขึ้นต้นไม้ ก็จะต้องปีนขึ้นไปจากทางด้านโคนต้นไม้ก่อนทั้งสิ้น หาใช่โดยการเรียนลัดด้วยการขึ้นต้นไม้ทางยอดโดยการกระโดดข้ามไปเรียนคาถาก่อนเลยแต่อย่างใดไม่ โดยไม่มีการฝึกพื้นฐานทางอำนาจจิตให้แข็งแกร่งเสียก่อน ซึ่งเมื่อฝึกไม่ถูกวิธี ขาดความอุตสาหะ ไร้ซึ่งบารมี เมื่อนั้นพื้นฐานทางอำนาจจิตก็จะไม่บังเกิดขึ้นด้วย...
     ผมเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าปัจจุบันนี้ จะมีพระเกจิอาจารย์สักกี่ท่านที่หยั่งรู้ว่าหลักของการเกิดความศักดิ์สิทธิ์ ต้องเกิดมาจากอำนาจจิตก่อน? หรือถึงแม้ว่ารู้ แล้วจะมีสักกี่ท่านที่สามารถฝึกเช่นนั้นได้ ? ด้วยเหตุนี้แหละครับ ผมจึงคิดว่าการปลุกเสกวัตถุมงคลสมัยนี้ หาใช่มีความศักดิ์สิทธิ์ไปเสียทุกพิธี ทั้งนี้ เพราะความศักดิ์สิทธิ์ มิได้อยู่ที่ตัวคาถา หากแต่อยู่ที่พลังจิตต่างหากครับ แล้วพวกท่านสมาชิกมีความคิดเห็นอย่างไรบ้างครับ ?
***********************
    สาระประโยชน์อันใดที่เกิดจากข้อเขียนอันเป็นข้อคิดนี้ ข้าพเจ้าขอมอบอุทิศคุณความดีและกุศลบุญทั้งหลายแด่รูบาอาจารย์และเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายทั้งในอดีตชาติและปัจจุบันชาติ.....
สุวัชัย สมไพบูลย์   

 หากจะบอกว่าความขลังของวัตถุมงคลเกิดจากอะไร ก่อนอื่นขอพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับวัตถุมงคลทางศาสนาพุทธก่อน
ครั้งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพิ่งตรัสรู้ มีพ่อค้าม้า 2 พี่น้องคือตปุสสะและภัลลิกะ ได้เข้าไปเฝ้าและเกิดการเลื่อมใส
ถึงพระพุทธ พระธรรมว่าเป็นสรณะ นับเป็น เทววาจิกอุบาสก (อ่านว่า ทะเววาจิกะอุบาสก) แล้วจึงทูลขอสิ่งที่เป็น
ตัวแทนองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้เป็นที่ระลึก ครั้งนั้น พระองค์ทรงลูบพระเศียรมีเส้นพระเกศาติดพระหัตถ์มา
จึงทรงมอบเส้นพระเกศาให้แก่สองพี่น้อง(ท่านคิดว่าเส้นพระเกศานี้ศักดิ์สิทธิ์ไหม เพราะองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ปลุกเสก)
   ครั้นต่อมา เมื่อมีภิกษุสาวกเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก เมื่อพระอริยะสาวกนิพพานลง พระองค์ก็ให้สร้างสถูป
เก็บอัฏฐิธาตุนั้นไว้เพื่อให้ผู้คนกราบไว้ แม้เมื่อพระอานนท์นิพพาน ก็มีผู้มาแย่งเอาพระธาตุไปไว้บูชา และแม้บริขารของ
องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ได้บรรจุเป็นบริโภคเจดีย์ โดยไม่ต้องปลุกเสก
   ทีนี้มาพูดกันเรื่องความขลังอีกส่วนหนึ่ง คือการทำน้ำมนต์ในงานบุญต่างๆ ความขลังของการทำน้ำมนต์
หรือน้ำพระพุทธมนต์มาจากไหน สมมุติว่ามาจากการสวดมนต์เพียงอย่างเดียว ถ้าแบบนั้นคงไม่ต้องนิมนต์พระไปสวด
ให้ชาวบ้านสวดก็คงได้ แล้วถ้าจะต้องให้พระที่พลังจิตไปสวด ถ้าแบบนั้นทำบุญนิมนต์พระกัน100บ้าน
จะมีสักบ้านไหมที่จะได้พระที่มีพลังจิต และถ้าได้พระที่ไม่มีพลังจิต ไม่สำเร็จฌาณไปสวด น้ำมนต์จะไม่ขลัง
ไม่ศักดิ์สิทธิ์ใช่ไหม ถ้าเป็นเช่นนั้น ต่อไปคงไม่ต้องเสาะหาแต่พระที่สำเร็จฌาณไปประกอบพิธีทำบุญบ้านกันหรือ
แล้วพระที่ได้ฌาณ ท่านก็บอกไม่ได้อีก ว่าท่านได้ฌาณหรือไม่ เพราะผิดพระวินัย เอาละสิ ยุ่งกันไปใหญ่แล้ว
   เอาละ มาดูกันอีกหน่อย สำหรับคนที่เคยบวช เคยสวดไหมคับ คาถากันไฟน่ะ อัตถิโลเก สีลคุโณ....
รู้ไหมบทนี้น่ะ ผู้ที่สวดครั้งแรก เป็นแค่ลูกนกตัวหนึ่ง อย่าว่าแต่ฌาณเลยนะขอรับ เราแค่เฉียดสมาธิยังไม่มีเลย
แต่ผลจากการสวด กลับทำให้ไฟไม่ไหม้รัง เอ้า!!งงกันไปใหญ่ ไอ้กระผมคนโง่เขลา ความรู้น้อย ด้อยปัญญา
หาความคิดไม่ได้ ก็เลยไม่รู้จะว่ายังไง กับคำว่า
   "ผมเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าปัจจุบันนี้ จะมีพระเกจิอาจารย์สักกี่ท่านที่หยั่งรู้ว่าหลักของการเกิดความศักดิ์สิทธิ์ ต้องเกิดมาจากอำนาจจิตก่อน? หรือถึงแม้ว่ารู้ แล้วจะมีสักกี่ท่านที่สามารถฝึกเช่นนั้นได้ ?"
   เพราะอะไรน่ะเหรอ เพราะกะแค่ลูกนกมันยังใช้คาถาจนตัวเองรอดจากพระเพลิงเสียได้ เฮ้อ!!มนุษย์ผู้ฉลาด
ขนาดจบปริญญาโท จะพูดอะไรไยไม่ศึกษาให้ถ่องแท้ เพราะคำๆนี้ ไอ้ที่ผมยกมาน่ะ คนเขียนจะปฏิเสธไม่ได้เลยว่า
เขียนเพื่ออวดตัวเองว่าข้ารู้จริง ว่า "หลักของการเกิดความศักดิ์สิทธิ์ ต้องเกิดมาจากอำนาจจิตก่อน" เอ้อหนอคนเรา ระดับการศึกษาสูงชั่งไม่ได้ทำให้จิตใจสูงขึ้นตามไปด้วยเลย
   เอาละ ทีนี้อยากรู้ไหมว่า ทำไมเจ้าลูกนกตัวนั้นสวดคาถานี้แล้วเกิดความศักดิ์สิทธิ์ แล้วน้ำพระพุทธมนต์
ที่พระไปสวดกันตามบ้านศักดิ์สิทธิ์ไหมยังไง ถ้าอยากรู้ก็ลองไปใช้ปัญญาศึกษามาขอรับ หรือไม่ ก็ถามมาขอรับ
สำหรับคนดีถามเพื่อความรู้ ข้าน้อยผู้ด้อยความรู้ จะใช้กำลังทั้งหมดเท่าที่มีไปเสาะหามาตอบให้อย่างเต็มกำลังความสามารถ
แต่หากถามไถ่มาภาษาพาล มีคำเหน็บแนมแฝงภายใน ข้าพเจ้าผู้โฉดเขลา ก็คงจะตอบเข้าไปเช่นที่ถามมาขอรับ

สาธุ

15
 :016:คนดีไม่เบ่ง คนเก่งไม่โม้ คนโตไม่อวด :015:
-------------------------------------------------
:054:ยกธรรมของคำคม  มาให้ชมและให้ดู
         ให้อ่านและให้รู้      คำของครูซึ่งแหลมคม
         กล่าวไว้ให้น่าคิด    ช่วยเตือนจิตเตือนสังคม
กล่าวตามความเหมาะสม    เป็นคำคมของคำครู
  .....คนดีไม่อวดเบ่ง        ไม่ข่มเหงและข่มขู่
       ช่วยเหลือและอุ้มชู    แก่ผู้น้อยด้วยเมตตา
            คนดีมีน้ำใจ       มีแต่ให้ไม่ร้องหา
       คนดีมีจรรยา           ใช่หน้าตาที่ดูดี
       คนดีมีคนรัก            คนเขาทักไปทุกที่
       ไปไหนใครก็ดี         และไมมีซึ่งศัตรู
  .....คนเก่งคนฉลาด      เขาสามารถจะเรียนรู้
       เอาผิดมาเป็นครู      รู้จักอยู่และเจียมตน
       ไม่อวดและไม่โม้     ไม่คุยโอ่รู้อดทน
       เพราะผ่านการฝึกฝน  เพราะเป็นคนมีปัญญา
       คนโง่อวดฉลาด        เขาจึงพลาดทุกเวลา
       ไม่จริงก็กล่าวมา       จึงขายหน้าเพราะอวดรู้

......คนโตมีตำแหน่ง        เขาก็แกล้งทำให้ดู
      ไม่อยากให้ใครรู้        เขาอยากอยู่สุขสบาย
      ทำตนไม่โอ้อวด       พร้อมทั้งตรวจความเป็นไป
      ใครคิดเห็นอย่างไร    แล้วนำไปเป็นข้อมูล
....แนวทางวางชีวิต       ที่ลิขิตก่อนดับสูญ
    กุศลจะเพิ่มพูน         ทวีคูณถ้าทำดี.....
 :054:เคารพในคำคม..ของคำครู :054:
               เชื่อมั่น-ศรัทธา
         รวี สัจจะ-สมณะไร้นาม
๒๗ กรกฎาคม ๒๕๕๒ เวลา ๑๐.๔๙ น. ณ ศาลาน้อยริมน้ำโขง ชายแดนประเทศไทย                      
      




กราบเรียน อาจารย์ขอรับคือกะผมอยากรบกวนถามปัญหาที่คาใจผมหน่อยนะขอรับ

   สมมุติว่า เกิดมีนายตำรวจซักคนที่คนส่วนใหญ่ทั้งแผ่นดินต่างรู้ดีว่าเขาเป็นนายตำรวจตงฉิน แต่บังเอิญวันนึง นายตำรวจผู้นี้เกิดไปนั่งทานข้าวในร้านแห่งหนึ่งที่เต็มไปด้วยกลุ่มโจรชั่วโดยที่นายตำรวจนั้น ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าร้านนั้น เป็นร้านขาประจำโจร แต่พวกโจรน่ะรู้ดีว่านี่คือนายตำรวจตงฉินที่ปราบโจรมานับไม่ถ้วน
   ครั้นพอนายตำรวจคนนี้เข้าไปนั่งในร้านแล้วแทนที่จะเพียงแต่สั่งอาหารมาทานแล้วก็ไป กลับนั่งประกาศ
ความเลวของโจรต่างๆนานา ประกาศความที่โจรเหล่านั้นชั่งเลวเสียเหลือเกิน ไม่ควรเกิดมาบนโลกนี้ เกิดมาเพื่อสร้างความชั่ว
เป็นที่รังเกียจของคนดี เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นผู้ดูแลก็ปล่อยปละละเลย ไม่กระทำตามหน้าที่อันได้รับมอบหมาย ล้วนใช้การไม่ได้
นายตำรวจที่ขึ้นชื่อว่าตงฉินคนนี้ พอจะจัดเป็นคนอย่างในสำนวนบทกลอนของอาจารย์หรือป่าวขอรับ  :054:

16

"ยาวะกีวัญจะ เม ภิกขะเว อิเมสุ จะตูสุ อะริยะสัจเจสุ เอวันติปะริวัฏฏัง ทวาทะสาการัง ยะถาภูตัง ญาณะทัสสะนัง นะ สุวิสุทธัง อะโหสิ ฯ "
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความจริง ๔ อย่าง อันทำให้ใจห่างไกลจากกิเลสนี้ ถ้าหากเรายังไม่รู้เห็นตามความเป็นจริง โดยอาการหมุนเวียนแห่งปัญญาญาณ ครบ ๓ รอบทั้ง ๔ อย่าง รวมเป็นอาการ ๑๒ รอบ

"ยะโต จะ โข เม ภิกขะเว อิเมสุ จะตูสุ อะริยะสัจเจสุ เอวันติปะริวัฏฏัง ทวาทะสาการัง ยะถาภูตัง ญาณะทัสสะนัง สุวิสุทธัง อะโหสิ ฯ "
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อใดแล ความจริง ๔ อย่าง อันทำให้ใจห่างไกลจากกิเลสนี้ เราได้รู้เห็นตามความเป็นจริง โดยอาการหมุนเวียนแห่งปัญญาญาณ ครบ ๓ รอบทั้ง ๔ อย่าง รวมเป็นอาการ ๑๒ รอบ ด้วยปัญญาอันบริสุทธิ์หมดจดแล้ว ฯ
 
  ด้วยความเคารพครับ
     รอบ 3 อาการ 12 หมายความว่าอย่างไรครับ
ขอแสดงความนับถือ
  Gearmour

หมายถึง การหยั่งญาณทัสสนะ ๓ ลงในอริยะสัจจ์ ๔ ขอรับ

ที่ว่า ญาณทัสสนะ ๓ คือ

๑. สัจจญาณ หยั่งรู้สัจจะ คือ ความหยั่งรู้อริยสัจ ๔ แต่ละอย่างตามที่เป็นๆ ว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา

๒. กิจจญาณ หยั่งรู้กิจ คือ ความหยั่งรู้กิจอันจะต้องทำในอริยสัจ ๔ แต่ละอย่างว่า ทุกข์ควรกำหนดรู้ ทุกขสมุทัยควรละเสีย

ทุกขนิโรธควรทำให้แจัง ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาควรเจริญ

๓. กตญาณ หยั่งรู้การอันทำแล้ว คือ ความหยั่งรู้ว่ากิจอันจะต้องทำในอริยสัจ ๔ แต่ละอย่างนั้นได้ทำสำเร็จแล้ว

สาธุ

17
ขอบคุณครับสำหรับข้อมูล
ในบอร์ดมีอีกซักตำแหน่งมั้ยครับ
ผมอยากขอสมัครเป็นหน่อยตบเกรียนหรือปราบเกรียนอะไรก็ได้
ที่คอยจัดการกับคนกับกลุ่มคนเหล่านี้
เอาแบบลากตัวเป็นๆมันมาตบ(อบรมสั่งสอน)
กลุ่มคนเหล่านี้จะได้ไม่เก่งอยู่กับคีย์บอร์ด
จะได้เข็ดหลาบเกิดความสำนึกเลิกสร้างคามแตกแยกให้ผู้อื่นและสังคมได้บ้าง
     เอาไว้คุณสองคนพ่อลูกไปช่วยกันตบพวกเกรียนในวัดบางพระให้หมดก่อนเถอะครับรวมทั้งตัวคุณด้วย... ว่าเสียดสีคนอื่นเขานี่ ชอบจังสนุกปาก แต่หาสาระไม่มีเลย บอกให้คุณพ่อช่วยอบรมเยอะๆ หน่อยนะครับ แล้วลองนึกดูให้ดีใหม่นะครับว่าใครกันแน่ที่สร้างความแตกแยกให้ผู้อื่นและสังคม วันหลังถ้าอยากจะแจ้งเกิดกับเขาบ้าง ก็หัดคิดอะไรในทางที่สร้างสรรค์กว่านี้หน่อย สองวันผมโดนค่าไปเป็นสิบ ผมยังยอมรับฟังด้วยรอยยิ้ม ไม่ลุกมาด่าใครหรือชวนใครตีสักแอะ แล้วคุณเจ็บปวดอะไร ถึงต้องอยากแจ้งเกิดด้วยวิธีการคำพูดที่ห่วยแตกไม่เอาไหน อย่างนี้....

ผมแปลกใจมากที่คุณ suwatchai ประพฤติตัวแบบนี้ในชุมชนชาวบอร์ดวัดบางพระ

แค่กระทู้นี้มันบอกได้ว่าคุณร้อนตัวคิดว่าตัวเองเป็นเกรียน หรือไม่ก็

ตั้งใจที่จะว่า ลูกชายพ่อสังวรณ์ ซึ่งผมงงมาก กับคำที่ว่า แล้วคุณเจ็บปวดอะไร ถึงต้องอยากแจ้งเกิดด้วยวิธีการคำพูดที่ห่วยแตกไม่เอาไหน อย่างนี้....

ผมก็เห็นแค่ ลูกชายพ่อสังวรณ์  มาโพส์ตไม่ได้ก้าวก่ายอะไรคุณนะขอรับ เหตุใดร้อนท้องได้ขนาดนี้

คุณเองทั้งโง่ พาล และไร้สาระ เพราะทุกกระทูของคุณมันส่อออกมาเช่นนั้น

1. คุณบอกบอร์ดนี้ไม่เป็นประชาธิปไตย แล้วประชาธิปไตยมันหมายถึง

ต้องรับฟังความคิดของคุณคนเดียวหรือขอรับ

มันไม่ใช่เช่นนั้น มันหมายถึงการรับฟังความคิดของคนส่วนมาก ซึ่งผมก็ออกมาแล้ว

ว่าคนส่วนมากเค้าไม่ยอมรับคุณ แล้วคุณจะหาประชาธิปไตยอะไรอีกขอรับ

นี่คุณโง่จริงๆหรือว่าแกล้งโง่ขอรับ

2.คุณขอให้ปลดคุณนนท์ ผมชี้แจงไปแล้ว แต่จะพูดให้ฟังอีกทีนะขอรับ

ว่าคุณนนท์กับทีมงาน ทำงานกันแบบปรึกษากันแล้ว แต่คุณคงรู้จักในการใช้ความคิดน้อยเกินไป

จึงอ่านไม่เข้าใจ เมื่อจะปลดคุณนนท์เพราะเค้าไปลบกระทู้ของคุณ นั่นคือปลดทีมงาน

รวมถึงหลวงพี่เวปฯด้วย นั่นคือสรุปว่า บอร์ดนี้ปิด เมื่อจะให้บอร์ดนี้ปิดลง ผมว่าคุณออกไปเสียดีกว่าไหมขอรับ

3. คุณว่าแต่คนอื่นเขารุมด่าคุณ นั่นมันบอกอะไรบ้างขอรับ ถ้าคุณยังคิดไม่ออกอีก ผมจะบอกให้ขอรับ

   3.1 คนส่วนใหญ่เขาบอกว่าคุณมันเลว เมื่อคนส่วนใหญ่บอกนั่นคือประชาธิปไตยไงขอรับ

   3.2 คุณไม่รับฟังความเห็นของคนสว่นใหญ่ เพราะคุณไม่เลิกพฤติกรรมยังไงขอรับ

4. บุคคลทำกรรมเช่นใดย่อมได้รับผลเช่นนั้น นั่นคืออะไร นั่นคือคุณทำกรรมชั่ว ย่อมได้รับผลชั่ว

ก็คุณถูกรุมด่าอยู่นี่ไงขอรับ คุณยังคิดว่าตัวเองไม่ผิดอีก นั่นคือขาดสำนึก

และบุคคลที่ขาดจิตสำนึก ย่อมไม่พิจารณาคำพูดที่คนส่วนมากเค้าเตือน เมื่อไม่รับฟังและไม่พิจารณา

ย่อมไม่กลับตัว เมื่อไม่กลับตัว ย่อมประพฤติชั่วต่อไป

สาธุ

18
ขอให่ทุกอย่างจบกันเถอะครับท่าน suwatchai  รู้จักให้อภัยและปล่อยว่างเป็นผู้ที่เจริญ....  ไม่จำเป็นว่าใครจะถูกหรือผิด
 ผมให้อภัยและอโหสิกรรมมานานแล้วครับ ก็อย่างที่ผมบอกไง " เราบ่ผิด ดาบนั้นคืนสนอง " ส่วนบางกระทู้ที่ผมโต้ตอบไปนั้น ไม่ใช่เพราะอาฆาตพยาบาท เกลียดชัง แต่แค่อยากสั่งสอนเท่านั้น....
ราตรีสวัสดิ์ ผมต้องรีบไป Route 66 แล้ว...

ไปดี ที่ชอบ ที่ชอบขอรับ


19
โอ้โห อ้างประชาธิปไตยซะอีก

คุณคร๊าบบ ประชาธิปไตยเค้านับเสียงส่วนมากคร๊าบบบ

มีใครเคยเห็นเสียงส่วนน้อยได้รับเลือกเป็น สส.เหรอคับ

ใช้สมองส่วนไหนคิดเนี่ย

20
กระทู้นี้ hot จังขอรับ คุณ suwatchai ขอรับ คำถามของคุณและคำประณามของคุณ

ข้าพเจ้าผู้ด้อยความรู้ อ่านดูยังไงก็ยังคงเป็นคุณเองเท่านั้นที่รับไปทั้งหมด

ในฐานะผู้ต่ำต้อยด้อยความรู้ จึงขอกล่าวอ้างคำของท่านผู้รู้ก่อนจะเสนอความคิดเห็นนะขอรับ

อนึ่งว่า ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย โบราณท่านกล่าวไว้ดีแท้ แต่แม้พระพุทธองค์เมื่อจะทรงประกาศความจริง

ยังคงทรงพิจารณาถึง ๒ สิ่ง คือ กาละ เทสะ เหตุการณ์นี้ยังคงปรากฏในธรรมบทเรื่อง อสทิสทาน วัตถุ

อันท่านนั้นประกาศความเห็นตรงไปตรงมานั้นควรอยู่เป็นการกล่าวความจริงดังคำโบราณว่าไว้

แต่ไม่ได้พิจารณาถึง กาละ เทสะ ว่าเหมาะสมหรือไม่เช่นไร ข้าพเจ้าผู้ต่ำต้อยน้อยความรู้

จึงขอกล่าวว่าท่านเป็นคนโง่ เป็นคนพาล ครั้งที่ ๑

อนึ่งนั้น ท่านกล่าวถามว่า ในการตอบกระทุ้ของคุณ osloและการตั้งกระทู้เรื่อง "ทำไปได้ยังไง "

ของผมในคืนนี้ มันมีอะไรเสียหาย ผิดกฎหมายหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนอย่างนั้นเหรอครับ

โดยปกติบุตรผู้เป็นพาลในตระกูล แต่มีมารดาแลบิดาเป็นบัณฑิต เป็นที่ยอมรับนับถือของคนทั่วไป

หรือข้าทาสบริวารที่เป็นพาลชนแต่มีนายเป็นบัณฑิต ครั้นบุตรที่เป็นพาล หรือทาสบริวารที่เป็นพาลชน

ไปทำผิดในที่ไหน จะมีคนกล่าวว่า ท่านไม่น่าเลย ท่านมีมารดาบิดาที่เป็นบัณฑิต

ท่านไม่สมควรจะมาประพฤติตนเยี่ยงนี้จะเสื่อมเสียึถึงมารดาแลบิดา

หรือว่า ทาสบริวารที่เป็นพาลชนของนายที่เป็นบัณฑิต ไปประพฤติเยี่ยงพาลในที่ไหนๆ

แม้มีคนประนามว่า ท่านประพฤติไม่สมควรเลย กับความเป็นบัณฑิตของเจ้านายของท่าน

เขาเหล่านั้นที่ประนามบุตรผู้เป็นพาลก็ดี ทาสบริวารที่เป็นพาลก็ดี ย่อมถูกติเตียนว่า

ท่านกล่าวคำไม่สมควร ทั้งนี้เพราะมารดาบิดาที่เป็นบัณฑิตก็ดี เจ้านายที่เป็นบัณฑิตก็ดี

ล้วนไม่ได้มาอยู่ ณ ที่นี้ ทางที่ถูก ท่านจะต้องไปแจ้งให้มารดาบิดา หรือเจ้านายที่เป็นบัณฑิตให้ทราบ

ดังนั้น การที่ท่านประณามในที่ไม่ควรประนาม ผมจึงขอกล่าวว่าท่านนั้นโง่ และพาลเป็นครั้งที่ ๒


ข้าพเจ้าผู้ต่ำต้อยน้อยปัญญาหากจะกล่าวต่อไปอีก สามารถกล่าวว่าท่าน โง่และพาลได้อีกอย่างน้อย ๓ ครั้ง

แต่เพียงเท่านี้นั้น หากท่านยังไม่เข้าใจแล้ว ต่อให้อีกร้อยครั้ง พันครั้ง ท่านยังคงเป็นพาลชนอยู่นั้นเอง

ธรรมดาในบอร์ดนี้ ไม่เพียงมีแต่เรื่องการสักยันต์ เครือ่งลางแลของขลัง

แต่บอร์ดนี้ ดำเนินเจริญรอยตามพระเดชพระคุณหลวงปู่หิ่มแลหลวงพ่อเปิ่น ดังจะเห็นได้จากเสียงธรรม

ที่ท่านเปิดหน้าบอร์ดมาก็ได้ยิน เพียงท่านเองได้สดับฤไม่

อีกท่านพระอาจารย์ระวี สัจจะ ที่เพียรมาสอนธรรมทั้งทางตรงแลทางอ้อม

อันธรรมดาของบัณฑิตผู้ฉลาด เมื่อจะสอนศิษย์ ย่อมต้องคล้อยตามก่อนแล้วจึงสอนภายหลัง

ดังปรากฏในสิงคารสูตร เมื่อพระพุทธองค์พบสิงคารมานพกราบไหว้ทิศทั้ง ๖ ตามคำบอกของมารดาบิดา

โดยหารู้ความหมายไม่  พระพุทธองค์ทรงประกาศไปว่า แม้เราก็มีการไหว้ทิศทั้ง ๖

ดังนั้นแล้ว สิงคารมานพจึงสนใจ ก่อนที่จะทรงประกาศต่อไปว่า

ทิศ ๖ นั้นหรือ คือ
๑. ปุรัตถิมทิส ทิศเบื้องหน้า ได้แก่ บิดา มารดา
๒. ทักขิณทิสทิศเบื้องขวา ได้แก่ ครูอาจารย์
๓. ปัจฉิมทิส ทิศเบื้องหลัง ได้แก่ สามีภรรยา
๔. อุตตรทิส ทิศเบื้องซ้ายได้แก่ มิตรสหาย
๕. อุปริมทิส ทิศเบื้องบนได้แก่ พระสงฆ์ สมณพราหมณ์
๖. เหฏฐิมทิส ทิศเบื้องล่าง ได้แก่ ลูกจ้างกับนายจ้าง

ดังนี้แล

ฉะนั้นท่าน suwatchai จึงควรพิจารณาถึง กาละแลเทสะ อีกทั้งความควรแลไม่ควร เทอญ

21

ผู้เสียสละ
[youtube=425,350]30_EhSEkpC4[/youtube]

23
ขอแสดงมุทิตาจิต ต่อพระมหานรินทร์ ที่ได้จบ ป.โท พุทธศาสน์มหาบัณฑิต

ไม่ใช่ ป.โท พุทธศาสน์มหาบัณฑิต นะขอรับ แต่เป็น ป.โท ศึกษาศาสตร์มหาบัณฑิต(พัฒนศึกษา) ขอรับ

24
(ยิ้ม)

25
ขอรบกวนสมาชิกทุกท่านในการแสดงความเห็นนะคับ

เรื่องที่ผ่านมา แม้ว่าผมจะไม่ได้รับPM แต่ก้อได้อ่านทุกPM จากท่านเวปฯ

ผมอยากบอกว่า ไม่ว่าจะเป็นพี่ยา พี่ต้อย พี่ติ่ง พี่มหา แต่ทุกท่านเป็นศิษย์หลวงปู่

และทุกคนที่สักมา ก็นับว่าเป็นศิย์อาจารย์เดียวกัน คือเป็นศิษย์หลวงปู่

การที่ศิษย์อาจารย์เดียวกันมาทะเลาะกันเอง ผมว่าไม่สมควรเป็นอย่างยิ่ง

ท่านเณรน้อยเส้าหลินเอง ตามความเห็นผม รับผิดชอบโดยตั้งกะทู้ขอโทษท่านชะลาพุชะโดยตรง

ส่วนท่านชะลาพุชะเอง ในฐานะศิษย์อาจารย์เดียวกัน ก็ควรยกโทษกันได้

หลวงปู่ไม่ชอบใจแน่ครับ ถ้าท่านทราบว่าศิษย์ของท่านเป็นแบบนี้

แต่ผมเชื่อว่า ท่านจะยินดีเป็นอย่างมาก ถ้าท่านทราบว่าศิษย์ของท่านรู้จักขอโทษและให้อภัยกัน

การที่เราทะเลาะกัน มันเหมือนการประจานตัวเอง ว่าลูกศิษย์หลวงปู่ไม่รักกันครับ

ผมอยากเห็นเรารักกัน ร่วมใจกันมากกว่า ยังมีเรื่องข้างนอกอีกมากมายที่จะให้เราร่วมใจกันแก้ปัญหาครับ

บอกตามตรงนะคับ มีสมาชิกหลายๆบอร์ด ที่เค้ารวมตัวกันไปทำบุญ ช่วยเหลือสังคม ในนามของบอร์ดเค้า

ผมอยากให้บอร์ดเรามีแบบนั้นบ้าง รวมกลุ่มกันไปเลี้ยงอาหารกลางวันเด็กพิการในนามบอร์ด ฯลฯ

แสดงให้คนอื่นเห็นว่า "นี่แหละศิษย์หลวงปู่เปิ่นแห่งวัดบางพระ"

ลูกผู้ชาย รู้ตัวว่าผิดก็ขอโทษให้คนอื่นเห็น

ส่วนฝ่ายที่ถูกกระทำ ก็กล้าที่จะให้อภัยในฐานะศิษย์อาจารย์เดียวกัน นี่แหละคับ "ลูกผู้ชาย"

27
คาถาอาคม / ตอบ: คาถาปลุกผีลุก
« เมื่อ: 07 เม.ย. 2552, 07:35:41 »
ผมมีคาถาไล่ผีคับ อาจารย์ที่บุรีรัมย์ให้มามีคนเคยใช้ได้ผลชะงัดมากคับ

28
พระยุ่งกับการเมืองผิดแน่นอนขอรับ แต่! เอ๊ะ เคยนึกมุมกลับกันบ้างไหมขอรับพี่น้องคร๊าบบบบ

พระถูกการเมืองลากมาเท่าไหร่ ตั้งพระให้เป็นศูนย์ต่างๆ เช่นศูนย์สุขภาพจิตนี่ใครตั้ง

ให้พระมีบัตรประชาชนให้เลือกตั้งได้นี่ใครคิด(ดีที่ยังไม่ผ่าน) ก็พระโดนลากมาซะขนาดนี้

ขนาดจะให้เลือกตั้งได้นี่ แล้วจะไม่ให้รู้ข้อมูลทางการเมืองกันเลยหรือไร

แล้วเมื่อรู้แล้ว จะวิพากย์วิจารย์มันผิดวินัย (แต่มันผิดมากขนาดไหน)

แล้วจะให้ทำเช่นไรขอรับพี่น้องคร๊าบบบ

ก็การเมืองเล่นลากพระไปซะยังง้านนน(ยังมีอีกเยอะนะ) แล้วจะให้พระทำยังไง?

เฮ้อ!! ตอนพระโดนลากลงน้ำไม่เห็นมีใครว่า ทียังงี้ล่ะ เดี๋ยวปั๊ดบวชหนีเมียไปสมัครนายกซะเลย

29
เอ้อ บอร์ดนี้มีดก็เคยโชว์มาแล้ว จะมีปืนอีกซักหน่อยก็ดีนิ

อาวุธของท่าน!! เอ้อท่าน!!Gearmour ผมอยากอ่านว่าเกียมัว :075:(กัวเมีย)  :075:มันเป็นอาวุธที่ปกป้องชาติ

ของทุกอย่างมันมี 2 ด้าน แล้วแต่คนใช้ ระดับท่าน เอ้อ!!! เกีย เอ้อ!! เกียไรดี

น่าจะเอาไว้ใช้อย่างว่า (คือปกป้องชาติระขอรับ) ลูกศิษย์หลวงพ่อเปิ่น ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ต้องมาก่อน

30
:017: รับทราบค่ะ  :027:  11; และจะระมัดระวังตัวให้มากกว่าเดิมค่ะ  09; 37;

 11;  ไม่นำความเดือดร้อนให้กับผู้อื่นคร๊าบ  :073: :090:

 :017: จะทำตัวเรียบร้อยแล้วค่ะ :068:  จะน่ารักแบบพองามนะคะ 15; 31;


(ยิ้ม)

31
ออกเสียง เพื่ออะไรครับท่าน จะแจกรางวัล หรือ ครับท่าน :002:
:009: ผมคุยกะเวปมาอ่ะคับ โดนเวปด่ามาว่าไม่รู้จักอ่านคู่มือการใช้บอร์ด

ผมเลยถามไปว่า 100 คนจะมีคนอ่านซักกี่คน เวปเลยพูดมาว่า อืม! น่าหาข้อมูลเหมือนกัน

ผมเลยมาโพสถามอ่ะคับ
เอ้อ !!! รู้สึกว่าประเด็นจะเปลี่ยนไปแล้วนะคับ

กะทู้นี้ตั้งขึ้น เพื่ออยากรู้เฉยๆว่ามีใครเคยเข้าไปอ่านบ้าง

ทั้งนี้ผมกับเวป มีการคุยกันตลอดแทบจะเรียกว่า คุยกันบ่อยที่สุดถ้าเทียบกับสมาชิกท่านอื่น :027:

เพราะฉะนั้น อยากจะเรียนให้ทุกท่านทราบว่า กระทู้นี้ตั้งเพื่ออยากทราบเฉยๆ ว่ามีใครเคยเข้าไปอ่านบ้าง

หาได้บอกว่ากฏกติกาไม่ดีไม่  :054:

ถ้ามีการทำให้เข้าใจผิด ก็ขออภัยไว้นะที่นี้ด้วยขอรับ

32
บทความ บทกวี / ตอบ: บรมครูเสน่ห์
« เมื่อ: 16 มี.ค. 2552, 05:04:36 »
 :065: เอ้อ!!!นี่กระทู้ไรคับเนี่ย เริ่มต้นตั้งมาก้อดูดี ทำไม๋ ลงท้ายแบบนี้ง่า

รู้สึกว่าจะเป็นกระทู้เบี่ยงเบน :065:

33
ออกเสียง เพื่ออะไรครับท่าน จะแจกรางวัล หรือ ครับท่าน :002:
:009: ผมคุยกะเวปมาอ่ะคับ โดนเวปด่ามาว่าไม่รู้จักอ่านคู่มือการใช้บอร์ด

ผมเลยถามไปว่า 100 คนจะมีคนอ่านซักกี่คน เวปเลยพูดมาว่า อืม! น่าหาข้อมูลเหมือนกัน

ผมเลยมาโพสถามอ่ะคับ

34
คืออยากทราบว่ามีใครเคยอ่านกะทู้คู่มือกระดานสนทนาของเวปบอร์ดมั่งคับ

35
ผมเคยคุยกับคนที่รับซ่อมพระ เค้าบอกว่าที่จริงแล้วเค้าใช้นมข้นหวานเป็นตัวประสานสำหรับพระเนื้อผง

เพียงแต่เราไม่รู้กันเองเลยไปจ้างเค้าซ่อม ซึ่งต้องยอมรับว่าการซ่อมคงต้องใช้ฝีมือและความชำนาญบ้าง


36
โหย อะไรกันนี่... เด็ก มพ. Hot Hit ปานนี้เลยเหรอ... มะน่าเชื่อเนาะ

ชื่อย่อ ม. พ. มักถูกผู้ชายล้อว่าเป็น เมียพี่ :008:  เด็กม.พ. มีแค่สองอย่าง สาวเปรี้ยวเท่ ทอมหล่อ และยิ้งหญิงดี้สนิท

ผอ. วิเชียร สามารถ ถูกต้องคร่า...คุณกันย่า.. ไปไปมามา... แหมบางคนมีเรื่องเล่า..แต่ออมนะยะ...  :009:

ปล. น้องอชิ ได้เพื่อนใหม่เนี่ย ระบุหน่อยจิ หญิงหรือชาย  :009:
ผมเคยไปนอนมพ.มา 2 ปี ปีละ 3 วัน 2 คืน แต่เคยเข้าไปเที่ยวบ่อย(สมัยเรียน)

เคยเห็นความแสบ ความน่ารัก(นึกก่อนว่ามีไหม) เพื่อนที่มพ.อ้ายยุ้ย(ธาราทิพย์  อุดมธรปรเสริฐ)

ขายแก๊สอยู่ตลาดน้อย(ตลาดน้อยค้าแก๊ส)คุณโชพอรู้จักป่ะคับ กะอ้ายบุ๋ง(ณัฐชลี  ปิยมหันต์)

 :065: ไม่ได้เจอนานคิดถึงเพื่อนๆเหมือนกัน เท่าที่ถามคุณเอดู คุณโชน่าจะเรียนรุ่นเดียวกะผม เพราะเกิดปีเดียวกัน

เพียงแต่ผมเรียน นข. แต่ไปค่ายวิทย์ที่ มพ.จัด จะว่า เด็ก มพ. Hot Hit ไหม ผมว่าแสบใช้ได้นะคับ

เฮ้ย... ยุ้ย ธาราทิพย์ เรียนห้องเดียวกัน... เลย เล่นเสก็ต ด้วยกันเลย...รู้จักกันดี ห้องเดียวกันสามปีนะ เหอๆ มะน่าเชื่อหงะ
ง่า .. ผมรู้จักอ้ายยุ้ยตอน ม.4 ไปค่ายวิทย์ด้วยกันที่ประจวบฯ ยุ้ยกะบุ้งเป็นตัวแทนของ มพ.

ผมเป็นตัวแทนของ นข.พอจบค่ายที่หว้ากอ ก้อมีmeetting กันปีละหน ตอน 2 ปีแรกจัดที่ มพ.

นอน 3 วัน 2 คืน ต่อมาจัดที่ประชาราชอุปถัมภ์ ที่ห้วยขวาง ต่อมา  :065: ต่างคนต่างเริ่มมีงาน

รุ่นน้องๆไม่รู้เป็นไงมั่ง  :065: แล้วก็ไม่รู้เพื่อนๆเป็นไงมั่ง คิดถึงจัง  :065:

37
โหย อะไรกันนี่... เด็ก มพ. Hot Hit ปานนี้เลยเหรอ... มะน่าเชื่อเนาะ

ชื่อย่อ ม. พ. มักถูกผู้ชายล้อว่าเป็น เมียพี่ :008:  เด็กม.พ. มีแค่สองอย่าง สาวเปรี้ยวเท่ ทอมหล่อ และยิ้งหญิงดี้สนิท

ผอ. วิเชียร สามารถ ถูกต้องคร่า...คุณกันย่า.. ไปไปมามา... แหมบางคนมีเรื่องเล่า..แต่ออมนะยะ...  :009:

ปล. น้องอชิ ได้เพื่อนใหม่เนี่ย ระบุหน่อยจิ หญิงหรือชาย  :009:
ผมเคยไปนอนมพ.มา 2 ปี ปีละ 3 วัน 2 คืน แต่เคยเข้าไปเที่ยวบ่อย(สมัยเรียน)

เคยเห็นความแสบ ความน่ารัก(นึกก่อนว่ามีไหม) เพื่อนที่มพ.อ้ายยุ้ย(ธาราทิพย์  อุดมธรปรเสริฐ)

ขายแก๊สอยู่ตลาดน้อย(ตลาดน้อยค้าแก๊ส)คุณโชพอรู้จักป่ะคับ กะอ้ายบุ๋ง(ณัฐชลี  ปิยมหันต์)

 :065: ไม่ได้เจอนานคิดถึงเพื่อนๆเหมือนกัน เท่าที่ถามคุณเอดู คุณโชน่าจะเรียนรุ่นเดียวกะผม เพราะเกิดปีเดียวกัน

เพียงแต่ผมเรียน นข. แต่ไปค่ายวิทย์ที่ มพ.จัด จะว่า เด็ก มพ. Hot Hit ไหม ผมว่าแสบใช้ได้นะคับ

38
 :065: มพ. เป็นอีกหนึ่งความจดจำในชีวิตที่ยากจะลืมจริงๆ คิดถึงทีไร มีทั้งขำทั้งอายปน ๆ กัน


39
เด็ก มพ. หรือครับ ทันสมัย อ.ยิ่งยง  ทรงอักษร ป่ะคับ

ผอ.วิเชียร สามารถ น่ะครับ

40
รูปนี้คุณ กุ๊งกิ๊ง เป็นคนถ่ายครับ ผมก็ อยู่ให้เหตุการณ์นั้นเช่นกันครับ

ถ้าไงก๊อบมาก็ให้เครดิส เจ้าของภาพด้วยครับ เพราะก่อนถ่ายภาพ

เขาก็ขออนุญาต เจ้าของลายสักมาเช่นกันครับ  สาธุ ....  :089:

ความจริงเรื่องของเครดิตเป็นเรื่องสำคัญจริง ๆ ครับ คุณแหวกบาดาลในฐานะที่นับถือหลวงปู่

พอไปเจอรูปแบบนี้เข้า คงอดไม่ได้ที่จะเอามาให้ชมกัน ถ้าพูดไปถือเป็นการยกย่องหลวงปู่นะครับ

ระบบของคนเล่นเวปบอร์ด ธรรมดาที่ก๊อปมาจากไหนก็คงต้องให้เครดิตคนนั้น

ส่วนนี้คุณแหวกบาดาลก็ทำไปตามปกติ ถ้าเป็นผม ผมคงไม่รู้ว่าแท้จริงแล้ว ต้นตอของรูปมาจากไหน

แค่เห็นว่าเป็นของหลวงปู่ที่ผมเคารพ ก็เอามาให้ชมกัน พร้อมให้เครดิตคนที่ผมไปเอาของเค้ามา

นี่ถ้าผมซื้อเสื้อมือสองมาตัวนึง ผมต้องเอาเงินไปจ่ายที่ช่างที่ตัดเสื้อมาไหมนิ

41
วันดีคืนดีมีเสียงปานสายฟ้าว่ามาจากเบื้องบนถามว่า "เฮ้ย ที่1 บาลีว่าไงฟร๊ะ " ผมก้อนิ่งอึ้งไปไม่ถึง 1 นาที

จึงตอบเสียงสวรรค์นั้นไปว่า มันก้อคล้ายๆกับภาษาอังกฤษอ่ะคับ คือ one หมายถึง 1 คน ส่วน firt หมายถึงที่ 1

ถ้าเทียบเป็นบาลีก็จะเป็น เอก หมายถึง 1 คน ส่วน ปฐม(อ่านว่า ปะ - ฐะ - มะ) หมายถึงคนที่หนึ่ง,กลุ่มที่หนึ่ง

หรือกลุ่มแรก ทั้งนี้ การนับในภาษาบาลีเรียกว่า "สังขยา" ซึ่งมี 2 แบบคือ ปกติสังขยา คือการนับโดนปกติ เช่น

1คน 2 คน วัว 2 ตัว เป็นต้น อย่างนี้เรียกว่า "ปกติสังขยา" และนับโดยที่เต็ม หรือนับเป็นลำดับขั้น เช่น คนที่ 1

คนที่ 2 กลุ่มที่ 1 กลุ่มที่ 2 เป็นต้น เรียกว่า "ปูรณสังขยา" ซึ่งปูรณสังขยานี่ก้อมาจากปกติสังขยานั่นเอง

แต่เป็นปกติสังขยาที่ลงปัจจัยในปูรณตัทธิต 5 ตัว คือ ติ ย ฐ ถ ม อี แล้วมีการเปลี่ยนรูปไปบ้างตามหลักภาษา

เมื่อรวมความโดยสรุป ก็คือ เมื่อท่านจะจัดลำดับกลุ่มท่านก้อจัดตามลำดับโดยใช้ปูรณสังขยา

จากนั้นก็มีเสียงจากเบื้องบน(เสียงเดิม)ดังมาว่า "แล้วที่ 1 ถึง ที่ 9 มันว่าไงมั่ง ผมจึงไล่ลำดับไปให้ฟัง แล้วมันจึง

มาปรากฏให้เป็นเป็น ปฐมะ ถึง นวมะ ตามที่ทุกท่านเห็น และปั่นกระทู้อยู่นี่เอง

   เมื่อกาลเวลาผ่านพ้นไป 2 วันเป็นประมาณ เสียงนั้นจึงดังมาอีกว่า "เฮ้ย ช่วยไปอธิบายทีสิ ว่า ปฐมะ ถึง นวมะ

มีที่มาที่ไปยังไง มีความหมายยังไง" เมื่อเสียงนั้นเงียบลง กระทู้นี้จึงเกิดขึ้น

** ปล. รออยู่ว่าเมื่อไหร่นะ เสียงนั้นจะดังมาอีก (งานเข้า)

42
ขอจองเสื้อหญิง  size s 1 ตัวนะคับ

เสื้อชาย size L 2 ตัวคับ

ขอถามหน่อยคับ ถ้าเลยวันที่ 18 แล้ว จะขอจองเพิ่มได้อีกไหมคับ

43
ง่า!!! สับสนอ่ะคับ พี่ๆช่วยบอกน้องหน่อยสิขอรับ

1.เวปไซต์นี้เกี่ยวข้องกับการทำบุญก็จริง แต่แบบนี้มันเหมือนเอามาทำการซื้อขายใช่ไหมขอรับ

2.เสื้อที่ทางเวปฯจัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดทำที่ระลึกเฉพาะสมาชิกในเวปบอร์ด ไม่ได้ทำการค้าหากำไร

จึงเป็นการทำข้อตกลงระหว่างสมาชิกเท่านั้นใช่ไหมขอรับ

3.เท่าที่ผมเห็นจากบอร์ดที่ผ่านมา การนำวัตถุมงคลจากที่ต่างๆมานำเสนอทำนองเพื่อเป็นงานบุญ ทางวัดนั้นๆจะนำมาเอง

และติดต่อกับผู้ดูแลบอร์ดโดยตรง ดังนั้น จึงไม่เกี่ยวข้องกับการกระทำตามแบบอย่างของกระทู้นี้ใช่ไหมขอรับ

4.กระทู้นี้เข้าข่ายซื้อ/ขาย เป็นการส่วนตัวหรือเปล่าขอรับ

5.ข้าน้อย ผู้มีปัญญาน้อย รบกวนพี่ๆไขข้อข้องใจหน่อยขอรับ

44
หัวข้อนี้ตอบยากจัง เพราะภาษาไทยมีที่มาจากหลายภาษา เช่นเขมร (ตำรวจ,ตรวจ) บาลี(จราจร) สันสกฤต(ศรีษะเกษ)

แต่ความแตกต่างของบาลีกับสันสกฤต เช่น คำบาลีที่ใช้ในภาษาไทยใช้ ส แต่ถ้าสันสกฤต ใช้ ศ ษ เป็นต้น

ดังนั้น หากจะให้มีหลักคงต้องเรียนรู้ถึงพื้นฐานของแต่ละภาษา เช่นคำว่า อนุญาต ที่ไม่มีสระอิ เพราะตัวบาลีไม่มี เนื่องมาจาก

คำว่า อนุ + ญาต(ญาธาตุ + ต ปัจจัย) ซึ่งการที่จะไปเรียนรู้พื้นฐานของแต่ละภาษาเป็นเรือ่งยาก ดังนั้น จะเขียนคำไม่ให้ผิด

คงได้แต่ต้องจำอย่างเดียว ซึ่งผมเห็นด้วยที่จะอนุรักษ์ภาษาไทย ยังไงก็ขอให้กำลังใจนะคับ


45
ช่วยหน่อยนะขอรับ

เอ้อ!! ที่คุยกันเนี่ย หมายถึงของผมป่าวคับ

46
ของแรงนะครับ    

ลองชมจากนี่และพิจณาดู ครับ http://www.bookskanessporn.com/content_437_5904_TH.html3  ข้อมูลเวปจากพี่บอลสุดหล่อ ครับ

ชมภาพและให้เพื่อนๆ ช่วยพิจณา อีกที ครับ
ของคุณพ่อผมอ่ะคับ ท่านถ่ายรูปเอามาให้ดู

47
เอ้ออ!!! เว็ป รัปทานไรผิดสำแดงป่าวขอรับ มาแนวโฉด เอ๊ยโหดจัง  :075:
บาปกรรม เกรียนไปมั่งครับ
  
ขอ อโหถ กรรม ขอรับ  :065:

48




ช่วยดูและวิจารณ์ให้หน่อยขอรับ

วัยรุ่นอยากรู้

49
เอ้ออ!!! เว็ป รัปทานไรผิดสำแดงป่าวขอรับ มาแนวโฉด เอ๊ยโหดจัง  :075:

50
ก า ร ก ร า บ ไ ห ว้ พ ร ะ พุ ท ธ รู ป
พระเทพดิลก (ระแบบ ฐิตญาโณ)
วัดบวรนิเวศวิหาร

? ปุ จ ฉ า

พุทธศาสนิกชน โง่ หรือ ฉลาด ที่ไปกราบไหว้ อิฐปูน ต้นไม้
และการกราบไหว้พระพุทธรูปจะจัดเข้าไปในประเภทบูชารูปเคารพหรือไม่ ?

ถ้าไม่...ต่างกันอย่างไร ?

? วิ สั ช น า

ความโง่หรือฉลาดของคนนั้น
ไม่วัดกันด้วยด้วยการกระทำเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น
ต้องมองกันในหลายๆ ด้านด้วย
คนเรานั้นอาจฉลาดในเรื่องหนึ่ง
แต่กลับโง่อย่างหนักในอีกเรื่องหนึ่งก็ได้

ปัญหาไม่ได้บอกว่า อิฐ ปูน ต้นไม้นั้นเป็นอะไร
เป็นทรากของสถานที่สำคัญเช่น สังเวชนียสถาน
ก็แสดงว่า เขาไม่ได้ไหว้อิฐ ปูน
แต่ไหว้เพราะอาศัยอิฐ ปูน นั้น
เป็นสื่อให้น้อมรำลึกถึงพระคุณของพระพุทธองค์
เช่นเดียวกับการไหว้พระพุทธรูป เจดีย์อื่นๆ

หากเป็นการไหว้ อิฐ ปูน ธรรมดา
นึกไม่ออกว่าใครจะไปไหว้ทำไม ?!?!

ถ้าว่าเป็นกรณีของพุทธปฏิมา ที่สร้างด้วยอิฐ ปูน
ในขณะไหว้ใครคิดว่าตนเองไหว้อิฐ ปูน ก็ต้องจัดว่าบรมโง่ทีเดียว !!!

พระพุทธรูป ไม่ว่าจะสร้างขึ้นด้วยอะไรก็ตาม
รวมถึงพระเจดีย์ ไม่ว่าจะเป็นธาตุเจดีย์
ธรรมเจดีย์ บริโภคเจดีย์ หรืออุเทสิกเจดีย์ก็ตาม
ล้วนแต่สร้างขึ้นเพื่อเป็นการรำลึกถึงพระพุทธเจ้า
เวลาไหว้ ใจคนจะน้อมรำลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า
โดยอาศัยสิ่งเหล่านั้นเป็นเครื่องกระตุ้นให้ระลึกถึง

o ทำไมจึงต้องสร้างเป็นรูปวัตถุเช่นนั้น ?

เพราะพระพุทธคุณเป็นนามธรรม
โดยหลักทั่วไปแล้ว การระลึกถึงสิ่งที่เป็นนามธรรมล้วนๆ
สำหรับคนทั่วไปแล้ว ทำได้ยาก

เหมือนระลึกถึงคุณพ่อคุณแม่
หากจะมีรูปท่านอยู่ด้วยจะให้ความรู้สึกแปลก
คือให้ความซาบซึ้งมากกว่าที่คิดถึงในเชิงนามธรรมล้วนๆ

แต่เมื่อว่าตามความจริงแล้ว
คนหาได้คิดอยู่เพียงรูปถ่ายของท่านไม่
รูปถ่ายท่านเป็นเพียงสื่อให้คิดได้ดีขึ้นเท่านั้นเอง

เรื่องการกราบไหว้ พระพุทธรูป เจดีย์
ที่สร้างด้วยอะไรก็ตาม
ผู้ไหว้หาได้ติดอยู่เพียงรูปเหล่านั้นไม่
รูปเหล่านั้น จึงทำหน้าที่เป็นสื่อทางจิตใจ
เพื่อได้อาศัยรำลึกถึงพระพุทธเจ้า และพระพุทธคุณ

ด้วยเหตุนี้ การกราบไหว้พระพุทธรูป
จึงไม่เหมือนการกราบไหว้รูปเคารพ
อย่างที่พวกนับถือรูปเคารพกระทำกัน

o ทำไมจึงไม่เหมือนกัน?

เพราะพวกสร้างรูปเคารพนั้น
ผู้ที่ตนนำมาสร้างเป็นรูป ไม่ได้มีตัวตนอยู่จริง
เป็นแต่คิดฝันขึ้น บอกเล่าสืบต่อกันมา
ส่วนมากจะเกิดขึ้นจากพวกที่ต้องการประโยชน์
จากความนับถือรูปเคารพเหล่านั้นของคนทั้งหลาย
คนนับถือรูปเคารพจึงนับถือ เพราะ

?ความไม่รู้ จึงเกิดความกลัว?

การไหว้รูปเคารพ จึงเป็นการกระทำเพื่อ

๑. ประจบเอาใจรูปเคารพเหล่านั้น ไม่ให้ท่านโกรธ
๒. ต้องการอ้อนวอน บวงสรวง ให้ท่านประสิทธิ์ประสาท
สิ่งที่ตนต้องการ และพิทักษ์รักษาตน
พร้อมบุคคล ที่ตนต้องการให้รักษา

แม้ว่า บุคคลบางคน จะไหว้พระพุทธรูป
เพื่อต้องการของสิ่งที่ตนต้องการบ้าง
แต่ไม่มีลักษณะของการประจบเอาใจต่อพระพุทธรูป
เพื่อไม่ให้ท่านโกรธ อย่างที่พวกนับถือรูปเคารพกระทำกัน
พระพุทธรูป จึงไม่เหมือนกับรูปเคารพ อย่างที่คนบางคนเข้าใจ

เครดิต http://board.palungjit.com/showthread.php?t=149102

บทความนี้ขอให้เป็นของขวัญปีใหม่แก่สมาชิกทุกท่านขอรับ  :054:

51
(ยิ้ม)

การทำความเข้าใจในเรื่องของกัมมัฏฐานเป็นเรื่องจำเป็น แม้แต่หลวงพ่อจรัญเองท่านก็บอกไว้ว่า

"การปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานจำเป็นต้องมีวิปัสสนาจารย์คอยกำกับ ไม่เช่นนั้นจะหลงทางได้ง่าย"

คำว่ากัมมัฏฐาน หรือคำว่าภาววนานั้นมี ๒ อย่าง คือสมถและวิปัสสนา

อาจารย์ที่สอนกัมมัฏฐานทุกท่านล้วนอ้างอิงจาก ๒ คัมภี คือพระไตรปิฎกและวิสุทธิมรรค

เพียงแต่เอามาปรับใช้ให้เหมาะสมเท่านั้นเองขอรับ

ส่วนตัวผมได้ศึกษามาบ้างและเคยปฏิบัติมาบ้างเล็กน้อย แต่เท่าที่ทราบ

ไม่มีอาจารย์สอนกัมมัฏฐานท่านใดที่บอกว่าสิ่งที่ท่านสอนไม่ได้เอามาจาก๒คัมภีข้างต้น

ทั้งนี้เพราะทุกท่านล้วนเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า จึงต้องดำเนินตามหลักคำสอน

หากคิดเองทำเองแล้วบบรรลุหรือสำเร็จได้ นั่นหมายถึงท่านเป็นผู้รู้ได้ด้วยตนเอง

หาใช่สาวกของใครไม่ สิ่งที่ผมผู้มีความรู้อันน้อยนิดกล่าวอ้างไปทั้งหมด

จึงจำเป็นต้องอิงคัมภีทั้ง๒

ตามที่ท่านdonutv  กล่าวมานั้น เป็นหนึ่งในมหาสติปัฏฐาน๔ ซึ่งเป็นแนวทางที่ถูกต้อง

และเป็นแนวทางเดียวเท่านั้นที่จะนำไปสู่มรรค ผล นิพพาน

แต่ทั้งนี้ หากจะก้าวเข้าสู่การปฏิบัติเช่นนั้น จำเป็นจะต้องมีพิ้นฐานที่ดีเสียก่อน

กล่าวคือ อานาปานาสติ ซึ่งข้อนี้ผู้ที่ผ่านการปฏิบัติกับหลวงพ่อจรัญมาคงททราบดี

ว่าท่านจะต้องนั่งทำอานาปานาสติควบคู่กันไปกับการเดินจงกรม

ส่วนการกำหนดรู้จะทำได้โดยละเอียดและไม่ขาดตอนได้ต่อเมื่อสติสมบูรณ์บริบูรณ์เป็นอย่างยิ่ง

ผมฐานะผู้รู้น้อย ขอเสนอความคิดเป็นให้พิจารณาตามหลักแห่งพระไตรปิฎกที่ได้พอศึกษามาบ้างเล็กน้อย

หากสิ่งที่ผมเสนอไป ผิดพลาด ขอโปรดแนะนำในฐานะกัลญามิตรที่ดีขอรับ

52
การเริ่มต้นของสมาธิ ประการแรกละสำคัญที่สุดคือสติ ข้อนี้ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า

"แม้แต่ตถาคตเจ้าก็ไม่เคยละอานาปานาสติ" นั้นคือการมีสติอยู่กับลมหายใจเข้าและออก

ดังนั้นการเริ่มต้ของสมาธิคือการฝึกสติแบบง่ายๆนั่นก็คืออานาปานาสติซึ่งผู้ฝึกทั้งสมาธและวิปัสสนาจะละไปไม่ได้เลย

กล่าวคืออานาปานาสติเป็นบาทฐาทฐานของสมาธิขั้นสูง คือฌาณ และเมื่อออกจากฌาณแล้ว

อานาปานาสติจะเป็นเครื่องอยู่ของผู้ปฏิบัติ เป็นการประคองจิตไว้ไม่ให้วอกแวกห่างจากสมาธิ

ดังนั้นเมื่อปฏิบัติอานาปานาสติจนคล่องแคล่วชำนาญดีแล้ว จึงปฏิบัติตามแนวทางเพื่อเข้าสู่สมาธิขั้นสูงขึ้น

เป็นลำดับต่อไป ซึ่งสมาธิขั้นสูงกว่าที่ว่านี้หมายถึงรูปฌาณ๔ตามที่กล่าวไว้แล้ว

ส่วนการพิจารณาจิตนั้นอยู่ในขั้นวิปัสสนาเป็นแนวทางของสติปัฏฐาน๔ อันผู้ที่ปฏิบัติให้ได้ผลอย่างเต็มที่

โดยปราศจากกำลังแห่งสมาธิจิตจะสำเร็จมิได้เลย

ที่ว่าสติปัฏฐาน๔นี้คือ กายานุปัสสนา จิตตานุปัสสนา เวทนานุปัสสนา ธัมมานุปสสนา

กล่าวโดยสรุปในที่นี้คือ ผู้จะปฏิบัติตามแนวทางแห่งกัมมัฏฐานทั้ง๒อย่าง ควรเริ่มต้นจากอานาปานาสติ

ซึ่งอานาปานาสตินี้มี ๑๖ ขั้นตอน ลองค้นหาดูจากGoogle นะขอรับ เพราะหากผมจะเอามาลงในที่นี้

ดูจะยืดเยื้อจนเกินไป

หากมีปัญหาสงสัย ยินดีตอบคำถามของทุกท่านขอรับ

วัยรุ่นยินดีรับใช้ขอรับ  :001:

53
นับยังไงก็ไม่ครบ๓๘น่ะขอรับ

ช่วยนับให้น่อยสิขอรับ

วัยรุ่น งง  :065:

54
ก่อนอื่นขอทำความเข้าใจกันก่อนนะขอรับ

๑.สมาธิหมายถึงการทำจิตให้ตั้งมั่น ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้คือสมาบัติ๘ กล่าวคือรูปฌาณ๔และอรูปฌาณ
ซึ่งมีผลทำให้ได้ในเรื่องของอิทธิฤทธิ์

๒.กัมมัฏฐาน มี ๒ อย่าง คือสมถกัมมัฏฐานซึ่งก็คือสมาธิ และวิปัสสนากัมมัฏฐาน
ซึ่งมีผลทำให้บรรลุขั้นต่ำคือโสดาบัน ขั้นสูงคืออรหันตผล

๓.สมาธิมิใช่มีเพียงแต่ในพระพุทธศาสนา และยังมีก่อนพระพุทธศาสนาเสียอีก ดังเช่นการที่เจ้าสิทธัตถะ
เมื่อทรงออกผนวชแล้วได้ไปเรียนกับอาฬารดาบสและอุทกดาบสจนสำเร็จสมาบัติ๗

๔.สมาธิในพระพุทธศาสนาหมายถึง"สัมมาสมาธิ" เพื่อที่เมื่อจิตตั้งมั่นดีแล้ว ทำให้จิตมีกำลัง
มีสภาพเหมาะที่จะนำไปใช้ในวิปัสสนา

๕.ผู้ที่สำเร็จสมาธิขั้นปฐมฌาณก็สามารถที่จะใช้กำลังแห่งจิตไปดำเนินการปฏิบัติวิปัสสนาจะบรรลุถึงอรหันตผลได้แล้ว
เพียงแต่ไม่มีอิทฤธิฤทธิ์ เรียนท่านผู้บรรลุเช่นนี้ว่า "สุกวิปัสสโก"

ส่วนเบื้องต้นแห่งสมาธิขอพูดถึงในโอกาสต่อไปขอรับ

วัยรุ่ยยินดีรับใช้ :050:

55
แฮ่แฮ่!! ไปไม่ได้ เอามาฝากได้ป่าวขอรับ

56
เรียกผมว่า Kanya ก็ได้ขอรับ
แห่ะ!!  :045:

57
เพิ่มเติมอีกนิดนึงขอรับ

ทำไมการโกหกจึงไม่ใช่เรื่องเล็ก

เพราะเมื่อเราเริ่มโกหก ไม่ว่าจะเป็นด้วยเหตุผลประการใดก็ตาม นั่นคือเราทำให้ผู้ที่เราโกหกได้รับรู้สิ่งที่เราโกหกไปแล้ว

ดังนั้น เป็นที่แน่นอนว่าเราย่อมไม่ปราถนาให้เขาได้รับรู้ความจริง ฉะนั้น ไม่ว่าเข้าหรือคนอื่นถามเราถึงเรื่องนั้นๆ

เราจึงจำเป็นที่จะต้องโหกต่อไป และอาจจำเป็นต้องมีการโกหกเรื่องอื่นๆตามมาเพื่อให้การโกหกครั้งแรกน่าเชื่อถือมากขึ้น

การโกหกครั้งแรก อาจเป็นเรื่องเล็กน้อยก็จริงอยู่ แต่จะนำพามาสู่การโกหกมากขึ้น มากขึ้น และมากขึ้น

ซึ่งเมื่อใดก็ตามที่คำโกหกถูกเปิดเผย เราก็จะได้รับอานิสงค์ของการโกหก คือไม่ได้รับความเชื่อถือนั่นเอง

58
แห่ะ! ขอแทรกอีกนิดนึงนะขอรับ ไม่ได้คิดจะขัดแย่งแต่ประการใด

การโกหก หมายถึงการทำให้คราดเคลื่อนจากความจริง ที่ใช้คำว่าการทำเพราะมุ่งการทำคือกรรม

ทั้งนี้การโกหกแม้เป็นวจีกรรมแต่ก็สามาถออกทางกายทวารได้

ทั้งนี้ การโกหกคือมุสาวาท ซึ่งเป็น๑ใน๔ของอกุศลกรรมที่เป็นวจีกรรมซึ่งมี

พูดโกหก๑ พูดคำหยาบ๑ พูดส่อเสียด๑ พูดเพ้อเจ้อ๑ ทั้ง ๔ ประการเป็นวจีทุจจริต

การอำ น่าจะสมควรจัดอยู่ในข้อพูดเพ้อเจ้อขอรับซึ่งมีโทษเบากว่าการพูดโกหก

บางครั้ง เราต้องยอมรับว่าภาษาธรรมเมื่อนำมาใช้เป็นภาษาไทยมีส่วนทำให้เกิดความเข้าใจคราดเคลื่อน

ทั้งนี้เพราะการให้ความหมายที่แตกต่างกันในคำเดียวกันหรือ อาจเกิดจากความเคยชินกับคำนั้นๆ

ที่เราใช้กันจนลืมความหมายที่แท้จริง เช่นการพูดว่า "คนๆนี้มีทิฏฐิแรง"

เรามักจะส่อไปว่าเค้ามีความคิดเห็นที่เชื่อมั่นแต่ความคิดของตนเอง

ซึ่งแท้จริงแล้วคำว่า"ทิฏฐิ" เป็นไปได้ทั้งสัมมาทิฏฐิ และมิจฉาทิฏฐิ

59
 :054: ขอคารวะขอรับ ถ้าสามารถใช้คาถาเป็นองค์บริกรรมได้ เป็นการทำให้จิตไม่วอกแวกวิธีหนึ่ง

เรียกได้ว่าเป็นการผูกจิตไว้กับองค์ภาวนา ทำให้เกิดสมาธิได้เร็วขึ้น ในชั้นต้นจิตจะติดอยู่กับองค์ภาวนา(ถ้าทำได้)

ต่อไปองค์ภาวนากล่าวคือคาถาจะเลือนหายไปเอง(เมื่อจิตเป็นสมาธิ) ดังเช่นการกำหนดให้สติจดจ่ออยู่กับลมหายใจ

ที่เป็นวิธีเจริญอานาปานาสติ ถ้ามุ่งจะให้สติจดจ่ออยู่กับลมหายใจตลอดเวลา จะไม่สามารถก้าวเข้าสู่สมาธิขั้นแรก(ปฐมฌาณ)ได้

คงได้แต่เพียงอุปจารสมาธิ(สมาธิที่เฉียดฌาณ) ขออนุโมทนากับท่านผู้ปฏิบัติด้วยขอรับ

60
บทความ บทกวี / ตอบ: เย ธมฺมา
« เมื่อ: 27 ธ.ค. 2551, 06:51:30 »
"เย ธัมมา เหตุปปะภะวา เตสัง เหตุง ตะถาคะโต เตสัญจะ โย นิโรโธจะ เอวัง วาที มะหาสะมะโณ"

เย ธัมมา เหตุปปะภะวา คาถาบาทที่หนึ่ง มีความว่า ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ ก็หมายถึง ทุกข์ ซึ่งป็น ผล อันเกิดจาก เหตุ ดังกล่าว

เตสัง เหตุง ตะถาคะโต คาถาบาทที่สอง มีความว่า พระตถาคตตรัสเหตุของธรรมเหล่านั้น นี่ก็คือเรื่อง สมุทัย ซึ่ง เหตุ เป็นอริยสัจข้อที่สอง

เตสัญจะ โย นิโรโธจะ คาถาบาทสาม มีความว่า และความดับของธรรมเหล่านั้น ก็คือพระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมเรื่อง นิโรธ และ มรรค ซึ่งเป็นข้อปฏิบัติอันเป็น ผล นำไปสู่ให้ถึงความดับทุกข์ในที่สุด

เอวัง วาที มะหาสะมะโณ  ส่วนคาถาบาทสุดท้าย ความว่า พระมหาสมณะมีวาทะไว้อย่างนี้ ก็คือ พระพุทธองค์ได้ ตรัสสั่งสอนไว้เช่นนี้

ส่วนนี้ช่วยเพิ่มเติมขอรับ กล่าวคือ ธรรมทั้งหลายเหล่าใดเกิดแต่เหตุ(คือมีเหตุให้เกิด) พระตถาคตเจ้าตรัสเหตุเกิดและความดับของธรรมนั้น นี้แหละ

เป็นพระดำรัสโดยปกติของมหาสมณะเจ้า

61
เปลี่ยนจากคำถามที่ว่า"เกิดมาทำไม"เป็น "เกิดมาเพราะอะไร" ดูจะตอบง่ายกว่า

ทั้งนี้ตามที่พระพุทธองค์สอนไว้ว่าคนเราเกิดมาเพราะกรรมอันเกิดจากอวิชชาเป็นต้นเหตุ

เหมือนที่พระเตมีย์ระลึกได้ตอนเห็นพ่อสั่งลงโทษว่า สมัยนึงตนเองได้เกิดเป็นพระราชาเมืองนี้

แล้วสั่งลงโทษคนผิดแบบนี้ ทั้งๆที่ตัดสินถูกต้องยังได้ไปเกิดในนรกเพราะกรรมนั้น

พระพุทธเจ้าเกิดมาตรัสรู้ก้อเพราะกรรม(ดี)ที่เคยทรงบำเพ็ญไว้

ทรงอาพาธด้วยโรคลงพระหิตก่อนจะเสด็จปรินิพพาน ก้อด้วยกรรม

คนเราวันนี้ขโมยของ พรุ่งนี้ก้ออาจติดคุก วันนี้ฝากเงินในธนาคาร ปีหน้าก้อได้ดอกเบี้ย วันนี้ขยันตั้งใจเรียน วันหน้าก้อมีหน้าที่การงาน

ชาติที่แล้วฆ่าสัตว์ ชาตินี้ก้ออายุสั้น ชาติที่แล้วรักษาศิลมีเมตตา ชาตินี้ก้อได้เกิดเป็นคนมีรูปร่างหน้าตาดี :054:

62
ไม่มีการโกหกใดที่เป็นประโยชน์โดยแท้จริงขอรับ

กล่าวคือผลสุดท้ายของการโกหกล้วนเป็นโทษ

ดุจต้นไม้มีผลที่เป็นพิษ

63
ความจิงมีมากกว่านี้ขอรับ ก่อนจะเป็นเกจิอาจารย์ ยังมีอปราจารย์ อิตราจาย์ หมายถึงอาจารย์พวกอื่น อาจารย์นอกนี้(ตามนัยบาลี)

ส่วนอรรถกถาจารย์ หมายถึงผู้ที่อธิบายพระไตรปิฎก พระฎีกาจารย์หมายถึงผู้อธิบายอรรถกถา(ที่พระอรรถกาจารย์แต่ง)

พระอนุฎีกาจารย์ หมายถึงผู้อธบายฎีกา(ที่พระฎีกาจารย์แต่ง) ซึ่งพระอนุฎีกาจารย์ถือเป็นชั้นหรือลำดับสุดท้ายที่พอจะเชื่อถือได้

ในการอธิบายพระพุทธพจน์หรือพระไตรปิฎก

ส่วนคำว่าเกจิ ตามนัยบาลีภาษาหมายถึงอาจารย์บางพวก ไม่เพียงแค่หมายถึงอาจารย์ที่อธิบายอรรถเท่านั้น

เมื่อใช้ต่างเหตุการณ์ ความหมายก้อเปลี่ยนไป ดังนั้นการนำคำว่าเกจิอาจารย์มาให้จึงไม่ใช่เรื่องผิด

เพราะคำว่า"เกจิ"เมื่อใช้แทนคน หมายถึง บางคน บางพวก ใช้แทนอาจารย์ หมายถึง อาจารย์บางท่าน อาจารย์บางพวก

ซึ่งอาจารย์อาจเก่งทางใดทางหนึ่งก้อได้

อีกประการหนึ่ง บาลีภาษาก้อคือภาษามคธ เพียงแต่ไม่ใช่ภาษามคธที่เคยใช้ทั่วไปในอดีต

กล่าวคือ บาลีแม้จะเป็นภาษามคธก้อจิง แต่บางคำมีความหมายเฉพาะตัว ไม่ใช่มีความหมายเหมือนภาษามคธโดยทั่วไป

เช่นคำว่านิพพาน บาลีหมายถึงความดับกิเลส ความสิ้นกิเลส แต่มคธหมายถึงความเย็น ความดับความร้อน(ไฟ)

ดังนั้น หากนำคำว่าเกจิที่เป็นมคธมาใช้ก้อสามารถทำได้ไม่ผิดความหมายขอรับ

อีกประการหนึ่ง คำว่าเกจิ ถ้าตามนัยแห่งบาลี มีระดับชั้นต่ำกว่าอปรา กล่าวคือเกจิอาจารย์มีความน่าเชื่อถือน้อยกว่าอปราจารย์ขอรับ

64
การอนุโมทนากับการทำบุญของคนอื่นบางทีก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะการอนุโมทนา หมายถึงความยินดีมีใจชื่นชมในการทำบุญของคนอื่น

นั่นแสดงว่า เรามีใจเป็นกุศล เพราะมีแต่ผู้ที่มีใจเป็นกุศลจึงชื่นชมการทำบุญของผู้อื่นได้ และเมื่อใจเราเป็นกุศลแล้ว บุญจึงเกิด :054:

ขออนุโมทนาขอรับ

65
แฮ่แฮ่ !! ผมเคยเห็นรวงผึ้งหรือรังผึ้งห้อยย้อยเป็นรังใหญ่มากๆ เลยไปตีหวังจะเอาน้ำผึ้งมากิน

ที่ไหนได้ โดนต่อยซะบวมไปทั้งหน้าทั้งหัว พอได้รังมาดู โอ้โห รูเยอะมากๆ รูที่ผึ้งอ่อนมันอยู่

ทำไมเป็นรูป5เหลี่ยม ผมเลยชักสงสัย ตกลงความคิดผึ้ง รวงรังมันห้อยย้อยลงมาจากกิ่งไม้

หรือว่ารวงรังมันเป็นแค่ 5 เหลี่ยมกันแน่  วันรุ่นสงสัยจัง :065:

66
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / ตอบ: MERRY CHRISTMAS
« เมื่อ: 27 ธ.ค. 2551, 04:58:05 »
ทามมายม่ายมีสุขสันต์วันวิสาขะ สุขสันต์วันมาฆะ สุขสันต์วันอาสาฬหะ วัยรุ่นม่ายเข้าจัย  :065:

67
แสดงว่าทางสายกลางที่เป็นมัชฌิมาปฏิปทา หมายถึงทางเพื่อนำไปสู่ความดับทุกข์เท่านั้นสิคับ

ส่วนทางสายกลางที่คนอื่นบอกผม เป็นแค่กลางๆแบบภาษาไทย แต่ถ้ามัชฌิมปฏิปทา มีจุดหมายที่แน่นอน

กล่าวคือมุ่งสู่ความดับทุกข์หรือพระนิพพานเท่านั้น

ขอบคุณขอรับคุณชาญที่ให้ความกระจ่าง วัยรุ่นหายงง  :054:

68
ไม่ตึงจนเกินไป ไม่หย่อนจนเกินไป = มัชฌิมาปฏิปทา
แล้วยังไงอ่าคับ ที่เรียกว่าไม่ตึงเกินไปไม่หย่อนเกินไป วัยรุ่น งง! :065:

69
คือ ผมอยากรู้อ่า!! ว่าทางสายกลางที่เค้าว่าเนี๊ยะ กะมัชฌิมาปฏิปทา ใช่อันเดียวกันป่าว

หรือว่าเหมือนกานป่าว   :065:

70
ผมเคยได้ฟังมาว่าสมัยที่พระพุทธเจ้าปรินิพพาน พระองค์มอบให้พระธรรมวินัยเป็นศาสดาแทนพระองค์

ดังนั้นในปัจจุบัน รูปปั้นของพระพุทธเจ้าจึงไม่มีความหมาย ไม่ควรกราบไหว้ ใช่หรือป่าวคับ

71
ตอนสมันผมเรียน ผมอ่านหนังสือหนักมาก เพราะตอน ม.ต้น เรียนสายศิลป์ พอ ม.ปลายได้เลื่อนมาเรียนสายวิทย์ฯ

ก้อมีคนบอกว่าอย่าไปครียดมาก ให้เดินสายกลาง พอมาทำงาน ผมก้อเหมือนบ้างาน(มั้ง) มีคนบอกอีกว่า พักๆมั่ง

ให้เดินสายกลางอีก  ส่าวนตัวผมชอบเล่นแบทมินตัน ผมก้อเล่นแบบจิงๆจังๆ คือมีเวลา ก้อเล่นมันทั้งวันจิงๆ

เพื่อนก้อบอกอย่าเล่นมาก ให้ผมเดินสายกลางอีก ตกลง "ทางสายกลาง" มันหมายถึงอะไรกันนิ

ใช่ทางเดียวกันกะ "มัชฌิมาปฏิปทา" หรือป่าวนะ

72
สมมุติอีกที  สมมุติว่าที่โรงเรียนผมมีอาจารย์ท่านหนึ่ง ท่านเป็นคนดีมากๆ ต่อมาท่านจากเราไป เราจึงร่วมกันสร้างรูปเคารพของท่านไว้

เพื่อเคารพบูชาและระลึกถึงท่าน  เมื่อกาลเวลาผ่านไป เรื่องราวของท่านกลับกลายเป็นตำนาน เป็นเรื่องเล่ากล่าวขานถึงคุณงามความดีของท่าน

ครูอาจารย์ทุกท่านต่างเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับคุณงามความดีของอาจารย์ท่านนี้ให้นักเรียนใหม่ๆได้ฟัง

นักเรียนต่างเข้าใจและระลึกถึงคุณความดีต่างๆที่ท่านเคยทำมา เมื่อเดินผ่านจึงแสดงความเคารพรูปบูชาของท่าน

ทีนี้ ถ้าจะถามแบบกำปั้นทุบดินว่า แท้ที่จริง เขาเหล่านั้นทำการเคารพรูปบูชาเพื่ออะไร และแท้ที่จริงแล้ว

ที่กราบไหว้กันอยู่เป็นแค่รูปปั้นเช่นนั้นหรือ ก็ดูจะเป็นการดูถูกผู้หลงเข้ามาอ่านจนเกินไป

แต่ทั้งนี้ ไม่ได้หมายความว่าคนที่ไม่แสดงความเคารพจะหมายถึงในใจไม่เคารพก็หาไม่

แต่ถ้าไม่แสดงความเคารพแล้วแสดงอาการดูถูกคนที่ทำ ด้วคำพูดที่ว่า "จะไปกราบไหว้ทำไมกะปูนปั้น

หรือทองเหลืองที่เอามาหล่อเป็นรูปปั้น"  เช่นนี้จะควรหรือหนอ

การที่เราแสดงความเคารพต่อเครือ่งหมายที่เป็นตัวแทนของคุณงามความดีมันผิดหรือหนอ :068:

73
คือ สมมุติอ่ะคับ พ่อ-แม่เราตายไป บางคนเก็บของใช้บางอย่างของท่านไว้บูชา บางคนเก็บเถ้ากระดูกไว้บูชา

แม่ผมก้อเอาฟันของทวดมาคล้องคอ บ้างก้อเอารูปท่านมาบูชา ของเหล่านี้ ใช่คุณพ่อ-คุณแม่เราหรือเปล่า

ทำไมเรายังเอามาบูชา  หรือเพราะว่าเราเอาไว้ระลึกถึงคุณของท่าน บางทีของใช้ที่เป็นของครูบาอาจารย์

เราก้อเอามาบูชา  นั่นก้อไม่ใช่ตัวครูบาอาจารย์  แต่ผมคิดว่าเป็นการระลึกถึงคุณของท่าน

แล้วถ้าสมมุติว่า คุณพ่อ-คุณแม่ของเราสิ้นไป หรือครูบาอาจารย์ของเราสิ้นไป เราทำรูปปั้นท่านเหล่านั้นไว้

เพื่อเคารพสักการะ จะควรหรือเปล่าหนอ 

74
ขออีกนิ๊สสส์ คนเราต่างเผ่าต่างพันธุ์กันอ่ะได้ขอรับ แต่...ต่างสปีชีส์?  :068:

คุณก้อเนอะ ทำเปงสปีชีส์เดียวกันแต่คนละไฟลัมไปได้เนาะ :069:

75
ขอเน้นอักนิดนะครับ คือเน้นที่คนที่บอกว่านับถือศาสนาพุทธแต่ไม่กราบไหว้พระพุทธรูป/ทุบ ทำลายพระพุทธรูป

ส่วนประเด็นพระพรหมที่ว่าถูกควักเนตรเพราะมีคนคิดการใหญ่ ตอนนี้กรมศิลป์ไปตรวจสอบแล้วครับ

และยืนยันว่าเป็นแบบนั้นมาแต่แรก ไม่ได้ถูกควักเนตรแต่ประการใด  ผมว่าพระพรหมที่เคยถูกคนบ้าไปทุบ

ยังน่าคิดมากกว่าขอรับ 

และแล้วผมก้อออกนอกประเด็นซะเอง แฮ่แฮ่!!  เรื่องพระพรหมถือซะว่าเป็นการอัพเดตข่าวแล้วกันนะขอรับ

76
คุณคิดยังไงกับคนที่ไม่กราบไหว้พระพุทธรูป ทุบ/ทำลายพระพุทธรูป

แลกเปลี่ยนความคิดเห็นนะครับ ไม่ขอถกเถียงจนเกิดความรุนแรง

ปัญญาชนถกด้วยเหตุผล ไม่ใช้กำลังหรือเถียงข้างๆคูๆ

ยอมรับฟังทุกความคิดเห็นที่มีเหตุผลขอรับ

77
พี่น้องครับ แปลกนะทำไมบอร์ดของพันทิพย์ เขาแก้ไข ข้อมูลที่พิมพ์ได้ แต่เปิดหน้าต่างใหม่รัวๆ นั้นคือท่านติดไวรัสครับหรือbug ถ้าท่านเข้าhi5 แล้วปิดไว้ มันจะยิงหน้าต่างมา200 หน้าเพื่อให้คอมท่านล่มครับ

ให้กำลังใจท่านโจ และทีมงานทุกท่านครับ {ไม่เปิดธรรมมะอัตโนมัติ คงไม่มีใครได้ฟังเพราะลืมเปิดฟังครับ}
ขอบพระคุณทุกข้อเสนอครับพี่น้อง

เรื่องนี้น่าสนใจนะคับ ถ้าจะหยุดคิดสักนิดนึงนะครับ เราจะเห็นว่า

1.การสมัครบอร์ดพันทิพย์ คุณจะต้องใช้บัตรประชาชนของคุณ นั่นเท่ากับว่า ถ้าคุณพลาดขึ้นมา ทีมงานจะสามารถถามหาเจ้าของกระทู้ได้ทันที

2.สำหรับบอร์ดพันทิพย์ เมื่อคุณทำการโพสต์กระทู้ไปแล้ว ไม่ใช่ว่ากระทู้ที่คุณโพสต์จะขึ้นทันทีนะคับ แต่กระทู้นั้นจะถูกทีมงานตรวจสอบเสียก่อน จึงจะทำการโพสต์ได้

3.บอร์ดพันทิพย์ เมื่อคุณโพสต์กระทู้ขึ้นไปแล้ว เกิดความผิดพลาดสมมุตินะคับ กระทู้ของคุณทำให้เกิดเรื่องหรือพาดพิงบุคคลอื่นในทางที่ไม่ดี แล้วเกิดคดีทางกฏหมาย แม้ว่าคุณจะไปแก้กระทู้ได้แล้วเอาไปอ้างในภายหลังว่าไม่มีเรื่องดังกล่าว แต่คุณทราบไหมว่า ทางทีมงานได้เก็บกระทู้ที่เป็นต้นเหตุไว้ และพร้อมที่จะเอาขึ้นมาเป็นหลักฐานได้ทุกเวลา

4.บอร์ดพันทิพย์ เป็นบอร์ดที่มีผลทางธุรกิจ ส่วนบอร์ดของเราเป็นบอร์ดที่มีวัตถุประสงค์เพื่อ

   4.1.ให้เหล่าศิษยานุศิษย์ของวัดบางพระได้มาพบปะ แลกเปลี่ยนความรู้และข่าวสารซึ่งกันและกัน

   4.2.ให้ผู้ที่สนใจได้เข้ามาสอบถาม และหาข้อมูลเกี่ยวกับหลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ และความรู้เท่าที่พวกเราพอจะมีบ้างเล็กน้อย

5.สังคมของชาวบอร์ด ที่ทางทีมงานหวังไว้ตั้งแต่เริ่มจัดตั้งบอร์ด เป็นสังคมของพี่น้องและการแบ่งปัน มิใช่สังคมแห่งการแสวงหาผลประโยชน์

   และสุดท้าย ท่านใดที่ปรารถนาจะให้บอร์ดเราเหมือนบอร์ดพันทิพย์ หรือบอร์ดอื่นใด ขอให้ท่านใช้หมายเลขบัตรประชาชนจริงของท่านสมัครสมาชิก จะจัดเสนอให้ทางทีมงานบริการท่านเป็นพิเศษครับ

   ปล. ในการนำกระทู้เก่าขนาดตั้งแต่ปี 48' มาตอบ ควรที่จะมีการบอกให้ทราบกันก่อนว่า เป็นกระทู้เก่า และบอกเหตุผลว่าทำไมจึงจำเป็นต้องนำขึ้นมาตอบ เพราะการนำกระทู้เก่าขนาดนั้นขุดมาตอบ แสดงว่าเหตุผลของท่านผู้ขุดคงต้องสำคัญมากทีเดียว ถ้าไม่เช่นนั้น

คงต้องบอกว่าท่านมีเจตนาอื่นแอบแฝงอยู่เป็นแน่ ส่วนนี้ฝากถึงคนที่ทำนะครับ

  ช่วยๆกันดูแล เพื่อพระพุทธศาสนาของพวกเรา

78
1. เวปบอร์ดนี้มีให้แสดงตัวอย่างก่อนที่จะตั้งกระทู้อยู่แล้วครับ ซึ่งเป็นระบบของเวปบอร์ดมาตราฐานทั่วไป

การที่จะสามรถเข้าไปแก้ใขในกระทู้ที่โสต์ไว้แล้วนั้น ในปัจจุบันเวปมาสเตอร์ส่วนมากได้นำเอาระบบนี้ออกไปจาก

เวปบอร์ดของตนหมดแล้วแล้ว ถ้าคุณคิดว่ามีบอร์ดนี้บอร์ดเดียว ในฐานนะที่คุณเป็นคนทำเวปบอร์ดคนหนึ่ง

คุณกล้าใช้ศักดิ์ศรีมารับประกันคำพูดของคุณหรือเปล่าครับ ลายเซ็นที่คุณทิ้งไว้ + อี-เมล ทำให้สืบสาว

ไปได้อีกไกลนะครับ

2. เวปบอร์ดของวัดบางพระ ชื่อก็บอกแล้วว่าเป็นของวัด จึงสมควรอย่างยิ่งที่จะมีการเผยแผ่พระธรรม

และที่สำคัญคือเป็น windows media ซึ่งสามารถที่จะปิดเสียงได้ อาจต้องฝืนใจฟังหน่อย

ถ้าเปิดบ่อย แต่เนื่องจากลูกศิษย์หลวงพ่อเปิ่น เป็นผู้ที่ปฏิบัติตามคำหลวงพ่อ เมื่อหลวงพ่อเป็นพระภิกษุ

แม้ท่านจะทำการสักยันต์ แต่ท่านยังเป็นผู้สอนธรรม ดังนั้น ศิษย์ท่านจึงไม่รังเกียจการฟังธรรมครับ

นอกจากไม่รังเกียจแล้ว ถ้าเป็นศิษย์หลวงพ่อจริงหรือเป็นผู้นับถือศาสนาพุทธ ยังจะเป็นผู้ยินดีในการฟังธรรมนะครับ

79
สุญญตาธรรม

เปรียบจิตคน เหมือนลิง กลิ้งไปมา
หัดปิดหู ปิดตา ปิดปากบ้าง
ไม่ยินดี ยินร้าย สิ่งต่างต่าง
ปล่อยจิตวาง ว่างไว้ ไร้ตัวกู

เมื่อจิตว่าง วางได้ ไร้ตัวตน
ไม่ต้องมัว สะละวน ปิดตาหู
มีสิ่งใด ให้เห็น ให้ตาดู
สักแต่รู้ จิตไม่ยึด ไม่เกาะตาม

อันความทุกข์ มีได้ เพราะใจยึด
ดิ้นไม่หลุด ติดพัน เพราะใจหาญ
กล้าไปแต่ง เป็นตัวกู ของกูตาม
มีแต่พาล ให้เกลือกกลั้ว ในชั่วดี

อันจิตว่าง ใจว่าง ตามแต่เดิม
ไม่ต้องเสริม ไม่ต้องตัด ให้บัดสี
ปล่อยจิตใจ เป็นธรรม- ชาติดี
ทุกอย่างมี ล้วนไม่หลุด ไม่ติดใคร

อันความว่าง ว่างอยู่แล้ว ตามธรรชาติ
ไม่ต้องอาจ ไปเสริมแต่ง ให้ว่างใหม่
ธรรมชาติ ล้วนสมบูรณ์ อยู่ภายใน
หัดเข้าใจ เช่นนั้นเอง ในตัวเรา

หัดฝึกจิต ให้แยบคาย เมื่อผัสสะ
ใช้ตบะ ใช้ปัญญา อย่าได้เขลา
เมื่อกระทบ อย่ากระเทือน เป็นตัวเรา

ปล่อยให้เขา เป็นธรรม ของเขาเอย

อันความรู้ ในธรรมขั้น สุญญตา
อย่าเพ่งหา ในที่ใด สหายเอ๋ย
ตถตา แจ้งอยู้แล้ว ตามที่เคย
ฝึกให้เคย ทุกสิ่งว่าง แล้วในตัว

โดย นพ.ดิลก พูนสวัสดิ์

80
รับชมผ่านบอร์ดเราเลยดีกว่า (ขอบคุณท่าน เอ็ม)


แท้จริงเรารักกัน  03; 04; 08;

[youtube=425,350]UYwYydjyHAI&feature=related[/youtube]

81
ขอบเสนอความคิดเห็นนะคับ

1.อิทธฤทธิ์มีจริงมีเกือบทุกศาสนาและลัทธิที่มีการฝึกสมาธิ ทั้งนี้ฌานหรือสมาธิที่เป็นเพียงสมถะนั้นพระพุทธเจ้าเองก็ได้ทรงงศึกษามาตั้งแต่ก่อนจะตรัสรู้

2.เนื่องจากการสักยันต์ใช้อักขระขอมเป็นหลัก ทำให้น่าคิดว่าว่าทำไม ทั้งนี้จะเห็นว่าการสักยันต์มีการทำกันมาตั้งแต่ก่อนศาสสนาพุทธจะเผยแผ่เข้ามาด้วยซ้ำ เพียงแต่ในปัจจุบัน ใช้อักขระขอมที่เกี่ยวเนื่องกับภาษามคธกล่าวคือใช้อักขระขอม แต่คำมักเป็นพระคาถานั่นเอง

3.ของเก่ามีสูญหายไปมากทั้งนี้เพราะอาจารย์หลายท่านมักไม่ถ่ายทอดอวิชา หรือไม่มีผู้สืบทอด ดังนั้นบางวิชาจึงเกิดการสูญหาย

4.ผู้รู้มักมีใจกว้าง และแสวงความรู้อยู่เสมอ ไม่ปิดกั้นตัวเองอยู่กับความรู้เท่าที่มี โดยเฉพาะความรู้ที่สูญหาย ใกล้สูญหาย ที่ควรอนุรักษณ์และความรู้ใหม่ๆ

5.ผู้มีความรู้ย่อมมีการถกเหตุผลกัน แต่ไม่โตเถียงอันก่อให้เกิดความขัดแย้ง

82
การที่ พระมหา​โมคคัลลานเถระ ยอมให้พวกโจรทุบจนกระดูกแหลกเหลว เพื่อชดใช้กรรมที่เคยทำไว้ในอดีตชาตินั้น ทำให้พระมหา​โมคคัลลานเถระ หมดกรรมจริง
แต่พวกโจรที่มาทำร้าย ผมว่ากลับมีกรรมเพิ่มขึ้น เพราะว่าได้ทำร้ายพระอรหันต์ คงจะต้องตก นรก หมกไหม้ไปอีกนาน แล้วการที่พระมหา​โมคคัลลานเถระ ทำอย่างนี้
จะหมกกรรมจริงหรือ เปล่า แม้ว่าท่านจะได้บรรลุพระอรหันต์ไปแล้ว ย่อมมีจิตใสสะอาด และอโหสิกรรมให้พวกโจรก็ตาม  กรณีเปรียบเทียบ ว่าพระเทวทัต ได้พลัก
ก้อนหิน ลงมาเพื่อปลงพระชนน์พระพุทธเจ้า กับอีกหลายกรณี ผลสุดท้าย พระเทวทัต ต้องถูกธรณีสูบ  ตกนรก นานแสนนาน ทั้งนี้ พระพุทธเจ้าคงไม่เจ็บแค้นผูกใจ
เจ็บ จองเวร จองกรรม เป็นแน่ และคงจะอโหสิกรรม ให้ด้วยซ้ำไป
กรณีพระมหา​โมคคัลลานเถระ ถ้าไม่ให้โจรทุบจนมรณะภาพ จะดีกว่าไหม หรือ ว่าอย่างไร ช่วยตอบที

1.การที่พระโมคคัลานะปล่อยให้พวกโจรทำอย่างนั้นไม่ใช่เพราะเพื่อชดใช้กรรมเก่า แต่เพราะท่านตรวจสอบด้วยญานแล้วว่ากรรมนี้ท่านหนีไม่พ้น

2.เพราะคนเปรียบเสมือนบัว 4 เหล่า ซึ่งเหล่าที่จมอยู่ในโคลนตรมต่อให้พระพุทธเจ้า 1000 พระองค์ก้อไม่สามารถจะสอนได้ ดังนั้น ท่านจึงต้องปล่อยให้เป็นไปตามกรรม
เพราะหากสอนได้ ท่านก็คงแสดงเทศนาสอนโจรเหล่านั้นให้รู้จักดีชั่ว เหมือนกับที่พระพุทธเจ้าทรงสอนเหล่ามือธนูที่พระเจ้าอชาติศัตรูส่งมาปลงพระชนม์จนมือธนูเหล่านั้นได้บรรลุธรรม

3.ขึ้นชื่อว่ากรรมไม่มีใครหนีพ้นแม้แต่พระพุทธเจ้าเอง ถ้าจะเปรียบไป นายจุนทำที่ถวายสุกรมังสะแก่พระพุทธองค์ เป็นผลทำให้พระพุทธองค์เสวยแล้วเกิดลงพระโลหิตนั้น
จะว่าไปก็น่าจะมีโทษ แต่เพราะกรรมที่ทำให้พระพุทธองค์ต้องเป็นเช่นนั้น ดังนั้นพระโมคคัลลานะไม่ได้ตั้งใจยอมให้โจรทุบตีจนถึงตาย แต่ท่านพิจารณาแล้วว่าท่านเองก็หนีกรรมไม่พ้นเช่นกัตน
   
               หากจะพูดไป  เราจะเห็นว่าแม้พระพุทธเจ้าเองก็ดี พระโมคคัลลานะก็ดี ต่างก็เคยทำกรรมชั่วมาก่อน เพราะอวิชชานั่นเอง โจรเหล่านี้ก็เช่นกัน แต่จะเห็นว่าในอนาคต
ไม่ใช่ว่าโจรเหล่านี้จะไม่สามารถบรรลุธรรมได้ในชาติต่อๆไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเหตุ ปัจจัยที่พวกเขาจะกระทำต่อไปในสัมปรายภพ

83
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / ตอบ: ศิลป
« เมื่อ: 07 ต.ค. 2550, 11:01:27 »
ขอซักกะหน่อย

คือผมว่าทุกสังคมมีคนเลวปนอยู่เสมอนะ ในสังคมพระเองก็เช่นกัน แต่คุณคิดว่าไง คิดว่าพระเพิ่งจะเป็นแบบนี้ในยุคนี้เหรอ

แล้วก็พระพุทธศาสนาไม่ได้เสื่อม ผมก็ว่าใช่ แต่ คุณคิดว่าพระทำให้เสื่อมนี่ เพิ่งจะมาเป็นในยุคนี้เหรอ

คำถามแรก หากคุณศึกษาดูดีๆจะพบว่าพระแบบนี้มีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลแล้ว(ครั้งที่พระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่) ทั้งนี้วัดได้จากการที่ทรงบัญญัติพระวินัย เพราะพระพุทธองค์

จะทรงบัญญัติพระวินัยต่อเมื่อมีภิกษุกระทำผิด คุณคิดดูตั้ง 227 ข้อไม่นับที่มานอกพระปาติโมกข์อีกไม่รู้เท่าไหร่ คุณคิดว่าไง นี่ยังไม่หมด เพราะการทำสังคายนาในช่วงแรก

ก็ทำขึ้นเพราะพระเลวๆอย่างที่คุณว่าจริงๆ แต่ คุณคิดว่าไง เพราะผมเกิดมีคำถามอีกว่าเมื่อเป็นแบบนั้น ทำไมพระพุทธศาสนาถึงอยู่มาได้ถึง 2550 คุณคิดว่าไง

ผมจะตอบว่า พระเลวๆมีอยู่ทุกยุคทุกสมัยแต่ทำไมสมัยนี้ถึงได้ดูว่าเลวมาก เพราะข่าวไง เพราะทุกคนได้รู้ไง ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่รู้กันไม่กี่คน และเมื่อรู้เราก็กำจัดออกไป

แล้วคุณคิดว่าไง  คิดว่าสมัยนี้เมื่อเรารู้เราปล่อยไว้เหรอ แน่นอนรูปนั้นสื่อถึงการที่พระมีความโลภ ซึ่งความโลภดูเหมือนจะเป็นสิ่งชอบธรรมในสังคมเสียด้วย แต่คุณคิดว่าไง

ถ้าผมจะถามคุณว่า ใครทำให้เป็นแบบนี้เหรอ เอาง่ายๆเรื่องจตุคามรามเทพ เริ่มต้นจากพระเหรอ แล้วในขณะที่จตุคามดัง คุณคิดว่าพระทั้งหมด ทำเพื่อตัวเองเหรอ

จะไม่มีเลยเหรอที่ทำเพื่อ 1.สร้างโรงเรียน โรงพยาบาล(อย่างหลวงพ่อเปิ่น หรือหลวงพ่อคูณ)ทั้งๆที่หลวงพ่อนั่งอยู่กะวัดยังมีคนไปขอเงินถึงที่ แบบนี้คุณคิดว่าไง

2.ทำเพราะถูกหลอก คุณรู้มั๊ยมีกี่คนที่เข้าเอาเงินมาให้วัดแล้วขอทำ บรรดาหลวงพ่อเห็นว่าเขาตั้งใจบำรุงศาสนาก็อนุญาติ เสร็จแล้วก็ถูกเชิดเงินหนี ทั้งที่ชื่อวัดถูกเอาไปใช้แล้ว

3.ทำเพราะบรรดาลูกศิษย์ขอร้องให้ทำ คุณคิดว่าไง ผมคิดว่าคำถามข้อแรกผมน่าจะตอบได้ชัดพอสมควร แต่ปัญหาก็คือคุณอ่านข่าวดูทีวีแต่ด้านที่คุณได้เห็นเพราะเขา

ไม่นำเสนอด้านที่ผมบอกคุณ ทำไมเหรอ เพราะคนไม่ชอบอ่าน ไม่ชอบดูเขาขายไม่ได้ คุณคิดว่าไง

กับคำถามที่สอง จากคำตอบในข้อแรก คุณน่าจะเดาได้แล้วนะว่าเมื่อมีพระเลวมาทุกยุคทุกสมัย หากศาสนาจะเสื่อม แล้วจะอยู่ได้ถึง 2550 ปีเหรอ คุณคิดว่าไง

ส่วนผมคิดว่าสังคม เป็นผู้มีส่วนมากที่สุดที่ทำให้ศาสนาเสื่อม เพราะอะไรเหรอ เพราะว่า คุณ ผม เขา เธอ และท่านทั้งหลาย หากยิ่งเล่า ยิ่งกระจาย ยิ่งบอกต่อ

แทนที่จะช่วยแก้ไข เมื่อคนอื่นรู้สิ่งที่เล่า ที่กระจาย ที่บอกไป คุณว่าเขาจะคิดว่าไง คิดว่าพระเลว แล้วคำว่าพระเลวก็จะยิ่งถูกตอกย้ำทำให้ดูเหมือนว่ามันหนักหนาสาหัสยิ่งนัก

และดูเหมือนว่ามันเพิ่งจะมีในยุคนี้ทั้งๆที่ไม่ใช่เป็นเช่นนั้นเลย  ที่เหลือคุณลองคิดเอง ผมว่าคุณคิดได้ หรือคุณคิดว่าไง

84
บทความ บทกวี / ++วันวาน++
« เมื่อ: 17 ก.ย. 2549, 07:14:37 »
              หมอกบางแหละลมหนาวใบไม้พราวล่วงสู่ดิน

              เพลงรักยังยลยินหวานถวิลอยู่แสนนาน

              ที่นี่  มีนิยายที่เลือนหายไปกับกาล

              ใครจะรู้ว่าวันวานนิยายหวานเคยมีมา

              ที่นี่เคยมีรักแสนหวานนักยากจะหา

              แต่เมื่อมีกาลเวลารักที่ว่า"ก็ถูกลืม"


85
บทความ บทกวี / เป็นฉัน
« เมื่อ: 17 ก.ย. 2549, 07:03:33 »

ฉันทำ   ฉันดู   ฉันรู้    ฉันคิด

ฉันทำ   ถูกผิด   ฉันคิด   ฉันรู้

คุณมอง   คุณดู    ฉันไม่รู้   คุณคิด

คุณไม่ชอบ   คุณไม่ผิด   คุณคิด   ฉันไม่รู้

ถ้าคุณ   ดูไม่ได้   ฝืนใจ   ก็อย่าดู

ทำอะไร   เรื่องของกู   ไม่อยากดู   มึงก็ไป




86
บทความ บทกวี / คนกับควาย
« เมื่อ: 17 ก.ย. 2549, 06:57:51 »
ควาย...ทำตามคำสั่ง

คน....ทำตามความคิค

ควาย.....ไม่รู้ถูกผิด

แต่......คนคิดเป็น





87
ขอนอบน้อมต่อครูบาอาจารย์ทุกรูปทุกท่าน

ผมได้อ่านกระทู้แรกรู้สึกว่าคุณเริ่มมีจิตสำนึกในทางที่ดีถึงได้เกิดความสงสัย คงเพราะรู้สึกผิด ซึ่งผมอยากบอกว่า..

1. ถ้าผู้หญิงคนนั้นเป็นลูกหลาน หรือพี่น้องคุณ คุณจะรู้สึกยังไง (โดยเฉพาะเป็นภรรยาคุณ)

2.ครูบาอาจารย์คุณจะภูมิใจในการกระทำของคุณมั๊ย คุณควรคิดได้ว่าคุณทำแบบนี้แล้วท่านจะยังอยู่ข้างคุณมั๊ย

3.คนกล้าที่แท้จริง คือคนที่สำนึกผิดแล้วกลับตัวได้ ถ้าคุณทำได้ผมว่า ครูบาอาจารย์ทุกรูปทุกท่านต้องให้อภัยและสรรเสริญคุณ

? สุดท้ายผมเชื่อว่าศิษย์หลวงพ่อเปิ่นทุกคน ล้วนเป็นคนดีและคนกล้า สร้างความภูมิใจให้หลวงพ่อและเหล่าศิษย์ของหลวงพ่อด้วยกันเอง

เพราะศิษย์อาจารย์เดียวกัน คงไม่ทำลายชื่อเสียงกันเองใช่มั๊ยครับ

หน้า: [1]