แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - เค็น

หน้า: [1]
1
จะมีใครจำผมได้มั้ยนะ (ถ้าเป็นคนเก่าแก่รุ่นแรกๆน่าจะรู้จักผมอยู่นะ)  :045:

ผม.. เค็น ศิษย์หลวงพี่พันธ์  <<< ชื่อ Log in 

ไม่ได้เข้ามาหลายปี บอร์ดเปลี่ยนไปเยอะ วันนี้มีโอกาสเลยเข้ามาเยี่ยมเยียน   :050:

*** ขอให้สมาชิกทุกท่าน.. จงมีแต่ความสุขกาย.. สุขใจ.. ร่ำรวยเงินทอง.. สมปราถนาทุกประการเทอญ.. ***


2
หลวงพ่อคูณ อาพาธ พบติดเชื้อในกระแสเลือด


          ข่าว ระบุ หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ เจ้าอาวาสวัดบ้านไร่ อาพาธ ถูกนำส่งโรงพยาบาล โดย หลวงพ่อคูณ มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ฉันภัตตาหารไม่ได้ และมีไข้ ลูกศิยษ์จึงนำ หลวงพ่อคูณ โรงพยาบาล โดยในเบื้องต้นพบว่า หลวงพ่อคูณ ติดเชื้อในกระแสเลือด
นายสมบูรณ์ โสตถิอนันต์ กรรมการวัดบ้านไร่และเลขานุการของหลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ เจ้าอาวาสวัดบ้านไร่ ต.กุดพิมาน อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา เปิดเผยว่า เมื่อเวลา 06.00 น.วันที่ 26 พ.ย.50 หลังจากหลวงพ่อคูณ ได้ตื่นจากจำวัด และมีอาการซึม คลื่นไส้ อาเจียน ฉันภัตตาหารเช้าไม่ได้ ตนเองจึงได้แจ้งให้แพทย์ รพ.ด่านขุนทด เดินทางมาตรวจอาการของหลวงพ่อภายในกุฏิวัด ต่อมาในช่วงสายหลวงพ่อมีการอาการหนาวสั่น อาเจียนมากยิ่งขึ้นและมีไข้ แพทย์ โรงพยาบาลด่านขุนทด จึงได้ฉีดยาฆ่าเชื้อและรีบนำส่งไปรักษาอาการต่อที่ โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ทันที

          โดยรถจากโรงพยาบาลด่านขุนทด ได้มารับตัวหลวงพ่อคูณในเวลา 12.10 น. และเมื่อไปถึงโรงพยาบาลมหาราช หลวงพ่อคูณ มีสีหน้าที่อิดโรยและซึมอย่างเห็นได้ชัด จากนั้น นพ.พินิจจัย นาคะพันธ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจและหลอดเลือด และเป็นแพทย์ประจำตัวของหลวงพ่อคูณ ได้รีบนำตัวเข้าห้องเอ็กซเรย์ และตรวจอาการทางสมองเป็นการด่วน โดยในเบื้องต้นพบว่า หลวงพ่อคูณติดเชื้อในกระแสเลือด

          จากนั้นแพทย์ได้นำตัวหลวงพ่อคูณ ไปพักรักษาตัวที่ห้องผู้ป่วยพิเศษ 9821 ชั้น 8 ตึกเฉลิมพระเกียรติ โดยแพทย์ยังไม่มีกำหนดว่า จะให้รักษาตัวนานเท่าไร เนื่องจากต้องรอดูอาการของหลวงพ่อคูณอีกครั้ง พร้อมกับงดให้ญาติโยมเข้าเยี่ยมอย่างเด็ดขาด และจากการสอบถามลูกศิษย์ใกล้ชิดทราบว่า ในช่วงเทศกาลลอยกระทงที่ผ่านมาอากาศที่วัดบ้านไร่ หนาวเย็นกว่าปกติ อีกทั้งมีญาติโยมเดินทางมานมัสการหลวงพ่อคูณเป็นจำนวนมาก ซึ่งอาจจะเป็นสาเหตุทำให้หลวงพ่อคูณ เหนื่อยและมีอาการติดเชื้อดังกล่าวก็เป็นได้


 :054: :054:


3
สิ้น"ครูบาผัด" เกจิดังล้านนา พระผู้ปลุกเสกตะกรุดมหากาสะท้อนกลับ และตะกรุดหัวใจพุทธคุณ 108 อันโด่งดังแห่งวัดศรีดอนมูล สารภี เชียงใหม่ มรณภาพหลังอาพาธด้วยอาการหลายโรคสิริอายุ 82 ปี 65 พรรษา

เมื่อเวลา 16.37 น. วันที่ 18 พ.ย. พระครูพิศิษฏ์สังฆการ หรือครูบาผัด เจ้าอาวาสวัดศรีดอนมูล และที่ปรึกษาเจ้าคณะอำเภอสารภี จ.เชียงใหม่ ได้มรณภาพอย่างสงบในวิหารวัดศรีดอนมูล ต.ชมภู อ.สารภี สิริอายุ 82 ปี ท่ามกลางความเศร้าสลดของพุทธศาสนิกชนและลูกศิษย์ที่ทราบข่าว ต่างหลั่งไหลไปกราบเคารพศพจนเนืองแน่นวัด

นายภัทร กองคำ คณะกรรมการวัดศรีดอนมูล เปิดเผยว่า

ครูบาผัดเข้ารักษาอาการอาพาธที่ร.พ.เทพปัญญา อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ตั้งแต่วันที่ 19 ต.ค.ที่ผ่านมา ด้วยอาการโรคหัวใจ, ความดันโลหิต, ต่อมลูกหมาก และโรคไต โดยอาการทรงและทรุดมาตลอด กระทั่งวันนี้แพทย์ระบุว่าอาการหนักมากแล้ว ทางคณะกรรมการและลูกศิษย์ใกล้ชิดของครูบาผัดจึงตัดสินใจนำท่านกลับมายังวัด ก่อนจะมรณภาพอย่างสงบภายในวิหารเมื่อเวลา 16.37 น.ด้านพระครูสิริศีลสังวร หรือครูบาน้อย รองเจ้าอาวาสวัดศรีดอนมูล เปิดเผยว่า เป็นลูกศิษย์ครูบาผัดตั้งแต่อายุ 7 ขวบ ครูบาผัดถ่ายทอดวิชาต่างๆ ให้มากมาย โดยเฉพาะการปลุกเสกตะกรุดมหากาสะท้อนกลับ และตะกรุดหัวใจพุทธคุณ 108 ซึ่งครูบาผัดสืบทอดมาจากครูบาสม แห่งวัดป่าแดด อ.สารภี จ.เชียงใหม่

ครูบาน้อย เปิดเผยอีกว่า ครูบาผัดอาพาธมาแล้วหลายครั้ง

กระทั่งอาตมาในฐานะลูกศิษย์ตัดสินใจเข้าพิธีนิโรธกรรมเพื่อทำพิธีให้ครูบาผัดหายจากโรคร้ายโดยไม่ฉันอาหาร 7 วัน และนั่งสมาธิอยู่ในจุดที่กำหนดไว้ ฉันแต่น้ำ โดยทำทุกเดือนก.พ.ทุกปี ทำมาได้ 14 ครั้งแล้วซึ่งก็ได้ผล ครูบาผัดหายจากอาการอาพาธ อาตมากำหนดจะเข้าพิธีอีกครั้งวันที่ 14 ก.พ.51 แต่ครูบาผัดอาพาธหนักอีกครั้งกระทั่งมรณภาพในที่สุด สิริอายุ 82 ปี 65 พรรษา "ครูบาผัดถือเป็นพระเกจิอันดับ 1 ใน 9 ของพระเกจิแห่งล้านนา" ครูบาน้อยกล่าว

สำหรับกำหนดพิธีศพของครูบาผัด วันที่ 19 พ.ย. เวลาประมาณ 15.00 น.

อัญเชิญน้ำหลวงอาบศพ ณ วิหารของวัดศรีดอนมูล จากนั้นตั้งศพบำเพ็ญกุศลในวิหารเป็นเวลา 7 วัน โดยสวดพระอภิธรรมและเทศนาธรรมทุกคืน จากนั้นทำเรื่องขอพระราชทานเพลิงศพ

ประวัติพระครูพิศิษฏ์สังฆการ หรือครูบาผัด ผุสสิตธัมโม

? เดิมชื่อนายผัด เจริญเมือง เกิดเมื่อวันที่ 4 มิ.ย. 2468 ปีฉลู
? บิดาชื่อนายคำตั๋น เจริญเมือง มารดาชื่อนางจี๋ เจริญเมือง
? บ้านเดิมเลขที่ 5 ต.หนองผึ้ง อ.สารภี จ.เชียงใหม่
? บรรพชาเมื่อวันที่ 17 พ.ค.2483 ขณะอายุ 15 ปี ที่วัดป่าแคโยง ต.หนองผึ้ง อ.สารภี จ.เชียงใหม่ โดยมีพระอุปัชฌาย์คือ พระอธิการอินตา วัดสันกลาง ต.ดอนแก้ว อ.สารภี จ.เชียงใหม่
? อุปสมบทเมื่อวันที่ 21 พ.ค.2488 ที่วัดกองทราย ต.หนองผึ้ง อ.สารภี จ.เชียงใหม่ โดยพระอุปัชฌาย์คือพระอธิการมั้น นันโท วัดป่าเปอะ ต.ท่าวังตาล อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ได้รับฉายา ผุสสิตธัมโม

? สมณศักดิ์และตำแหน่ง ปี 2493
? เป็นเจ้าอาวาสวัดศรีดอนมูล ปี 2493
? เป็นรองเจ้าคณะอำเภอสารภี และเจ้าคณะอำเภอสารภี ขึ้นเป็นที่ปรึกษาเจ้าคณะอำเภอสารภี ปี 2516
? เป็นพระครูสัญญาบัตร ชั้นโท ที่พระครูพิศิษฏ์สังฆการ ปี 2532
? เป็นพระครูสัญญาบัตร ชั้นเอก ในราชทินนามเดิม
? มีผลงานที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณชนมากมาย และงานเผยแผ่ศาสนาอีกมากมายเช่นกัน และยังเป็นผู้สืบทอดวิชาทำตะกรุดมหากาสะท้อนกลับ และตะกรุดหัวใจพุทธคุณ 108 ตะกรุดมหาลาภ ที่โด่งดังมาจนถึงขณะนี้
 :054: :054: :054:

ที่มาจากหนังสือพิมพ์ข่าวสด


[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

4
 :054: :054: :054:
วันนี้ (12 ต.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 06.00 น. ศพหลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ ได้ถูกเคลื่อนลงมาจากโรงพยาบาลชลประทาน โดยบรรจุอยู่ในโรงเย็น จากนั้นเวลา 08.30 น.จึงได้เริ่มเคลื่อนขบวนไปยังวัดชลประทานรังสฤษฏ์ เพื่อตั้งบำเพ็ญกุศล ณ ศาลาขจรประศาสน์ โดยมีการปิดถนนติวานนท์ชั่วคราวตั้งแต่หน้าโรงพยาบาลชลประทาน ไปถึงวัดชลประทานรังสฤษฏ์ พร้อมมีรถนำขบวน มีนายสวัสดิ์ วัฒนายากร องคมนตรี อธิบดีกรมชลประทาน และนายเชิดวิทย์ ฤทธิประศาสน์ ผู้ว่าราชการ จ.นนทบุรี เดินนำขบวน นอกจากนี้ยังมีศิษยานุศิษย์ และประชาชนจำนวนมาก ร่วมในขบวนศพครั้งนี้ด้วย
ทั้งนี้ในเวลา 17.00 น. จะเป็นพิธีพระราชทานน้ำหลวงสรงศพ และเวลา 19.00 น.จะเป็นพิธีสวดอภิธรรม ทั้งนี้ทางวัดชลประทานรังสฤษฏ์ จะตั้งศพบำเพ็ญกุศลเป็นเวลา 100 วัน โดยอยู่ในพระราชานุเคราะห์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ อย่างไรก็ตามทางวัดขอให้ประชาชนงดส่งพวงหรีด แต่ขอให้ร่วมสบทบเงินเข้าตั้งเป็นกองทุน นำไปสืบสานปณิธานที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม ในการสร้างพระอุโบสถกลางน้ำ มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย


[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

5
ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศจากวัดบ้านไร่ ต.กุดพิมาน อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา มีความคึกคักขึ้นมากและหนาตาไปด้วยประชาชนนับพันคน เนื่องจากวันนี้ (4 ต.ค.) มีงานฉลองวันคล้ายวันเกิดครบรอบ 84 ปี ของพระเทพวิทยาคม หรือหลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ เกจิอาจารย์ชื่อดังแห่งวัดบ้านไร่

               โดยบรรดาศิษยานุศิษย์ทั้งชาวไทยและต่างประเทศต่างทยอยมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้จุดจอดรถไม่เพียงพอ แม้ก่อนหน้านี้ คณะกรรมการวัดฯ จัดสถานที่รองรับไว้อย่างกว้างขวาง บางรายนำเครื่องนอนมาปักหลักพักแรมบริเวณวัดบ้านไร่ เพื่อร่วมแสดงมุทิตาจิตหลวงพ่อคูณ ตั้งแต่เช้าตรู่ ด้วยการทำบุญตักบาตรพระสงฆ์ 1,084 รูป พร้อมแจกวัตถุมงคลรุ่นสุดท้ายที่หลวงพ่อคูณจัดสร้างขึ้น

               นอกจากนี้ ยังมีมหรสพฉลองตลอด 2 วัน 2 คืน ซึ่งเริ่มมีขึ้นตั้งแต่คืนวานนี้ (3 ต.ค.) มีการจัดการแข่งขันชกมวยชิงแชมป์โลกจำนวน 4 คู่ มวยไทย 7 คู่ ที่บริเวณสนามโรงเรียนวัดบ้านไร่ และเวทีกลางมีการแสดงของศิลปินชื่อดังทั้งดารา นักร้อง รวมถึงคณะตลกให้ประชาชนได้ชมฟรีตลอดทั้งคืนเช่นกัน ขณะที่ริมถนนสองฝั่งทางเข้าวัดบ้านไร่เต็มแน่นไปด้วยพ่อค้าแม่ค้ามาตั้งร้านขายของยาวกว่า 1 กิโลเมตร

               สำหรับกำหนดการในวันนี้ เริ่มเมื่อเวลา 06.00 น. หลวงพ่อคูณ จะทำบุญตักบาตร ด้วยเงินสดแด่พระภิกษุสงฆ์ จำนวน 1,084 รูป บริเวณรอบอุโบสถวัดบ้านไร่ จากนั้นเวลา 09.00 น. คณะศิษย์จะทำพิธีร่วมแสดงมุทิตาสักการะแด่หลวงพ่อคูณ โดยมีนายสุธีร์ มากบุญ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมาเป็นประธานพิธี

               จากนั้นหลวงพ่อคูณ จะมอบทุนการศึกษาให้แก่เด็กนักเรียนในเขตพื้นที่ อ.ด่านขุนทด อ.เทพารักษ์ และ ศิษยานุศิษย์จะร่วมกันจัดทอดผ้าป่าสามัคคีจำนวน 84,000 กองๆ ละ 999 บาท เพื่อหาเงินสมทบทุนสร้างพิพิธภัณฑ์หลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ พร้อมแจกจ่ายวัตถุมงคลรุ่นสุดท้ายที่หลวงพ่อคูณ จัดสร้างขึ้นด้วย


ข้อมูลและภาพประกอบจาก


[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

6
เรื่องกรรมนี่น่ากลัว




มีโยมผู้หญิงคนหนึ่งที่อาจารย์รู้จัก เขาเป็นทุกข์ เขาอยู่บ้านที่ต่างจังหวัด

สามีไปทำงานที่กรุงเทพฯ มีเมียน้อย เขาก็เป็นทุกข์เป็นธรรมดา

เขาทะเลาะกับสามี ว่าสามี วันหนึ่งก็พูดรุนแรงกับสามีว่า

"ฉันอยากจะตัดแขนของเมียน้อย" พูดตอนเช้า

พอตอนเย็นเกิดอุบัติเหตุรถคว่ำแขนตัวเองขาด

นี่ก็เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้น


อันนี้เราก็ต้องพยายามศึกษาจนเข้าใจว่า

เราต้องพยายามทำความดี ละความชั่ว

ตรวจตราว่า เรายังคิดชั่วไหม พูดชั่วไหม ทำชั่วไหม

พยายามละ เพราะทำชั่วได้ชั่วแน่นอน



ทีนี้เรา ก็ต้องพยายามหัด "คิดดี พูดดี ทำดี" กับเขา

หัดทำอะไรตรงกันข้ามกับความรู้สึก คือตัณหา ฝืนความรู้สึกให้ได้

เขาทำอะไรให้เราไม่ถูกใจ การแสดงออก

ทั้งทางกาย วาจา จิต ของตนเองตามนิสัยเก่าก็มี

แต่ถ้าเชื่อพระพุทธเจ้าเราก็ต้อง "ดัด" .?. จริต ฝืนทำดู

คือการทวนกระแส ทวนกิเลส ทวนตัณหา


หัดคิดดี พูดดี ทำดี ดูซิเป็นอย่างไร เปรียบเทียบดู

เราต้องมีจิตใจกล้าหาญที่จะทดลองอย่างนี้

อันนี้เราก็ต้องกล้าหาญ ต้องทดลอง

ถ้าเราไม่ทดลอง ปัจจุบันอยู่อย่างไร อนาคตก็จะอยู่อย่างนั้น


 
 
สนับสนุนข้อคิดนานาสาระโดย:
พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก
วัดป่าสุนันทวนาราม
 
 

7
สำหรับคนที่ไม่มีเวลาในการนั่งสมาธิ

...หรือบอกกับตัวเองว่าไม่มีเวลา แต่ถ้าฝึกจิตหรือสมาธิด้วยวิธีแบบนี้แล้วคุณยังบอกว่าไม่มีเวลานนั้นก็แสดงว่ าตะกอนของกิเลสตัณหาคงทับทมกันจนอยากที่จะถอดทอนได้ มิหนำซ้ำ ขี้โคลนเลนยังมาทับถมอีกชั้นหนึ่ง ก็แล้วแต่คุณจะเลือก มารอพิสูจน์กันตอนอายุมากๆก็แล้วกัน

สำหรับแม่บ้านหรือคนที่ทำงานในออฟฟิต
การฝึกสมาธิถือว่าฝึกได้ตลอด ไม่ว่ากวาดบ้าน ล้างห้องน้ำถ่ายเอกสาร นั่งทำงานอยู่ทีโต๊ะทำงาน ฟังวิทยุ ดูโทรทัศน์ อื่นๆอีกมากมาย การฝึกก็คือ คุณมีสติจดจ่อในขณะที่ทำหรือไม่ จิตคุณอยู่ที่คุณหรืออยู่ที่ไหน ถ้าคุณกวาดบ้านแล้วจิตนึกถึงละครก็ขาดสติ ถือว่าผิดต้องดึงมันกับมา

ถ้าทำงานที่ออฟฟิต

จิตอกนอกออฟฟิตไปหาที่อื่นซึ่งไม่เกี่ยวกับงาน ณ ขณะนั้นก็ขากสติต้องรีบดึงมันกลับมาในขั้นต้นพอคุณเริ่มทำอาจจะยากหน่อยมีสติขาดสติบ้าง ส่วนมากจิตจะถูกดึงออกไปมากกว่า พอมีคนอื่นมาคุยด้วยก็ต้องฝึกรู้ว่ากำลังคุยกำคนอื่น พอหยุดคุยก็ต้องมีสติกลับมาที่ตัวเราขณะที่ดูละครหรือฟังวิทยุถึงบทที่นางร้ายทำร้ายนางเอกก็ต้องกำหนดรู้

ถ้าเรามีอารมณ์เกลียดนางร้ายถือว่าขาดสติตกหลุมกิเลสคือไม่ได้

ดังใจ ถึงบทพระเอกนางเอกดีกัน รักกันก็ต้องกำหนดรู้ ไม่งั้นคุณจะตกหลุมกิเลสที่เรียกว่าได้ดังใจ ชอบใจ ต้องให้รู้ว่านี่คือละครหรือแม้แต่ฟังรายการวิทยุ โดยเฉพาะเรื่องการเมือง ถ้าโทรศัพท์มาวิจารณ์คุณจะต้องฟังทั้งที่ชอบใจและไม่ชอบใจเสมอ

คุณจะต้องฝึกที่จะเรียนรู้ทั้งที่ชอบและไม่ชอบมีสติกำหนดรู้

แล้วดูที่ตัวเองว่ามีอาการอย่างไรถ้าไม่ชอบใจ หงุดหงิดไหม โกรธไหม อยากโทรศัพท์ไปโต้ตอบไหม ส่วนถ้าชอบใจมีอาการอย่างไร เอ่อคิดเหมือนเราดีมาก สุขใจ อยากฟังนานๆ ความคิดเราแน่และถูกต้อง คิดไม่ผิดยิ่งมีคนเห็นด้วยมาก คุณเริ่มขาดสติแล้ว หลงกับมันแล้วทั้งชอบและไม่ชอบ ต้องรีบดึงสติกลับคืนมาโดยเร็วอย่าหลงกับมันฝึกปล่อยแล้วคุณจะเข้าใจว่าเป็นกลางที่แท้จริงเป็นอย่างไร

สำหรับบางคนคิดว่าตัวเองเป็นกลาง

ไม่เข้าข้างทั้งสองฝ่ายที่ชอบและไม่ชอบ มันไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ได้ยินมาดูมา มันจริงหรือเปล่า แล้วคุณก็ทำตัวนิ่งเฉยๆ เหมือนกับว่าวางตัวเป็นกลางแต่ใจกับคิดหรือคิดมากแต่ไม่แสดงอาการ คุณอาจตกอยู่ในกิเลสที่เรียกว่าลังเลสงสัย

ว่าชอบหรือไม่ชอบ

บางครั้งเหตุผลฝ่ายไหนดีก็เอนเอียงทั้งที่อาจจะจริงหรือไม่จริง ต้องฝึกวางความลังเลสงสัยเพราะมันเป็นกิเลสที่ละเอียดกว่าสองตัวข้างบน ต้องฝึกบ่อยๆเพราะมันเกิดขึ้นกับชีวิตประจำวันเป็นประจำ

เมื่อเราฝึกบ่อยทั้งที่บ้าน ที่ทำงาน

สถานที่ต่างๆ คุณจะเริ่มรู้เท่าทันกิเลส ๓ ตัวนี้มากขึ้น เป็นการฝึกที่ละนิดเพื่อการสะสม ฝึกบ่อยๆทุกๆวันๆละนิด คุณจะเห็นการเปลี่ยนแปลงแน่นอนความทุกข์จะน้อยลงแน่นอน กลับรู้สึกตัว มีสติมากขึ้นเมื่อคุณฝึกดีแล้วคุณจะเข้าถึงความเป็นกลางที่แท้จริง มันจะอยู่เหนือความชอบ ความไม่ชอบ ความลังเลสังสัย จิตคุณจะมีสติรู้ทันมัน และอยู่เหนือมันได้

8
บทความ บทกวี / ธรรมที่ไม่ควรทำ
« เมื่อ: 02 มิ.ย. 2550, 10:30:08 »
มีพราหมณ์คนหนึ่งสงสัยว่า

พระพุทธเจ้าสอนแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์เท่านั้น

คงจะไม่รู้จักสิ่งที่ไม่มีประโยชน์

ตาแกเลยเข้าไปเฝ้าพระพุทธองค์ แล้วถาม

พระพุทธองค์ทรงตรัสตอบดังนี้


 
 




............ การนอนตื่นสาย ............

........ เกียจคร้าน ไม่ขยันการงาน ...........

........ เป็นคนโทสะดุร้าย เกรี้ยวกราด .........

....... นอนมาก ขี้เซา มักยินดีในกานนอน .......

.. เดินทางไกล(หรือทางเปลี่ยวน่ากลัว) เพียงลำพังคนเดียว ..

........................... เป็นชู้กับภริยาท่าน ...........................




เหล่านี้แหละเป็นสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ ใครขืนทำเข้ามีแต่ความเสื่อมอย่างเดียว
 
 

9
บทความ บทกวี / ทานจักร ๑๐ ประการ
« เมื่อ: 02 มิ.ย. 2550, 10:29:04 »
หากเมล็ดพันธุ์แห่งความรักความเมตตา

ได้เจริญงอกงามขึ้นในจิตใจของเราแล้ว

เราจะตระหนักว่าเรารักชีวิต เราต้องการความสุข

ชีวิตอื่น สัตว์อื่น ต่างก็รักชีวิต

และปรารถนาความสุขเช่นกัน

สาระแห่งชีวิต คือ ความรัก ความเมตตา

อานุภาพแห่งความเมตตาจะนำมาซึ่ง

ความสุขและความเบิกบานแก่ทุกชีวิต

สำหรับเราทุกคน ในฐานะชีวิตหนึ่งในโลกกว้างใหญ่

เราอาจไม่ยิ่งใหญ่พอที่จะแก้วิกฤติของโลกได้

แต่ด้วยความรักความเมตตาที่มีในหัวใจของเรานี้

เราสามารถทำสิ่งดีๆ ให้เกิดขึ้นในโลกได้มากมาย


ช่วงหนึ่งพระอาจารย์ได้เคยพิจารณาว่าข้อธรรมะของ

พระพุทธองค์ข้อไหนจะสามารถแก้ปัญหาของโลกได้

และไม่ขัดแย้งต่อเชื้อชาติหรือลัทธิศาสนาใดๆ

และมองเห็นว่า.....

หลักของศีล ๕ เมตตาธรรมและการให้ทาน

น่าจะมีความเหมาะสมที่สุด


ศีล ๕ เป็นพื้นฐานของสังคมที่ปลอดภัย สงบร่มเย็น

เมตตาธรรมและการให้ทาน จะทำให้ทุกคนในสังคม

อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข มีความเอื้ออาทรต่อกัน

ความคิดดังกล่าวเป็นที่มาของ ทานจักร ซึ่งหมายถึง

วงล้อซึ่งมีใจที่มีเมตตากรุณาเป็นศูนย์กลาง

และแสดงออกถึงความเมตตาในจิตใจด้วยการลงมือ

กระทำความดีอย่างตั้งใจแน่วแน่

ความดีนั้นคือ การบำเพ็ญทาน ๑๐ ประการ ได้แก่


๑. ให้ทานด้วย ทรัพย์สินเงินทอง

๒. ให้ทานด้วย สายตาที่เมตตาปรานี

๓. ให้ทานด้วย ใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส

๔. ให้ทานด้วย วาจาที่ไพเราะน่าฟัง

๕. ให้ทานด้วย ให้แรงงานช่วยเหลือผู้อื่น

๖. ให้ทานด้วย การอนุโมทนายินดีเมื่อผู้อื่นทำดี

๗. ให้ทานด้วย การให้อาสนะ (ที่นั่ง)

๘. ให้ทานด้วย การให้ที่พักอันสะดวกสบาย

๙. ให้ทานด้วย การให้อภัย

๑๐. ให้ทานด้วย การให้ธรรมะ


ให้ศีล ๕ เป็นพื้นทาง

เมื่อวงล้อแห่งทานนี้หมุนเข้าไปที่แห่งใด

จะก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นในสังคม

จะเกิดพลังแห่งการสร้างสรรค์

พลังที่จะร่วมกันผลักดันสังคมที่ดีงามให้เกิดขึ้น


ด้วยการหมุนของวงล้อแห่งทานนี้

ย่อมนำความสุขไปสู่เพื่อนมนุษย์ในสังคมวงกว้าง

ยังความสันติสุขให้เกิดขึ้นในโลก


ขอให้พวกเราทุกคนจงเชื่อมั่นว่า

สันติภาพโลกเริ่มต้นจากพวกเราทุกคนที่นี่และเดี๋ยวนี้

ปลูกฝังจิตสำนึกแห่งรักและเมตตาไว้ในหัวใจ

หมุนทานจักรแห่งสันติภาพ ให้เคลื่อนไปๆ

บนพื้นทางที่มั่นคงแล้วด้วยศีล

เพื่อประโยชน์สุขที่กว้างขวางแก่เพื่อนมนุษย์

ด้วยรักและเมตตาที่ไม่จำกัดขอบเขต

ไม่มีที่สุด ไม่มีประมาณ

 
 
สนับสนุนข้อคิดนานาสาระโดย:
พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก
วัดป่าสุนันทวนาราม
 
 

10
สาเหตุที่ไปเกิดเป็นเปรต


? 1. ตะหนี่ถี่เหนียว เห็นแก่ตัว โลภมากในทรัพย์สินเงินทอง

? 2. ไม่ยินดีในการบริจาคให้ทาน เพราะคิดว่าไม่มีผลกำไร

? 3. ทุจริตหลอกลวง ฉ้อราษฎร์หลวง

? 4. หาประโยชน์ในทางมิชอบ ใช้อำนาจบังคับกดขี่ข่มเหง

? 5. ติดสินบน ใช้ตำแหน่งบังหน้าหากิน

? 6. รัดไถ เก็บส่วย รีดนาทาเร้น ข่มขู่

? 7. ฉกชิงวิ่งราว เลี้ยงปากเลี้ยงท้องด้วยมิจฉาอาชีพ

? 8. ปล่อยเงินกู้เรียกเก็บดอกเบี้ยอย่างขูดเลือดขูดเนื้อ

? 9. ทุบตีพ่อแม่ ใช้วาจาหยาบคาย เป็นคนเนรคุณ

? 10. ทำลายเครื่องให้ทาน ที่มีผู้นำไปถวายพระสงฆ์องค์เจ้าฯ


ด้วยเหตุแห่งอกุศลกรรมที่ได้สั่งสมไว้แต่ชาติปางก่อน เมื่อบุคคลมาเกิดในชาตินี้จึงเป็นเปรต

11
บทความ บทกวี / ชัยชนะที่แท้จริง
« เมื่อ: 21 เม.ย. 2550, 04:18:56 »
ชัยชนะที่แท้จริง



เมื่อศัตรูหรือปรปักษ์ของเรามีอันต้องเป็นไป ธรรมดาของปุถุชนย่อมอดไม่ได้ที่จะดีใจ เรามีเหตุผลมากมายที่สะใจในความวิบัติของเขา พฤติกรรมอันมิชอบหรือนิสัยที่น่ารังเกียจของเขา เป็นเหตุผลเพียงพอแล้วที่เราจะยินดีในเคราะห์กรรมของเขา ยิ่งเขามีจิตมุ่งร้ายหมายทำลายเราหรือพวกของเราโดยตรงด้วยแล้ว เรากลับจะรู้สึกด้วยซ้ำว่า ความวิบัติที่เกิดกับเขานั้นยังน้อยเกินไปเสียอีก


ความตายที่เกิดกับผู้ก่อความไม่สงบ ๑๐๘ คนนั้น สำหรับคนจำนวนไม่น้อย นับเป็นสิ่งที่น่ายินดี หลังจากที่คนบริสุทธิ์ถูกสังหาร พระเณรถูกฆ่าฟัน ตำรวจทหารถูกทำร้าย โรงเรียนถูกเผา ทรัพย์สินสาธารณะถูกทำลายตลอดสี่เดือนที่ผ่านมาโดยที่แทบจะทำอะไรคนร้ายไม่ได้ เมื่อถึงคราวที่คนร้ายเหล่านั้นถูกตอบโต้อย่างรุนแรงจนล้มตายเป็นเบือ ย่อมเป็นเรื่องเข้าใจได้ที่ปฏิกิริยาอย่างแรกของคนส่วนใหญ่ในสังคมไทยคือความรู้สึกสาสมใจ
 
อย่างไรก็ตามเราไม่ควรดีใจหรือสะใจไปจนลืมใคร่ครวญว่า เหตุการณ์นองเลือดดังกล่าวจะก่อให้เกิดผลกระทบอะไรตามมา ชัยชนะด้วยวิธีรุนแรงนั้นไม่เคยยุติที่การเก็บซากศพผู้ปราชัย ร้อยกว่าคนที่ล้มตายย่อมหมายถึงญาติมิตรนับพันคนที่ลุกขึ้นมาเป็นศัตรูกับรัฐบาล การสังหารหมู่คนที่จนตรอกและไม่มีกำลังอาวุธจะต่อกรอย่างสมน้ำสมเนื้อ หมายถึงการเร่งให้ฝ่ายที่สูญเสียหันมาใช้วิธีที่รุนแรงมากขึ้น หรือติดต่อขอรับความช่วยเหลือจากนักก่อการร้ายข้ามชาติที่ร่วมอุดมการณ์หรือศาสนาเดียวกัน


วันนี้เขาใช้มีดพร้า วันหน้าเขาอาจใช้ระเบิดพลีชีพหรือคาร์บอมบ์ วันนี้สมรภูมิอยู่ที่สามจังหวัด วันหน้าสมรภูมิคือทุกหนแห่งในประเทศไทย นั่นหมายความว่าคนไทยทั้งประเทศตกอยู่ในความเสี่ยงมากขึ้น พ่อแม่พี่น้องของเรามีโอกาสเป็นเหยื่อของความรุนแรงมากขึ้น นี้หรือคือชัยชนะที่เราควรโห่ร้องยินดี


แม้ไม่ต้องมีจิตเมตตาการุณย์มาก ก็เห็นได้ไม่ยากว่าเหตุการณ์วันที่ ๒๘ เมษายน ไม่ใช่เรื่องที่ควรยินดีปรีดา มองอย่างเห็นแก่ตัวที่สุดก็จะพบว่าความตายของคน ๑๐๘ คนนั้นกำลังทำให้ชีวิตของเราทุกคนตกอยู่ในอันตรายมากขึ้น บ้านเมืองจะวุ่นวายมากขึ้น ความรุนแรงนั้นไม่เคยยุติด้วยความรุนแรง ยิ่งใช้ความรุนแรงมากเท่าไร ก็ถูกตอบโต้ด้วยความรุนแรงมากเท่านั้น


มองในฐานะคนไทย ๒๘ เมษายน คือวันวิปโยคของชาติ เพราะคนที่ตายก็ล้วนเป็นคนไทย และคนที่สูญเสียก็คือคนไทยทั้งประเทศ มองอย่างชาวพุทธ ๒๘ เมษายนคือวันที่มืดมนของมนุษย์ เพราะโทสะและโมหะได้ครอบงำจิตใจผู้คนจนพอใจในการห้ำหั่นบีฑากัน

ความโกรธเกลียดและความพอใจในความพินาศของผู้อื่นนั้นไม่เป็นประโยชน์ต่อใครเลย มันมีแต่จะบั่นทอนและทำร้ายตัวเราเอง เมื่อความโกรธเกลียดเกิดขึ้น เราย่อมเป็นทุกข์ และเมื่อเรายินดีในความวิบัติของผู้อื่น จิตใจของเราย่อมตกต่ำ เพราะบาปกรรมได้เกิดขึ้นกับเราแล้ว ไม่เพียงแต่ ความเป็นมนุษย์ของเราจะลดน้อยถอยลงเท่านั้น หากเรายังมีความสุขได้ยากขึ้นอีกด้วย เพราะความกระหายใคร่เห็นความพินาศของคนอื่นนั้นจะตามรังควานเราตลอดเวลา ด้วยเหตุนี้เองพระพุทธองค์จึงตรัสว่า คนที่โกรธตอบผู้อื่นนั้น โง่และเลวกว่าฝ่ายหลังเสียอีก เพราะทำลายทั้งประโยชน์ตนและประโยชน์ท่าน


พึงระลึกว่ายิ่งเราโกรธเกลียดใครมากเท่าไร พยายามกำจัดเขาด้วยวิธีรุนแรงมากเท่าไร เราก็ยิ่งมีโอกาสที่จะเป็นอย่างเขามากเท่านั้น ตำรวจที่ต่อสู้กับโจรผู้ร้าย ง่ายที่จะมีใจคอเหี้ยมเกรียมอย่างผู้ร้าย (ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่มีข่าวตำรวจรีดไถหรือทรมานผู้ต้องหาอยู่บ่อยๆ) ในทำนองเดียวกันทหารที่สู้รบกับผู้ก่อการร้าย นับวันจะทำตัวละม้ายคล้ายคลึงกับฝ่ายหลัง (กรณีทหารอเมริกันใช้วิธีป่าเถื่อนกับนักโทษอิรักในเรือนจำ เป็นตัวอย่างล่าสุด) ยิ่งพยายามกำจัดยักษ์มารมากเท่าไร่ พึงระวังว่าเราเองจะกลายเป็นยักษ์มารไปกับเขาด้วย เพราะความโกรธเกลียดนั้นเป็นอาหารบำรุงเลี้ยงความชั่วร้ายในตัวเราที่ไม่มีอะไรเทียบได้ บ่อยครั้งชัยชนะในการสังหารคนชั่วร้ายนั้นจึงมักลงเอยด้วยการที่ผู้ชนะนั้นกลายเป็นคนชั่วร้ายเสียอีก ถึงตรงนี้เราควรถามว่าใครกันแน่ที่ชนะ มองอย่างพุทธ ไม่มีใครเป็นผู้ชนะ ความชั่วร้ายต่างหากที่ชนะ


ถึงที่สุดแล้ว ไม่มีมนุษย์คนใดที่เป็นศัตรูของเรา ศัตรูของเราคือความอำมหิตและความเขลาที่เห็นมนุษย์เป็นผักปลา พูดรวมๆ ก็คือความชั่วร้ายต่างหากที่เป็นศัตรูของเรา ความชั่วร้ายนี้ไม่อาจทำลายได้ด้วยการฆ่า ตรงกันข้ามยิ่งฆ่าก็ยิ่งทำให้ความชั่วร้ายแพร่ระบาด ไม่ใช่ระบาดไปยังพรรคพวกของคนที่ถูกฆ่าเท่านั้น หากยังลุกลามเข้ามาในใจของเราด้วย

จะต่อสู้กับความชั่วร้ายได้มีวิธีเดียว คือต้องใช้เมตตาที่ประกอบด้วยปัญญา คุณธรรมสองประการนี้ช่วยให้เราสามารถชนะใจอีกฝ่ายหนึ่ง และช่วยขจัดความอาฆาตพยาบาทไปจากจิตใจของทุกฝ่าย เมตตาและปัญญามิได้มีอานุภาพแต่เฉพาะความขัดแย้งระหว่างบุคคลเท่านั้น หากยังสามารถใช้ในการแก้ความขัดแย้งที่กว้างกว่านั้น


การเอาชนะคอมมิวนิสต์เมื่อ ๒๐ กว่าปีก่อน ด้วยการเปิดโอกาสให้นักรบจรยุทธกลับเข้ามาพัฒนาชาติไทยร่วมกับคนส่วนใหญ่ และการสร้างเงื่อนไขทางการเมืองที่เอื้อต่อการแก้ไขความขัดแย้งโดยสันติวิธี เป็นตัวอย่างของการใช้เมตตาและปัญญายิ่งกว่าศาสตราวุธ ถ้าหากคนไทยในครั้งนั้นยังหนำใจกับการนับศพคอมมิวนิสต์ สงครามครั้งนั้นย่อมยืดเยื้อและมีคนตายอีกนับพันนับหมื่น คำถามก็คือวันนี้คนไทยยังเห็นคุณค่าของเมตตากับปัญญาหรือไม่ หรือว่ายอมให้ความโกรธเกลียดชักนำไปหาความรุนแรงยิ่งขึ้นทุกที


คนไทยส่วนใหญ่นับถือพุทธศาสนา จึงควรสดับฟังเรื่องราวเกี่ยวกับพระเจ้าพิมพิสารซึ่งเป็นกษัตริย์องค์หนึ่งในสมัยพุทธกาล พระโอรสคือเจ้าชายอชาตศัตรูนั้นหมายปองราชสมบัติ จึงวางแผนฆ่าพระราชบิดาตามการยุยงของพระเทวทัต แต่ถูกจับได้ อำมาตย์มีความเห็นแตกเป็นสามพวก พวกหนึ่งเห็นว่า ต้องฆ่าเจ้าชายอชาตศัตรู พระเทวทัต และภิกษุที่เป็นบริวารของพระเทวทัตทั้งหมด อีกพวกหนึ่งเห็นว่าฆ่าเจ้าชายอชาตศัตรูและพระเทวทัตก็พอ พวกสุดท้ายเห็นว่าไม่ควรฆ่า เมื่อเสนอความเห็นดังกล่าวต่อพระเจ้าพิมพิสาร ปรากฏว่าพระองค์สั่งให้ถอดยศพวกที่หนึ่ง กับลดตำแหน่งพวกที่สอง ส่วนพวกที่เสนอว่าไม่ควรฆ่าใครเลยนั้น ได้เลื่อนยศ
แม้พวกเราเป็นแค่ปุถุชน มิได้เป็นอริยบุคคลอย่างพระเจ้าพิมพิสาร แต่ก็ควรระลึกไว้เสมอว่า ความเป็นผู้เจริญนั้นมิได้อยู่ที่ว่าเราปฏิบัติอย่างไรต่อผู้ที่ทำดีกับเรา แต่วัดจากการกระทำของเราต่อศัตรูหรือผู้เป็นปรปักษ์ต่างหาก



12
บทความ บทกวี / คุณธรรม คือ "หน้าที่"
« เมื่อ: 21 เม.ย. 2550, 04:13:36 »
คุณธรรมคือหน้าที่


การช่วยเหลือ เอื้อเฟื้อ และการแบ่งปัน (หรือให้ทาน) นั้น จัดว่าเป็นคุณธรรมอย่างหนึ่ง และเมื่อพูดถึงคุณธรรมแล้ว เรามักนึกว่าเป็นเรื่องสมัครใจ คือทำก็ดี ไม่ทำก็ไม่เป็นไร ความคิดเช่นนี้เมื่อกล่าวโดยทั่วไปแล้วก็ถือว่าไม่ผิด แต่มีหลายกรณีที่เป็นข้อยกเว้น เพราะในบางสถานการณ์หรือในบางสถานะ คุณธรรมคือหน้าที่เลยทีเดียว
 
สำหรับผู้ที่เป็นพ่อหรือแม่ คุณธรรมที่มีต่อลูก เช่น การเสียสละให้ลูกได้กินอิ่มนอนอุ่นนั้น ถือว่าเป็นหน้าที่ หาใช่เรื่องความสมัครใจไม่ ในทำนองเดียวกันการทำตัวให้เป็นแบบอย่างที่ดีก็ถือว่าเป็นหน้าที่ของครูต่อศิษย์ ในวัฒนธรรมไทย มีหลายสถานภาพที่มาพร้อมกับหน้าที่ที่จะต้องช่วยเหลือเจือจานผู้อื่น โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ "ต่ำ" กว่า เช่น พี่กับน้อง ผู้ใหญ่กับผู้น้อย เจ้านายกับลูกน้อง เป็นต้น


ในบางสถานการณ์ การช่วยเหลือก็ถือเป็นหน้าที่ที่ต้องทำ ไม่ใช่แค่เรื่องสมัครใจเท่านั้น เช่น เมื่อเห็นคนกำลังจมน้ำ คนที่อยู่บนบกจะถือว่าธุระไม่ใช่ ช่วยก็ได้ ไม่ช่วยก็ได้ หาได้ไม่ ในยามนั้นทุกคนมีหน้าที่ที่จะต้องช่วยเหลือคนที่กำลังจะจมน้ำตาย ถ้าไม่ทำย่อมถูกตำหนิ ติเตียน


คุณธรรมที่ถือว่าเป็นหน้าที่นี้ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "หน้าที่ทางศีลธรรม" ทุกสังคมหรือทุกวัฒนธรรมย่อมกำหนดหน้าที่ทางศีลธรรมไว้สำหรับบุคคลอย่างน้อยก็เมื่ออยู่ในบางสถานะหรือในบางสถานการณ์ หน้าที่ทางศีลธรรมต่างจากหน้าที่ตามกฎหมาย เพราะไม่มีการตราเป็นข้อบังคับหรือลายลักษณ์อักษร แต่ถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ ผู้ที่ละเมิดหรือละเลย แม้จะไม่ถูกลงโทษตามกฎหมาย แต่ก็ถูกตำหนิ ติเตียนจากสังคม หรือถึงกับไม่มีใครคบค้าสมาคมด้วย



ชุมชนแบบหมู่บ้านในอดีต คนรวยมีหน้าที่ทางศีลธรรมที่จะต้องช่วยเหลือคนจน และถ้ามีแขกแปลกหน้ามาขออาหาร เจ้าบ้านมีหน้าที่หาข้าวหาน้ำมาให้ หากไม่ทำย่อมถูกตำหนิติเตียนว่าไร้น้ำใจ จะอ้างว่านี่เป็นเรื่องสมัครใจหาได้ไม่


ในสังคมสมัยใหม่แม้ขนบธรรมเนียมหลายอย่างจะเปลี่ยนไป และแม้ผู้คนจะอยู่อย่างตัวใครตัวมันมากขึ้น แต่ความเชื่อว่าคุณธรรมเป็นหน้าที่ก็ยังไม่หมดไป อย่างน้อยก็ยังถือว่าเป็นพันธะที่ติดมากับสถานภาพบางอย่าง ในอเมริกาหรือยุโรปซึ่งแม้จะเป็นสังคมทุนนิยมเต็มที่ ก็ยังมีคติความเชื่ออยู่ว่าคนรวยต้องบริจาคทรัพย์เพื่อส่วนรวม การเสียภาษีนั้นเป็นหน้าที่ตามกฎหมาย แต่แค่นั้นยังไม่พอ ต้องรู้จักนำทรัพย์สมบัติมาก่อให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมด้วย เช่น บริจาคเงินนับล้านๆ ให้แก่โรงพยาบาล มหาวิทยาลัย หอสมุด พิพิธภัณฑ์ อุดหนุนการวิจัย หรือช่วยเหลือคนยากจน


หน้าที่ทางศีลธรรมดังกล่าวยังครอบคลุมถึงผู้ที่เป็นบุคคลสาธารณะ หรือ "คนดัง" ที่มีฐานะ เช่น ดารา นักแสดง นักกีฬา ด้วยเหตุนี้จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เมื่อเกิดมหันตภัยสึนามิ คนดังทั้งหลายในอเมริกาและยุโรป จึงพากันบริจาคเงินก้อนโตเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย คนเหล่านี้อาจไม่ใช่คนมีคุณธรรมมาก แต่เขารู้ดีว่าในสถานภาพปัจจุบันเขามีหน้าที่ทางศีลธรรมที่จะต้องช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างสมควรแก่ฐานะ ถ้าเขาไม่ทำเขาจะถูกตำหนิติเตียน และนั่นอาจหมายถึงการสูญเสียรายได้มหาศาลจากค่าโฆษณา เพราะเจ้าของสินค้าอาจไม่จ้างเขาเป็นพรีเซนเตอร์เนื่องจากมีภาพลักษณ์ที่ไม่ดี
 


ควรกล่าวเพิ่มเติมตรงนี้ด้วยว่า แม้ไม่ใช่คนรวย แต่หากเป็นบุคคลสาธารณะด้านอื่นๆ เช่น เป็นนักการเมือง ข้าราชการ ก็มีหน้าที่ทางศีลธรรมเช่นกัน แต่สิ่งที่สังคมคาดหวังมิใช่การบริจาคทรัพย์ หากได้แก่การประพฤติตัวให้ถูกทำนองคลองธรรม เช่น มีผัวเดียวเมียเดียว ไม่ใช้เส้นในตำแหน่งหน้าที่ ไม่เหยียดผิว หรือลวนลามผู้หญิง


สำหรับสังคมไทยนั้นแม้ความเชื่อว่าคนรวยมีหน้าที่ช่วยเหลือคนจนจะเสื่อมคลายลง เพราะสำนึกในความเป็นชุมชนเดียวกันจางหายไปมากแล้ว แต่ความเชื่อเรื่องหน้าที่ทางศีลธรรมยังมีอยู่ ความเชื่อดังกล่าวทำให้ภราดร ศรีชาพันธุ์ ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงหลังจากมีข่าวว่าบริจาคเงินช่วยผู้ประสบภัยสึนามิเพียง ๑๐,๐๐๐ บาท ในขณะที่ภราดรและครอบครัวอาจคิดว่าการบริจาคเงินเป็นเรื่องสมัครใจ จะให้เท่าไรก็สุดแท้แต่ความพอใจ แต่ผู้คนจำนวนไม่น้อยเห็นว่าโดยสถานภาพของภราดรในปัจจุบันเขามีพันธะหน้าที่ที่จะต้องช่วยเหลือมากกว่านั้น ปัญหาเกิดขึ้นเพราะภราดรไม่รู้ว่าตนอยู่ในสถานภาพอะไร หรือพูดให้ถูกต้องคือไม่รู้ว่าตนมีพันธะหน้าที่อะไรบ้างที่ติดมาพร้อมกับสถานภาพดังกล่าว


กรณีของภราดรอาจเป็นเครื่องบ่งชี้ว่าความเชื่อเรื่องคุณธรรมในสังคมไทยกำลังเจือจางลงมาก จนเกิดความเข้าใจไปว่าคุณธรรมเป็นเรื่องสมัครใจล้วนๆ หรือเป็นเรื่องส่วนตัวล้วนๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับพันธะหน้าที่หรือสำนึกต่อส่วนรวม น่าเป็นห่วงว่าหากความคิดเช่นนี้แพร่หลายไปกว้างขวาง สังคมไทยจะอยู่อย่างตัวใครตัวมันกันมากขึ้น และตกอยู่ในภาวะล้าหลังทางคุณธรรมยิ่งกว่าสังคมอเมริกันหรือยุโรป ซึ่งยังมีความเชื่อในเรื่องหน้าที่ทางศีลธรรมอยู่อย่างเข้มแข็ง (แม้จะมีเรื่องผลประโยชน์ส่วนตัวเกี่ยวข้องอยู่มากก็ตาม)
 
สำนึกเรื่องหน้าที่ทางศีลธรรมเป็นสิ่งที่ต้องตอกย้ำกันให้มากขึ้นในสังคมไทย แต่ก็ต้องทำอย่างมีสติและเมตตา ไม่ติดยึดแค่รูปแบบหรืออากัปกิริยาภายนอกเท่านั้น ไม่เช่นนั้นแล้วคุณธรรมหรือศีลธรรมอาจถูกใช้เป็นเครื่องมือทำร้ายผู้คนแทนที่จะส่งเสริมให้เกิดชีวิตที่ดีงาม เช่น ถ้าใครไม่ปฏิบัติตนตามกรอบคุณธรรมที่วางเอาไว้ ก็รุมตำหนิอย่างรุนแรงไร้เมตตา (ดังที่ภราดรประสบ) หรือถึงกับทำร้ายจนเสียผู้เสียคน ทั้งๆ ที่เขามีคุณงามความดีมากมาย (ดังกรณี "ไอ้ฟัก" ในนิยายเรื่องคำพิพากษา) เมตตาธรรมและขันติธรรมเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับผู้เรียกร้องคุณธรรมจากผู้อื่น


ในอีกด้านหนึ่งก็ต้องระวังผู้ที่ใช้ศีลธรรมเป็นเครื่องมือสร้างประโยชน์ให้แก่ตนเอง เช่น สร้างภาพว่าตนเองเป็นคนมีคุณธรรม หรือใช้คุณธรรมบางข้อเป็นเครื่องปกปิดความผิดที่ร้ายแรง การบริจาคเงินนั้นเป็นของดีที่น่าอนุโมทนา แต่คนที่บริจาคเงินมากๆ ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นคนดีเสมอไป ในสังคมที่เชิดชูคุณธรรมมักมีคนที่ชอบทำบุญเอาหน้าทั้งๆ ที่เบื้องหลังนั้นสกปรก เราจึงไม่ควรชื่นชมใครเพียงเพราะเขาขยันบริจาคเงินเท่านั้น หากควรดูพฤติกรรมอื่นๆ ประกอบด้วย ค่านิยมที่ยกย่องเชิดชูคนทำบุญเอาหน้า ไม่เพียงแต่จะเปิดโอกาสให้คนชั่วขึ้นมามีหน้ามีตาในสังคมเท่านั้น หากยังจะบีบคั้นให้คนยากจนต้องเป็นหนี้สินหนักขึ้นเพื่อจะได้มีเงินมาทำบุญมากๆ หรือหมดเนื้อหมดตัวไปกับงานบวชและงานศพเพียงเพื่อจะได้ไม่น้อยหน้าคนอื่นเขา


คุณธรรมนั้นมีเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตและสร้างความผาสุกในสังคม ขออย่าให้กลายมาเป็นเครื่องมือทำร้ายผู้คนหรือสร้างภาพให้แก่พาลชน

13
หลงใหลในความคิดของตัวเอง



คนที่ไม่ได้ปฏิบัติธรรม ไม่เข้าใจธรรมะ ไม่เข้าใจตัวเอง

ก็มักจะ หลง หลงในความรู้สึก หลงใหลในความคิดของตัวเอง

มีแต่อารมณ์ยินดี ยินร้าย จิตไม่สงบ

ฟุ้งซ่านไป ทุกข์ไป ปรุงไป อยู่อย่างนั้น เลยเป็นทุกข์มาก

เรียกว่าคนนั้นนั่นแหละจะเป็นคนคิดมาก มีอารมณ์มาก

ไม่เข้าใจตัวเอง ไม่เข้าใจธรรมะ ความสงบก็ไม่ค่อยมี

เพราะพอเชื่อตามความรู้สึกของตนเอง มันก็ปรุงไปเรื่อยๆ


ธรรมะ คือ อนิจจัง ไม่เที่ยง ไม่แน่นอน

ความคิด ความรู้สึกของตัวเอง ก็ไม่แน่นอน อันนี้เราก็ไม่เห็น

เรามีแต่ถือทิฏฐิมานะ เอาแต่ใจตัวเอง

เราสังเกตดูก็ได้ ความรู้สึกเป็นอย่างไร

ยกตัวอย่างอาหารก็ได้

อาหารที่อร่อย บางทีก็มีโทษ ที่ไม่มีประโยชน์ก็มีมาก

อาหารที่ไม่อร่อย แต่มีประโยชน์มากก็มีอยู่ แต่ถ้าเราติดอาหาร

แล้วก็กินแต่ของอร่อยๆ ติดรสอร่อยก็เกิดโทษมาก

ประเทศที่เจริญบางทีก็มีโรค เจ็บไข้ป่วยมากขึ้น เพราะเลือกแต่

อาหารที่อร่อยๆ แล้วก็กินไปเรื่อยๆ กินไปเรื่อยๆ ก็ทำให้เกิดโทษ

ทุกวันนี้มนุษย์ก็เห็นอันนี้ ก็พยายามเลือกอาหาร สิ่งที่ไม่อร่อยก็กิน

สิ่งที่อร่อยชอบมาก บางทีก็งดเสีย พยายามรับประทานอาหารที่มีประโยชน์

ความรู้สึกนี่ก็เหมือนกัน ปกติเราก็หลงอยู่อย่างนั้น

หลงคิดว่า สิ่งที่ถูกใจมันดี สิ่งที่ไม่ถูกใจก็ไม่ดี

ถูกใจก็ดี ไม่ถูกใจก็ไม่ดี

นี่ก็เหมือนคนติดในอาหาร หลงอาหาร

ชอบอะไรก็กินไปเรื่อยๆ จนเกิดโทษ สุขภาพไม่ดี


อารมณ์ที่เรารับทางตา หู ลิ้น จมูก กาย ใจ

จะถูกใจ หรือไม่ถูกใจ ก็ต้องตั้งสติ

ถ้าเราปฏิบัติธรรม ก็ต้องใช้ปัญญา

อะไรผิดเราก็สามารถพิจารณาได้.?. เหมือนอาหาร

คำพูดต่างๆ สิ่งที่เห็นต่างๆ เรารีบระงับความรู้สึก

ทำใจสงบแล้วจึงคิด ก็จะคิดดีๆ ได้


การฝืนความรู้สึกของตัวเอง ต่อสู้กับความรู้สึกของตัวเอง

นั่นแหละคือการปฏิบัติธรรม

14
จิตอยู่กับปัจจุบันนั้นเป็นอย่างไร




การปฏิบัติธรรม คือการทำใจให้สงบ นั่งสมาธิ เดินจงกรม

ไม่ให้คิดถึงอดีต ไม่ให้คิดถึงอนาคต

ปัจจุบันนี้ กายนั่งอย่างไร นั่งอยู่ เดินอยู่ ยืนอยู่ นอนอยู่ ก็รู้

นี่เป็นปัจจุบัน

ถ้าเราสามารถกำหนดรู้การ ยืน เดิน นั่ง นอน

รู้ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก

รู้กายมีเกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ เป็นต้น


นี่ก็เป็นปัจจุบัน.?. เป็นการทำเหตุดีในปัจจุบัน

เราสามารถกำหนดรู้ได้ เพราะกายก็มีอยู่เดี๋ยวนี้

เราปฏิบัติเช่นนี้ ก็เพื่อให้อยู่กับปัจจุบัน

พยายามไม่ให้คิดไปอดีต อนาคต


ถ้าเราสังเกตดูก็จะเห็นว่า

จิตที่ไม่สงบคือจิตที่ไม่อยู่กับปัจจุบัน คิดไปอดีต คิดไปอนาคต

ยิ่งคิดมาก คิดไปๆ ก็เรื่องเก่าๆ ทั้งนั้น

ถ้าเรายังคิดไปอดีต คิดไปอนาคต เราก็ยังไม่เข้าใจธรรมะ

จิตไม่สงบ เพราะจิตไม่ได้อยู่กับปัจจุบัน

เมื่อจิตไม่ได้อยู่กับปัจจุบัน ก็ไม่สามารถเข้าใจธรรมะได้

มีแต่ปรุงแต่งอดีตที่ผ่านไปแล้ว ปรุงแต่งไปอนาคตที่ยังมาไม่ถึง

ทำอะไรก็ไม่ได้

การศึกษาธรรมะคือ การศึกษาปัจจุบันธรรม

เราต้องพยายามสร้างศรัทธา คือ ศรัทธาในการทำใจให้สงบ

ทำใจให้อยู่กับปัจจุบัน

15
ละความชั่ว บำเพ็ญความดี ชำระจิตใจให้สะอาด
ในการปฏิบัติ เราก็ไม่ค่อยปฏิบัติตัวเอง

ท่านให้ "ละความชั่ว บำเพ็ญความดี ชำระจิตใจให้สะอาด"

แต่พอเรามาปฏิบัติ เราก็จะเอาแต่ "ดี"

ปฏิบัติเดี๋ยวนี้ เราก็ต้องการ "ดี" เดี๋ยวนี้

สิ่งที่เราต้องการ อะไรๆ ก็แล้วแต่ เราก็ต้องการ "เอาเดี๋ยวนี้แหละ"

เราก็ข้ามเรื่องการ "ละความชั่ว" ไปเสีย


เราก็เลยเหมือนคนมักได้

พอตั้งใจปฏิบัติ ก็จะเอาแต่ของดีเดี๋ยวนี้

เราไม่ได้นึกถึง "เรื่องการละความชั่ว" หรือ "ทำความสะอาด"

เราไม่ได้นึกถึงว่า ของสกปรกที่มีเกินควร เราต้องชำระออกจากกาย

ออกจากวาจา ออกจากใจของตัวเองเสียก่อน คือการละความชั่ว


เราต้องสำรวจดูว่ามีอะไรที่ไม่น่าดู ไม่สะอาด

ทางกาย ทางวาจา ทางจิตใจของเรา มีบ้างหรือเปล่า

ที่ทำไปแล้วตัวเองก็ไม่สบายใจ คนอื่นเห็นแล้วเขาก็ไม่ชอบ

เรามีปิยวาจารึเปล่า ฯลฯ


อันนี้เราไม่ค่อยจะได้พิจารณา ไม่ได้ระลึกถึง

นั่งสมาธิเดินจงกรมปุ๊บ ก็จะเอาสมาธิเดี๋ยวนี้

มาวัดปุ๊บ ตั้งใจปฏิบัติ นั่งสมาธิ เดินจงกรม หาของดี เดี๋ยวนี้

อันนี้ก็ผิดหลักพุทธศาสนา

เราต้องนึก ต้องพิจารณาให้ดี


 
 
สนับสนุนข้อคิดนานาสาระโดย:
พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก
วัดป่าสุนันทวนาราม
 
 

16
ปีนี้ วันมหาสงกรานต์ตรงวันเสาร์ที่ ๑๔ เมษายน ๒๕๕๐

ปีกุน มนุษย์ผู้หญิง ธาตุน้ำ นพศก จุลศักราช ๑๓๖๙ ทรงจันทรคติ เป็น อธิกมาส ปกติวาร ทางสุริยคติ เป็นปกติสุรทิน

นางสงกรานต์นามว่า มโหธรเทวี ทรงพาหุรัดทัดดอกสามหาว (ผักตบ) อาภรณ์แก้วนิลรัตน์ภักษาหารเนื้อทราย พระหัตถ์ขวาทรงจักร พระหัตถ์ซ้ายทรงตรีศูรย์ เสด็จนั่งมาเหนือหลังนกยูง เป็นพาหนะ

มหาวันสงกรานต์ วันเสาร์ที่ ๑๔ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๐ เวลา ๑๒ นาฬิกา ๓๖ นาที ๓๗ วินาที ตรงกับเสาร์ แรม ๑๒ ค่ำ เดือน ๕ ปีกุน นพศก จุลศักราช ๑๓๖๙ (เปลี่ยนจุลศักราช ๑๓๖๘ ในวันที่ ๑๖ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๐ เวลา ๑๖ นาฬิกา ๔๐ นาที ๔๘ วินาที)

ปีนี้ วันอาทิตย์ เป็นวันธงชัย วันจันทร์ เป็นอธิบดี วันเสาร์ เป็นอุบาทว์ วันพุธ เป็นโลกาวินาศ วันเสาร์
เป็นอธิบดีฝน บันดาลให้ฝนตก ๔๐๐ ห่า ตกในโลกมนุษย์ ๔๐ ห่า ตกในมหาสมุทร ๘๐ ห่า ตกในป่า

หิมพานต์ ๑๒๐ ห่า ตกในเขาจักรวาล ๑๖๐ ห่า นาคให้น้ำ ๖ ตัว เกณฑ์ธัญญาหาร ได้เศษ ๗ ชื่อ ปาปะ ข้าวกล้าในภูมินา จะได้ผล ๑ ส่วน เสีย ๙ ส่วน เกณฑ์ธาราธิคุณ ตกราศีปัถวี (ดิน) น้ำงามพอดี
จากประกาศสงกรานต์ข้างต้น หากเราเทียบกับคำพยากรณ์ของโบราณ จะเห็นว่าวันมหาสงกรานต์ปีนี้ตรงกับวันเสาร์ เขาบอกว่าจะเกิดโจรผู้ร้ายชุกชุม มีการเจ็บไข้ร้ายแรง ส่วนวันเนาตรงกับวันอาทิตย์ ข้าวจะตายฝอย คนต่างด้าวจะเข้าเมืองมาก ท้าวพระยาจะร้อนใจ

ส่วนตำราล้านนาก็ว่า วันมหาสงกรานต์ตรงกับวันเสาร์ ปีนี้ฝนจะแล้ง แมลงต่างๆจักทำร้ายพืชไร่มากนัก ไฟจักไหม้บ้านไหม้เมือง เกิดอัคคีภัยใหญ่ ข้าวยากหมากแพง ดูแล้วจะเป็นเรื่องร้ายๆ พอๆกับคำทำนายในปัจจุบันทั้งสิ้น
 
ครั้นมาดูนางสงกรานต์ ที่มีนามว่า นางมโหธรเทวี ดูท่าแล้ว ก็ดุไม่เบา เนื่องจากพระนางนอกจากจะพกจักรและตรีศูรย์เป็นอาวุธแล้ว ยังกินเนื้อทรายเป็นอาหาร แถมทัดดอกสามหาวและใส่นิล(พลอยสีดำ) เป็นเครื่องประดับอีกด้วย อ่านแล้ว หลายคนอาจรู้สึกหดหู่ ไม่สบายใจ

แต่ถ้าจะมองให้ลึกลงไปว่า วันมหาสงกรานต์ที่ตรงกับวันเสาร์ แม้จะเป็นดาวบาปเคราะห์ใหญ่ที่ทางโหราศาสตร์ถือว่าเป็นวันเจ้าทุกข์ แต่ก็เป็นวันแข็ง และมีพระนาคปรกเป็นพระประจำวันนี้ ซึ่งเปรียบเหมือนเรามีพญานาคราชได้แผ่พังพานปกป้องคุ้มครองให้พ้นทุกข์และภัยพิบัติต่างๆ และยังมีความเชื่อว่าพระปางนี้มีความศักดิ์สิทธิ์ทางเมตตา
 
เพราะตามตำนานแม้แต่พญานาคยังขึ้นจากน้ำมาถวายอารักขาพระพุทธเจ้า ทั้งนี้ก็ด้วยพลานุภาพแห่งพระมหากรุณาธิคุณของพระพุทธองค์ ดังนั้น จึงเป็นการบอกทางอ้อมให้เราใช้รู้จักใช้หลักเมตตาธรรมในการดำเนินชีวิตทุกระดับไม่ว่าจะกับครอบครัว สังคม และประเทศชาติ

ส่วนอาวุธของนางสงกรานต์ที่เป็นจักรนั้น ก็คืออาวุธของพระนารายณ์ที่ทรงใช้ในการปราบทุกข์เข็ญให้แก่โลก และตรีศูรย์ก็คือ อาวุธของพระศิวะมหาเทพที่ทรงโปรดให้พรวิเศษแก่ผู้กระทำคุณความดีต่างๆ และนิลนั้นก็เป็นอัญมณีที่ทำให้ผู้สวมใส่ เกิดความใจเย็น

สามารถป้องกันอันตรายจากภูตผีวิญญาณ นำมาซึ่งความเข้มแข็ง โชคลาภ หรือความมั่งมีต่าง ๆ ดังนั้น จะเห็นได้ว่าแม้วันเวลาที่นางสงกรานต์เสด็จมาไม่ดีนัก แต่อาวุธและเครื่องประดับก็มีนัยที่ดี เพราะใช้ปราบอริราชศัตรูและเป็นมงคล

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าคำพยากรณ์ในอดีตหรือคำทำนายในปัจจุบันจะเป็นเช่นไร เราก็มิควรจะท้อแท้หรือหมดกำลังใจ แต่ควรใช้คำทายทักล่วงหน้าเหล่านี้เตือน ? สติ ? ตัวเราเองให้ดำรงชีวิตอยู่ด้วยความระมัดระวัง ไม่ประมาท เพียงแค่นี้ เราก็จะรับ ? สงกรานต์ปีใหม่ ? ได้อย่างมีความสุข และเชื่อมั่นในอนาคตข้างหน้าได้
คำทำนายเกี่ยวกับวันมหาสงกรานต์ วันเนา และวันเถลิงศก ก็มีว่า
๑. ถ้าวันอาทิตย์ เป็น วันมหาสงกรานต์ ปีนั้นพืชพันธุ์ธัญญาหารไม่สู้จะงอกงามนัก ถ้าวันอาทิตย์เป็น วันเนา ข้าวจะตายฝอย คนต่างด้าวจะเข้าเมืองมาก ท้าวพระยาจะร้อนใจ ถ้าวันอาทิตย์เป็น วันเถลิงศก พระมหากษัตริย์จะมีพระบรมเดชานุภาพ ปราบศัตรูได้ทั่วทุกทิศ

๒. ถ้าวันจันทร์ เป็น วันมหาสงกรานต์ ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ตลอดจนคุณหญิง คุณนายทั้งหลายจะเรืองอำนาจ ถ้าวันจันทร์เป็น วันเนา มักเกิดความไข้ต่างๆ และเกลือจะแพง นางพญาจะร้อนใจ ถ้าวันจันทร์เป็น วันเถลิงศก พระราชินีและท้าวนางฝ่ายในจะมีความสุขสำราญ

๓. ถ้าวันอังคาร เป็น วันมหาสงกรานต์ โจรผู้ร้ายจะชุกชุม จะเกิดการเจ็บไข้ร้ายแรง แต่ถ้าวันอังคารเป็น วันเนา ผลหมากรากไม้จะแพง ถ้าวันอังคารเป็น วันเถลิงศก ข้าราชการทุกหมู่เหล่าจะมีความสุข มีชัยชนะแก่ศัตรูหมู่พาล

๔. ถ้าวันพุธ เป็นวัน มหาสงกรานต์ ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่จะได้รับการยกย่องจากต่างประเทศ ถ้าวันพุธเป็น วันเนา ข้าวปลาอาหารจะแพง แม่หม้ายจะพลัดที่อยู่ ถ้าวันพุธเป็น วันเถลิงศก บรรดานักปราชญ์ราชบัณฑิตจะมีความสุขสำราญ

๕. ถ้าวันพฤหัสบดี เป็น วันมหาสงกรานต์ ผู้น้อยจะแพ้ผู้เป็นใหญ่ และเจ้านาย ถ้าวันพฤหัสบดีเป็น วันเนา ผลไม้จะแพง ราชตระกูลจะมีความร้อนใจ ถ้าวันพฤหัสบดีเป็น วันเถลิงศก สมณชีพราหมณ์จะปฏิบัติกรณียกิจอันดีงาม

๖. ถ้าวันศุกร์ เป็น วันมหาสงกรานต์ พืชพันธุ์ธัญญาหารจะอุดมสมบูรณ์ ฝนชุก พายุพัดแรง ผู้คนจะเป็นโรคตาและเจ็บไข้กันมาก ถ้าวันศุกร์เป็น วันเนา พริกจะแพง แร้งกาจะเป็นโรค สัตว์ป่าจะเป็นอันตราย แม่หม้ายจะมีลาภ ถ้าวันศุกร์เป็น วันเถลิงศก พ่อค้าคหบดีจะทำมาค้าขึ้น มีผลกำไรมาก

๗. ถ้าวันเสาร์ เป็น วันมหาสงกรานต์ โจรผู้ร้ายจะชุกชุม จะเกิดการเจ็บไข้ร้ายแรง ถ้าวันเสาร์เป็น วันเนา ข้าวปลาจะแพง ข้าวจะได้น้อย ผลไม้จะแพง น้ำน้อย จะเกิดเพลิงกลางเมือง ขุนนางจะต้องโทษ ถ้าวันเสาร์เป็น วันเถลิงศก บรรดาทหารทั้งปวงจะมีชัยชนะแก่ข้าศึกศัตรู
นอกจากนี้ยังมีคำพยากรณ์อันเป็น ความเชื่อทางล้านนา อีกตำราว่า
ถ้า วันมหาสงกรานต์ตรงกับวันอาทิตย์ นางสงกรานต์ชื่อ นางแพงศรี ปีนั้นข้าวจักแพงมากนัก คนทั้งหลายจักเป็นพยาธิ(เป็นโรค) ข้าศึกจักเกิดมีกับบ้านเมือง หนอนแมลงจักลงกินพืชไร่ข้าวนา ฝนตกบ่ทั่วเมือง คนมั่งมีเศรษฐีจักฉิบหาย ไม้ยางเป็นไม้ใหญ่แก่ไม้ทั้งหลาย ขวัญข้าวอยู่ไม้ไผ่

ถ้ามหาสงกรานต์ตรงกับ วันจันทร์ นางสงกรานต์ชื่อ มโนรา ปีนั้นงูจักเกิดมีมาก คนทั้งหลายจักเกิดเป็นพยาธิมากนัก ฝนหัวปีดี หางปีบ่พอดี ข้าวกล้าลางที่ดี ลางที่ก็บ่ดี ไม้กุ่มเป็นพญาแก่ไม้ทั้งหลาย ขวัญข้าวอยู่ไม้เดื่อเกลี้ยง

หากตรงกับ วันอังคาร นางสงกรานต์ชื่อ รากษสเทวี ปีนั้นฝนหัวปีดี กลางปีไม่ดี ปลายปีดีมาก ข้าวไร่ข้าวนาจักเสีย ลูกไม้บ่มีหน่วยหลาย(ได้ผลน้อย) บ้านเมืองจักเกิดกลียุค แมลงมีปีกจักทำร้ายพืชผักข้าวกล้ามากนัก ไม้พิมานเป็นพญาไม้ ขวัญข้าวอยู่ที่ไม้อ้อยช้าง

หากตรงกับ วันพุธ นางสงกรานต์ชื่อ มันทะ ปีนั้นฝนตกบ่ทั่วเมือง หัวปีมีมาก กลางปีน้อย ข้าวในนาจะได้ครึ่งเสียครึ่ง ของบริโภคจะแพง ขุนนางขุนเมืองจะตกต่ำ ไม้สะเดา เป็นพญาไม้ ขวัญข้าวอยู่ที่ไม้คราม

ถ้าตรงกับ วันพฤหัสบดี นางสงกรานต์ชื่อ นางกัญญาเทพ ปีนั้นฝนตกเสมอต้นเสมอปลายชอบตามฤดูกาล ผู้เป็นเจ้าเป็นใหญ่จักมีอันตราย ช้างม้าวัวควายจักตายมากนัก ไพร่ราษฎรจักอยู่ดีมีสุข ขุนใหญ่ ปุโรหิต พระสงฆ์จักเป็นทุกข์ ไม้สักเป็นพญาไม้ ขวัญข้าวอยู่ไม้ทองกวาว

ถ้าตรงกับ วันศุกร์ นางสงกรานต์ชื่อ ริญโท ปีนั้น ฝนตกหัวปีดี กลางปีบ่มีหลาย เพลี้ย บุ้งจักกัดกินทำร้ายข้าวนาพืชไร่ อันตรายจักเกิดมีแก่สมณพราหมณ์ ไม้สะเดาเป็นพญาไม้ ขวัญข้าวอยู่ไม้พุทธา

หากตรงกับ วันเสาร์ นางสงกรานต์ชื่อ สามาเทวี ปีนั้นฝนแล้ง แมลงต่างๆจักทำร้ายพืชไร่มากนัก ไฟจักไหม้บ้านไหม้เมือง เกิดอัคคีภัยใหญ่ ข้าวยากหมากแพง
สนับสนุนข้อคิดนานาสาระโดย: ขอขอบคุณการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย

17
ตำนานเกี่ยวกับกำเนิดวันสงกรานต์

กล่าวไว้ว่า ก่อนพุทธกาลมีเศรษฐีครอบครัวหนึ่ง อายุเลยวัยกลางคนก็ยังไร้ทายาทสืบสกุล ซึ่งทำให้ท่านเศรษฐีทุกข์ใจเป็นอันมาก ข้างรั้วบ้านเศรษฐีมีครอบครัวหนึ่ง หัวหน้าครอบครัวเป็นนักเลงสุรา ถ้าวันไหนร่ำสุราสุดขีด ก็จะพูดเสียงดังแสดงวาจาเยาะเย้ยเศรษฐีสบประมาทในความมีทรัพย์มาก แต่ไร้ทายาทสืบสมบัติเสมอ 
 
วันหนึ่งเศรษฐีจึงถามว่ามีความขุ่นเคืองอะไร

จึงแสดงอาการเยาะเย้ยและสบประมาท เฒ่านักดื่มจึงตอบ ถึงท่านมั่งมีสมบัติมากก็จริง แต่เป็นคนมีบาปกรรมท่านจึงไม่มีบุตร ตายไปแล้วสมบัติก็ตกเป็นของผู้อื่นหมด สู้เราไม่ได้ถึงแม้จะยากจนแต่ก็มีบุตรคอยดูแลรักษายามเจ็บไข้ และรักษาทรัพย์สมบัติเมื่อเราสิ้นใจ
 
นับแต่นั้นมา เศรษฐียิ่งมีความเสียใจ

จึงพยายามไปบวงสรวงพระอาทิตย์และพระจันทร์ เพียรพยายามตั้งจิตอธิษฐานขอบุตร ทำเช่นนี้เป็นเวลาติดต่อกันถึงสามปี ก็ไม่ได้บุตรดังที่ตนปรารถนา จนวันหนึ่งเป็นวันนักขัตฤกษ์สงกรานต์ ท่านเศรษฐีก็พาข้าทาสบริวารของตนมาที่โคนต้นไทรใหญ่ต้นหนึ่ง ที่อยู่บนฝั่งแม่น้ำที่อาศัยของนกทั้งหลาย ท่านเศรษฐีให้บริวารล้างข้าวสารด้วยน้ำสะอาดถึง 7 ครั้ง แล้วจึงหุงข้าวสารนั้น เมื่อสุกแล้วยกขึ้นบูชาพระไทร 
 
เทพเหล่านั้นเกิดความสงสาร

จึงขึ้นไปเฝ้าพระอินทร์ ทูลขอบุตรแก่เศรษฐี พระอินทร์จึงบัญชาให้เทพบุตรองค์หนึ่งชื่อ ?ธรรมบาล? ลงมาเกิดในครรภ์ของภรรยาเศรษฐี เมื่อครบกำหนดภรรยาเศรษฐีก็คลอดบุตรเป็นชาย เศรษฐีจึงตั้งชื่อว่า ธรรมบาลกุมาร เพื่อตอบสนองพระคุณเทพเทวา เศรษฐีจึงสร้างปราสาทสูง 7 ชั้น ถวายเทพต้นไทร
 
เมื่อธรรมบาลกุมารเจริญวัยขึ้น

เป็นเด็กที่มีปัญญาเฉียบแหลม รอบรู้ และวัยเพียง 7 ขวบก็เรียนจบไตรเพท ยังมีเทพองค์หนึ่งชื่อ ?ท้าวกบิลพรหม? ได้ยินกิตติศัพท์ทางสติปัญญาอันยอดเยี่ยมของเด็กน้อย จึงคิดทดลองภูมิปัญญาโดยการเอาชีวิตเป็นเดิมพันจึงถามปัญหา 3 ข้อ ถ้ากุมารน้อยแก้ปัญหาทั้ง 3 ข้อได้ กบิลพรหมจะตัดศีรษะของตนบูชา ถ้าธรรมบาลแก้ไม่ได้ ก็จะต้องเสียหัวเพื่อยอมรับความพ่ายแพ้
 
ปัญหานั้นมีว่า

1. ตอนเช้าราศีคนอยู่แห่งใด

2. ตอนเที่ยงราศีของคนอยู่แห่งใด

3. ตอนค่ำราศีของคนอยู่แห่งใด

เมื่อได้ฟังปัญหาแล้ว ธรรมบาลไม่อาจทราบคำตอบในทันทีได้ จึงผลัดวันตอบปัญหาไปอีก 7 วัน ครั้นเวลาล่วงจากนั้นไป 6 วัน ธรรมบาลกุมารก็ยังคิดหาคำตอบปัญหานั้นไม่ได้ จึงหลบออกจากปราสาทหนีเข้าป่า และไปนอนพักเอาแรงใต้ต้นตาล 
 
ขณะนั้นบนต้นตาลมีนกอินทรีคู่หนึ่งอาศัยอยู่

นางนกถามสามีว่า ?พรุ่งนี้เราจะไปหาอาหารที่ไหน? นกสามีก็ตอบว่า ?พรุ่งนี้เราไม่ต้องบินไปไกล เพราะจะได้กินเนื้อธรรมบาลกุมาร ซึ่งจะถูกท้าวกบิลพรหมตัดหัว เนื่องจากแก้ปัญหาไม่ได้? นางนกถามว่า ?ปัญหานั้นว่าอย่างไร? 
 
นกสามีตอบว่า ปัญหามีอยู่ 3 ข้อ และหมายถึง

ข้อหนึ่ง ตอนเช้าราศีของมนุษย์อยู่ที่หน้า คนจึงต้องล้างหน้าทุกๆ เช้า

ข้อสอง ตอนเที่ยงราศีคนอยู่ที่อก มนุษย์จึงต้องเอาเครื่องหอมประพรมที่อก

ข้อสาม ตอนค่ำราศีคนอยู่ที่เท้า มนุษย์จึงต้องล้างเท้าก่อนเข้านอน
 
ธรรมบาลกุมาร ได้ยินการไขปัญหาของนกอินทรี และจำจนขึ้นใจ

ทั้งนี้เพราะธรรมบาลรู้ภาษานก จึงกลับสู่ปราสาทอันเป็นที่อยู่แห่งตน รุ่งขึ้นเป็นวันครบกำหนดแก้ปัญหา ท้าวกบิลพรหมมาฟังคำตอบ ธรรมบาลกุมารกล่าวแก้ปัญหาตามที่นกอินทรีคุยกันทุกประการ

 
 
ท้าวกบิลพรหมจึงเรียก ธิดาทั้ง 7 ของตน

อันเป็นบริจาริกาคือหญิงรับใช้ของพระอินทร์มาพร้อมกัน แล้วบอกว่าตนจะตัดเศียรบูชาธรรมบาลกุมาร แต่ถ้าเอาศีรษะพ่อวางไว้บนแผ่นดินก็จะลุกไหม้ไปทั้งโลก ถ้าจะโยนขึ้นไปบนอากาศ อากาศจะแห้งแล้งฟ้าฝนจะหายไปสิ้น ถ้าทิ้งลงไปในมหาสมุทร น้ำในมหาสมุทรจะแห้งแล้งไปเช่นกัน 
 
จึงสั่งให้ นางทั้ง 7 คน เอาพานมารองรับศีรษะ

แล้วจึงตัดศรีษะส่งให้นางทุงษธิดาคนโต นางทุงษจึงเอาพานรับเศียรบิดาไว้แล้วแห่ประทักษิณรอบเขาพระสุเมรุ 60 นาที

แล้วอัญเชิญไปไว้ใน

มณฑปถ้ำคันธุรลี เขาไกรลาส บูชาด้วยเครื่องทิพย์ พระเวสสุกรรมก็เนรมิตโรงประดับด้วยแก้ว 7 ประการ ชื่อภควดี ให้เป็นที่ประชุมเทวดา เทวดาทั้งปวงก็เอาเถาฉมูนวดลงมาล้างในสระอโนดาต 7 ครั้ง แล้วก็แจกกันเสวยทุกๆ องค์

ครั้นครบ 365 วัน

โลกสมมุติว่าเป็นหนึ่งปีเป็นสงกรานต์ ธิดา 7 องค์ ของเท้ากบิลพรหมก็ผลัดเวรกันมาเชิญพระเศียรของพระบิดาออกแห่ประทักษิณรอบเขาพระสุเมรุทุกปี แล้วจึงกลับไป

ขอขอบคุณเนื้อหาน่ารู้จาก
บริษัทสยามแกลเลอรี่ จำกัด 

18
วันที่ 13 เมษายน วันสังขานต์ล่อง

เริ่มจากตอนเช้ามีการยิงปืนขับไล่เสนียดจัญไร ให้ล่วงลับไปกับสังขานต์ และในแต่ละบ้านมีการทำความสะอาด ตลอดจนตามถนนและตรอกซอยเข้าบ้าน จากนั้นก็ทำความสะอาดชำระล้างร่างกาย สระเกล้าดำหัวให้สะอาดมีจิตใจผ่องใส หลังจากนั้นไปเที่ยวตามหมู่บ้านหรือในปัจจุบันนิยมไปเที่ยวตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ เรียกว่า ?ไปแอ่วปีใหม่? วันนี้มีการเล่นรดน้ำกันแล้ว
 
วันที่ 14 เมษายน วันเนา หรือวันเน่า

วัน ?ขนทราย? หรือ วันเนาว์ วันปู๋ติ วันนี้จะทำสิ่งต่างๆ ที่เป็นมงคล ไม่ค่าทอหรือทะเลาะวิวาท ตอนเช้าไปจ่ายของและอาหาร เตรียมทำบุญถวายพระ ในวันรุ่งขึ้น วันเตรียมอาหารและเครื่องไทยทานเรียกว่า?วันดา? (คำวันสุกดิบทางภาคอื่น) และทุกบ้านจะทำกับข้าวที่สามารถเก็บไว้ได้หลายวัน เช่น แกงเส้นร้อน แกงอ่อม ฯลฯ หรือไม่ก็จำพวกห่อนึ่ง

เช่น ห่อนึ่งไก่ ห่อนึ่งปลา ฯลฯ พร้อมทั้งตระเตรียมอาหารหวาน และเครื่องไทยทานไว้ให้พร้อม

ตอนบ่ายมีการขนทรายจากแม่น้ำ นำไปไว้ที่วัดใกล้บ้าน โดยก่อเจดีย์ทรายตามลานวัด เจดีย์ทรายจะถูกประดับตกแต่งด้วยตุง (ธง) ทำด้วยกระดาษสีตัดเป็นรูปสามเหลี่ยม และรูปอื่นๆ ชายธงมีการทานช่อ (ทำด้วยกระดาษสีต่างๆ) ตัดเป็นลวดลายติดปลายไม้สำหรับปักที่กองเจดีย์ทรายการทานธงและทานช่อนี้ ด้วยถือคติว่า

ผู้บริจาคทานเมื่อตายไปแล้วจะได้อาศัยชายธง หอบหิ้วไห้พ้นจากนรกได้ อานิสงส์การทานตุงหรือช่อนี้มีอยู่ในพระธรรมเทศนาใบลานตามวัดทั่วไป เจดีย์ทรายนี้จะทำพิธีถวายทานในวันรุ่งขึ้น มีการปล่อยนกปล่อยปลาอีกด้วย ในวันเดียวกันนี้มีการเล่นน้ำกันอย่างหนัก และเป็นที่สนุกสนานโดยเฉพาะคนหนุ่มคนสาว

ทุกๆ ปี เมื่อถึงเทศกาลตรุษสงกรานต์ ชาวเหนือมีประเพณีอย่างหนึ่งที่ยึดถือปฏิบัติ คือ ?สุมาคารวะ? ลูกหลานจะมาขอขมาลาโทษในความผิดต่างๆ ที่เคยกระทำมาต่อญาติผู้ใหญ่ ถือว่าเป็นการแสดงความกตัญญูกตเวทีของผู้น้อย อันมีต่อผู้ใหญ่ เรียกกันว่า ?การไปดำหัว? หรือประเพณีดำหัว การไปดำหัวของคนไทยภาคเหนือ มักจะเริ่มกันใน ?วันพญาวัน? (คือวันเถลิงศก)

วันที่ 15 เมษายน วันพญาวัน หรือวันเถลิงศก

ตอนเช้า จัดเตรียมอาหารคาวหวานใส่สำรับไปถวายพระที่วัด และทำบุญตักบาตรและนำไปให้ผู้เฒ่า ผู้แก่ ครูอาจารย์ หรือบุคคลที่ตนเคารพนับถือ เรียกว่าไปทานขันข้าว (ตานขันข้าว) การทานขันข้าวนี้

นอกจากจะทานให้พระ ผู้เฒ่าผู้แก่ที่เคารพนับถือดังกล่าวแล้วก็มีการถวายทานเพื่ออุทิศส่วนกุศลถึงญาติพี่น้อง บิดามารดาที่ล่วงลับไปแล้ว โดยพระที่วัดจะแยกย้ายกันนั่งประจำที่บริเวณวัดเพื่อให้ศีลให้พร แก่ผู้ไปทานขันข้าว

เสร็จจากการทำบุญตักบาตร ก็มีการถวายทานเจดีย์ทราย ปล่อยนกปล่อยปลา มีการสรงน้ำพระพุทธเจดีย์ มีการค้ำต้นโพธิ์ภายในวัดและหมู่บ้าน มีการสรงน้ำพระพุทธรูปสำคัญคู่บ้านคู่เมือง

เช่น เชียงใหม่ก็จะมีการสรงน้ำพระพุทธรูป เสตังคมณี (พระแก้วขาว) วัดเชียงมั่น พระเจ้าทองทิพย์ และ พระพุทธสิหิงค์ วัดพระสิงห์ พระเจ้าเก้าตื้อ วัดสวนดอก เสาอินทขิล หรือเสาหลักเมือง ส่วนตามจังหวัดต่างๆ ก็จะมีการไปสักการะบูชาพระพุทธรูปสำคัญประจำบ้านเมืองตนเช่นเดียวกัน

เช่น ลำปาง ก็ไปสรงน้ำพระแก้วมรกตที่วัดพระธาตุลำปางหลวง เมืองน่านที่วัดพระธาตุแช่แห้ง และที่แพร่ก็ไปสรงน้ำ ที่พระธาตุช่อแฮเป็นต้น

ตอนบ่าย ก็จะเริ่มการดำหัว และจะทำเรื่อยไปจนถึงวันรุ่งขึ้น หรือวันปากปี
วันที่สี่ เป็นวันปากปี มีการดำหัวตามวัดต่างๆ ที่ใกล้เคียงและห่างไกล ซึ่งมีพระในวัดและในหมู่บ้านนั้นนำไป

การไปดำหัวตามวัดนี้มักจะแบ่งแยกกันเป็นสายๆ เพราะบางวัดที่อยู่ห่างไกลก็ไม่ได้ไปกันอย่างทั่วถึงนอกจากวัดที่คนนิยมไปกันอย่างสม่ำเสมอ เรียกตามภาษาเมืองว่า ?ไปเติงกั๋น? หรือไปวัดของเจ้าคณะตำบล เจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะจังหวัด หรือพระเถระผู้ใหญ่

สนับสนุนข้อคิดนานาสาระโดย:

ขอขอบคุณการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย

 

19
มารู้จัก ประเพณีสงกรานต์กัน
สงกรานต์ เป็นประเพณีปีใหม่ของประเทศไทย ลาว กัมพูชา พม่า

ชนกลุ่มน้อยตระกูลภาษาไทแถบเวียดนามและมณฑลยูนนานของจีน ศรีลังกาและทางตะวันออกของประเทศอินเดีย

สงกรานต์เป็นคำสันสกฤต หมายถึง

การเคลื่อนย้าย ซึ่งเป็นการอุปมาถึงการเคลื่อนย้ายของการประทับในจักรราศี หรือคือการเคลื่อนขึ้นปีใหม่ในความเชื่อของไทยและบางประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ชาวต่างประเทศเรียกว่า "สงครามน้ำ"
ตามหลักแล้วเทศกาลสงกรานต์

กำหนดตามการคำนวณทางโหราศาสตร์ โดยกำหนดให้

? วันแรกเป็นวันที่พระอาทิตย์ยกขึ้นสู่ ราศีเมษ เรียกว่า วันมหาสงกรานต์ และ

?วันสุดท้ายเป็นวันเปลี่ยน จุลศักราช และเริ่มใช้กาลโยคประจำปีใหม่ เรียกว่า วันเถลิงศก ทั้งหมดนี้คำนวณได้จากตำรามหาสุริยยาตร์?
 
ปัจจุบันเหลื่อมอยู่ระหว่างวันที่ 13 - 15 เมษายน หรือ 14 - 16 เมษายน

แต่ดูเหมือนปฏิทินในยุคนี้จะกำหนดให้เทศกาลสงกรานต์ตรงกับวันที่ 13 - 15 เมษายน ของทุกปี ตัวอย่างเช่น พ.ศ. 2549 และ ปีนี้ วันมหาสงกรานต์ตรงกับวันที่ 14 เมษายน แต่ปฏิทินกำหนดให้สงกรานต์เริ่มในวันที่ 13 เมษายน
สงกรานต์ เป็นประเพณีเก่าแก่ของไทย

ซึ่งสืบทอดมาแต่โบราณคู่มากับประเพณีตรุษ จึงมีการเรียกรวมกันว่า ประเพณีตรุษสงกรานต์ หมายถึงประเพณีส่งท้ายปีเก่า และต้อนรับปีใหม่ คำว่าตรุษเป็นภาษาทมิฬ แปลว่าการสิ้นปี

 
 
พิธีสงกรานต์

เป็นพิธีกรรมที่เกิดขึ้นในสมาชิกในครอบครัว หรือชุมชนบ้านใกล้เรือนเคียง แต่ปัจจุบันได้เปลี่ยนไปสู่สังคมในวงกว้าง และมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนทัศนคติ และความเชื่อไป?
 
ในความเชื่อดั้งเดิมใช้สัญลักษณ์เป็นองค์ประกอบหลักในพิธี ได้แก่

? การใช้น้ำเป็นตัวแทน แก้กันกับความหมายของฤดูร้อน

? ช่วงเวลาที่พระอาทิตย์เคลื่อนเข้าสู่ราศีเมษ ใช้น้ำรดให้แก่กันเพื่อความชุ่มชื่น

? มีการขอพรจากผู้ใหญ่ การรำลึกและกตัญญูต่อบรรพบุรุษที่ล่วงลับ?
 
ในชีวิตสมัยใหม่ของสังคมไทย

เกิดประเพณีกลับบ้านในเทศกาลสงกรานต์ นับวันสงกรานต์เป็นวันครอบครัว ในพิธีเดิมมีการสรงน้ำพระที่นำสิริมงคล เพื่อให้เป็นการเริ่มต้นปีใหม่ที่มีความสุข?
 
ปัจจุบันมีพัฒนาการและมีแนวโน้มว่า

ได้มีการเสริมจนคลาดเคลื่อนบิดเบือนไป เกิดการประชาสัมพันธ์ในเชิงการท่องเที่ยวว่าเป็น ?Water Festival? เป็นภาพของการใช้น้ำเพื่อแสดงความหมายเพียงประเพณีการเล่นน้ำ
 

ขอขอบคุณเนื้อหาสาระดีๆ จาก
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
 

 

 

20
คุณค่าและสาระของวันสงกรานต์

จากภาพรวมของกิจกรรมต่าง ๆ ในวันสงกรานต์จะเห็นได้ว่า สงกรานต์เป็นประเพณีที่งดงาม อ่อนโยน เอื้ออาทร และเต็มไปด้วยบรรยากาศของความกตัญญู ความเคารพซึ่งกันและกัน เป็นประเพณีที่ให้ความสำคัญของความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนมนุษย์ในสังคม

โดยใช้น้ำเป็นสื่อในการเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างกัน ซึ่งต่างจากเทศกาลแห่งน้ำที่หน่วยงานบางแห่งดำเนินการเพื่อสร้างจุดขาย สร้างรายได้เข้าประเทศ ซึ่งอาจสร้างความเข้าใจผิดให้เกิดขึ้นแก่คนทั่วโลก ไม่เว้นแต่คนไทยด้วยกันเอง ให้เกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน และหลุดลอยไปจากสาระและคุณค่าเดิมของประเพณีสงกรานต์ไปทุกที

 
 

ประเพณีที่ถือปฏิบัติและสืบทอมกันมาอย่างยาวนาน เช่น ประเพณีสงกรานต์นี้ จึงย่อมมีความหมายและมีคุณค่าต่อผู้ปฎิบัติ ชุมชน และสังคมเป็นอย่างยิ่ง กล่าวคือ :

สงกรานต์-คุณค่าต่อครอบครัว

- วันสงกรานต์เป็นวันแห่งความรัก ความผูกผันในครอบครัว อย่างแท้จริง พ่อแม่จะเตรียมเสื้อผ้าใหม่พร้อมเครื่องประดับให้ลูกหลานไปทำบุญ ลูกหลานก็จะเตรียมเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม ให้ผู้ใหญ่ได้สวมใส่หลักการรดน้ำขอพร

เมื่อถึงวันสงกรานต์ ทุกคนจะหาโอกาสกลับบ้านไปหาพ่อแม่และญาติผู้ใหญ่ รดน้ำขอพรเพื่อเป็นสิริมงคลในการเริ่มต้นปีใหม่ และเป็นกำลังใจกันและกันในการดำรงชีวติอยู่ต่อไป

- วันสงกรานต์เป็นวันแห่งการแสดงความกตัญญู โดยการปรนนิบัติต่อพ่อแม่และผู้มีพระคุณที่มีชีวิตอยู่ และทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว

 สงกรานต์-คุณค่าต่อชุมชน

วันสงกรานต์เป็นวันที่ก่อให้เกิดความสมัครสมานสามัคคีในชุมชน เช่น ได้พบปะสังสรรค์ ได้ทำบุญร่วมกัน และได้เล่นสนุกสนานรื่นเริงกันในยามบ่ายหลังจากการทำบุญ โดยการเล่นรดน้ำในหมู่เพื่อนฝูงและคนรู้จัก และการละเล่นตามประเพณีท้องถิ่น เป็นต้น

 
 
สงกรานต์-คุณค่าต่อสังคม

สงกรานต์เป็นประเพณีที่ก่อให้เกิดความเอื้ออาทรต่อสิ่งแวดล้อม เพราะในวันนี้ทุกคนจะช่วยกันทำความสะอาดบ้านเรือน สิ่งของเครื่องใช้ทุกอย่างให้สะอาดหมดจด เพื่อจะได้ต้อนรับปีใหม่ด้วยความแจ่มใส เบิกบาน นอกจากนี้ยังควรช่วยกันทำความสะอาดวัดวาอาราม ที่สาธารณะ และอาคารสถานที่ของหน่วยงานต่าง ๆ ด้วย

 
 
สงกรานต์-คุณค่าต่อศาสนา

วันสงกรานต์เป็นวันทำบุญครั้งสำคัญครั้งหนึ่งของพุทธศาสนิกชน โดยการทำบุญ ตักบาตร เลี้ยงพระ ฟังเทศน์ ปฏิบัติธรรม และสรงน้ำพระ การศรัทธาในการทำบุญให้ทาน ถือเป็นการเกื้อกูลสูงสุดของมนุษยชาติ และการถือศีลปฏิบัติธรรมเป็นเหตุแห่งความเจริญร่งเรืองของชีวิต และสามารถสืบทอดพระพุทธศาสนามาได้จนถึงปัจจุบัน
 

 

 

21
ธรรมะ / ธรรมบทคำกลอน ภาค 2
« เมื่อ: 08 เม.ย. 2550, 10:40:29 »
ธรรมบทคำกลอน ภาค 2




1.เรื่องพระมหากาลเถระ


สุภานุปสฺสึ วิหรนฺตํ อินฺทริเยสุ อสํวุตํ
โภชนมฺหิ อมตฺตญฺญุง กุสีตํ หีนวิริยํ
ตํ เว ปสหตี มาโร วาโต ทุกฺขํ ว ทุพฺพลํ
อสุภานุปสฺสึ วิหรนฺตํ อินฺทริเยสุ สุสํวุตํ
โภชนมฺหิ จ มตฺตญฺญุง สทฺธํ อารทฺธวีริยํ
ตํ เว นปฺปสหตี มาโร วาโต เสลํ ว ปพฺพตํ


ผู้เห็นอารมณ์ว่างามและตามร่วม มิสำรวมอินทรีย์ดีไฉน
มิประมาณโภชนีดีกระไร อีกทั้งใจเกียจคร้านงานทุกสิ่ง
ความเพียรก็ล้มเหลวและเลวทราม มารย่อมดิ่งตามรังควาญระรานยิ่ง
ดุจต้นไม้มิแกร่งแข็งแรงจริง ต้นและกิ่งดิ่งล้มเพราะลมพา
ส่วนผู้เห็นว่ามิงามมิตามร่วม ย่อมสำรวมอินทรีย์ดีนักหนา
รู้จักประมาณการโภชนา มีศรัทธามิหวั่นใจมั่นคง
อีกทั้งปรารภร่วมความเพียรใหญ่ มารก็มิกวนใจให้ไหลหลง
ดุจดังไศลใหญ่กลางไพรพง มิล้มลงดอกหนาคราลมมี.


......................................................................................


2.อนิกฺกสาโว กาสาวํ โย วตฺตํ ปริทเหสฺสติ
อเปโต ทมสจฺเจน น โส กาสาวมรหติ
โย จ วนฺตกฺกสาวสฺส สีเลสุ สุสมาหิโต
อุเปโต ทมสจฺเจน ส เว กาสาวมรหติฯ


ผู้ใดมีกิเลสเฉดน้ำฝาด มิไปปราศจริงหนาอย่าสงสัย
ปราศจากทมะสัจจะชัย มิควรใส่ผ้าน้ำฝาดปลาสจริง
ส่วนผู้ใดกิเลสขาดปราศไปแล้ว ใจผ่องแผ้วปรีเปรมเกษมใส
ตั้งมั่นในศีลทมะสัจจะชัย ผู้นั้นไซร้ควรใส่กาสาวะ.ฯ


......................................................................................


3.เรื่องพระอัครสาวก


เย ธมฺมา เหตุปฺปภวา เตสํ เหตุ ตถาคโต
เยสญฺจ โย นิโรโธ จ เอวํ วาที มหาสมโณฯ


ธรรมเหล่าใดมีใจเป็นแดนเกิด ทั้งสุขเลิศภิญโญสโมสร
ทั้งทุกข์กายและใจให้อาทร ทุกขั้นตอนสอนดีถึงที่มา
ตถาคตทรงตรัสดำรัสว่า อวิชชาแน่จังอย่ากังขา
เหตุจักดับดับที่อวิชชา พระมหาสมณัสทรงตรัสชี้ฯ


......................................................................................


พระพิพัฒน์ปริยัติวิมล (เจ้าอาวาสวัดบางนาใน)

รวบรวมและเรียบเรียงโดย : ส.ธรรมสุนทร

 
 

22
ธรรมะ / ธรรมบทคำกลอน ภาค 1
« เมื่อ: 08 เม.ย. 2550, 10:39:00 »
ใจ - เมตตา - อภัย




1.เรื่อง จักขุบาลเถระ วัตถุ


มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา มโนเสฏฺฐา มโนมยา
มนสา เจ ปทุฏฺเฐน ภาสติ วา กโรติ วา
ตโต นํ ทุกฺขมเนวติ จกฺกํ ว วหโต ปทํฯ


ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า เหตุเพราะว่าใจเลิศประเสริฐศรี
ที่งานเสร็จสมฤทธิทฤษฏี เหตุเพราะมีใจเด่นเป็นสำคัญ
หากคนมีใจร้ายหมายแต่โทษ จะคิดโฉดพูดทำงามไฉน
ทุกข์ย่อมตามติดเขาทุกคราวไป ดุจล้อไต่ตามเต้ารอยเท้าโคฯ


........................................................


ชราชชฺชริตา โหนฺติ หตฺถปาทา อนสฺสวา
ยสฺส โส วิหตตฺถาโม กถํ ธมฺมํ จริสฺสติ ฯ


มือและเท้าทั้งสองของทุกผู้ มิน่าดูเกิดนานผ่านสมัย
บอกมิฟังสั่งยากมากกว่าใคร มิสดใสจริงหนอเพราะชรา
จะปฏิบัติธรรมกรรมฐาน เจริญฌาณเจริญใจอย่างไรหนอ
ด้วยกำลังหดหมดไปไม่รีรอ สุดท้ายก็สิ้นลมล้มลงดิน ฯ


.............................................................................


2.เรื่องมัฐกุณฑลี วัตถุ


มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา มโนเสฏฺฐา มโนมยา
มนสา เจ ตุฏเฐน ภาสตี วา กโรติ วา
ตโต นํ สุขมเนวติ ฉายา ว อนุปายินี ฯ


ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า เหตุเพราะว่าใจเลิศประเสริฐศรี
ที่งานเสร็จสมฤทธิทฤษฏี เหตุเพราะมีใจใจเด่นเป็นสำคัญ
หากคนดีมีใจใสสะอาด ไม่พลั้งพลาดทำไปด้วยใจหวัง
สุขย่อมตามติดต้องสนองครัน ดุจเงานั้นตามติดตนทุกคนไป ฯ


.............................................................................


3.เรื่องพระติสสะเถระ วัตถุ


อกฺโกจฺฉิ มํ อวธิ มํ อชินิ มํ อหาสิ เม
เย จ ตํ อุปนยฺหนฺติ เวรํ เตสํ น สมฺมติ
อกฺโกจฺฉิ มํ อวธิ มํ อชินิ มํ อหาสิ เม
เย จ ตํ นูปนยฺหนฺติ เวรํ เตสํ อุปสมตีติฯ


ชนเหล่าใดผูกโกรธและโทษว่า คนนั้นด่าราวีและตีฉัน
คนนั้นลักของไปทำไมกัน อีกคนนั้นชนะเราเฉาอุรา
หากคนใดใจโหดกล่าวโทษชี้ ว่าคนนี้คนโน้นน่าเข่นฆ่า
เวรระงับดับได้ที่ไหนมา ย่อมเข่นฆ่าด่ากันทุกวันไป
ส่วนคนใดใจสุขมิผูกโกรธ มิกล่าวโทษด่าว่าหน้าสดใส
เจรจาไพเราะเหมาะอำไพ เวรนั้นไซร้จะระงับเพราะดับเวรฯ


...........................................................................

เรื่องนางยักษิณีชื่อว่า กาลี


น หิ เวเรน เวรานิ สมฺมนฺตีธ กุทาจนํ
อเวเรน จ สมฺมนฺติ เอส ธมฺโม สนนฺตโนฯ


ในกาลไหนทั่วพื้นผืนพิภพ หวังจะลบจบเวรด้วยเข่นฆ่า
เวรระงับดับได้กระไรนา ต้องเข่นฆ่ากรรมก่อกันต่อไป
ในกาลไหนทั่วพื้นผืนพิภพ จะสงบลบถอยเวรน้อยใหญ่
ก็ต้องด้วยเมตตาและอภัย ธรรมนี้ไซร้ของเก่าเล่ากันมา ฯ


...........................................................................


เรื่องพระมหากาลเถระ


อนิจฺจา วต สงฺขารา อุปฺปาทวยธมฺมิโน
อุปฺปชฺชิตฺวา นิรุชฺฌนฺติ เตสํ วูปสโม สุโข ฯ


สังขารขันธ์ทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ เหตุเพราะก่อจากธาตุคลาดกันอยู่
พอตายลงหงายหน้าเหม็นน่าดู น่าอดสูสังเวชทุเรศใจ
ไยคนเราจึงหลงกับสังขาร ที่มินานจะดับลงมิสงสัย
เมื่อรู้ชัดอรรถเช่นนี้จงหนีไกล ศึกษาทางดับภัยในสงสาร
ไร้เกิดดับไร้ดำเนินทุกชนม์วาร การเข้าไปดับสังขารสุขศานติ์จริงฯ


..........................................................................................

 
 
พระพิพัฒน์ปริยัติวิมล (เจ้าอาวาสวัดบางนาใน)

รวบรวมและเรียบเรียงโดย : ส.ธรรมสุนทร
 
 

23
เคล็ดลับ..สู่ความสำเร็จ

ไม่ว่าคุณจะทำอะไรก็ตาม ผลที่ตามมามีได้ 2 อย่างด้วยกัน คือ ความสำเร็จและความล้มเหลว ซึ่งคิดว่าใคร ๆ ก็ปรารถนาที่จะให้ตัวเองประสบความสำเร็จด้วยกัน ทั้งนั้น แต่จะทำอย่างไรเราจึงจะหลีกเลี่ยงความล้มเหลวได้พ้น
 


ประการแรก

หากคุณกำลังล้มเหลวอยู่ ให้คุณลองประเมินดูว่า อะไรกันแน่ที่เป็นสาเหตุ แห่งความล้มเหลวของคุณ แล้วพยายามแก้ไขที่สาเหตุนั้น เช่น หากล้มเหลว เพราะคุณมีความสามารถไม่พอ คุณก็ต้องพัฒนาตนเองให้มีความสามารถมากขึ้น ถ้าคิดว่าเป็นเพราะคุณไม่ได้ตั้งใจ ทำไปเล่น ๆ ไม่ได้พยายามเท่าที่ควร คราวหน้า คุณก็ต้องทุ่มเทกำลังกาย กำลังใจ กำลังสติปัญญา กำลังทรัพย์ให้มากขึ้นกว่าเดิม


ประการต่อมา

นอกจากคุณต้องประเมินตัวเองตามความเป็นจริงแล้ว คุณต้องตั้งเป้าหมายของคุณ ให้อยู่บนความเป็นจริงที่คุณจะประสบผลสำเร็จได้ด้วย ถ้าคุณตั้งเป้าหมายสูงมากเกินไป โอกาสล้มเหลวก็มี แต่ถ้าตั้งเป้าหมายต่ำไป แม้จะสำเร็จได้โดยง่าย แต่ก็ไม่สร้างความภาคภูมิใจให้กับคุณเท่าที่ควร และคุณก็อาจจะไม่มีโอกาสได้แสดงความสามารถอย่างเต็มที่ หรือไม่มีโอกาสพัฒนาตัวเองให้มีความสามารถสูงขึ้นกว่าที่เคยเป็นอยู่ด้วย เพราะฉะนั้น เป้าหมายของคุณจึงควรมีความยากพอสมควร ท้าทายความสามารถ ทำให้คุณต้องออกแรงพยายามบ้างจึงจะดีที่สุด


ประการที่สาม

อย่าปล่อยให้ความล้มเหลวที่เกิดขึ้น ทำให้คุณหวาดกลัวเข็ดขยาด ไม่กล้าที่จะต่อสู้ต่อไปอีก ขอให้คิดว่าความล้มเหลวเป็นสิ่งที่ท้าทายความสามารถ ทำให้คุณได้พิจารณาตัวเอง เพื่อแก้ไขปรับปรุงให้ดีขึ้น และถ้าดูตัวอย่างของบุคคลที่ประสบความสำเร็จในชีวิตแล้ว จะพบว่า พวกเค้าเหล่านั้น ล้วนผ่านความล้มเหลวกันมาแล้วทั้งสิ้น สุดแต่ว่าใครจะมากกว่าน้อยกว่ากันเท่านั้นเอง ดังนั้น ถ้าคุณอยากประสบความสำเร็จ คุณก็ต้องพยายามต่อไป
 
ประการที่สี่

คุณต้องเข้มแข็ง อย่าไปใส่ใจกับปากคนหรือความคิดเห็นของคนอื่นมากจนเกินไป คุณจะทำอะไรที่คุณคิดแล้วว่ามันเป็นสิ่งที่ดีงาม ถูกต้อง สร้างสรรค์ เป็นประโยชน์ต่อตัวเอง และผู้อื่น คุณก็จงมุมานะ ทำให้สำเร็จ


ประการสุดท้าย

คุณอย่าหมกมุ่นกับความล้มเหลวให้มากเกินไป จะเสียใจผิดหวัง อับอายแค่ไหนก็ปล่อยให้ผ่านไป บอกกับตัวเองให้ขึ้นใจว่า การล้มเหลวครั้งนี้ ไม่ได้หมายความว่า เราจะล้มเหลวตลอดไป การล้มเหลวเป็นบทเรียนที่ดี ทำให้เราได้เรียนรู้อะไรมากขึ้น จะได้ไม่ทำผิดพลาดอีก ความล้มเหลวเป็นสิ่งที่ท้าทาย เราจะต้องเอาชนะให้จงได้ นักสู้ผู้ชนะทั้งหลาย มักจะมีความคิดว่า ทำอย่างไร จึงจะประสบความสำเร็จได้ ในขณะที่คนใจไม่สู้ ใจเสาะ มักจะคอยคิดเพียงว่า ทำอย่างไรจึงจะหลีกเลี่ยงความล้มเหลวได้พ้นเท่านั้น


"ถ้าอยากจะเป็นผู้ชนะ คุณต้องสู้ต่อไป แล้ววันหนึ่ง ความสำเร็จจะเป็นของคุณอย่างแน่นอน"

24
นินทาผู้อื่นเท่ากับนินทาตัวเอง




เราต้องพยายามพิจารณาให้เห็นจริงๆ ว่า
การที่เรานึกนินทาผู้อื่นนั้น เท่ากับเรานินทาตัวเอง
เราต้องสร้างความรู้สึกถึงขนาดนั้น
จิตจึงจะสงบได้


ไม่กล้าคิดผิด คิดชั่ว พูดชั่ว ทำชั่ว
เกิดหิริโอตตัปปะ ละอายบาป อายที่จะคิดชั่ว อายที่จะทำชั่ว
โอตตัปปะ คือ กลัว
กลัวว่าสิ่งที่เราคิดไปด้วยโทสะ จะทำให้เราเศร้าหมองทันที
และจะกลับมาหาเราและให้โทษแก่ตัวเราด้วย
อันนี้ก็เป็นความจริงนะ


ถ้าเราสนใจธรรมะจริงๆ มีศรัทธาในพระพุทธศาสนา
มีศรัทธาในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
เชื่อคำสอนของพระพุทธเจ้า มีมรรค มีศีล สมาธิ ปัญญา
เชื่อทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค
เชื่อว่าเมื่อเราบำเพ็ญ ศีล สมาธิ ปัญญา แล้วก็จะพ้นทุกข์ได้
ถ้าเราเชื่อคำสอนของพระพุทธเจ้าจริงๆ
เราก็ต้องพิจารณาดูตัวเอง
ดูว่า เราเป็นคนซื่อสัตย์สุจริต ไม่คอรัปชั่น ไม่โกง รึเปล่า
สิ่งใดเป็นหน้าที่ของตัวเองก็ไม่ขี้เกียจขี้คร้านทำ
แม้จะเหน็ดเหนื่อยขนาดไหน หรือเจ็บเพียงใด ก็พยายามทำ
ความรู้สึกว่าเราเจ็บๆ ๆ ความน้อยใจ เสียใจ เจ็บใจ อะไรๆ ก็มี


แต่ถ้าเราพร้อมที่จะทำลายความชั่วของตัวเอง
เราก็ต้องตั้งใจ.?. แล้วก็มีโอกาสที่จะก้าวหน้าได้
ถ้าเราเอาแต่ขี้โกง มักได้
มองข้ามตัวเอง จับผิดคนอื่น แล้วก็บ่นอีก
ก็ไม่มีวันสงบได้ ไม่มีวันพ้นทุกข์ได้
เราก็เสียเวลาอยู่อย่างนั้น

25
ฝึกจิตให้มีความสุข


การบริหารจิต คือการฝึกอบรมจิตให้มีความสงบ เยือกเย็นเป็นสุข ขณะเดียวกันรู้ว่าอะไรผิดอะไรถูกควรแก้ไข อะไรควรส่งเสริมอย่างไร และเมื่อรู้แล้วก็ควรปฏิบัติเพื่อแก้ไข หรือส่งเสริมให้เหมาะให้ควร


คือปฏิบัติเพื่อแก้ไขสิ่งที่ควรได้รับการแก้ไข และส่งเสริมสิ่งที่ควรได้รับการส่งเสริมการบริหารทางจิตมิใช่เพียงเพื่อฝึกอบรมจิตใจให้สงบเยือกเย็นเป็นสุขอย่างไม่รับรู้เลยว่าอะไรถูก อะไรผิด อะไรควรแก้ไข อะไรควรส่งเสริม


อันจิตที่ได้รับการฝึกอบรมในทางที่ถูกนั่น ต้องเป็นจิตที่มีความสงบเป็นพื้นฐานนี้แหละ ที่จะทำให้มีความรู้ในสิ่งที่ควรรู้ เห็นในสิ่งที่ควรเห็น เช่นความผิดถูก ความควรไม่ควร รู้วิธีปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านั้นอย่างถูกต้อง 
ผู้ปรารถนาความสงบ เยือกเย็นเป็นสุข และความมีปัญญารู้เห็นอะไร ๆ โดยชอบ


จึงจำเป็นต้องบริหารจิตและจำเป็นต้องบริหารหลักของพระพุทธศาสนา จึงจะได้ผลสมดังปรารถนานั้น


ข้อว่า จิตที่ได้รับการฝึกอบรมอย่างถูกต้อง จะเป็นจิตที่มีความสงบเยือกเย็นเป็นสุข และมีปัญญารู้ในสิ่งที่ควรรู้ เห็นในสิ่งที่ควรเห็น เช่น รู้ความถูกความผิด ความควรความไม่ควรและรู้วิธีปฏิบัติเพื่อแก้ไขหรือส่งเสริมเรื่องทั้งหลาย โดยไม่จำเป็นต้องใช้อำนาจอารมณ์กิเลส


เช่น ไม่จำเป็นต้องโลภจึงจะขยันหมั่นเพียรประกอบอาชีพ เพื่อให้ได้ทรัพย์สินเงินทอง ไม่จำเป็นต้องโกรธจึงจะว่ากล่าวตักเตือน หรือลงโทษผู้ที่กระทำความผิด ไม่จำเป็นต้องหลงจึงจะสามารถทำเหมือนไม่รู้ไม่เห็น สิ่งที่ไม่ควรรู้ไม่ควรเห็นเสียได้

 

26
พลิกนิดเดียว แล้วอยู่อย่างมีความสุข




คนเราจะเป็นสุขหรือเป็นทุกข์อยู่ที่ความคิดนิดเดียว

พลิกนิดเดียวเราก็จะไม่เป็นทุกข์

พลิกนิดเดียวก็จะเปลี่ยนจากมิจฉาทิฏฐิมาเป็นสัมมาทิฏฐิ

จากความคิดผิดเป็นความคิดถูก


จากทางโลกมาสู่ทางธรรม

พลิกนิดเดียวเราก็จะอยู่ได้อย่างไม่มีทุกข์

อยู่กับปัจจุบันได้อย่างสงบ

ยอมรับทุกอย่างที่เกิดขึ้นแต่ละขณะอย่างสมบูรณ์

 
 



การเจริญสติปัฏฐาน คือการอยู่อย่างไม่มีความทุกข์ที่จะต้องดับ

การเจริญสติปัฏฐาน หรือการเจริญสมาธิวิปัสสนา ก็เพื่อหัดเปลี่ยนจาก

การอยู่อย่างมีทุกข์เป็นพื้นฐานมาเป็นการอยู่อย่างมีความสุขเป็นพื้นฐาน

เพียงแต่มีชีวิตอยู่กับปัจจุบันให้เต็มที่ในขณะนั้นๆ

ไม่อยู่กับอดีตบ้าง อนาคตบ้าง

รับรู้และเสวยอารมณ์แต่ละขณะอย่างเต็มบริบูรณ์

เห็นความงดงามของปัจจุบัน อย่ามัวแต่อยู่กับอดีตและอนาคต



ยอมรับทุกอย่างที่เกิดขึ้นในแต่ละขณะอย่างสิ้นเชิง

มีความสุขเต็มอิ่มอยู่ในตัวทุกๆ ขณะ

นี่คือการอยู่อย่างไร้ทุกข์

มีความสุขบริบูรณ์อยู่ในตัวตลอดเวลา

อยู่ในภาวะไร้ทุกข์ตลอดเวลา

และก็ไม่มีทุกข์จะต้องดับ
 
 

27
บทความ บทกวี / นินทา
« เมื่อ: 07 เม.ย. 2550, 11:20:01 »
เขานินทาเรา





เราไม่พอใจ เรากำลังจะโกรธเขา ต้องรีบแก้ไขทันที

"เขา" ไม่สำคัญ สำคัญที่ใจเรากำลังจะเป็นทุกข์

เรากำลังจะผิดศีล กำลังจะผิดข้อวัตรของเรา

ระวังนะ..... ถ้าเราเป็นทุกข์ เราก็ผิดข้อวัตรของเราแล้ว

ผิดศีล เราก็บาปแล้ว

เราต้องมีหิริ โอตตัปปะ ละอายต่อบาป เกรงกลัวต่อบาป

ถ้าเราเป็นทุกข์ เราผิดศีล เราก็บาป

 
 



ใครเขานินทาเราก็ไม่สำคัญ เขาทำอะไรๆ เราก็ไม่สำคัญ สำคัญที่ใจเรา

สำคัญที่ใจเราอย่าเป็นทุกข์เท่านั้นก็พอแล้ว

ไม่ต้องดูใคร ไม่ต้องฟังใคร ดูกายกับใจของเรานี่แหละ

เราต้องเป็นที่พึ่งของเราเอง

อัตตา หิ อัตตโน นาโถ นะ


 
 




ระวังนะ?.. คนโน้นคนนี้ก็ไม่สำคัญหรอก สำคัญที่จิตของเรานี่แหละ

ใครทุกข์ก็ไม่ต้องทุกข์ตามเขา ไม่ต้องโต้ตอบ ไม่ต้องชี้แจง ไม่ต้องกลัว

สำคัญที่ใจเราอย่าเป็นทุกข์นะ

ถ้าเราทุกข์เราผิดแล้วนะ ไม่ใช่เขาผิดหรอก

ต้องรีบพิจารณาแก้ไขทันที

 
 
พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก
วัดป่าสุนันทวนาราม
 
 

28
คิดดี พูดดี ทำดี มีความสุข




การปฏิบัติของเรานั้น
เรามักจะคิด เรียกร้องธรรมะให้มาช่วยเรา
ที่ถูกแล้ว เราต้องช่วยเหลือตัวเอง
ต้องหมั่นพิจารณา.?. โยนิโสมนสิการ
เราต้องน้อมเข้าไปหาธรรมะ
เอากาย วาจา จิต ไปละความชั่ว ทำความดี
พยายามชำระจิตใจให้สะอาด


ต้องพยายามใช้ปัญญามาพิจารณาดู คือโยนิโสมนสิการ
พยายามคิด พิจารณาดูอยู่อย่างนั้น
ทุกข์เกิดขึ้นเมื่อไร เราก็คิดผิด
เมื่อกระทบอารมณ์ เราก็ต้องรีบคิดดี พูดดี ทำดี
"คิดดี พูดดี ทำดี มีความสุข"
ธรรมะข้อนี้ใครก็รู้จัก เราก็ได้ยินมาตั้งแต่เล็กๆ แต่ยังไม่ถึงใจ
ใจเราก็ยังคิดสกปรกอยู่
กระทบนิดเดียวก็คิดสารพัด
เห็นอะไร ได้ยินอะไร ก็เกิดน้อยใจ เสียใจ ไม่พอใจ ครุ่นคิดสารพัด
พยาบาท ปองร้าย สู้กัน ชนกันอยู่อย่างนั้น
ถ้าเราเข้าใจธรรมะนิดหน่อย


เอา คิดดี พูดดี ทำดี มีความสุข ตั้งไว้ที่หัวใจ
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ตั้งขึ้นมา
ทุกข์เพราะคิดผิด
อย่าเชื่อความรู้สึกนึกคิด
อะไรก็ไม่แน่ ไม่แน่ ไม่แน่
ถ้าเรามีสติระลึกได้ เอาธรรมะเหล่านี้มากรองอยู่อย่างนั้น
การปฏิบัติก็ง่ายมาก
ถ้าเรายึดธรรมเหล่านี้มาเป็นหลักในการปฏิบัติ.?. ก็ไม่มีอะไร
เห็นอะไร ได้ฟังอะไร อะไรกระทบอารมณ์ ใจก็สงบ
เราอาจจะเกิดความรู้สึกไม่พอใจ หรือทุกข์อาจจะเกิดขึ้นก็ได้
แต่จิตไม่ฟุ้งซ่าน จิตสงบได้ ทำใจสงบได้
แม้ยังรู้สึกเป็นทุกข์ เพราะเรายังมีกิเลส
บางครั้งเมื่อรู้สึกน้อยใจ เรารีบจับความรู้สึกที่หน้าอก
ความรู้สึกทางกายเกิด ใจก็ไม่พุ่งออกไปชนกับเขา
ไม่ดูถูก ดูหมิ่นใคร ไม่ต้องคิดอะไร


จับความรู้สึกทางกายนี่แหละ ที่หน้าอก
ความรู้สึกเป็นทุกข์ เราก็ต้องรู้จักว่า กิเลสกำลังเกิด
แล้วก็พิจารณาดูว่าไม่แน่ ความรู้สึกสักแต่ว่าความรู้สึก
เลยเป็นเรื่องเล็ก ไม่เป็นเรื่องใหญ่โต เพราะเราไม่ปรุงแต่ง
ถ้าเราทำได้อย่างนี้ เราก็ปฏิบัติถูก

 
 

พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก
วัดป่าสุนันทวนาราม

 
 

29
เป็นสุขทุกขณะจิต เมื่อชีวิตไม่ติดลบ


เวลากินข้าว เราไม่เพียงตักอาหารบำรุงเลี้ยงร่างกายเท่านั้น หากยังเป็นโอกาสที่เราจะได้บำรุงเลี้ยงจิตใจด้วย โดยเฉพาะเมื่อเรากินอย่างมีสติ รู้จักประมาณในการกิน กินอย่างรู้คุณค่าที่แท้จริงของอาหาร และด้วยสำนึกในบุญคุณของทุกชีวิตที่นำอาหารมาให้เรา สติและสำนึกดังกล่าวจะช่วยบ่มเพาะจิตใจของเราให้งดงามและเป็นกุศล นำไปสู่ชีวิตที่สงบเย็นและมีเมตตา


เวลาหายใจ เราไม่เพียงดูดออกซิเจนไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ในร่างกายเท่านั้น หากยังเป็นโอกาสที่เราจะนำเอาความสงบเย็นไปหล่อเลี้ยงจิตใจด้วย ในยามเครียดหรือเกิดโทสะ ลองหายใจเข้าลึกๆ หายใจออกยาวๆ สัก ๕-๑๐ ครั้ง จิตจดจ่ออยู่ที่ลมหายใจ จะพบว่าความเครียดบรรเทาลง และจิตใจหายรุ่มร้อน ยิ่งในยามปกติด้วยแล้ว การหายใจอย่างมีสติจะช่วยให้จิตสงบนิ่ง มั่นคงแต่อ่อนโยน เต็มไปด้วยความรู้ตัวทั่วพร้อม


เวลาเดิน เราไม่เพียงพาตัวเองไปให้ถึงจุดหมายเท่านั้น หากยังเป็นโอกาสที่เราจะพาใจให้เข้าถึงความผ่อนคลาย เป็นสมาธิ เมื่อเดินอย่างมีสติรู้ตัวในทุกย่างก้าว ไม่กังวลกับจุดหมาย ไม่สนใจว่าต้องเดินอีกไกลเท่าใด ไม่เร่งเร้าว่าเมื่อไหร่จะถึง เมื่อนั้นเราจะเป็นอิสระจากระยะทางและเวลา การเดินจึงกลายเป็นการพักใจในทุกก้าว แม้กายเหนื่อย แต่ใจหาเหนื่อยไม่

 
ทุกอิริยาบถ ทุกกิจกรรมในชีวิตประจำวัน แม้ดูเหมือนจะเป็นเรื่องของร่างกายล้วนๆ แต่แท้ที่จริงแล้วมีมิติด้านจิตใจมาเกี่ยวข้องด้วยเสมอ เป็นมิติที่มากไปกว่าการใช้สมองหรือความคิด หากเป็นมิติที่สัมพันธ์กับความปกติสุข (หรือความทุกข์) ในระดับจิตวิญญาณ ทุกขณะและทุกการกระทำของเราล้วนแยกไม่ออกจากมิติทางจิตใจ กล่าวคือล้วนส่งผลต่อจิตใจ ไม่ว่าในทางบ่มเพาะหรือบั่นทอน หล่อเลี้ยงหรือตัดรอนความสงบเย็นของชีวิตด้านใน


ชีวิตที่สนใจแต่มิติด้านกายภาพ มุ่งตักตวงความสุขทางกาย หรือความพรั่งพร้อมทางวัตถุ โดยไม่คำนึงถึงมิติด้านจิตใจ เอาแต่ปรนเปรอร่างกาย โดยละเลยการบำรุงเลี้ยงจิตใจ ชีวิตดังกล่าวย่อมเป็นชีวิตที่ยากจะพบกับความสงบสุข มีแต่จะรุ่มร้อนเพราะความอยากที่ไม่รู้จักพอ ขณะเดียวกันจิตใจก็แส่ส่ายทุรนทุรายเนื่องจากขาดความสุขที่แท้ จึงต้องดิ้นรนแสวงหาโดยนึกว่าทรัพย์สมบัติจะนำความสุขที่แท้มาให้ แต่สุดท้ายก็ต้องผิดหวัง จึงต้องดิ้นรนแสวงหาต่อไปไม่รู้จบ ชีวิตเช่นนี้เป็นชีวิตที่ติดลบ แม้จะมีทรัพย์สมบัติท่วมหัวก็ตาม


มนุษย์ทุกคนย่อมปรารถนาความสงบเย็นภายใน ความสงบเย็นแบบนี้หาซื้อไม่ได้ จะได้มาก็จากชีวิตด้านในที่เจริญงอกงาม หรือจากจิตใจที่ได้รับการบำรุงเลี้ยงอย่างสม่ำเสมอเท่านั้น ผู้ที่เห็นคุณค่าของชีวิตด้านในย่อมแสวงหาสิ่งดีงามมาบำรุงเลี้ยงจิตใจอยู่เป็นนิจ สิ่งดีงามนั้นได้แก่ความปรารถนาดี (เมตตา) การเผื่อแผ่และเสียสละ (จาคะ) ความตั้งมั่นและความสงบใจ (สมาธิ) ความรู้ตัวและไม่หลงลืม (สติ) ความรู้ความเข้าใจในเรื่องชีวิตจิตใจ (ปัญญา) เป็นต้น


เพียงแค่หยุดคิดแล้วหันมามองดูตน เราย่อมเห็นได้ไม่ยากว่าอะไรคือสิ่งที่ชีวิตจิตใจของเราปรารถนาอย่างแท้จริง แต่ในยุคนี้ดูเหมือนว่าทำเพียงเท่านี้ก็นับว่ายากแล้ว เพราะนอกจากชีวิตจะเร่งรีบจนแทบไม่มีเวลาว่างแล้ว แม้ในยามที่มีเวลาว่าง อะไรต่ออะไรก็พากันแย่งเวลาเราไปจนหมด ไม่ว่าโทรทัศน์ วีดีโอ โทรศัพท์มือถือ อินเตอร์เน็ต หรือสถานบันเทิง


ยิ่งกว่านั้นก็คือกระแสเงินตราที่ไหลบ่ามาแรง โดยเฉพาะสังคมไทยใน พ.ศ.นี้ และพ.ศ.หน้า ไม่เพียงสินทรัพย์จะถูกแปรเป็นทุนเท่านั้น หากแต่สรรพสิ่งก็กำลังถูกแปรเป็นเงินตรา ขณะที่วัฒนธรรมของชาติกำลังถูกแปรเป็นวัฒนธรรมเชิงท่องเที่ยว เพื่อสร้างรายได้ให้ประเทศ คาสิโนและโต๊ะพนันบอลก็ทำท่าจะเดินตามหวย คือถูกขุดขึ้นมาจากใต้ดินเพื่อเป็นขุมเงินขุมทองให้รัฐ เงินกำลังกลายเป็นเป้าหมายสูงสุดของคนในชาติ และกลายเป็นเกณฑ์วัดความสำเร็จและความเจริญของทุกสิ่งตั้งแต่บุคคล องค์กร ชุมชน ไปจนถึงประเทศชาติ ใช่แต่เท่านั้นเงินยังทำท่าแพร่สะพัดสุดแต่ว่าใครจะไขว่คว้าได้แค่ไหน ไม่ว่าเงินกู้ในรูปเครดิตการ์ดที่ธนาคารแข่งกันออก เงินล้านที่หลั่งไหลสู่ชุมชนเพื่อเอาชนะความยากจน และเงินลงทุนอีกหลายแสนล้านของรัฐบาลในโครงการนับไม่ถ้วน


ในยุคที่เงินตราเป็นตัวกำหนดทุกสิ่ง รวมทั้งความถูกต้อง จนแฟชั่น "นมหก" กลายเป็นเรื่องธรรมดาเพราะจำเป็นสำหรับการสร้างเมืองไทยให้เป็นตลาดแฟชั่นชั้นนำของโลก การที่ผู้คนจะแลเห็นอะไรที่ลึกซึ้งไปกว่าวัตถุเงินตรา ย่อมเป็นเรื่องยาก อย่าว่าแต่เรื่องจิตวิญญาณเลย แม้กระทั่งศักดิ์ศรี สิทธิมนุษยชน หรือสิทธิเสรีภาพ ซึ่งเป็นเรื่องโลกีย์ๆ ก็แทบไม่มีความหมายเสียแล้วเมื่อเทียบกับความมั่งคั่งหรือการเติบโตทางเศรษฐกิจ
 
ในยามที่เงินเป็นพระเจ้านี้ สิ่งสำคัญก่อนอื่นใดคือการมีสติยั้งคิด ไม่หลงใหลไปตามกระแสและหรือลุ่มหลงกับมายาภาพ จนลืมไปว่า มีเงินมากเท่าไหร่ ก็ไม่มีความหมายหากชีวิตติดลบ ติดลบเพราะหิวโหยความสงบเย็นภายใน ชีวิตเช่นนี้ว่างเปล่าเพราะหาสาระที่แท้ของชีวิตไม่เจอ ใช่หรือไม่ว่าในที่สุดชีวิตเช่นนี้ย่อมกลายเป็นชีวิตที่กัดเจ้าของ


ปีใหม่นี้ถึงแม้เงินจะปลิวว่อนในอากาศมากกว่าเดิม ก็อย่าหลงเพลินกับการไขว่คว้าเงินจนลืมชีวิตด้านในของตนเอง พึงตระหนักว่าทุกขณะและทุกอิริยาบถล้วนมีความสำคัญต่อชีวิตด้านใน ลึกลงไปในทุกกิจกรรมคือโอกาสแห่งการบ่มเพาะจิตใจและการนำความสงบเย็นมาสู่จิตวิญญาณ พยายามใช้ทุกกิจกรรมเพื่อการสร้างความไพบูลย์งดงามแก่จิตใจ แทนที่จะทุ่มเททุกหยาดเหงื่อให้กับการแสวงหาเงินตราและวัตถุสถานเดียว


ที่ขาดไม่ได้ก็คือการหาเวลาสงบๆ ให้แก่ตนเอง เพื่อไตร่ตรองมองตนและปล่อยวางจากสิ่งข้องขัดที่สะสมมาตลอดทั้งวัน เวลาดังกล่าวสำคัญอย่างยิ่งสำหรับการเติมความสงบเย็นให้แก่จิตใจ ถ้าทำได้เช่นนี้ ชีวิตย่อมเต็มอิ่มและนำความสุขใจมาให้ทุกขณะจิต


[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

30
ป่วยแต่ไม่ทุกข์ (ก็ยังได้)


"ใจ เป็นนาย กายเป็นบ่าว" ภาษิตบทนี้คนไทยแต่ก่อนคุ้นเคยกันดี แต่คนสมัยนี้ชักจะลืมแล้ว ยิ่งกว่านั้นบางคนถึงกับค้านว่า ถ้าถูกตีหัว แล้วทำใจไม่ให้เจ็บจะได้ไหม 

ถ้าตอบลอยๆ ว่า "ได้" ก็ดูจะง่ายเกินไป คงไม่ค่อยมีใครเชื่อเท่าไร แต่ข่าวคราวเมื่อเร็วๆ นี้เป็นหลักฐานยืนยันว่า ความเจ็บนั้นอยู่ที่ใจเป็นสำคัญ ถ้าใจไม่สนใจความเจ็บ แผลที่กายก็ทำอะไรไม่ได้หรือทำได้น้อยมาก


ข่าวคราวที่ว่าไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับการทิ่มแทงตัวเองในประเพณีกินเจที่ภูเก็ต แต่เป็นเรื่องการทดลองรักษาผู้บาดเจ็บเพราะไฟไหม้ในต่างประเทศ เป็นที่รู้กันดีว่า ความน่ากลัวประการหนึ่งของแผลไฟไหม้ก็คือ ความรู้สึกปวดแสบปวดร้อน ซึ่งสร้างความทุกข์ทรมานแก่ผู้ป่วยมาก ทุกวันนี้ปัญหานี้ยังแก้ไม่ตก แม้จะผลิตยาระงับปวดมาหลายขนานแล้วก็ตาม ก็ไม่สามารถบรรเทาปวดได้อย่างชะงัด


แต่ไม่นานมานี้ นักวิทยาศาสตร์ผู้หนึ่งลองใช้วิธีใหม่ แทนที่จะคิดค้นตัวยาที่ควบคุมแทรกแซงระบบประสาท หรือการส่งข้อมูลความเจ็บปวดไปที่สมอง เขาหันมาทำงานกับจิตของผู้ป่วย โดยเบี่ยงเบนความสนใจของผู้ป่วยไปยังภาพที่ทำให้รู้สึกเย็นสบายและเพลิดเพลิน วิธีการก็คือให้ผู้ป่วยใส่แว่นคอมพิวเตอร์ แว่นนี้จะทำให้ผู้ป่วยเห็นภาพเหมือนจริงจากจอคอมพิวเตอร์ราวกับอยู่ในเหตุการณ์จริงๆ ภาพเหมือนจริงที่ว่าก็คือภาพภูเขาซึ่งปกคลุมไปด้วยหิมะ ใช่แต่เท่านั้น ภาพนั้นยังเคลื่อนไหวขึ้นอยู่กับการควบคุมคันบังคับในมือของผู้ป่วย แว่นนี้สามารถทำให้ผู้ป่วยมีความรู้สึกราวกับกำลังเล่นสกีหิมะ อยู่ในบรรยากาศที่เย็นเฉียบ

 

ผลที่เกิดขึ้นก็คือความรู้สึกปวดแสบปวดร้อนจากแผลไฟไหม้ลดลงไปมาก ยิ่งกว่านั้นแผลยังหายเร็วกว่าปกติ กรณีนี้น่าสนใจก็เพราะว่า สมองของผู้ป่วยยังรับรู้ความเจ็บปวดอยู่ เพราะระบบประสาทยังถ่ายทอดความเจ็บปวดเหมือนเดิม แต่ตัวผู้ป่วยกลับรู้สึกเจ็บปวดน้อยมาก นั่นเป็นเพราะใจของผู้ป่วยไปสนใจกับสิ่งที่น่าเพลิดเพลิน พูดง่าย ๆ คือ ใจไม่มีที่ว่างให้ความเจ็บปวดแทรกเข้ามาได้ จะเรียกว่าจิต "วาง" ความเจ็บปวดเอาไว้ชั่วคราวก็ได้


การระงับปวดด้วยการแก้ที่ใจ แทนที่จะไปจัดการกับระบบประสาท (หรือมิติทางกายภาพ) เป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหม่สำหรับการแพทย์แผนใหม่ แม้วิธีระงับปวดด้วยแว่นคอมพิวเตอร์จะแพงและไม่สามารถเอาไปใช้ให้แพร่หลายได้ แต่มันก็มีคุณค่าอย่างมากตรงที่ชี้ว่า สุขภาวะกับจิตใจนั้นเป็นเรื่องที่ไม่อาจแยกจากกันได้ ความเกี่ยวโยงนั้นไม่ได้อยู่ตรงที่จิตใจอาจเป็นสาเหตุแห่งความเจ็บป่วยเท่านั้น แม้แต่ความทุกข์จากความเจ็บป่วยก็ยังขึ้นอยู่กับจิตใจด้วย นั่นหมายความว่าถึงจะป่วย (กาย) แต่ไม่ทุกข์ (ใจ) ก็ได้ ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ผู้ป่วยมะเร็งเป็นอันมาก มีความสุขมากกว่าคนปกติเสียอีก


ทุกวันนี้มีความเจ็บป่วยมากมายหลายชนิดที่ยังรักษาให้หายไม่ได้ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าแพทย์จะ "จนตรอก" ยังมีบางสิ่งที่แพทย์ทำได้บางสิ่งที่ว่านี้ ไม่ได้หมายถึงการยืดลมหายใจของผู้ป่วยท่ามกลางความทุกข์ทรมาน ที่สำคัญกว่านั้นก็คือช่วยให้เขาไม่ทุกข์ ด้วยการใส่ใจกับจิตใจของเขา หรือสนับสนุนให้เขาสามารถดูแลจิตใจตนเองได้ จนความเจ็บป่วยทางกายทำอะไรเขาไม่ได้.
 


31
พระครูเกษมคณาภิบาล หรือ หลวงพ่อมี เขมธมฺโม เกิดเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2454 ตรงกับวันจันทร์แรม 2 ค่ำ เดือน 4 ปีกุน ณ หมู่บ้านขนมจีน เป็นบุตรของนางโหมดและนางพุฒ ธนสนธ์ โดยหลวงพ่อมีเป็นบุตรคนที่ 4 ในจำนวนทั้งสิ้น 5 คน
เมื่อเติบใหญ่ได้อายุ 21 ปี หลวงพ่อมีได้ตัดสินใจอุปสมบทที่วัดมารวิชัย ในวันที่ 14 กรกฎาคม 2475 โดยมีพระครูอดุลวุฒิกร (หลวงพ่อพิณ จันทโชโต) วัดช่างเหล็ก เป็นพระอุปัชฌาย์, หลวงพ่อเขียน โชติสโร วัดบ้านพร้าวนอก เป็นพระกรรมวาจาจารย์, หลวงพ่อเกลี้ยง อินทโชติ วัดสามตุ่ม เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า ?เขมธมฺโม?
การศึกษา
ในพรรษาแรกของการบวชนั้น หลวงพ่อมีได้ร่ำเรียนภาษามคธและพระปริยัติธรรมควบคู่กันไป โดยตอนหัวค่ำจะรวมกลุ่มกับพระ เณร ในวัยคราวดียวกันศึกษาวิชาคาถาอาคมจากตำรับ ตำราและสมุดข่อยต่างๆ ส่วนในตอนกลางวันก็ร่ำเรียนวิชาปริยัติธรรมจนสามารถสอบได้นักธรรมเอกและสำเร็จ การศึกษาในโรงเรียนสังฆาธิการส่วนภูมิภาครุ่นที่ 1 เมื่อปี 2513
เมื่อสำหรับด้านพระเวทวิทยาคม หลวงพ่อมีได้เล่าเรียนพุทธาคมกับหลวงพ่อเขียน วัดบ้านพร้าวนอก ผู้มีศักดิ์เป็นหลวงน้าแท้ๆ โดยได้รับการถ่ายทอดวิชาการเล่นแร่แปรธาตุและการสร้างวัตถุมงคลเนื้อเมฆพัต
นอกจากนี้ยังได้ศึกษาพระเวทวิทยาคมและกรรมฐานจากพระอาจารย์ผู้เรืองนามอีกหลายรูปอาท
ิเช่น หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค โดยอยู่ช่วยหลวงพ่อปานสร้างพระเนื้อดินอยู่ 3 ปี จนสำเร็จอสุภกรรมฐาน และสำเร็จเตโชกสิณ กับหลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก ซึ่งหลวงพ่อจงองค์นี้ หลวงพ่อมีได้อยู่ศึกษาวิชากับท่านมากที่สุดและนานที่สุดถึง 30 ปีทีเดียว
อุปด้วยปฏิปทาอันน่าเลื่อมใสประกอบกับความตั้งมั่นที่จะจรรโลงพระพุทธศาสนาจึงทำให้ หลวงพ่อมีได้รับตำแหน่งและสมณศักดิ์ดังต่อไปนี้

พ.ศ. 2481 เป็นเจ้าอาวาสวัดมารวิชัย
พ.ศ. 2493 เป็นเจ้าคณะตำบลบางนมโคและพระอุปัชฌาย์
พ.ศ. 2507 ได้รับสมณศักดิ์ชั้นตรีที่ ?พระครูเกษมคณาภิบาล?
พ.ศ. 2510 ได้รับสมณศักดิ์ชั้นโท ในพระราชทินนามเดิม
พ.ศ. 2514 ได้รับสมณศักดิ์พระครูสัญญาบัตรชั้นเอก ในพระราชทินนามเดิม จนกระทั่งมรณภาพ


[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

32
พระภาวนาโกศลเถระ (เอี่ยม สุวณฺณสโร )

(หลวงปู่เฒ่า)

วัดหนัง อ.บางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร
พระปิดตาปิดทวารฯ "วัดหนัง" กรุงเทพมหานคร
"วัดโคนอน" ตั้งอยู่ ต.บางหว้า อ.ภาษีเจริญ กทม. ฝั่งธนบุรี พระอารามแห่งนี้ "หลวงปู่รอด" ผู้เป็นพระอาจารย์ผู้เลื่องชื่อในไสยเวทของ "หลวงปู่เอี่ยม" มาครองอยู่นับแต่ถูกถอดสมณะศักดิ์ จาก "พระภาวนาโกศลเถระ" (รอด) ให้เป็นพระธรรมดา และเมื่อสิ้นชีวิตแล้ว หลวงปู่เอี่ยมซึ่งเป็นศิษย์ก้นกุฏิคนโปรดของท่าน ก็เป็นเจ้าอาวาส "วัดโคนอน" องค์ต่อมา โดยทั้งพระอาจารย์และศิษย์ต่างก็ได้สร้างวัตถุมงคลไว้ที่วัดนี้ ในลักษณะที่คล้ายๆ กันด้วย

"วัดหนังราชวรวิหาร" หรือเรียกกันสั้นๆ ว่า "วัดหนัง" นี้เดิมเป็นวัดเก่าแก่มาแต่ครั้งสมัยอยุธยายุคปลาย ตั้งอยู่ในคลองด่านฝั่งเหนือ ต.บางค้อ อ.บางขุนเทียน กทม. ฝั่งธนบุรี ต่อมา พระอารามแห่งนี้ได้ถูกรื้อถอน แล้วเมื่อถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.3) พระองค์ก็ทรงโปรดให้ปฏิสังขรณ์เสียใหม่ แล้วยกให้เป็นพระอารามหลวงตั้งแต่นั้นมา จนถึงสมัยสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.5) พระองค์ก็ได้โปรดให้มีการบูรณะปฏิสังขรณ์ขึ้นอีกครั้ง....ที่วัดหนังนี้เดิมหลวงปู่รอด ซึ่งเคยเป็นฐานานุกรมของเจ้าอาวาสวัดหนังองค์แรกมาก่อน แล้ว จึงย้ายไปเป็นเจ้าอาวาสวัดนางนอง และก็นี่เองหลวงปู่เอี่ยมซึ่งเคยเป็นเจ้าอาวาสที่วัดโคนอน ก็ได้ย้ายมาที่วัดหนังนี้อีกครั้งจนถึงมรณภาพเช่นกัน

ครับ, ที่ต้องนำประวัติของ "สองวัดและสองหลวงพ่อ" นี่ขึ้นมากล่าวไว้ก่อนเช่นนี้ ก็เพื่อชาวพระเครื่องชั้นหลังจะได้ไม่ต้องนั่งปวดหัว "เรื่องวัดกับพระเครื่อง" ซึ่งเดี๋ยวไปอยู่วัดโน้นและมาพบวัดนี้ ว่ากันให้วุ่นทั้งๆ ที่หลักฐานก็อ่อนเหลือเกิน สรุปแล้วถ้าพระเครื่องพิมพ์ใดผิดวัดไปบ้าง ก็ให้ถือเสียว่านั่นเป็นของแท้ที่หลวงปู่เอี่ยมแห่งวัดหนัง หรือวัดโคนอน ท่านสร้างไว้โดยไม่ใช่ของพระอาจารย์อื่นก็แล้วกัน สำหรับผู้เขียนก็เชื่อว่า พระเครื่องเพียง 25% เท่านั้น ที่หลวงปู่เอี่ยมสร้างเป็นประเดิมไว้ที่วัดโคนอน แต่อีก 75% เชื่อว่าได้สร้างไว้ที่วัดหนังเสียส่วนมาก เพราะหลวงปู่เอี่ยมท่านครองวัดหนังอยู่ถึง 27 ปี จึงมรณภาพ จึงมีเวลาเหลือเฟื่อสำหรับการสร้างพระพิมพ์เยี่ยมๆ และเหรียญซึ่งดังเกรียวกราวมากในขณะนี้ นับเป็นธรรมดาของผู้คงแก่เรียน ซึ่งอิ่มในวิททยาคมขลัง ท่านมักจะนิยมสร้างวัตถุกันไส้ในบั้นปลายชีวิตเสียเป็นส่วนมากด้วย....เอาละครับ, ต่อไปนี้ขอนำท่านเข้าสู่ประวัติหลวงปู่แห่งวัดหนังโดยสังเขปต่อไปอีกครั้ง

"หลวงปู่เอี่ยม" หรือ "เจ้าคุณเฒ่า" หรือ "พระภาวนาโกศล" (เอี่ยม) ท่านเป็นชาวบางขุนเทียนมาแต่กำเนิ เกิดเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2375 (สมัย ร.3) เป็นบุตรของนายทองและนางอู่ เมื่อถึง พ.ศ. 2387 โยมทั้งสองได้นำท่านไปฝากเรียนอยู่ที่สำนักวัดหนัง จนถึง พ.ศ. 2397 ท่านจึงทำการอุปสมบท ณ ที่วัดราชโอรส ท่านเคร่งและศึกษาด้านปริยัติธรรมมาก และชั่วระยะหนึ่งท่านก็ย้ายไปอยู่ที่วัดนางนอง โดยได้ฝากตัวเป็นศิษย์กับ "หลวงปู่รอด" ซึ่งกำลังเลื่องชื่อมากในด้านวิทยาอาคมขลัง หลวงปู่เอี่ยมได้หันมาสนใจในด้านไสยเวท จนถึงขนาดได้เป็นศิษย์เอกที่พระอาจารย์รักมาก ครั้นต่อมาในปลายสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.4) "หลวงปู่รอด" ได้ถูกถอดจากสมณะศักดิ์เดิม ให้เป็นพระสงฆ์ธรรมดาๆ หลวงปู่รอดจึงได้ย้ายพระอารามไปครองอยู่ที่วัดโคนอน โดยมีเจ้าคุณเฒ่าตามไปรับใช้อยู่ที่วัดโคนอนด้วย ต่อมาไม่นานนักหลวงปู่รอดได้ถึงแก่มรณภาพ หลวงปู่เอี่ยมก็ได้ครองตำแหน่งเจ้าอาวาสปกครองวัดโคนอนสืบแทนพระอาจารย์ต่อไป

เมื่อถึง พ.ศ. 2441 ในหลวงรัชกาลที่ 5 ได้โปรดเกล้าให้ "หลวงปู่เอี่ยม" ไปครอง "วัดหนัง" ต่อไป และรุ่งขึ้นอีก 1 ปี องค์สมเด็จพระปิยะมหาราชก็ได้พระราชทานสมณะศักดิ์ให้แก่หลวงปู่เอี่ยมแห่งวัดหนัง เป็นพระราชาคณะที่ "พระภาวนาโกศล" (เอี่ยม) ซึ่งเป็นตำแหน่งเดียวกับพระอาจารย์ของท่านนั่นเอง ท่านได้ครองวัดหนังอยู่ถึง 27 ปีเศษ จึงถึงแก่มรณภาพ เมื่อวันที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2469 รวมอายุได้ 94 ปี

พระปิดทวาร "ยันต์ยุ่ง" และ "พิมพ์ประกบ" ของหลวงปู่เอี่ยม ประมาณว่าได้สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2453 ณ ที่ "วัดหนัง" นั่นเอง สำหรับพระปิดตาเนื้อไม้ เนื้อสัมฤทธิ์ และเนื้อโลหะต่างๆ แบบหน้าเดียวและพระกริ่ง รวมทั้งเนื้อผงบางชนิด ก็ได้มีสร้างมาก่อนที่วัดโดนอนแล้ว เมื่อมาอยู่วัดหนัง หลวงปู่เอี่ยมท่านได้นำมาสร้างและแก้ไขใหม่อีกครั้ง เรื่องราวของพระปิดทวารยันต์ยุ่งนี้ นับเป็นการสร้างที่ต้องใช้ความประณีตแบบพระวัดทองของหลวงพ่อทับ (สร้างองค์ต่อองค์) มีลักษณะที่คล้ายกันก็จริง แต่ขนาดจะไม่เท่ากัน มีสร้างไว้ทั้งชนิดเนื้อสัมฤทธิ์แก่เงิน และเนื้อโลหะแก่ทอง (ที่ทำเป็นเนื้อผงสีน้ำตาลก็มี แต่หาชมได้ยากมาก) พระวัดหนังยันต์ยุ่งของวัดหนังเป็นพระปิดทวารที่อลังการไปอีกแบบหนึ่งโดยองค์จะบางกว่าพระวัดทอง

ขณะนี้ "พระปิดทวารยันต์ยุ่ง" ของวัดหนังซึ่งหาชมหรือมาเช่าได้ยากที่สุดนั้น ได้มีการทำปลอมกันไว้มากควรระวังไว้ด้วย สำหรับพุทธคุณของพระปิดทวารพิมพ์ยันต์ยุ่งนี้ ก็ไม่ผิดไปกว่าพระแร่บางไผ่ หรือพระปิดทวารวัดทองเลย นั่นก็คือเยี่ยมด้านแคล้วคลาด คงกระพันชาตรี และดีทางมหาอุตม์ด้วยครับ

ดังได้กล่าวไว้แล้วในเรื่องพระปิดทวาร "ยันต์ยุ่ง" ว่าพระ "ภควัมบดี" ที่หลวงปู่เอี่ยมสร้างไว้มีมากพิมพ์ ประมาณจำนวนกันไม่ได้ แต่ก็เชื่อกันว่าพระเพียง 25% เท่านั้นที่ท่านอาจสร้างไว้เป็นครั้งแรกที่ "วัดโคนอน" สำหรับอีก 75% เข้าใจว่าใครสร้างที่ "วัดหนัง" เป็นส่วนใหญ่...."หลวงปู่เอี่ยม" แห่งวัดหนังราชวรวิหารองค์นี้ นับเป็นผู้เรืองวิทยาคมในระดับเดียวกับหลวงปู่รอด ซึ่งเป็นพระอาจารย์ของท่านทีเดียว

กล่าวกันว่าเมื่อท่านมาอยู่วัดหนังได้ระยะหนึ่ง คือประมาณ พ.ศ. 2448 ท่านก็เริ่มสร้างพระเนื้อไม้แกะ และพระปิดตาฐานบัว ที่เคยสร้างไว้ที่วัดโคนอนต่อไปอีก สลับด้วยพระกริ่ง พระอุดก้นด้วยชันโรง พระปิดทวารยันต์ยุ่ง พระปิดทวารนะหัวเข่า พระปิดทวารหัวบานเย็น พระปิดตาหมากทุย พระปิดทวารพิมพ์ประกบ พระปิดตาพิมพ์ข้าวตอกแตก พระตาพิมพ์สังฆาฏิ และพระปิดตาปิดทวารพิมพ์เล็กจิ๋วอีกหลายแบบ รวมทั้งเป็นองค์พระ (ไม่ใช่พระปิดตา) ที่ประมาณพิมพ์ไม่ได้อีกด้วย หลวงปู่เอี่ยมได้สร้างพระแบบ "องค์ภควัมบดี" ดังกล่าว เป็นลำดับไปด้วยเนื้อไม้ เนื้อสัมฤทธิ์แก่เงิน (พิมพ์ยันต์ยุ่งและพิมพ์ประกบ นิยมกันมากและแพง) เนื้อสัมฤทธิ์แก่ทอง เนื้อชินเงิน เนื้อตะกั่วผสมชิน เนื้อเมฆพัด (มีน้อย) เนื้อผงสีต่างๆ เนื้อผงคลุกรัก และเนื้อผงใบลานเผาก็มีสร้างไว้

สรุปจากพระเครื่องพิมพ์ต่างๆ ที่หลวงปู่เอี่ยมได้สร้างไว้ ปัจจุบันจะหาชมได้เพียงบางพิมพ์เท่านั้น และขณะนี้ก็นับว่าได้สนนราคาเช่ากันสูงพอสมควรทีเดียว (พระปิดตา "ข้าวตอกแตก" เล็กจิ๋วกับพระปิดทวารเล็กจิ๋วเนื้อดินเป็นพระที่นิยมกันมาก) เรื่องราวจากพระปิดตาและปิดทวารของหลวงปู่เอี่ยมวัดหนัง ยังคงมีปรากฏพิมพ์แปลกตาผ่านสนามพระเข้ามาอยู่เสมอ (จากรังเก่าเก็บบางบ้าน) จึงเป็นเรื่องไม่ยุติสำหรับพระของหลวงปู่เอี่ยมเพราะยังมีของดีซ่อนเร้นอยู่อีกมากที่เรายังจะต้องศึกษาต่อไปอีก.....

ครับ, แน่นอนเหลือเกินที่พระปิดตาและปิดทวารฯ ดังได้กล่าวไปแล้วนี้ พุทธคุณท่านมีดีครบ 3 ประการ เช่นพระเครื่องทั้งหลาย และยังเป็นพระที่ให้โชคให้ลาภอีกทางหนึ่งด้วยครับ


[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

33
ผู้มีทุกข์นั่นแหละ จึงมีความเพลิดเพลิน

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระอัญชนวัน เขตเมืองสาเกต

ครั้งนั้น เมื่อราตรีปฐมยามสิ้นไปแล้ว กกุธเทวบุตร เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค

ได้กราบทูลว่า

ข้าแต่ภิกษุ พระองค์ไม่มีทุกข์บ้างหรือ ความเพลิดเพลินไม่มีบ้างหรือ

ความเบื่อหน่ายไม่ครอบงำพระองค์ผู้ประทับนั่งแต่พระองค์เดียวบ้างหรือ ฯ

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

ดูกรท่านผู้อันคนบูชา เราไม่มีทุกข์เลย และความเพลิดเพลินก็ไม่มี

อนึ่ง ความเบื่อหน่าย ก็ไม่ครอบงำเราผู้นั่งแต่ผู้เดียว ฯ

กกุธเทวบุตรกราบทูลว่า

ข้าแต่ภิกษุ ทำไมพระองค์จึงไม่มีทุกข์ ทำไมความเพลิดเพลินจึงไม่มี

ทำไมความเบื่อหน่าย จึงไม่ครอบงำพระองค์ผู้นั่งแต่ผู้เดียว ฯ

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

ผู้มีทุกข์นั่นแหละ จึงมีความเพลิดเพลิน ผู้มีความเพลิดเพลินนั่นแหละ

จึงมีทุกข์ ภิกษุย่อมเป็นผู้ไม่มีความเพลิดเพลินไม่มีทุกข์ ท่านจงรู้อย่าง

นี้เถิด ผู้มีอายุ ฯ

กกุธเทวบุตรกราบทูลว่า

นานหนอ ข้าพระองค์จึงพบเห็นภิกษุ ผู้เป็นพราหมณ์ดับรอบแล้ว

ไม่มีความเพลิดเพลิน ไม่มีทุกข์ ข้ามพ้นเครื่องข้องในโลกแล้ว ฯ
สรุปในพระสูตรนี้


มีทุกข์ เพราะมีความเพลิดเพลินเป็นสาเหตุ(สมุทัย)

เมื่อไม่มีความเพลิดเพลิน ก็ไม่มีทุกข์

การดับทุกข์ ก็คือการดับเหตุแห่งทุกข์

- - - - - - - - - -

ทุกข์ คือ สิ่งที่ต้อง กำหนดรู้

สมุทัย คือ สิ่งที่ต้อง ละ

นิโรธ คือ สิ่งที่ต้อง ทำให้ได้,ถึง

มรรค คือ วิถีทางที่ต้อง นำมาปฏิบัติ


คำย่อ " รู้ ละ ทำ ทาง "
 

34
คำคมของครูบาอาจาร์ยที่เคารพ

"พูดมาก เสียมาก พูดน้อย เสียน้อย ไม่พูดไม่เสีย นิ่งเสีย โพธิสัตว์"

หลวงปู่ทวด วัดช้างให้

♦ ♦ ♦ ♦ ♦ ♦ ♦ ♦ ♦ ♦ ♦


"ทำเหตุในปัจจุบันดี ผลในอนาคตย่อมต้องดี"

สมเด็จพุฒาจารย์ (โต)

♦ ♦ ♦ ♦ ♦ ♦ ♦ ♦ ♦ ♦ ♦


"เรื่องราวเต็มโลก เต็มบ้าน เต็มเมือง เราก็วางเสีย ละเสีย

ละอยู่ที่กาย ที่ใจตนนี่แหละ อย่าไปละที่อื่น การหอบอดีต

และอนาคตมาหมักสุมไว้ในใจ ก็เป็นทุกข์ ตัดออกให้หมด"

หลวงปู่แหวน สุจิณโณ

♦ ♦ ♦ ♦ ♦ ♦ ♦ ♦ ♦ ♦ ♦


"ผู้อื่นไม่ได้ทำจิตของเราเศร้าหมอง หรือ ผ่องแผ้ว

เราเองเป็นผู้ทำให้จิตของตนเศร้าหมอง ผู้อื่นช่วยไม่ได้

แม้พระพุทธเจ้าก็ช่วยไม่ได้ ท่านทรงเป็นผู้บอกทางให้เท่านั้น"

หลวงปู่ขาว อนาลโย

♦ ♦ ♦ ♦ ♦ ♦ ♦ ♦ ♦ ♦ ♦


"พูดให้เขารักยากนักหนา พูดให้เขาด่าว่าง่ายนิดเดียว"

พระอาจารย์สิงห์ ขันตยคโม

♦ ♦ ♦ ♦ ♦ ♦ ♦ ♦ ♦ ♦ ♦


"คนที่ตายไปแล้ว หากคนที่มีชีวิตอยู่ เขาสามารถจดจำได้

และคิดถึงอยู่ ผู้นั้นได้ชื่อว่าไม่ตาย แต่คนที่มีชีวิตอยู่

กลับไม่มีใครกล่าวถึง หรือ คิดถึงเลย นั่นคือผู้ตายไปแล้ว"

หลวงพ่อเงิน พุทธโชติ

♦ ♦ ♦ ♦ ♦ ♦ ♦ ♦ ♦ ♦ ♦


"ทุกข์เพราะเกิดดับมันมีอยู่แล้ว เอาราคะ โลภะ โทสะ โมหะมาเพิ่ม

.......ยิ่งทุกข์ใหญ่"

หลวงปู่บุดดา ถาวโร

♦ ♦ ♦ ♦ ♦ ♦ ♦ ♦ ♦ ♦ ♦


"คนไม่สนใจธรรม ธรรมก็ไม่เข้าถึงใจคน จึงกลายเป็นคนก็สักว่าคน

ธรรมก็สักว่าธรรม ไม่อาจยังประโยชน์ให้สำเร็จได้ แม้คนจะมีจำนวนมาก

และแสดงธรรมให้ฟังทั้งพระไตรปิฏก จึงเป็นเหมือนเทน้ำใส่หลังหมา

มันสลัดออกเกลี้ยงไม่มีเหลือ ธรรมจึงไม่มีความหมายในใจของคน

เหมือนน้ำไม่มีความหมายบนหลังหมา ฉันนั้น"

หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

♦ ♦ ♦ ♦ ♦ ♦ ♦ ♦ ♦ ♦ ♦


"ผู้ปฎิบัติธรรม ตั้งตนอยู่ในกรอบแห่งศีลแล้ว

ก็ย่อมไม่ต้องเดือดร้อนเพราะศีลของตน

ยังบุคคลผู้มั่นในศีลให้พ้นจากทุกข์โทษ

เวรภัยทั้งปวงก็จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้เลย"

หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง

♦ ♦ ♦ ♦ ♦ ♦ ♦ ♦ ♦ ♦ ♦


"ทุกข์ด้วยอะไร ทุกข์ด้วยมันไม่เที่ยง มีแล้วหามีจริงไม่

เกิดแล้วดับไป นี่มันทุกข์อย่างนี้นะ ทุกข์ด้วยไม่เที่ยง

สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั่นเป็นทุกข์"

หลวงพ่อสด จันทสโร

♦ ♦ ♦ ♦ ♦ ♦ ♦ ♦ ♦ ♦ ♦


"ลักษณะของบุญ คือใจเราดี ใจเรามีความสุข

ใจเรามีความสบาย เย็นอก เย็นใจ ไม่ทุกข์ ไม่ร้อน

ไม่วุ่น ไม่วาย นี่แหละบุญ"

หลวงปู่ฝั้น อาจาโร

♦ ♦ ♦ ♦ ♦ ♦ ♦ ♦ ♦ ♦ ♦
? :054: :054: :054:

35
บทความ บทกวี / แม่น้ำคด น้ำไม่คด
« เมื่อ: 31 มี.ค. 2550, 02:04:38 »
แม่น้ำคด น้ำไม่คด

แม่น้ำคด ส่วนน้ำ นั้นไม่คด

ไม่แกล้งปด ดูให้ดี มีเหตุผล

กายกับใจ ไม่ลามก ไม่วกวน

แต่กิเลส แสนกล นั้นเหลือคด

♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥


จิตล้วนล้วน นั้นเป็น ประภัสสร

กิเลสจร ครอบงำ ทำยุ่งหมด

กิเลสเปรียบ ลำน้ำ ที่เลี้ยวลด

จิตเปรียบน้ำ ตามกฎ ไม่คดงอ

♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥

อันจิตว่าง มีได้ ในกายวุ่น

ในน้ำขุ่น มีน้ำใส ไม่หลอกหนอ

ในสงสาร มีนิพพาน อยู่มากพอ

แต่ละข้อ งวยงง ชวนสงกา

♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥

พระตรัสให้ ตัดป่า อย่าตัดไม้

ไม่เข้าใจ ตัดได้ อย่างไรหนา

รู้แยกน้ำ จากแม่น้ำ ตามว่ามา

จึงนับว่า ผู้ฉลาด สามารถเอย

♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥

"หัวข้อธรรมในคำกลอน"

พระธรรมโกศาจารย์

♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥

36
โลกนี้มีรางวัลไม่พอสำหรับคนดี
ผืนป่าอันกว้างใหญ่

เต็มไปด้วยพรรณไม้นานาชนิด

เราจะพบว่ากว่าจะได้เจอดอกไม้ป่านั้นแสนหายาก

มีเพียงสิ่งละอันพันละน้อย และยังขึ้นอยู่กับช่วงฤดูกาล

และดินฟ้าอากาศด้วย

ท่ามกลางป่าอันกว้างใหญ่ ดอกไม้ป่าช่างมีให้ชมน้อยเหลือเกิน

เปรียบเหมือนความสมหวังในชีวิตมนุษย์ เมื่อพินิจดูแล้วจะเห็นว่า

มันมีไม่มากเลย

กว่าโอกาสและเหตุปัจจัยจะถึงพร้อม มิใช่จะมีได้ทุกเมื่อเชื่อวัน

น่าเสียดายที่ความจริงของชีวิตเป็นแบบนี้

♦ ♦ ♦ ♦ ♦

 
 



ความสุขสมหวังในโลกนั้น มักตั้งอยู่ได้ไม่นาน

แล้วความเศร้าและความทุกข์ก็มาแทนที่อยู่ร่ำไป

ผู้หลงติดกับความสุขความสมหวัง จึงต้องวิ่งไล่ไขว่คว้าอยู่ร่ำไป

เป็นวงจรอันน่าเบื่อหน่าย ซ้ำซากจำเจไม่มีวันที่จะสิ้นสุด

ความหมายของชีวิตจึงมิใช่การยึดติดอยู่กับความสุขความราบรื่นสมใจปรารถนา

แต่เพียงอย่างเดียว

เราควรทำความพอใจต้อนรับความจริงและพินิจพิเคราะห์ทุกสิ่งที่เราได้ประสบพบ

ทั้งความผิดหวังและความสมหวัง เพราะต่างก็ให้คุณค่าให้ข้อคิดอันดีแก่ชีวิตได้ทั้งนั้น

♦ ♦ ♦ ♦ ♦ ♦ ♦ ♦

 
 



เราควรปล่อยใจให้อิสระจากการเป็นทาสแห่งรางวัลโลกอันมีน้อยนิดนี้

โลกนี้มีรางวัลไม่พอสำหรับคนดี

ความสมหวังในโลกเป็นสิ่งหายากและไม่ยั่งยืน

คราใดที่เรากำลังไร้สุข หรือแนบชิดกับความผิดหวัง

ลองตรองคิดถึงธรรมชาติจริงแห่งความสุข...ว่ามีน้อย และไม่ยั่งยืน

ดุจการปรากฎของฟ้าแลบ

หรือดุจดังความเป็นไปแห่งใบไม้ใบน้อย ที่กำลังล่องลอยด้วยแรงลม

♦ ♦ ♦ ♦ ♦ ♦ ♦ ♦ ♦ ♦ ♦ ♦ ♦

จากหนังสือ พุทธธรรม
 

 

37
บทความ บทกวี / ร้อยธรรมเป็นมาลัย
« เมื่อ: 31 มี.ค. 2550, 01:59:14 »
ร้อยธรรมเป็นมาลัย, ถวายแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นเพื่อยังความสุขแก่โลก

พุทธรัตนะเป็นรัตนะอันสูงสุดของโลก

ขอนอบน้อมบูชาซึ่งพุทธรัตนะอันประเสริฐนั้น


* * * * * * * * * * * * * *


ผู้มีความเพียรมั่นคง

มีชีวิตอยู่วันเดียว

ประเสริฐกว่าชีวิตตั้งร้อยปี

ของผู้เกียจคร้าน ไร้ความเพียร


* * * * * * * * * * * * * *


อย่าประพฤติสิ่งเลวทราม

อย่าอยู่ด้วยความประมาท

อย่ายึดถือความเห็นผิด

อย่าทำตนเป็นคนรกโลก


* * * * * * * * * * * * * *
ไม่มีไฟใดเสมอด้วย ราคะ

ไม่มีโทษใดเสมอด้วย โทสะ

ไม่มีทุกข์ใดเสมอด้วย ขันธ์ ๕

ไม่มีสุขใดเสมอด้วย ความสงบ


* * * * * * * * * * * * * *


ที่ใดมีของรัก ที่นั่นมีโศก

ที่ใดมีของรัก ที่นั่นมีภัย

ไม่มีของรักเสียแล้ว

โศกภัยก็ไม่มี


* * * * * * * * * * * * * *

สังขารทั้งปวง ไม่เที่ยงหนอ

สังขารทั้งปวง เป็นทุกข์

ธรรมทั้งปวง เป็นอนัตตา

เมื่อใด เห็นแจ้งด้วยปัญญาดังนี้

เมื่อนั้น ย่อมหน่ายในทุกข์

นี่เป็นทางแห่งความบริสุทธ์


* * * * * * * * * * * * * *


ความหิวเป็นโรคอย่างยิ่ง

สังขารเป็นทุกข์อย่างยิ่ง


* * * * * * * * * * * * * *


ความไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐ

ความรู้จักพอ เป็นทรัพย์อย่างยิ่ง

ความไว้วางใจกัน เป็นญาติอย่างยิ่ง

พระนิพพาน เป็นสุขอย่างยิ่ง


* * * * * * * * * * * * * *
 ธรรมทาน ชนะทานทุกอย่าง

รสแห่งธรรม ชนะรสทุกอย่าง

ความยินดีในธรรม

ชนะความยินดีทุกอย่าง

ความสิ้นตัณหา ชนะทุกข์ทุกอย่าง


* * * * * * * * * * * * * *
ขอร้อยธรรมะเป็นมาลัยบูชา

ถวายแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

38
ธรรมะ / 5 คุณธรรม ค้ำคนจริง
« เมื่อ: 31 มี.ค. 2550, 01:54:19 »
5 คุณธรรม ค้ำคนจริง

ผู้ที่มีคุณธรรมสำหรับคนจริง ต้องบำเพ็ญวัตรปฏิบัติ 5 ประการ


? 1.ต้องมีสัมมาคารวะ เช่นนี้จะไม่มีใครมาเหยียดหยาม

? 2.ต้องรู้ให้อภัยทุกที่ทาง ก็ได้ใจคนทั้งบางมารักเรา

? 3.พึงมีสัจจะถือสัตย์ซื่อ คนทั้งหลายจึงนับถือไม่อับเฉา

? 4.ควรมีวิริยะสู้หนักเบา ผลสำเร็จเป็นของเราโดยแน่นอน

? 5.ให้มีอารีความโอบเอื้อ ผู้ได้รับการกูลเกื้อย่อมอ่อนน้อม มารับใช้ช่วยเหลือตามโอกาสเสมอ


5 ประการนี้ เป็นพร 5 ประการพึง ควรจดจำและนำไปใช้

39
ธรรมะ / เห็นกงจักรเป็นดอกบัว
« เมื่อ: 31 มี.ค. 2550, 01:50:31 »
มิตตวินทุกะ....มานพผู้หัวดื้อ

เห็นกงจักรเป็นดอกบัว

อดีตกาลนาน นมเน...มีบุตรเศรษฐีชื่อมิตตวินทุกะ เป็นคนหัวดื้อ ไม่นับถือพุทธศาสนา แม่บอกว่าจะให้เงิน 1 พันตำลึง ถ้าลูกชายไปถือศีลฟังเทศน์

มิตตวินทุกะไปวัดรับศีล 8 แล้ว ไม่ฟังเทศน์ หลบไปนอนรุ่งเช้ากลับบ้าน แบมือขอเงินค่าจ้าง

วันหนึ่ง มิตตวินทุกะอยากจะไปค้าสำเภา...กับเพื่อนพ่อค้า 500 คน แม่ไม่ยอม ไปยืนขวางทางลงเรือ มิตตวินทุกะถีบแม่ล้มคว่ำ แล้วก็กระโดดลงเรือ

เรือแล่นไปกลางทะเล ทำท่าจะจม มีการแจกสลากกาลกิณี มิตตวินทุกะจับสลากถูกสามครั้ง

จึงต้องถูกจับลอยแพ

แพลอยไปถึงเกาะแรก ได้ 4 นางเปรต สวยเหมือนนางฟ้าเป็นเมีย แล้วก็เบื่อ ลอยแพต่อไปเกาะที่ 2 ได้ 8 นางเปรตเป็นเมีย ถึงเกาะที่ 3 ก็ได้ 16 นางเปรตเป็นเมีย นี่คือผลบุญของการรับศีล 8

ลอยแพต่อไปถึงเกาะที่ 5 เจอสัตว์นรกตนหนึ่ง มีจักร-กรดบดขยี้ศีรษะ เลือดไหลอาบทั้งตัว

ผลกรรมที่ถีบแม่ มิตตวินทุกะมองเห็นจักรกรด เป็นดอกบัว เห็นเลือดที่ไหลอาบร่างเป็นสร้อยสังวาล จึงออกปากขอ สัตว์นรกก็เต็มใจให้เพราะวิบากกรรมที่ถีบแม่

ชาดกเรื่องนี้ เป็นที่มาของสำนวน เห็นกงจักรเป็นดอกบัว ...

40
ธรรมะ / กระแสความคิด
« เมื่อ: 31 มี.ค. 2550, 01:45:25 »
กระแสความคิด

ไม่มีใครตีกรอบครอบงำความคิดได้ก็จริง แต่เราก็สามารถควบคุมความคิดได้ด้วยสติ มิให้เตลิดแล่นหลงไป ระลึกรู้และยับยั้งไว้ไม่ให้กระแสความคิดแล่นไหลไปเรื่อย
ความคิดของคนเรามักแล่นไปบนฐานข้อมูลที่มีอยู่

ใครมีข้อมูลไหนหรือเก็บข้อมูลใดบรรจุไว้ในสมอง เมื่อคิดหรือพูดก็มักจะคิดพูดออกมาตามข้อมูลนั้น เช่น นักศาสนาก็คิดพูดอย่างศาสนามุ่งไปทางศรัทธาความเลื่อมใส ประพฤติปฏิบัติ นักปรัชญาก็พูดอย่างปรัชญามุ่งไปทางเหตุผลทฤษฎี ความรู้ นักวิทยาศาสตร์ก็คิดพูดอย่างวิทยาศาสตร์มุ่งไปทางพิสูขน์ทดลองสรุปผลด้วยประสาทสัมผัส ดังนั้น อย่าเพิ่งโทษตัวบุคคล ว่าทำไมเขาพูดทำอย่างนั้น ควรมองว่าเขามีข้อมูลอะไร รับข้อมูลใดมา สุดท้ายจึงค่อยสรุปที่ตัวบุคคลนั้นว่าเขาแปรข้อมูลเป็นหรือเปล่า ใช้หูหรือว่าใช้หัว

ในที่นี้ข้าพเจ้าขอพูดถึงกระแสความคิดที่มักไหลไปบนฐานของกิเลส คือ โลภ โกรธ หลง

ในภาวะของปุถุชนคนหนาด้วยกิเลส ไม่มีอิสระปลอดโปร่ง ก็เป็นธรรมดาที่กระแสความคิดจะถูกกิเลสปรุงแต่งให้คิดไปต่างๆ นานาตามอำนาจของมัน คนมากไปด้วยเรื่องโลภะก็คิดแต่เรื่องอยากได้อยากมีอยากเป็น คนมากไปด้วยโทสะก็คิดแต่เรื่องขุ่นเคืองแก้แค้น คนมากไปด้วยโมหะก็คิดหาแต่เรื่องลุ่มหลงมัวเมา

เหล่านี้เป็นเรื่องอันตราย

ก่อนที่จะพูดหรือตัดสินใจทำอะไรลงไป กรุณาดูกระแสความคิดให้ดีว่ากำลังครุ่นคิดอยู่บนฐานของกิเลสหรือเปล่า หากรู้ว่าคิดอยู่บนฐานของกิเลสไม่ว่าโลภหรือโกรธ โปรดรับรู้ไว้ว่า ความเป็นกลาง ความถูกต้องยุติธรรม ยังไม่เกิดขึ้นเต็มร้อย เพราะโลภะจะเยื้องไปด้านซ้ายกลายเป็นฉันทาคติ โทสะจะย้ายไปด้านขวากลายเป็นโทสาคติ ยิ่งมีโมหะเพิ่มเข้ามาก็หมดกัน กำหนดทิศทางที่แท้จริงไม่ได้

ขอให้รู้ว่าขณะที่ตนครุ่นคิดอยู่นั้น กำลังคิดอยู่บนฐานอะไร หากรู้ว่าอยู่บนฐานของความโลภหรือความโกรธ ก่อนที่จะพูดทำอะไรลงไป อย่างน้อยที่สุดขอให้ความโลภความโกรธนั้นมันบางเบาลงก่อน มิฉะนั้นจะเกิดความผิดพลาด รู้ตัวในภายหลังก็นั่งเศร้าโศกเสียใจ ว่าก่อนจะทำอะไรทำไมไม่คิดให้รอบคอบ

41
บทความ บทกวี / ชีวิตที่...หลากหลาย
« เมื่อ: 31 มี.ค. 2550, 01:42:08 »
ชีวิตที่...หลากหลาย

ข้าวปลาอาหารจานหนึ่งๆ กว่าจะปรุงเสร็จมาวางต่อหน้าเราให้ได้รับประทาน ก็ผ่านกรรมวิธีหลายขั้นตอน ชีวิตก็ดุจเดียวกัน กว่าจะเจริญเติบโตให้เห็นเป็นรูปร่างเดินเหินไปไหนมาไหนได้ ก็ผ่านการรับประทานข้าวปลาอาหารมาไม่รู้กี่จานและไม่เพียงแต่ผ่านการรับประทานข้าวปลาอาหารเท่านั้น ชีวิตก็ยังผ่านการปรุงประกอบด้วยองค์ประกอบหลายๆ อย่าง ไม่มีแขนอยู่แขนเดียว ไม่มีขาอยู่ขาเดียว หากแต่มีอวัยวะอีกหลายอย่างและแต่ละอย่างก็ไม่เหมือนกัน บางอวัยวะแข้นแข็ง บางอวัยวะอ่อนนุ่ม

ทั้งนี้เพราะชีวิตสำเร็จมาจากธาตุทั้ง ๔ คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟนั่นเอง ด้วยการปรุงประกอบรวมตัวกันของธาตุทั้ง ๔ นี้ ชีวิตจึงสามารถแสดงกิริยาอาการต่างๆ ออกมาปรากฎให้เห็นทั้งฝ่ายรูปธรรมคือ ทางกาย วาจา และฝ่ายนามธรรมคือ ทางอารมณ์ความรู้สึกนึกคิด

? ทางกาย เช่น อาการแข็งกล้า อาการอ่อนโยน
? ทางอารมณ์ เช่น อารมณ์ร้อน อารมณ์เย็น

ทั้งดีบ้างไม่ดีบ้างต่างก็สลับสับเปลี่ยนกันไป เหล่านี้ล้วนมีธาตุเป็นตัวแปร เพียงแต่ธาตุใดจะกำเริบขึ้นหรือเผยแสดงออกมา ชีวิตที่ประกอบด้ยธาตุทั้ง ๔ นี้ จึงมีความหลากหลายและแสดงกิริยาอาการต่างๆ ออกมา

ดังกล่าวนี้มิใช่ประเด็นที่สำคัญ สำคัญอยู่ที่ว่าเราสามารถดึงเอาธาตุต่างๆ ออกมาสร้างความหลากหลายได้หรือเปล่า นำออกมาใช้ให้เป็นประโยชน์ได้หรือไม่ ใช้ธาตุดินให้กลายเป็นความเข้มแข็ง ใช้ธาตุน้ำให้กลายเป็นความเยือกเย็น ใช้ธาตุลมให้กลายเป็นความอ่อนโยน ใช้ธาตุไฟให้กลายเป็นความกล้าหาญ ซึ่งเป็นการนำออกมาใช้ด้วยสติปัญญารู้เท่าทันจริงๆ

จากข้อคิดนี้ในอีกแง่มุมหนึ่ง เราจึงไม่ควรยึดติดอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งหรือแนวทางใดแนวทางหนึ่ง ควรสร้างความหลากหลายให้เกิดขึ้นในวิถีของชีวิต ชีวิตจึงมีความหมายอยู่ในหลายวิถีทาง

42
บทความ บทกวี / สุขทุกข์ในมือเรา
« เมื่อ: 31 มี.ค. 2550, 01:33:29 »
สุขทุกข์ในมือเรา
color=red]]ชีวิตไม่อาจเป็นไปดังหวังได้หมด เปรียบไปก็ไม่ต่างกับเกมกีฬาที่ต้องมีแพ้ชนะ ใครที่หวังชัยชนะไปเสียทุกครั้ง ก็เตรียมตัวทุกข์ใจไว้ได้เลย
พูดเช่นนี้มิได้หมายความว่าให้เตรียมตัวเป็นผู้แพ้แต่อยู่ในมุ้งหามิได้ ใครที่คิดเช่นนั้น ก็คงงอมืองอเท้าตั้งแต่แรก คนเราควรพากเพียรอย่างเต็มที่ แต่ใครเล่าที่จะกำหนดผลสำเร็จไปได้หมด คนที่มีน้ำใจเป็นนักกีฬา ต้องรู้จักแพ้ให้เป็น ฉันใด ในยามที่ชีวิตตกต่ำ บัณฑิตพึงรู้จักทำใจให้เป็นฉันนั้น
 
แต่คนเรามักทำใจไม่ได้ เพราะคอยหวนคะนึงถึงวันคืนอันชื่นบาน สมัยยังมั่งมีศรีสุข หรือยังมีหน้ามีตา แต่อดีตนั้นมีไว้เพื่อเป็นฐานหนุนส่งให้เกิดปัจจุบัน เพื่อก้าวไปสู่อนาคต ใครที่เอาอดีตมาเหนี่ยวรั้งตนไว้ไม่ให้ไปข้างหน้า ก็เท่ากับเป็นนักโทษในกรงขังของตัวเอง

ชีวิตนั้นให้รางวัลก็แต่ผู้ที่อยู่กับปัจจุบัน เพราะปัจจุบันเท่านั้นที่เป็นของจริง จริงอยู่บ่อยครั้งปัจจุบันมีแต่เรื่องระทมทุกข์ อดีตนั้นน่าพิสมัยมากกว่า แต่ถ้าเราจะหวนไปหาอดีตบ้างก็ควรเป็นชั่วครู่ชั่วขณะ เพื่อชุบชูจิตใจให้ชื่นบานจะได้มีกำลังมาฟันฝ่าชีวิตในปัจจุบัน

อย่างไรก็ตาม อย่าลืมว่าชีวิตจะสุขหรือทุกข์นั้น อยู่ที่เราเป็นสำคัญ ไม่ใช่เพราะคนอื่นหรือเหตุอื่น เช่นเดียวกับความจนและความรวยนั้น อยู่ที่มุมมองของเรา คนไทยเป็นอันมากกำลังทุกข์เพราะคิดอยู่ตลอดเวลาว่าตัวเองยากจนลง ตราบใดที่ยังจมอยู่กับความคิดแบบนี้ก็ไม่มีวันคลายทุกข์ไปได้

แต่เราลืมไปแล้วหรือว่า ชีวิตความเป็นอยู่ของเราตอนนี้ ถึงอย่างไรก็ยังดีกว่าบางช่วงในอดีต ลองมองไปรอบตัว จะพบว่าข้าวของในบ้านหลายชิ้น เคยเป็นของสุดเอื้อมสมัยเรายังเด็ก หรือเป็นหนุ่มเป็นสาว รถยนต์ แก้วแหวนเงินทอง วีดีโอ สเตอริโอ ซีดี ฯลฯ มองในแง่นี้เราไม่ได้จนลงแต่รวยขึ้นต่างหาก ยิ่งถ้าเปรียบกับคนอีกมากมายตอนนี้ ไม่ว่าจะมองลงไปข้างล่างหรือมองขึ้นข้างบน เราก็ยังสบายกว่ามาก คนที่ถูกยึดรถไป สมควรแล้วที่จะคิดว่า ตัวเองโชคดีกว่าคนที่กิจการล้มละลาย ส่วนคนที่กิจการล้มละลาย ก็ยังนับว่าโชคดีกว่านักธุรกิจพันล้าน ที่มีหนี้ท่วมหัว

แต่ถึงจะเป็นหนี้เป็นสินมากแค่ไหน เราก็ยังมีสิทธิเลือกได้ว่าตัวเองจะทุกข์หรือไม่ทุกข์ เพราะถึงที่สุดสุขหรือทุกข์ไม่ได้อยู่ที่จำนวนทรัพย์หรือหนี้สิน หากอยู่ที่ใจของเรา ถ้าเราคิดอยู่ตลอดเวลาว่าตัวแย่แล้ว ๆ นรกก็เกิดขึ้นทันตาเห็น เรามีสิทธิที่จะคิดว่าตัวเองไม่แย่ แต่สิทธินี้เราจะใช้หรือไม่อยู่ที่ใคร ถ้าไม่ใช่ตัวเราเอง

กระนั้นก็ตาม นอกจากวิธีคิดหรือมุมมองแล้ว คุณภาพจิตของเราก็สำคัญ ถ้าเราเป็นคนรู้จักสันโดษ ยินดีในสิ่งที่ตัวเองได้มาหรือมีอยู่ มีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ รู้จักแสวงหาความสงบในจิตใจ วิกฤตเศรษฐกิจที่กำลังเผชิญอยู่ขณะนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องเหลือวิสัยที่จะฟันฝ่าไปได้.

 

43
สุขใจแม้ไม่มีใครรู้จัก
ธมลวรรณ พาลูกสาววัย 9 ขวบ ไปเที่ยวห้างสรรพสินค้า วันนั้นเธอซื้อของมามากมาย หิ้วถุงพะรุงพะรัง ก่อนจะขึ้นรถไฟฟ้ากลับบ้าน เธอจึงฝากกระเป๋าสะพายให้ลูกถือ พอลงจากรถไฟฟ้าเธอมองไปที่ไหล่ของลูกสาว ไม่เห็นกระเป๋าสะพายก็ใจหายวาบ ถามลูกสาวจึงได้ความว่าเด็กน้อยวางไว้ข้างหลังเก้าอี้ตอนนั่งรถไฟฟ้า ด้วยความโมโหเธอจึงตีลูกสาวไป 1 ทีจนเด็กน้อยร้องไห้

ในกระเป๋านั้นมีเงินประมาณ 26,000 บาท สร้อยคอ 1 บาท และบัตรเครดิต 5 ใบ พร้อมกับเอกสารสำคัญมากมาย รวมทั้งสมุดบัญชีเงินฝากด้วย

เธออดเสียดายไม่ได้ที่สูญเงินและของสำคัญไปเป็นจำนวนมาก จิตใจหม่นหมองอยู่หลายวัน ส่วนลูกสาวก็ไม่กล้าเข้าหน้าแม่เพราะกลัวถูกดุ เธอนึกเสียใจที่ตีเด็ก เพราะเป็นความผิดของตัวเอง แต่ตอนนั้นทั้งโกรธทั้งพาล

หนึ่งสัปดาห์ต่อมาเธอก็ได้รับพัสดุไปรษณีย์ เปิดดูจึงพบว่าเป็นกระเป๋าสะพายที่หายไป ของอยู่ครบหมด ขาดแต่เงิน 26,000 บาท ในกล่องนั้นมีข้อความสั้นๆ บอกว่าจะโอนเข้าบัญชีให้ ลงท้ายว่า ? จากผู้ที่หวังดี ?

อีกสองวันถัดมา เมื่อเธอไปเช็คที่ธนาคารก็ปรากฏว่ามีเงินโอนเข้ามา 26,000 บาท แต่เป็นการโอนลอย ไม่มีชื่อคนส่ง เธอดีใจจนน้ำตาไหล ส่วนลูกสาวก็เลิกหลบหน้าอีกต่อไป
 

ธมลวรรณ ไม่ได้น้ำตาไหลเพราะดีใจที่ได้เงินคืนกลับมาเท่านั้น แต่ยังน้ำตาไหลเพราะปลาบปลื้มในน้ำใจของ ? ผู้ที่หวังดี ? แม้บุคคลนิรนามผู้นั้นจะไม่ได้เห็นน้ำตาและความปลาบปลื้มของ ธมลวรรณ แต่เขาหรือเธอย่อมรู้ดีว่าเจ้าของกระเป๋าสะพายต้องดีใจอย่างแน่นอนที่ได้ของกลับมา และนั้นแหละคือรางวัลที่เขาหรือเธอได้รับ คือ ความสุขจากการได้ช่วยเหลือผู้อื่น ซึ่งไม่เคยรู้จักหรือเห็นหน้าค่าตามาก่อน

ชื่อเสียงหน้าตาของบุคคลนิรนามผู้นั้นจะเป็นที่รู้จักหรือหรือไม่ สำหรับเขา (หรือเธอ) แล้ว นั้นไม่สำคัญเท่ากับการได้ช่วยเหลือเพื่อร่วมสังคมให้หายทุกข์

ใช่หรือไม่ว่าถ้าโลกนี้งดงามและน่าอยู่ นั่นก็เพราะบุคคลนิรนามทั้งหลายซึ่งทำความดีโดยไม่หวังตอบแทน และไม่ประสงค์แม้แต่จะเป็นที่รู้จัก ขอเราได้อย่าลังเลใจที่จะทำความดีแม้ไม่มีคนรับรู้

ทุ่งหญ้าและป่าใหญ่งดงามได้ก็เพราะดอกไม้นานาพรรณ ที่พร้อมจะบานสพรั่งโดยไม่สนใจว่าจะมีคนมาชื่นชมหรือไม่ แผ่นดินนี้จะงดงามเพียงไรหากความดีในจิตใจของทุกคนพร้อมจะเปล่งประกายให้ปรากฏ แม้ว่าจะไม่มีคนเห็นก็ตาม[

 

44
ธรรมะ / ฝึกจิตให้มีความสุข
« เมื่อ: 31 มี.ค. 2550, 01:22:38 »
ฝึกจิตให้มีความสุข
การบริหารจิต คือการฝึกอบรมจิตให้มีความสงบ เยือกเย็นเป็นสุข ขณะเดียวกันรู้ว่าอะไรผิดอะไรถูกควรแก้ไข อะไรควรส่งเสริมอย่างไร และเมื่อรู้แล้วก็ควรปฏิบัติเพื่อแก้ไข หรือส่งเสริมให้เหมาะให้ควร
คือปฏิบัติเพื่อแก้ไขสิ่งที่ควรได้รับการแก้ไข และส่งเสริมสิ่งที่ควรได้รับการส่งเสริมการบริหารทางจิตมิใช่เพียงเพื่อฝึกอบรมจิตใจให้สงบเยือกเย็นเป็นสุขอย่างไม่รับรู้เลยว่าอะไรถูก อะไรผิด อะไรควรแก้ไข อะไรควรส่งเสริม
อันจิตที่ได้รับการฝึกอบรมในทางที่ถูกนั่น ต้องเป็นจิตที่มีความสงบเป็นพื้นฐานนี้แหละ ที่จะทำให้มีความรู้ในสิ่งที่ควรรู้ เห็นในสิ่งที่ควรเห็น เช่นความผิดถูก ความควรไม่ควร รู้วิธีปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านั้นอย่างถูกต้อง?
ผู้ปรารถนาความสงบ เยือกเย็นเป็นสุข และความมีปัญญารู้เห็นอะไร ๆ โดยชอบ
จึงจำเป็นต้องบริหารจิตและจำเป็นต้องบริหารหลักของพระพุทธศาสนา จึงจะได้ผลสมดังปรารถนานั้น

ข้อว่า จิตที่ได้รับการฝึกอบรมอย่างถูกต้อง จะเป็นจิตที่มีความสงบเยือกเย็นเป็นสุข และมีปัญญารู้ในสิ่งที่ควรรู้ เห็นในสิ่งที่ควรเห็น เช่น รู้ความถูกความผิด ความควรความไม่ควรและรู้วิธีปฏิบัติเพื่อแก้ไขหรือส่งเสริมเรื่องทั้งหลาย โดยไม่จำเป็นต้องใช้อำนาจอารมณ์กิเลส
เช่น ไม่จำเป็นต้องโลภจึงจะขยันหมั่นเพียรประกอบอาชีพ เพื่อให้ได้ทรัพย์สินเงินทอง ไม่จำเป็นต้องโกรธจึงจะว่ากล่าวตักเตือน หรือลงโทษผู้ที่กระทำความผิด ไม่จำเป็นต้องหลงจึงจะสามารถทำเหมือนไม่รู้ไม่เห็น สิ่งที่ไม่ควรรู้ไม่ควรเห็นเสียได้
 

45
คำคม (ข้อคิด) ที่หลวงปู่หลวง กตปุญฺโญ จะพูดสอนอยู่เป็นประจำ


? บาปเปรียบเหมือนไฟ บุญเปรียบเหมือนน้ำ น้ำเอาไปอาบเวลาไหนก็เย็นเวลานั้น ไฟไปจับเวลาไหนก็ร้อนเวลานั้น


? ตูลีตะ ตูลีตังสีคะ สีคัง รีบๆ ด่วนๆ รีบทำคุณงามความดีเสีย ทานไม่มีก็ให้รีบทำ ศีลไม่มีก็ให้รีบรักษา ภาวนาไม่มีก็ให้รีบเจริญ ทำให้เกิดให้มีขึ้น


? ชีวิต คือการต่อสู้ จงเป็นอยู่ด้วยความอดทน อุปสรรคคือความสำเร็จ


? รูปร่างกายของเราเป็นของตาย เพราะอยู่ได้ด้วยของตาย ปลาทูปูเค็ม ขนม ต้มไก่ เป็นของตายทั้งนั้น


? มันง่าว (โง่) ตั้งแต่โคตรพ่อ โคตรแม่ โน้น โคตรพ่อคือหยัง คือท้าวอวิชชา โคตรแม่คือหยัง คือนางตัณหา


? พระพุทธเจ้าเข้านิพพานไปแล้ว สองล้านห้าแสนแปดหมื่นสี่พันหนึ่งร้อยสิบเก้าพระองค์ แต่พวกเราก็ยังไปไม่ได้ ไม่รู้ไปหลงอยู่ที่ไหน


? ให้มีความศรัทธาความเชื่อว่า บาปมีจริงบุญมีจริง สวรรค์มีจริงนรกมีจริง ทำดีได้ดีจริง ทำชั่วได้ชั่วจริง


? ปากเป็นเอก เลขเป็นโท ตัวหนังสือเป็นตรี คุณความดีเป็นตรา ปากดีเป็นเงินเป็นทอง ปากไม่ดีเสียเงินเสียทอง



? ความตายมันบ่เตือนให้รู้ล่วงหน้า มันตายได้ทุกเวลา ทุกนาทีทุกชั่วโมง ตายเข้าโลงอ้าปากก็หวอ


? พวกเรานี้มีโชคดี มีวาสนาดี ที่ได้เกิดมาแล้ว ได้พบปะธรรมะ คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ได้พบปะธรรมะคำสั่งสอนของพระอริยะเจ้า มีหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต เป็นต้น


? จะรู้ได้เพราะสติ จะละได้เพราะปัญญา
รู้ใน รู้ละ รู้นอก รู้ยึดถือ
ปริยัติ เรียนรู้คัมภีร์ ปฏิบัติดี รู้ทันกิเลส ปฏิเวธ รู้แล้ว ละวาง


? ศีลเป็นพื้นฐานของความดีทุกอย่าง
ความดีทุกอย่างเกิดจากศีล
ความสงบ เยือกเย็น ทุกอย่างเกิดจากสมาธิ
จะละกิเลสได้ด้วยกำลังสติปัญญา


? อารักขธรรมฐาน พระพุทธเจ้าให้เจริญเป็นนิจ มี ๔ อย่าง พุทธานุสติ เมตตา อสุภะ มรณะ

ให้ทำใจให้เย็นเหมือนน้ำ ทำใจดีเหมือนน้ำ น้ำมันดี ดีอย่างไร ใครด่าก็เฉย ใครนินทาก็เฉย ขี้รดก็เฉย เยี่ยวรดก็เฉย ทำใจอย่างนั้น จึงจะได้ธรรมะ ปล่อยวาง เขาว่าดีก็คืนให้เขา ไม่ต้องรับเอา เขาว่าไม่ดีก็คืนให้เขา เอามาทำไม เขายกก้อนไฟมาให้เรา เราไม่เอาทั้งนั้นแหล่ะ นินทาก็เป็นไฟ สรรเสริญก็เป็นไฟ ไฟทั้งนั้นแหล่ะ พระพุทธเจ้าท่านให้ละ ดีก็ไม่เอาของใครทั้งนั้น ชั่วก็ไม่เอาของใคร
 [/size]

46
1มีนา ใครไปครอบครูบ้าง มาเล่าถึงบรรยากาศของงานหน่อยครับว่าคนเยอะเหมือนทุกๆปีรึเปล่าแล้วปีนี้ได้พระอะไร?

+ครอบกันแล้วรู้สึกกันยังไงบ้าง (ปีก่อนได้ไปแต่ปีนี้ติดธุระอยากไปจัง) ? :075: :075: :075:


[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

47
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / หมากทุย
« เมื่อ: 28 ก.พ. 2550, 06:05:35 »
ดีทางแคล้วคลาด คงกระพัน และมหาอุด

"หมากทุย" ต้นหมากนั้นตามปกติตายยากจะมีอายุยืน ที่จะตายได้ก็มีเพียงน้ำท่วม
ขังนาน ๆหรือไม่ก็ถูกลมพัดหักกลางต้น แต่ถ้าหากหมากนั้นอยู่ดีๆก็ตายแห้งกรอบเหลือง
ทั้ง ที่จั่นติดลูกดกพราว หมากนั้นเป็นหมาก "หมากตายพราย" ให้นำมาทำเครื่องรางที่
เรียกว่า "หมากทุย"


  วิธีการสร้างหมากทุย
ประการแรกพระอาจารย์จะให้ศิษย์ไปขึ้นต้นหมาก เพื่อเอาลูกหมากที่ตายพรายลง
มา และลูกหมากนั้นจะต้องเป็นลูกหมากอ่อนที่มีขนาดเล็กพอเหมาะ ส่วนการจะขึ้นไปนั้น
ท่านจะสอนคาถาภาวนาให้ เมื่อเวลาขึ้นต้นหมากก็ต้องภาวนาทุกช่วงเวลาไต่ ครั้นพอถึง
แล้วก็ไม่ให้เอามือเด็ดแต่ให้ใช้ปากคาบแล้วดึงจนลูกหมากขาด เวลาคาบไว้ในปากก็ภาว
คาถากำกับทุกช่วงไป เมื่อได้ลูกตายพรายมาแล้วก็เปิดจุกด้านบนคว้านเอาเนื้อหมากด้าน
ในออกให้หมด จากนั้นจึงเอาเม็ดพระธาตุ ( ถ้าไม่มีก็ใช้กระดาษสา ลงพระนามพระพุทธ
เจ้าด้วยอักขระแทน ) เมื่อทำการปลุกเสกแล้ว ก็บรรจุลงไปด้านในแทนให้เต็ม จากนั้นก็
เอาชันโรงใต้ดินมาอุดปิดทับด้านบนให้แน่น เพื่อป้องกันความชื้นและตัวแมลง
การปลุกเสกกำกับด้วยพลังจิต จนเกิดอุดมนิมิตว่าลูกหมากลุกตั้งได้เอง จึงถอน
จิตแล้วนำไปถักเชือกหุ้มอีกชั้นหนึ่ง แล้วลงรักเคลือบผิว ทำห่วงด้านบนเพื่อใช้คล้องคอ
ไม่สมควรนำมาคาดเอวหรือห้อยพวงกุญแจ เพราะภายในบรรจุพระนามพระพุทธเจ้า


   อานุภาพการใช้
กล่าวได้ว่าเมื่อนำติดตัวจะช่วยป้องกัน ทางด้านมหาอุด คงกระพัน แคล้วคลาด
และยังป้องกันภูติผีปีศาจ ให้หมั่นปลุกเสกกำกับด้วยคาถาพระเจ้าห้าพระองค์ว่า "นะโม
พุทธายะ " อยู่เสมอ ๆ


  การอาราธนาให้ใช้วิธีดังนี้
ตั้นะโม 3 จบ และระลึกถึงคุณพระศรีรัตนตรัย คุณบิดามารดา ครูอาจารย์ และ
เรียกชื่อผู้เป็นเจ้าของหมากทุยที่ท่านนับถือ แล้วใช้คาถามงกุฏเพชรพระพุทธเจ้า จาก
นั้นหนุนด้วยคาถามหาอุด ดังนี้ " นะอุด โมอัด พุทยัด ธาปิด ยะมิดชิด ปิดปากกระบอก
นะ พุทธผัดผิด ปิดด้วยนะโมพุทธายะ "
:054: :054: :054:


[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

48
หญ้าคา

ตามคติพรหมณ์ ถือว่าเป็นของสูงเป็นมงคล เคยใช้เป็นที่รองหม้อน้ำ อมฤต ที่พระศิวะใช้ดื่มมาเเล้ว รวมทั้งไม้บางอย่างด้วยเช่นมะตูมก็ถือว่าเป็นไม้สูงเช่นกัน
ตามพระพุทธศาสนาเเล้ว มหาโพธิบัลลังก์ ที่พระพุทธเจ้าประทับ ทรงชำระมารทั้งหลายได้ตรัสรู้ เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ณ โคนต้นพระศรีมหาโพธิ์ ณ พุทธคยา ก็เพราะทรงใช้หญ้าคานี่เอง ชาวพุทธจึงถือว่าหญ้าคา เป็นหญ้ามงคล เป็นสิ่งกำจัดศัตรูเภทภัย โรคา พยามารต่างๆให้สูญหาย ด้วยเหตุนี้ พระสงฆ์จึงนิยมใช้หญ้าคา มาพรมน้ำมนต์
:054: :054: :054:

49
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / สายสิญจน์
« เมื่อ: 26 ก.พ. 2550, 04:27:02 »
ที่มา ของคำว่าสายสิญจน์ เป็นคำที่มาจากภาษา
บาลี ใช้คำว่า"สิญจ" รูปเเบบเดิม เเปลว่าการกระทำที่เกี่ยวกับน้ำ เป็นคำกริยา หมายถึง การรดน้ำมนต์ สรงมธุรธาภิเศก เป็นคำนามใช้คำว่า สายสิญจน์ หมายถึงเส้นด้ายยาวๆที่พระ ถือเวลาสวดมนต์ หรือที่นำมาวงรอบบ้านเรือน เพื่อให้เกิด ความเป็นมงคล


เหตุที่นำเส้นด้ายมาเเทนน้ำ เเล้วเรียกว่าสายสิญจน์นั้น ก็เเปลความได้ว่า น้ำที่มีลักษณะเป็นของเหลวจะมีลักษณะไหลเป็นสายๆ เมื่อใช้เส้นด้ายมาต่อกัน ก็เปรียบดั่งสายน้ำที่ไหลไปตามเส้นด้าย อย่างไม่ขาดสาย ทำให้มีเเต่ความร่มเย็นสงบสุข

ดังนั้นสายสิญจน์ สินก็เปรียบได้ดั่งสายน้ำนั่นเอง
ผู้ใดที่มีก็ ผูกข้อมือไว้ จะมีความร่มเย็นครับ?
? :054: :054: :054:

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

50
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / เบี้ยแก้
« เมื่อ: 26 ก.พ. 2550, 11:06:06 »
เบี้ยแก้คืออะไร

เบี้ยแก้ คือ เครื่องรางชนิดหนึ่ง ซึ่งมีอุปเท่ห์การใช้มากมายหลายอย่าง ทั้งกันและแก้สิ่งชั่วร้ายเสนียด
จัญไร คุณไสย คุณคน คุณผี บาเบื่อ ยาเมา ทั้งหลาย คณาจารย์ยุคเก่าที่สร้างเครื่องรางประเภทเบี้ยแก้
เอาไว้มีด้วยกันหลายรูป แต่ที่มีชื่อเสียงมากที่สุด เห็นจะมีอยู่เพียง ๒ รูปคือ หลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว
และหลวงปู่รอด วัดนายโรง นอกนั้นก็มีชื่อเสียงอยู่เฉพาะพื้นที่ เช่น หลวงพ่อพักตร์ วัดโบสถ์ จ.อ่างทอง ,
หลวงพ่อม่วง, หลวงพ่อทัต, หลวงพ่อพลอย วัดคฤหบดี บางยี่ขัน, หลวงพ่อแขก วัดบางบำหรุ, หลวงพ่อคำ
วัดโพธิ์ปล้ำ, หลวงพ่อนุ่ม วัดนางใน จ.อ่างทอง และมีอาจารย์อื่นอีกที่สร้างได้แต่ไม่แพร่หลาย


วิธีการสร้างเบี้ยแก้

เมื่อหาตัวเบี้ยมาได้แล้ว (เบี้ยพวกนี้ไม่ค่อยพบในบ้านเรา สมัยก่อนต้องหาซื้อตามร้านเครื่องยาจีน
เข้าใจว่าเบี้ยที่นำมาใช้นี้จะถูกนำเข้ามาพร้อมกับสินค้าจากประเทศจีนในอดีต.....) คณาจารย์
ผู้สร้างก็บรรจุปรอทที่ปลุกเสกแล้วเข้าไปในตัวเบี้ย แล้วหาวิธีอุดมิให้ปรอทไหลออกมาได้ (ปรอทที่ใช้
นี้เป็นปรอท หรือปรอทดินโบราณมีวิธีการจับปรอทโดยนำไข่เน่าไปทิ้งไว้ในน้ำครำไม่ช้าปรอทจะกิน
ไข่เน่าจนเต็ม)

ปรอทมีคุณสมบัติเป็นของเหลวลื่นไหลการจะนำปรอทมาบรรจุเบี้ยแก้ คณาจารย์ผู้สร้างจำต้องมีพระเวท
เข้มขลัง เพราะต้องใช้พระเวทฆ่าปรอทหรือบังคับให้ปรอทรวมตัวกันอยู่ในเบี้ยบางราย ถึงกับบริกรรมพระเวท
เรียกปรอทเข้าในตัวเบี้ยได้เอง การปิดปากเบี้ยเพื่อกันไม่ให้ปรอทไหลออกมาได้นั้นนิยมเอาชันโรงใต้ดิน
ที่ปลุกเสกแล้วมาอุดใต้ท้องเบี้ยให้สนิทเรียบร้อย แล้วจึงหุ้มด้วยวัสดุอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น ผ้าแดง แผ่นตะกั่ว
แผ่นทองแดง วัสดุที่ใช้หุ้มหรือปิดนี้ก็ต้องลงอักขระเลขยันต์และปลุกเสกกำกับด้วย เช่นเบี้ยแก้หลวงปู่บุญ
วัดกลางบางแก้วจะมีลวดทองแดงขดเป็นห่วง ๓ ห่วง เพื่อให้ใช้เชือกคล้องคาดเอว

เบี้ยแก้ที่ผ่านการบรรจุปรอทจนกระทั่งถักหุ้มเรียบร้อยแล้ว ก็ยังไม่ถือว่าเสร็จสิ้นขึ้นตอนกรรมวิธี
เพราะคณาจารย์เจ้าผู้สร้างท่านต้องปลุกเสกกำกับอีกจนมั่นใจว่าใช้ได้จริงๆ แล้วเล่ากันว่า คณาจารย์บางรูป
 และสามารถปลุกเสกเบี้ยแก้จนตัวเบี้ยคลานได้เหมือนหอย


อิทธิคุณและพิธีกรรมการใช้เบี้ยแก้

ข้ออธิบายต่อไปนี้ คัดลอกจากต้นฉบับเดิมของวัดกลางบางแก้ว เพื่อให้ท่านที่มีเบี้ยแก้ได้ทราบถึง
อิทธิคุณและการใช้อย่างถูกต้อง อันจะบังเกิดผลดีแก่ผู้ใช้

- ป้องกันอัตวิบากกรรม แก้ภาพหลอน จิตรหลอน ภาพอุปทาน แก้อำนาจภูผีปีศาจ อาถรรพณ์เวททำให้
มัวเมาขลาดกลัว ขนพองสยองเกล้า ลมเพลมพัด คุณไสย คุณผี คุณคนทั้งปวงอุบาทวเหตุ อุบาทวภัย
ทั้งปวง มัวเมายาพิษ ยาสั่งทั้งหลาย ไข้ป่า ไข้ป้าง ไข่ผีป่า ผีโป่ง ผีปอบ ต้องกระทำจากภูตผี ผีพราย
ผีตายโหง กองกอยวิกลจริต จิตวิกลวิกาล วิญญาณ อุปาทานวิกลเหมือนผีเข้าเจ้าสิงสู่ปราศจากสิ้นแล

- ให้อธิษฐานเอาน้ำมนต์ เอาดอกพุทธรักษาดอกไม้ ดอกเข็มแดงหลากสี ตั้งขันธูปเทียน ขันห้า
ข้าวตอก ดอกไม้แก้บาทวพิษ บาทยัก อัมพาต บาดแผล ฝีมะเร็ง ฝีคุณ หัวพิษ หัวกาฬ ทรางชัก
รางขนพอง สันนิบาตลูกหมา ลูกนก หลังแอ่น คางแข็ง บ้าหมู ภายนอกภายใน อาบกินด้วย ตั้งจิตหน่วงลง
ในคุณพระศรีรัตนตรัยใช้ได้แล

- เมื่อเข้าศึกสงครามให้เอาไว้ด้านหน้าสารพัดศัตรู บีทาย่ำรุกไล่ให้เอาไว้ด้านหลัง หาเจ้าฟ้ามหากษัตริย์
เจ้าขุนมูลนาย ให้เอาไว้ด้านข้างขวา เมื่อหาหญิง หานางพญาไว้ข้างซ้าย สารพัดศาสตรามิต้องข้างกายเลย
ดุจฝนเสนห่า ข้าวปลาอาหารเป็นพิษ คางแข็ง เคี้ยวไม่กลืนเลยแล

- ปลิงก็ดี ทากร้ายก็ดี มีในป่ามืด ในน้ำห้วยหนอง คลองบึง มันไม่เก่าะกินเลือดทั้งวัวทั้งควาย ช้างม้า
ก็ดีแล แก้งูพิษ เขี้ยวขนอน แมวเซา เห่าแก้วก็ดีมิต้องกายมาขบกัดเลยแล
:054: :054: :054:

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

51
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / ตะกรุดฯลฯ
« เมื่อ: 09 ก.พ. 2550, 03:31:30 »
ตะกรุดดีทางป้องกันภยันอันตราย แคล้วคลาด เมตตามหานิยม

? ? ? ? ตะกรุดที่ทำด้วยโลหะ
ตะกรุด หมายถึง แผ่นโลหะบาง ๆ ที่ม้วนกลมยาวลงอักขะ บางคณาจารย์ถักเชือกลงรัก
ปิดทอง หลักฐานปรากฏชัดใน ร.5 ทรงสร้างเหรียญเสมา ปจร. เมื่อพ.ศ. 2444 ด้านบนเจาะรู
สำหรับห้อยคอ และที่ด้านซ้าย-ขวาของเส้นด้ายร้อยไว้ด้วย ตะกรุด ดอกเล็ก ๆ ข้างละ 1 ดอก
ตะกรุดยุคโบราณส่วนมากเป็นเนื้อตะกั่วสังขวานร คือ ตะกั่วที่รีดบางและลงอักขระ ส่วน
ส่วนโลหะอื่น ๆ นั้นเป็นยุคหลังลงมามีด้วยกันหลายขนาด บางองค์มีความยาวประมาณ 1 cm. ถึง 3 cm.
? ? ?

ตะกรุดที่ทำด้วยหนังสัตว์
พระคณาจารย์ทางภาคกลางจากอดีต จะนิยมสร้างตะกรุดเริ่มมีใน ร.5 พิธีการทำตะกรุด
พระอาจารย์ท่านจะนำหนังเสือโคร่งหรือหนังเสือดำมาลงอักขระจารบนหนังเสือ พร้อมกับร่าย
พระเวทมนต์เสียงดัง พร้อมกับม้วนตะกรุดไปด้วย ใช้เวลาในการปลุกเสกนานพอสมควร
สรรพคุณในการใช้ดีในทางป้องกันภูตผีปีศาจ แคล้วคลาด คงกระพัน และมหานิยม


? ? ตะรุดหนังเก้ง
การสร้างตะกรุดหนังเก้งท่านจะนำหนังเก้งมาตัดเป็นเส้นยาว ๆ กว้างประมาณ 1/2 cm.
นำมาขูดจนขาวและบาง หลังจากนั้นนำมาลงอักขระพระคาถา แล้วม้วนเป็นลูกกลม ๆ มีรูสำหรับ
ร้อยตรงกลาง แล้วนำไปถักเชือกและลงรัก
อนุภาพของตะกรุด ท่านว่าอุดมไปทางแคล้วคลาด คงกระพัน มหาอุด และยังป้องกัน
ภัยจากการกระทำย่ำยี่ได้อีกด้วยตะกรุดไม้ไผ่
มีกรรมวิธีเดียวกับการลงตะกรุดที่เป็นแผ่นโลหะ แต่พระเกจิอาจารย์ท่านเปลี่ยนมาใช้ไม้
ไผ่แทนเพราะหาง่ายโดยเฉพาะในชนบทนึกอยากจะทำก็ตัดเอามาทำได้ทันที ดีในทางแคล้วคลาด
จากภยันอันตราย


? ? ตะกรุดไม้ไผ่ตัน
ตะกรุดไม้ไผ่ตันเป็นไม้ไผ่ตันตลอดทั้งลำ แต่บางพระอาจารย์ท่านเรียกว่า"ไม้ไผ่มหาอุด"
เพื่อความขลังศักดิ์สิทธิ์จึงนำมาลงอักขระจารเลขยันต์ หรือคาถาหัวใจพุทธคุณ มีความยาว
ประมาณ 5 วา ท่านเห็นว่ายาวเกินไปจึงตัดออกมาเป็นแว่นบาง ๆ และนำมาทำตะกรุดคาดเอว
ในส่วนที่ตัดออกมาเป็นแว่นนั้น ท่านได้นำมาลง "นะวิเศษ" ซึ่งเป็นหนึ่งในนะ 108 ซึ่งเป็นอัก
-ขระวิเศษสำเร็จในตัว มีอนุภาพเอนกประการ ทั้งมหาอุด เมตตามหานิยม คงกระพัน แคล้ว
คลาด ป้องกันไฟ เป็นต้น


? ? ตะกรุดไม้รวก
ตะกรุดไม้รวกมีลักษณะลำต้นกลวงตลอด ทำการตัดหัวท้ายแล้วนำมาลงอักขระเลขยันต์
แล้วบรรจุผงพุทธคุณลงไปในรู้ไม้รวกแล้วอุดหัวท้ายด้วยดินปิดรูนกเงือก


? ? ตะกรุดใบลาน
ยังมีตะกรุดอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งมีความขลังในทางอยู่ยงคงกระพัน ทำด้วยใบลานหาได้ทำ
ด้วยแผ่นโลหะ หลวงพ่อท่านได้นำใบลานมาจากต้นลานต้นเดียวนำมาม้วนและลงอักขระขอม
หัวใจพระพุทธมนต์อันสำคัญ ๆ ไว้ภายในตลอดแผ่นใบลานม้วน



? ? ตะกรุดลูกอม
ตะกรุดลูกอมที่มีชื่อลือเลื่องนั้น เป็นตะกรุดที่ทำด้วยโลหะแผ่น กล่าวกันว่าแผ่นโลหะที่
พระคณาจารย์ท่านลงอักขระแล้วนำไปหล่อหลอมในเบ้าด้วยความร้อนสูงก็ไม่ละลายแม้จะเร่ง
ไฟใช้ความร้อนจากเตามหึมาก็ตาม



นำมาลงเพื่ออาจจะเป็นประโยชน์ต่อๆไปครับ      :054: :054: :054:

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

52
ความหมายของวันขึ้นปีใหม่ ตามพจนานุกรม ฉบับราชตบัณฑิตยสถาน
ให้ความหมายของคำว่า " ปี" ไว้ดังนี้
ปี หมายถึง เวลา ชั่วโลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ครั้งหนึ่งราว 365 วัน : เวลา 12 เดือนตามสุริยคติ

ความเป็นมา
ในอดีต วันขึ้นปีใหม่ของไทยได้มีการเปลี่ยนแปลงมาแล้ว 4 ครั้งคือ
? ครั้งแรกถือเอาวันแรม 1 ค่ำ เดือนอ้าย เป็นวันขึ้นปีใหม่ซึ่ง ตรงกับเดือนมกราคม
?ครั้งที่ 2 กำหนดให้วันขึ้นปีใหม่ตรงกับวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 5 ตามคติพราหมณ์ ซึ่งตรงกับเดือนเมษายน
 การกำหนดวันขึ้นปีใหม่ใน 2 ครั้งนี้
ถือเอาทางจันทรคติเป็นหลัก ต่อมาได้ถือเอาทางสุริยคติแทน โดยกำหนดให้วันที่ 1 เมษายน เป็นวันขึ้นปีใหม่ ตั้งแต่ พ.ศ.2432 เป็นต้นมา อย่างไรก็ตาม ประชาชนส่วนใหญ่โดยเฉพาะตามชนบทยังคงยึดถือเอาวันสงกรานต์เป็น วันขึ้นปีใหม่อยู่
 ต่อมาเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตย
ทางราชการเห็นว่าวันขึ้นปีใหม่วันที่ 1 เมษายน ไม่สู้จะมีการรื่นเริงอะไรมากนัก สมควรที่จะฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ จึงได้ประกาศ
ให้มีงานรื่นเริงวันขึ้นปีใหม่ในวันที่ 1 เมษายน 2477 ขึ้นใน กรุงเทพฯเป็นครั้งแรก
 การจัดงานวันขึ้นปีใหม่ที่ได้เริ่มเมื่อวันที่ 1 เมษายน
ได้แพร่หลายออกไปต่างจังหวัดในปีต่อๆมา และในปี พ.ศ.2479 ก็ได้มีการ จัดงานรื่นเริงปีใหม่ทั่วทุกจังหวัด วันขึ้นปีใหม่วันที่ 1 เมษายน ในสมัยนั้นทางราชการเรียกว่า วันตรุษสงกรานต์
 ต่อมาได้มีการพิจารณาเปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่อีกครั้งหนึ่ง
โดยคณะรัฐมนตรีได้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้น ซึ่งมีหลวงวิจิตรวาทการ เป็นประธานกรรมการ ที่ประชุมมีมติเป็นเอกฉันท์ให้เปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่เป็นวันที่ 1 มกราคม โดยกำหนดให้วันที่ 1 มกราคม 2484 เป็น วันขึ้นปีใหม่เป็นต้นไป
 เหตุผลที่ทางราชการได้เปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่จากวันที่ 1 เมษายนมาเป็นวันที่ 1 มกราคม ก็คือ
1. ไม่ขัดกับพุทธศาสนาในด้านการนับวัน เดือน และการร่วมฉลองปีใหม่ด้วยการทำบุญ
2. เป็นการเลิกวิธีนำเอาลัทธิพราหมณ์มาคร่อมพระพุทธศาสนา
3. ทำให้เข้าสู่ระดับสากลที่ใช้อยู่ในประเทศทั่วโลก
4. เป็นการฟื้นฟูวัฒนธรรม คตินิยม และจารีตประเพณีของชาติไทย

กิจกรรมที่ชาวไทยส่วนใหญ่มักจะยึดถือปฏิบัติในวันขึ้นปีใหม่ได้แก่
1. การทำบุญตักบาตร โดยอาจตักบาตรที่บ้าน หรือไปที่วัดหรือตามสถานที่ต่างๆที่ทางราชการเชิญชวนไปร่วมทำบุญ
2. การกราบขอพรจากผู้ใหญ่ และอวยพรเพื่อนฝูง การมอบของขวัญ การมอบช่อดอกไม้ หรือการส่งบัตรอวยพร
3. การจัดงานรื่นเริง การจัดเลี้ยงในหมู่เพื่อนฝูง ญาติพี่น้องหรือตามหน่วยงานต่างๆ
วันขึ้นปีใหม่นับเป็นโอกาสดีที่จะทำให้เราได้ทบทวนถึงการดำเนินชีวิตในอดีต เพื่อจะได้แก้ไขข้อบกพร่องที่เกิดขึ้นในอดีตให้ดีขึ้น
 วันที่ 1 มกราคม ของทุกปี
จะมีการทำบุญตักบาตรและอุทิศส่วนกุศลผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ฟังเทศน์ ปล่อยปลา ปล่อยนก อวยพรซึ่งกันและกัน หรืออาจจะส่งการ์ดบัตรอวยพร ของขัวญไหว้ผู้ใหญ่เพื่อรับพร
และสรงน้ำพระพุทธรูป ประดับธงชาติ และจะเตรียมทำความสะอาดบ้าน และที่พักอาศัย?

 

 :053: :053: :053:[/color]

53
บทความ บทกวี / สูตรลงยันต์
« เมื่อ: 13 ธ.ค. 2549, 05:41:59 »
สูตรลงยันต์



ยันต์กลม
เวลาลากเส้นยันต์ว่าสูตรดังนี้
ยันตัง สันตัง วิกรึงคะเรฯ

ยันต์สามเหลี่ยม
เวลาลากเส้นยันต์ว่าสูตรดังนี้
ติยันตัง สันตัง วิกรึงคะเรฯ

ยันต์สี่เหลี่ยม
เวลาลากเส้นยันต์ว่าสูตรดังนี้
จตุยันตัง สันตัง วิกรึงคะเรฯ

กระดูกยันต์
เส้นกระดูกยันต์ คือ เส้นที่ขวางไปมาในยันต์นั้น เวลาลากเส้นยันต์ว่าสูตรดังนี้
อัฏฐิยันตัง สันตัง วิกรึงคะเรฯ

การต่อเส้นยันต์
ในขณะที่ลากเส้นยันต์ หากมีเหตุให้ต้องหยุดชะงักลงกลางคลัน ถือว่ายันต์นั้นใช้ไม่ได้ ต้องใช้สูตรต่อเส้นยันต์ด้วยสูตรดังนี้
สนธิยันตัง สันตัง วิกรึงคะเรฯ

การขมวดมุมยันต์
เมื่อลากเส้นยันต์เสร็จแล้ว ท่านให้ขมวดมุมยันต์ เวลาขมวดมุมยันต์ สามเหลี่ยม ให้ว่าสูตรดังนี้
พรัหมะภักสะมะเหสุรัง ยันตัง สันตัง วิกรึงคะเรฯ
เวลาขมวดมุมยันต์ สี่เหลี่ยม ให้ว่าสูตรดังนี้
จัตตุโกณจา มหายันตัง สันตัง วิกรึงคะเรฯ

ยันต์ที่เป็นรูปภาพ
ยันต์ที่เป็นรูปภาพต่างๆ เวลาลากเส้นยันต์ใช้ภาวนาคาถา (อาการ ๓๒) นี้
เกสา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ มังสัง นะหารู
อัฏฐี อัฏฐีมิญชัง วักกัง หะทะยัง ยะกะนัง กิโลมะกัง ปิหะกัง
ปัปผาสัง อันตัง อันตะคุณัง อุทะริยัง กะรีสัง ปิตตัง เสมหัง ปุพโพ
โลหิตัง เสโท เมโท อัสสุ วะสา เขโฬ สิงฆาณิกา ละสิกา มุตตัง
มัตถะเก มัตถะลุงคันติ

การลงอักขระในยันต์
เมื่อจะลงอักขระ (ตัวหนังสือขอม) ในยันต์ให้ว่าสูตรดังนี้ก่อนค่อยกรึง (เมื่อว่าสูตรนี้แล้วต้องกรึงทุกครั้งไป)
อักขระยันตัง อุปปัชชะติฯ
กรึงอักขระในยันต์
เมื่อว่าสูตรลงอักขระแล้วให้กรึงด้วยสูตรนี้
อักขระยันตัง สันตัง สันตัง วิกรึงคะเรฯ

การลงเลขในยันต์
เมื่อจะลงตัวเลข (ตัวเลขไทย) ในยันต์ให้ว่าสูตรดังนี้
เลขะยันตัง อุปปัชชะติฯ
กรึงอักขระในยันต์
เมื่อว่าสูตรลงเลขแล้วให้กรึงด้วยสูตรนี้
เลขะยันตัง สันตัง สันตัง วิกรึงคะเรฯ



การลงองค์พระ
การลงองค์นี้มี 3 ตอนคือ เศียรพระ องค์พระ และบาทพระ
เศียรพระ ให้ว่าสูตรดังนี้
มะกาโร สีสะพุทธาปนะชายะเตฯ
องค์พระ ให้ว่าสูตรดังนี้
อะกาโร อังคะพุทธาปนะชายะเตฯ
บาทพระ ให้ว่าสูตรดังนี้
อุกาโร ปาทะพุทธาปนะชายะเตฯ




การลง อุณาโลม ในยันต์
ให้ลง อุณาโลม ด้วยสูตรดังนี้
อุณาโลม ปะนะชายะเต
สำหรับอุณาโลมเมื่อลงแล้วเวลาจะหยักตอนปลาย ให้สังเกตดูว่ามีกี่หยัก เพราะแต่ละหยักใช้สูตรไม่เหมือนกัน
- อุณาโลม ๓ หยักเวลาหยักให้ว่า
มะอะอุฯ
- อุณาโลม ๕ หยักเวลาหยักให้ว่า
นะโมพุทธายะฯ
- อุณาโลม ๙ หยักเวลาหยักให้ว่า
อะสังวิสุโลสะพุภะฯ
เมื่อหยักแล้วให้ขีดเป็นเส้นตรงขึ้นไป เวลาขีดเส้นตรงต่อจากหยักนั้นให้ว่าดังนี้
สัตถุโน พุทโธฯ

การลง ศูนย์ ในยันต์
ให้ลง ศูนย์ ด้วยสูตรดังนี้
ชาตานิ พินทุสูระยา ปะนะชายะเต

การลง จันทร์ ในยันต์
ให้ลง จันทร์ ด้วยสูตรดังนี้
ตีนิอักขะรานิ อัฑฒะจันทา ปะนะชายะเต

การลง อุ องการ ในยันต์
ให้ลง อุ องการ ด้วยสูตรดังนี้
มะอะอุ อะทิกะมูลัง ติเทวานัง มะหาสาตรา อุอุอะอะ มะมะมันตา อุอะสะวามะหามันตัง มะอะอุ โลปะเกเยยยัง อังการะเสวราชิโนฯ


54
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / หญ้าคา
« เมื่อ: 21 พ.ย. 2549, 04:12:38 »
หญ้าคา

ตามคติพรหมณ์ ถือว่าเป็นของสูงเป็นมงคล เคยใช้เป็นที่รองหม้อน้ำ อมฤต ที่พระศิวะใช้ดื่มมาเเล้ว รวมทั้งไม้บางอย่างด้วยเช่นมะตูมก็ถือว่าเป็นไม้สูงเช่นกัน
ตามพระพุทธศาสนาเเล้ว มหาโพธิบัลลังก์ ที่พระพุทธเจ้าประทับ ทรงชำระมารทั้งหลายได้ตรัสรู้ เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ณ โคนต้นพระศรีมหาโพธิ์ ณ พุทธคยา ก็เพราะทรงใช้หญ้าคานี่เอง ชาวพุทธจึงถือว่าหญ้าคา เป็นหญ้ามงคล เป็นสิ่งกำจัดศัตรูเภทภัย โรคา พยามารต่างๆให้สูญหาย ด้วยเหตุนี้ พระสงฆ์จึงนิยมใช้หญ้าคา มาพรมน้ำมนต์
:054: :054: :054:

55
ที่มา ของคำว่าสายสิญจน์ เป็นคำที่มาจากภาษา
บาลี ใช้คำว่า"สิญจ" รูปเเบบเดิม เเปลว่าการกระทำที่เกี่ยวกับน้ำ เป็นคำกริยา หมายถึง การรดน้ำมนต์ สรงมธุรธาภิเศก เป็นคำนามใช้คำว่า สายสิญจน์ หมายถึงเส้นด้ายยาวๆที่พระ ถือเวลาสวดมนต์ หรือที่นำมาวงรอบบ้านเรือน เพื่อให้เกิด ความเป็นมงคล


เหตุที่นำเส้นด้ายมาเเทนน้ำ เเล้วเรียกว่าสายสิญจน์นั้น ก็เเปลความได้ว่า น้ำที่มีลักษณะเป็นของเหลวจะมีลักษณะไหลเป็นสายๆ เมื่อใช้เส้นด้ายมาต่อกัน ก็เปรียบดั่งสายน้ำที่ไหลไปตามเส้นด้าย อย่างไม่ขาดสาย ทำให้มีเเต่ความร่มเย็นสงบสุข

ดังนั้นสายสิญจน์ สินก็เปรียบได้ดั่งสายน้ำนั่นเอง
ผู้ใดที่มีก็ ผูกข้อมือไว้ จะมีความร่มเย็นครับ
?
 :054: :054: :054:

56
ความหมายของดอกไม้ธูปเเละเทียน

1.ดอกไม้ ใช้บูชาพระสงฆ์ โดยอุปมาว่า ดอกไม้มีหลายสี หลายพันธ์ หลายตระกูล เมื่อนำมาจัดรวมกัน หรือร้อยมาลัย ย่อมมีระเบียบดูสวยงามเช่นนั้น
พระสงฆ์มาจากชนหลายวรรณะ หลายตระกูล เมื่อมาอยู่รวมกันในกรอบเเห่งศีล เเละวินัย ย่อมมีระเบียบวินัย ฉันนั้น


2.ธูปใช้บูชาพระพุทธเจ้า โดยมีนัยว่า
พระพุทธเจ้าทรงมีพระคุณข้อใหญ่ๆ3 ประการคือ
1. พระมหากรุณาคุณ
2.พระบริสุทธิคุณ
3.พระปัญญาคุณ
เวลาปัก นิยมปักเรียงเเถว ไม่นิยมปักเป็นกำๆ ด้วยเหตุนี้เองจึงใช้ธูป3ดอกในการไหว้พระ เพื่อลำลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า


3.เทียน
เทียนนั้นใช้บูชาพระธรรม หรือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านั่นเอง ซึ่งเทียนเป็นสัญลักษณ์เเห่งเเสงสว่างคอยนำทางทำให้ผู้ที่มาทำบุญเห็นเเสงสว่างมากขึ้น


ดังนั้น ของ3สิ่งนี้ เป็นของทำบุญที่ขาดไม่ได้ เพราะว่า สำคัญมากนะครับ
หมั่นทำบุญไว้ครับ ชีวิตจะดีขึ้น
? :054: :054: :054:

57
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / ปลัดขิก
« เมื่อ: 10 พ.ย. 2549, 04:25:35 »
 ดีทางแก้อาถรรพณ์? และเสนียดจัญไร

? ? ? ? ? ?กำเนิดปลัดขิก
? ? ? ? ? ?ในสมัยก่อนนั้นชาวบ้านอุบาสก อุบาสิกาศาสนิกชนคนไทยมีชีวิตใกล้ชิดกับวัด พระ
? เป็นที่พึ่งของชาวบ้าน? พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา? ท่านมีเมตตาธรรมนอกจากการเผยแผ่
? พระธรรมแล้ว? ยามที่เกิดการเจ็บป่วยขึ้นแก่ลูกเด็กเล็กแดงในหมู่บ้าน ผู้คนก็คงจะต้องไป
? ขอร้องให้ท่านปัดเป่าป้องกันภยันตรายแก่ลูกตน? มีการขอให้แคล้วคลาดจากภยันตรายที่
? เจ็บไข้ได้ป่วย? อันตรายที่เกิดจากเขี้ยวงาของสัตว์? ดังนั้น? พระอาจารย์จึงได้ประกอบรูป
? เคารพขึ้นอย่างหนึ่งจากวัตถุ คือไม้เหลาเป็นรูปท่อนกลมยาวตรงปลายคือรูเปรียบของพระ
? ศิวะ ตรงโคนเจาะรูสำหรับรอยเชือก สำหรับผูกเอวเด็กป้องกันภยันตรายและเสนียดจัญไร
? พระอาจารย์เรียกว่า ท่านปลัด แปลว่า ผู้เคียงข้าง? วัตถุสิ่งนั้นมีลักษณะคล้ายลึงค์ผู้ใดเห็น
? ก็เกิดอาการขบขัน ทำให้ต่อมาก็พากันเรียกว่า ปลัดขิก ( ขิกคือเสียงหัวเราะ )


? ? ? ? ? ? การที่พระอาจารย์ท่านกำหนดเอาอักขระหัวใจโจร คือ กันหะ เนหะ เป็นคาถาหลัก
? ลงบนตัวปลัดขิกนั้น สันนิษฐานว่าท่านจะถือเคล็ดว่าโจรนั้นเป็นผู้ฆ่าผู้ทำลายแต่ฝ่ายเดียว
? การที่จะแก้อาถรรพณ์ทางเจ็บป่วย และเสนียดจัญไรที่มองไม่เห็น? ต้องอาศัยการฆ่า? การ
? ทำลาย สิ่งนั้นด้วยหัวใจของโจร? ประกอบกับการปลุกเสกด้วยอาคม? อันมีถ้อยคำพิศดาร
? หลายอย่างหลายวิธีด้วยกัน? ปลัดขิกนั้นจึงมีอานุภาพ และสรรพคุณขลัง


[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

58
ของขลังเฝ้าบ้านเฝ้าเรือน
วิชาวัวธนู-ควายธนูเป็นศาสตร์ทางโยคะ เรียกว่า วิชาวูดู แพร่หลายอยู่บางแคว้นของ
อินเดีย และแคว้นคองโกแถบลุ่มแม่น้ำอเมซอน ส่วนในภาคใต้และภาคอีสานของไทยและ
เขมรมีการนิยมศึกษาเล่าเรียนกันอยู่บ้าง ซึ่งเป็นวิชาในฝ่ายมาร ทางจีนเรียกว่า ม้อเก็งหรือ
ม้อซุก ใช้เสกปวยตอ ภาษาไทยแปลว่า มีอบินใช้ทำร้ายศัตรูในระยะไกลได้


? ?วัตถุที่ใช้สร้างวัวธนู-ควายธนู
1. วัวทอง ( ไม่ใช่ทองคำ เป็นทองผสม เช่น ทองเหลือง ทองแดง ) เป็นวัวธนูชั้นหนึ่ง
สร้างขึ้นด้วยโลหะอาถรรพณ์ มีตะปูตรึงโลงศพ เหล็กขนัน ผีตายท้องกลม งั่ง ( ตัวยาซัด
ทองชนิดหนึ่ง ) ทองแดงเถื่อง ดีบุก ทองขวานฟ้า เงินปากผี ทองยอดนพศูนย์ นำมาหล่อ
หลอมเข้าด้วยกัน แล้วลงอักขระตามตำราที่ใช้บังคับ หรือหล่อเป็นโคถึกหรือกระทิงโทน


2. วัวขี้ผึ้ง เป็นวัวชั้นสอง ท่านให้ใช้ขี้ผึ้งปิดหน้าผีตายโหง ผีตายท้องกลม ผสมด้วย
ผีตายพราย ผมผีตายลอยน้ำ ตานกกรด ตาแร้ง ตาชะมด กำลังวัวเถลิงเผาไฟให้ไหม้บด
เป็นผงผสมกับเถ้ากองฟอนเจ็ดป่าช้าแล้วนำไปคลุกกับขี้ผึ้งปั้นเป็นรูปวัวหรือควายเสกด้วย
อาการ 32 บางตำราเพิ่มคนเลี้ยงอีก 1 คน


3. วัวใบไผ่ เป็นวัวชั้นสาม ใช้ชั่วคราวในเวลาฉุกเฉิน ให้ใช้ไม้ไผ่ที่ขึ้นคร่อมทาง กลั้น
หายใจตัดด้วย นะโมตัสสะ กะทีเดียวให้ขาดจากกัน นำมาสานเป็นรูปหัววัว คล้ายเฉลวปัก
หม้อยาแผนโบราณ


[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

59
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / หมากทุย
« เมื่อ: 10 พ.ย. 2549, 04:16:11 »
ดีทางแคล้วคลาด คงกระพัน และมหาอุด

"หมากทุย" ต้นหมากนั้นตามปกติตายยากจะมีอายุยืน ที่จะตายได้ก็มีเพียงน้ำท่วม
ขังนาน ๆหรือไม่ก็ถูกลมพัดหักกลางต้น แต่ถ้าหากหมากนั้นอยู่ดีๆก็ตายแห้งกรอบเหลือง
ทั้ง ที่จั่นติดลูกดกพราว หมากนั้นเป็นหมาก "หมากตายพราย" ให้นำมาทำเครื่องรางที่
เรียกว่า
"หมากทุย"

? วิธีการสร้างหมากทุย
ประการแรกพระอาจารย์จะให้ศิษย์ไปขึ้นต้นหมาก เพื่อเอาลูกหมากที่ตายพรายลง
มา และลูกหมากนั้นจะต้องเป็นลูกหมากอ่อนที่มีขนาดเล็กพอเหมาะ ส่วนการจะขึ้นไปนั้น
ท่านจะสอนคาถาภาวนาให้ เมื่อเวลาขึ้นต้นหมากก็ต้องภาวนาทุกช่วงเวลาไต่ ครั้นพอถึง
แล้วก็ไม่ให้เอามือเด็ดแต่ให้ใช้ปากคาบแล้วดึงจนลูกหมากขาด เวลาคาบไว้ในปากก็ภาว
คาถากำกับทุกช่วงไป เมื่อได้ลูกตายพรายมาแล้วก็เปิดจุกด้านบนคว้านเอาเนื้อหมากด้าน
ในออกให้หมด จากนั้นจึงเอาเม็ดพระธาตุ ( ถ้าไม่มีก็ใช้กระดาษสา ลงพระนามพระพุทธ
เจ้าด้วยอักขระแทน ) เมื่อทำการปลุกเสกแล้ว ก็บรรจุลงไปด้านในแทนให้เต็ม จากนั้นก็
เอาชันโรงใต้ดินมาอุดปิดทับด้านบนให้แน่น เพื่อป้องกันความชื้นและตัวแมลง
การปลุกเสกกำกับด้วยพลังจิต จนเกิดอุดมนิมิตว่าลูกหมากลุกตั้งได้เอง จึงถอน
จิตแล้วนำไปถักเชือกหุ้มอีกชั้นหนึ่ง แล้วลงรักเคลือบผิว ทำห่วงด้านบนเพื่อใช้คล้องคอ
ไม่สมควรนำมาคาดเอวหรือห้อยพวงกุญแจ เพราะภายในบรรจุพระนามพระพุทธเจ้า


? ?อานุภาพการใช้
กล่าวได้ว่าเมื่อนำติดตัวจะช่วยป้องกัน ทางด้านมหาอุด คงกระพัน แคล้วคลาด
และยังป้องกันภูติผีปีศาจ ให้หมั่นปลุกเสกกำกับด้วยคาถาพระเจ้าห้าพระองค์ว่า "นะโม
พุทธายะ " อยู่เสมอ ๆ


? ?การอาราธนาให้ใช้วิธีดังนี้
ตั้นะโม 3 จบ และระลึกถึงคุณพระศรีรัตนตรัย คุณบิดามารดา ครูอาจารย์ และ
เรียกชื่อผู้เป็นเจ้าของหมากทุยที่ท่านนับถือ แล้วใช้คาถามงกุฏเพชรพระพุทธเจ้า จาก
นั้นหนุนด้วยคาถามหาอุด ดังนี้ " นะอุด โมอัด พุทยัด ธาปิด ยะมิดชิด ปิดปากกระบอก
นะ พุทธผัดผิด ปิดด้วยนะโมพุทธายะ "

60
ดีทางเมตตามหานิยม แคล้วคลาด มหาอุด และป้องกันภูตฺผีปีศาจ

ในตำราทักษามหาพยากรณ์นั้นกล่าวว่า เมื่อบุคคลใดก็ตามถูกพระราหูเสวยอายุแล้ว
ในช่วงเวลานั้นจะเกิดความรุ่มร้อนมีเคราะห์ต่าง ๆ เพราะพระราหูนั้นเป็นความมืด เป็นสิ่งที่
น่าสะพรึงกลัว แม้ยามที่พระราหูจะจรพ้นจากการเสวยอายุไป ก็ยังแผลงฤทธิ์ถีบเท้าจาก
อีกด้วย และสิ่งหนึ่งที่โบราณใช้บรรเทาฤทธิ์พระราหูก็คือกะลาตาเดียว
การสร้างเครื่องรางจากกะลาตาเดียวนั้นเป็นศิลปะอย่างหนึ่งของภาคอีสาน ซึ่งถ่าย
ทอดกันมา


? ?วิธีการสร้างราหูอมจันทร์
กะลามะพร้าวตาเดียว เมื่อได้มาแล้วก็จะให้ช่างเลื่อยแงโกลนเป็นรูปต่าง ๆ เช่น รูป
เสมา รูปกลม รูปไข่ มีหูในตัวก็มี หรือบางครั้งก็ทำทั้งลูก กะลาจะต้องเป็นกะลาแก่สีดำอม
น้ำตาลและเนื้อแกร่ง เมื่อได้กะลาแกะมาแล้ว พระอาจารย์ก็จะมีการปลุกเสกของท่านอย่าง
ดีแต่ยังไม่ลงอักขระเรียกว่า เสกหนุนไปก่อนจนกว่าเกิดสุริยุปราคาหรือจันทรุปราคา หลวง
พ่อจะเอากะลาที่ปลุกเสกแล้ว มานั่งอยู่ที่หน้าชานกุฏิของท่าน แล้วแหงนหน้าดูพระอาทิตย์
หรือพระจันทร์ที่เข้าจับคราส เมื่อเงาดำเริ่มจับ ท่านก็จะคว้าเหล็กจารมาลงอักขระอย่างรีบ
เร่ง เพราะระยะการจับและการคายอันเป็นอุดมฤทธิ์นั้น มีน้อยต้องแข่งกับเวลา เพราะเมื่อ
คลาสคายออกหมดแล้วก็สิ้นสุฤกษ์


? ?อานุภาพ และอาราธนาวิธี
กะลามะพร้าวแกะเป็นรูปพระราหูอมจันทร์ ใช้เป็นเมตตา แคล้วคลาด มหาอุด และ
แก้กันพระราหูเสวยอายุพร้อมกันไป ทำน้ำมนต์รดแก้เสนียดจัญไรได้ชะงัด ภูติผีปีศาจไม่
ต้านทานได้ มีไว้กับตัวย่อมปลอดภัยจากอันตรายต่าง ๆ การอาราธนานั้นให้ใช้คาถาพญา
ไก่เถื่อน ดังนี้
เวทาสากุ กุสาทาเว ทายะสาตะ ตะยะสาทา สาสาทิกุ กุทิสาสา กุตะกุภู ภูกุตะกุ
โอมราหูยักษะเทวะตา อานุภาเวนะ ขอเทพยดา พระราหูผู้ทรงฤทธิ์จงมาประสิทธิ์
แก่กะลา พระราหูทรงขัยอันตรายใด ๆ อย่าได้มาบีฆาสารพัดศัตรูวินัสสันตุ


[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

61
ดีทางเมตตามหานิยม - โชคลาภ

? ? ? ? ? "พญาเต่าเลือน"? เป็นเครื่องรางแห่งโชคลาภ คนไทยนิยมนับถือสัตว์หลายชนิดที่เกี่ยว
? ข้องกับพระพุทธองค์สมัยเมื่อเป็นพระโพธิสัตว์เสวยชาติต่าง ๆ ดังนั้นพญาเต่าเลือนจึงมาเป็น
? เครื่องรางอีกชนิดหนึ่งที่นิยมของคนไทย


? ? ? ? ? ? การทำยันต์เต่าเลือนนั้น? พระอาจารย์จะใช้การลบผงยันต์เต่าเรือน? โดยชักยันต์คำว่า
? ?"นาสังสิโม" อันเป็นหัวใจเต่าเรือนแล้วลบเอาผงมาใช้ในการปั้นรูปเต่า? โดยผูกเป็นยันต์รูป
? เต่ามีหัวมีหางบรรจุอักขระจากหัวว่า "นา" แล้วมาทางไหล่ว่า "สัง" และมาตรงปลายกระดอง
? หลังว่า "สิ" ส่วนหางเรียกว่า "โม" รวมเป็นสี่คำ? บางท่านก็ผูกยันต์เป็นกระดองด้วยลวดลาย
? เป็นตาตารางแล้วบรรจุด้วยหัวใจเต่าเรือนที่คำสลับไปมาเรียกว่า เดินหน้าถอยหลัง แล้วปลุก
? เสกกำกับเอาติดตัวไปไหนมาไหนไม่ต้องกลัวอันตราย? จะทำการค้าใช้ได้ผลดี

62
ตะกรุดดีทางป้องกันภยันอันตราย แคล้วคลาด เมตตามหานิยม

? ? ? ? ตะกรุดที่ทำด้วยโลหะ
ตะกรุด หมายถึง แผ่นโลหะบาง ๆ ที่ม้วนกลมยาวลงอักขะ บางคณาจารย์ถักเชือกลงรัก
ปิดทอง หลักฐานปรากฏชัดใน ร.5 ทรงสร้างเหรียญเสมา ปจร. เมื่อพ.ศ. 2444 ด้านบนเจาะรู
สำหรับห้อยคอ และที่ด้านซ้าย-ขวาของเส้นด้ายร้อยไว้ด้วย ตะกรุด ดอกเล็ก ๆ ข้างละ 1 ดอก
ตะกรุดยุคโบราณส่วนมากเป็นเนื้อตะกั่วสังขวานร คือ ตะกั่วที่รีดบางและลงอักขระ ส่วน
ส่วนโลหะอื่น ๆ นั้นเป็นยุคหลังลงมามีด้วยกันหลายขนาด บางองค์มีความยาวประมาณ 1 cm. ถึง 3 cm.

? ? ?ตะกรุดที่ทำด้วยหนังสัตว์
พระคณาจารย์ทางภาคกลางจากอดีต จะนิยมสร้างตะกรุดเริ่มมีใน ร.5 พิธีการทำตะกรุด
พระอาจารย์ท่านจะนำหนังเสือโคร่งหรือหนังเสือดำมาลงอักขระจารบนหนังเสือ พร้อมกับร่าย
พระเวทมนต์เสียงดัง พร้อมกับม้วนตะกรุดไปด้วย ใช้เวลาในการปลุกเสกนานพอสมควร
สรรพคุณในการใช้ดีในทางป้องกันภูตผีปีศาจ แคล้วคลาด คงกระพัน และมหานิยม


? ? ตะรุดหนังเก้ง
การสร้างตะกรุดหนังเก้งท่านจะนำหนังเก้งมาตัดเป็นเส้นยาว ๆ กว้างประมาณ 1/2 cm.
นำมาขูดจนขาวและบาง หลังจากนั้นนำมาลงอักขระพระคาถา แล้วม้วนเป็นลูกกลม ๆ มีรูสำหรับ
ร้อยตรงกลาง แล้วนำไปถักเชือกและลงรัก
อนุภาพของตะกรุด ท่านว่าอุดมไปทางแคล้วคลาด คงกระพัน มหาอุด และยังป้องกัน
ภัยจากการกระทำย่ำยี่ได้อีกด้วยตะกรุดไม้ไผ่
มีกรรมวิธีเดียวกับการลงตะกรุดที่เป็นแผ่นโลหะ แต่พระเกจิอาจารย์ท่านเปลี่ยนมาใช้ไม้
ไผ่แทนเพราะหาง่ายโดยเฉพาะในชนบทนึกอยากจะทำก็ตัดเอามาทำได้ทันที ดีในทางแคล้วคลาด
จากภยันอันตราย


? ? ตะกรุดไม้ไผ่ตัน
ตะกรุดไม้ไผ่ตันเป็นไม้ไผ่ตันตลอดทั้งลำ แต่บางพระอาจารย์ท่านเรียกว่า"ไม้ไผ่มหาอุด"
เพื่อความขลังศักดิ์สิทธิ์จึงนำมาลงอักขระจารเลขยันต์ หรือคาถาหัวใจพุทธคุณ มีความยาว
ประมาณ 5 วา ท่านเห็นว่ายาวเกินไปจึงตัดออกมาเป็นแว่นบาง ๆ และนำมาทำตะกรุดคาดเอว
ในส่วนที่ตัดออกมาเป็นแว่นนั้น ท่านได้นำมาลง "นะวิเศษ" ซึ่งเป็นหนึ่งในนะ 108 ซึ่งเป็นอัก
-ขระวิเศษสำเร็จในตัว มีอนุภาพเอนกประการ ทั้งมหาอุด เมตตามหานิยม คงกระพัน แคล้ว
คลาด ป้องกันไฟ เป็นต้น


? ? ตะกรุดไม้รวก
ตะกรุดไม้รวกมีลักษณะลำต้นกลวงตลอด ทำการตัดหัวท้ายแล้วนำมาลงอักขระเลขยันต์
แล้วบรรจุผงพุทธคุณลงไปในรู้ไม้รวกแล้วอุดหัวท้ายด้วยดินปิดรูนกเงือก


? ? ตะกรุดใบลาน
ยังมีตะกรุดอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งมีความขลังในทางอยู่ยงคงกระพัน ทำด้วยใบลานหาได้ทำ
ด้วยแผ่นโลหะ หลวงพ่อท่านได้นำใบลานมาจากต้นลานต้นเดียวนำมาม้วนและลงอักขระขอม
หัวใจพระพุทธมนต์อันสำคัญ ๆ ไว้ภายในตลอดแผ่นใบลานม้วน



? ? ตะกรุดลูกอม
ตะกรุดลูกอมที่มีชื่อลือเลื่องนั้น เป็นตะกรุดที่ทำด้วยโลหะแผ่น กล่าวกันว่าแผ่นโลหะที่
พระคณาจารย์ท่านลงอักขระแล้วนำไปหล่อหลอมในเบ้าด้วยความร้อนสูงก็ไม่ละลายแม้จะเร่ง
ไฟใช้ความร้อนจากเตามหึมาก็ตาม
[/color]

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

63
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / เบี้ยแก้
« เมื่อ: 07 พ.ย. 2549, 08:04:17 »
เบี้ยแก้คืออะไร

เบี้ยแก้ คือ เครื่องรางชนิดหนึ่ง ซึ่งมีอุปเท่ห์การใช้มากมายหลายอย่าง ทั้งกันและแก้สิ่งชั่วร้ายเสนียด
จัญไร คุณไสย คุณคน คุณผี บาเบื่อ ยาเมา ทั้งหลาย คณาจารย์ยุคเก่าที่สร้างเครื่องรางประเภทเบี้ยแก้
เอาไว้มีด้วยกันหลายรูป แต่ที่มีชื่อเสียงมากที่สุด เห็นจะมีอยู่เพียง ๒ รูปคือ หลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว
และหลวงปู่รอด วัดนายโรง นอกนั้นก็มีชื่อเสียงอยู่เฉพาะพื้นที่ เช่น หลวงพ่อพักตร์ วัดโบสถ์ จ.อ่างทอง ,
หลวงพ่อม่วง, หลวงพ่อทัต, หลวงพ่อพลอย วัดคฤหบดี บางยี่ขัน, หลวงพ่อแขก วัดบางบำหรุ, หลวงพ่อคำ
วัดโพธิ์ปล้ำ, หลวงพ่อนุ่ม วัดนางใน จ.อ่างทอง และมีอาจารย์อื่นอีกที่สร้างได้แต่ไม่แพร่หลาย




วิธีการสร้างเบี้ยแก้

เมื่อหาตัวเบี้ยมาได้แล้ว (เบี้ยพวกนี้ไม่ค่อยพบในบ้านเรา สมัยก่อนต้องหาซื้อตามร้านเครื่องยาจีน
เข้าใจว่าเบี้ยที่นำมาใช้นี้จะถูกนำเข้ามาพร้อมกับสินค้าจากประเทศจีนในอดีต.....) คณาจารย์
ผู้สร้างก็บรรจุปรอทที่ปลุกเสกแล้วเข้าไปในตัวเบี้ย แล้วหาวิธีอุดมิให้ปรอทไหลออกมาได้ (ปรอทที่ใช้
นี้เป็นปรอท หรือปรอทดินโบราณมีวิธีการจับปรอทโดยนำไข่เน่าไปทิ้งไว้ในน้ำครำไม่ช้าปรอทจะกิน
ไข่เน่าจนเต็ม)

ปรอทมีคุณสมบัติเป็นของเหลวลื่นไหลการจะนำปรอทมาบรรจุเบี้ยแก้ คณาจารย์ผู้สร้างจำต้องมีพระเวท
เข้มขลัง เพราะต้องใช้พระเวทฆ่าปรอทหรือบังคับให้ปรอทรวมตัวกันอยู่ในเบี้ยบางราย ถึงกับบริกรรมพระเวท
เรียกปรอทเข้าในตัวเบี้ยได้เอง การปิดปากเบี้ยเพื่อกันไม่ให้ปรอทไหลออกมาได้นั้นนิยมเอาชันโรงใต้ดิน
ที่ปลุกเสกแล้วมาอุดใต้ท้องเบี้ยให้สนิทเรียบร้อย แล้วจึงหุ้มด้วยวัสดุอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น ผ้าแดง แผ่นตะกั่ว
แผ่นทองแดง วัสดุที่ใช้หุ้มหรือปิดนี้ก็ต้องลงอักขระเลขยันต์และปลุกเสกกำกับด้วย เช่นเบี้ยแก้หลวงปู่บุญ
วัดกลางบางแก้วจะมีลวดทองแดงขดเป็นห่วง ๓ ห่วง เพื่อให้ใช้เชือกคล้องคาดเอว

เบี้ยแก้ที่ผ่านการบรรจุปรอทจนกระทั่งถักหุ้มเรียบร้อยแล้ว ก็ยังไม่ถือว่าเสร็จสิ้นขึ้นตอนกรรมวิธี
เพราะคณาจารย์เจ้าผู้สร้างท่านต้องปลุกเสกกำกับอีกจนมั่นใจว่าใช้ได้จริงๆ แล้วเล่ากันว่า คณาจารย์บางรูป
 และสามารถปลุกเสกเบี้ยแก้จนตัวเบี้ยคลานได้เหมือนหอย




อิทธิคุณและพิธีกรรมการใช้เบี้ยแก้

ข้ออธิบายต่อไปนี้ คัดลอกจากต้นฉบับเดิมของวัดกลางบางแก้ว เพื่อให้ท่านที่มีเบี้ยแก้ได้ทราบถึง
อิทธิคุณและการใช้อย่างถูกต้อง อันจะบังเกิดผลดีแก่ผู้ใช้

- ป้องกันอัตวิบากกรรม แก้ภาพหลอน จิตรหลอน ภาพอุปทาน แก้อำนาจภูผีปีศาจ อาถรรพณ์เวททำให้
มัวเมาขลาดกลัว ขนพองสยองเกล้า ลมเพลมพัด คุณไสย คุณผี คุณคนทั้งปวงอุบาทวเหตุ อุบาทวภัย
ทั้งปวง มัวเมายาพิษ ยาสั่งทั้งหลาย ไข้ป่า ไข้ป้าง ไข่ผีป่า ผีโป่ง ผีปอบ ต้องกระทำจากภูตผี ผีพราย
ผีตายโหง กองกอยวิกลจริต จิตวิกลวิกาล วิญญาณ อุปาทานวิกลเหมือนผีเข้าเจ้าสิงสู่ปราศจากสิ้นแล

- ให้อธิษฐานเอาน้ำมนต์ เอาดอกพุทธรักษาดอกไม้ ดอกเข็มแดงหลากสี ตั้งขันธูปเทียน ขันห้า
ข้าวตอก ดอกไม้แก้บาทวพิษ บาทยัก อัมพาต บาดแผล ฝีมะเร็ง ฝีคุณ หัวพิษ หัวกาฬ ทรางชัก
รางขนพอง สันนิบาตลูกหมา ลูกนก หลังแอ่น คางแข็ง บ้าหมู ภายนอกภายใน อาบกินด้วย ตั้งจิตหน่วงลง
ในคุณพระศรีรัตนตรัยใช้ได้แล

- เมื่อเข้าศึกสงครามให้เอาไว้ด้านหน้าสารพัดศัตรู บีทาย่ำรุกไล่ให้เอาไว้ด้านหลัง หาเจ้าฟ้ามหากษัตริย์
เจ้าขุนมูลนาย ให้เอาไว้ด้านข้างขวา เมื่อหาหญิง หานางพญาไว้ข้างซ้าย สารพัดศาสตรามิต้องข้างกายเลย
ดุจฝนเสนห่า ข้าวปลาอาหารเป็นพิษ คางแข็ง เคี้ยวไม่กลืนเลยแล

- ปลิงก็ดี ทากร้ายก็ดี มีในป่ามืด ในน้ำห้วยหนอง คลองบึง มันไม่เก่าะกินเลือดทั้งวัวทั้งควาย ช้างม้า
ก็ดีแล แก้งูพิษ เขี้ยวขนอน แมวเซา เห่าแก้วก็ดีมิต้องกายมาขบกัดเลยแล




64
เมื่อวานได้ไปวัดมา - น้ำท่วมบริเวณทางเดินปูนหน้ากุฏิหลวงพี่แป๊วและหลวงพี่ติ่งทั้งหมด จนต้องเดินบนอิฐบล็อกและสะพานไม้
- ตอนนี้ขาดทรายและถุงปุ๋ยอีกจำนวนหนึ่ง (วอนผู้ที่สามารถช่วยด้านนี้ได้ ช่วยกันนะครับ) + ไปขอ อบต.ยังไม่มีเลย
- ช่วยงานหลวงพี่แป๊วทั้งวันตั้งแต่เช้าถึงมืด *** เหนื่อยแต่ทำด้วยใจ  :054:
- เรียนมาเพื่อทราบ เผื่อท่านที่จะมาอาจจะลำบากนิดนึงนะครับ(ท่วมแค่บริเวณด้านหน้ากุฏิ)

65
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / ฤาษี...ฯลฯ
« เมื่อ: 31 ต.ค. 2549, 02:17:05 »
ครูบา อาจารย์ไสยศาสตร์ที่สำคัญๆมีหลายพระองค์ดังจะยกตัวอย่างพอสังเขปดังนี้คือ

1 องค์พระศุกกราอาจารย์(พระ-ศุก-กรา-อา-จา-ระ-ยะ) หรือฤาษีศุกร์ และอีกนามหนึ่งคือครูอสูร ผู้ซึ่งเป็นคุรุ หรือครูของเหล่าอสูร ยักษ์ ทั้งหลาย เป็นบุตรแห่ง(มหาฤาษีภฤคุผู้ทรงเป็นหนึ่งในเจ็ดมหาสัปตะฤาษีผู้ยิ่งใหญ่ทั้ง7) ฤาษีศุกร์ เชี่ยวชาญในมนตรา วิชา ทุกแขนง ที่สันทัดเป็นพิเศษคือ การกำหนดปลุกฟื้นคืนชีพและการทำลายชีวิตศัตรูแบบช้าๆด้วยความทรมานด้วยสารพักศาตราและโรคา การกดดวงชะตาให้ตกต่ำไม่มีผู้ค้ำจุน หรือการทำลายฐานดวงให้ชีวิตพลัดพรากจากสิ่งที่ตนรัก ในทางกลับกัน ก็เชี่ยวชาญในการแก้ไขเช่นเดียวกันด้วย พระฤาษีศุกร์ มีลูกศิษย์คนสำคัญๆยกตัวอย่างเช่น โสมเทพ(พระจันทร์) ราหู (พระราหู)เป็นต้น ฤาษีศุกร์ถือเป็นฤาษีที่อยู่ในศักดิ์ เทพฤาษี อันเป็นชั้นที่ 2 ของระดับชั้นของฤาษีเบื้องบน(ฤาษีแบ่งเป็นฤาษีเบื้องบนคือชั้นฟ้าและฤาษีเบื้องล่างคือชั้นดิน) ในชั้นที่แรกสุดของฤาษีชั้นฟ้าคือราชฤาษี ชั้นที่2คือเทพฤาษี ชั้นที่3คือพรหมฤาษี และชั้นสูงสุดคือมหาฤาษี

2 องค์พระฤาษีอังคีรส(พระ-อัง-คี-รส) หรือฤาษีพฤหัส และอีกนามหนึ่งคือคุรุเทพ เป็นคุรุหรืออาจารย์ของเหล่าเทพทั้งหลายยกตัวอย่างเช่น พระสุริยเทพ(พระอาทิตย์) องค์อมรินทราเทวาธิราชเจ้า(พระอินทร์)เป็นต้น เป็นฤาษีชั้นฟ้าในระดับเทพฤาษี เป็นบุตรของ(มหาฤาษี อังคีระสะ หนึ่งในมหาสัปตฤาษีผู้ยิ่งใหญ่ทั้ง7) ฤาษีพฤหัส เป็นผู้เชี่ยวชาญในทุกแขนงมนตรา วิชา และที่ถนัดเป็นพิเศษคือวิชาในการ ให้สติปัญญา สร้างจิตสำนึกที่ดี เปลี่ยนแปลงแก้ไขความชั่วร้ายทั้งหลายให้กลายเป็นความดีงาม สร้างความรักความเข้าใจในสามีภรรยา และครอบครัว และองค์กรต่างๆ ได้เป็นอย่างดี

3 ฤาษีตาวัว หรืออีกชื่อหนึ่งคือฤาษีหน้าวัว พระนามที่จริงคือ พระนนทิ (พระ-นน-ทิ) นั่นเอง เป็นฤาษีในชั้นเทพ เป็นบริวารองค์สำคัญและยังเป็นพระราชพาหนะของ (องค์พระสดาศิวะมหาเทพ) เป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องดนตรี การร้อง ฟ้อน รำ เต้น มีศิลปะในการพูดจา เจรจาได้น่าฟังเป็นที่น่าเชื่อถือและเป็นที่ยกย่อง อีกทั้งเป็นที่รักใคร่ของผู้อื่น มีเสน่ห์ ดึงดูดใจเพศหญิงเป็นอย่างดีในภาคนี้มีรูปร่างเป็นมนุษย์ นุ่งห่มหนังเสือดาวสีเหลือง ศีรษะ เป็นวัวหนุ่ม สีขาว สวมประคำหินสีดำ

4 ฤาษีหน้าเสือ หรือพระนามที่จริงคือ ท่านท้าว หิมวัต (หิม-มะ-วัต) เป็นฤาษีในชั้นเทพ เป็นพระราชบิดาของ(องค์พระแม่ปารวตีมหามาตาอุมาเจ้า) เป็นหนึ่งในคณะปติบริวารสำคัญ ของ องค์พระสดาศิวะมหาเทพ เป็นผู้เชี่ยวชาญในการปราบและกำราบศัตรูเก่งกาจในเรื่องการรบ และการปกครองบริวาร ควบคุมดูแลบริวารได้อย่างดีเยี่ยมในภาคนี้มีรูปร่างเป็นมนุษย์ นุ่งห่มหนังเสือโคร่งสีเหลือง ศีรษะเป็นเสือโคร่ง สวมประคำ รุทรากษะ

5 ฤาษีสุตะ เป็นฤาษีในชั้นดิน เป็นศิษย์เอกของ(มหาฤาษีวยาสะหนึ่งในคณะอาจารย์แห่งฤาษีชั้นฟ้าและชั้นดิน) ฤาษีสุตะเป็นผู้เชี่ยวชาญในการขับอ่านโศลก และแตกฉานเชี่ยวชาญในปุราณะ ทั้ง 27 ปุราณะโดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระศิวะปุราณะซึ่งแบ่งออกเป็น 24,000 บาท แยกย่อยได้อีกเป็น 7 สัมหิตา (เรื่องราวโดยสังเขป) ฤาษีสุตะมีรูปกายเป็นชายในสังขารราว60-70ปี ผิวกายขาว ร่างกายทาด้วยขี้เถ้า ไว้เหนวดเครายาวเสมอ อก ผมยาวมุ่นเป็นมวย ผมเผ้าหนวดเคราเป็นสีดำสนิท นุ่งห่มผ้าสีเหลือง,ส้ม คล้องประคำ รุทรากษะ

6 ฤาษีกษิโรธ เป็นฤาษีในชั้นเทพฤาษี ถือได้ว่าเป็นเสมือนบิดาของ(องค์พระมหาลักษมีมาตาเทวีเจ้า ผู้เป็นพระชายาในพระมหาวิษณุผู้เป็นเจ้า) เป็นผู้สันทัดในเรื่องความอุดมสมบูรณ์ ความมั่งคั่ง ร่ำรวย ด้วยสมบัติ อันมากมาย ฤาษีกษิโรธ ภาคนี่มีรูปเป็นมนุษย์ ศีรษะเป็นพญานาค ผิวกายสุกสว่างเป็นสีขาว นุ่งห่มด้วยเสื้อผ้าเครื่องประดับล้ำค่าดั่งกษัตริย์เป็นสีขาว คล้องประคำไข่มุกสีขาว

7 ฤาษีศิลาท เป็นฤาษีในชั้นดิน เป็นบิดาของ(พระนันทิน หรืออีกนามหนึ่งคือ พระนันทิเกศวร ผู้ซึ่งเป็นหัวหน้าคณะปติของ องค์พระสดาศิวะมหาเทพ) ฤาษีศิลาท เป็นผู้ที่ได้รับการยอมรับว่า มีบุตรอันยอดเยี่ยม และยิ่งใหญ่ เป็นอภิชาตบุตร อันหาที่เสมอเหมือนมิได้ ฤาษีศิลาท มีรูปกายเป็นมนุษย์ สูงใหญ่ผิวแดง หนวดเคราหนาสีดำสนิท แข็งแรง คล้องประคำรุทรากษะ นุ่งห่มผ้าสีเหลือง,ส้มผมยาวมุ่นเป็นมวย สีเทา

 :054: :054: :054:

66
ถ้าคุณอยากรู้เรื่องไหน คุณค้นหาในกระทู้เก่าๆๆได้ครับ ข้อมูลเยอะมากครับ สะดวกรวดเร็วกว่าที่คุณจะมานั่งรอคนมาตอบครับ      :015: :015:

67
ถ้าน้องอยากรู้เรื่องไหน น้องค้นหาในกระทู้เก่าๆๆได้ครับ ข้อมูลเยอะมากครับ สะดวกรวดเร็วกว่าที่น้องจะมานั่งรอคนมาตอบครับ  :015: :015:

68
หนุมานออกศึก ถืออาวุธครบเครื่อง ศร หอกโมกศักดิ์-ตรี และดาบ นอกจากนี้แล้วหนุมานตัวนี้ยังหาวเป็นดาวเป็นเดือน เป็นการบ่งบอกว่าเป็นหนุมานตัวจริง เช่นเดียวกับหนุมานในรามเกียรติ์ ส่วนคาถาด้านล่างนั้นเป็นคาถาเชิงภาวนา เป็นคำอ่านภาษาไทย แต่เขียนด้วยตัวขอม โดยมี นะ มะ อะ อุ แทรกอยู่
     
     หนุมานเชิญธงในตำราพิชัยสงคราม แต่เพิ่มเติมด้วยหัวใจกุสะลา (บทที่ใช้ในการสวดศพ) ซึ่งเป็นคาถาที่เกี่ยวกับชัยชนะ ความมีชัย รวมทั้งมีการเติมคาถาหัวใจพระเจ้าสิบชาติ ธรรมราชาแห่งคาถาเข้าไปด้วย (เต ชะ สุ เน มะ ภู ชะ นะ วิ เว) ซึ่งมีพุทธคุณด้านป้องกันภัยต่างๆ
     
     หนุมานถวายแหวน มีพุทธคุณด้านคุ้มครอง ป้องกัน มีลาภ และมหาอำนาจ โดยมีคาถาเรียกลาภกำกับไว้ นะ มา นะ มา หะ นุ นะ มา นะ หะ นุ หุ นัง อะ มะ นะ สัง สะ ตัง อิ ติ ลา ภะ คาถานี้เป็นคาถาเฉพาะองค์หลวงพ่อพูล ซึ่งได้รวบรวมมาจากครูบาอาจารย์หลายท่าน     :054: :054: :054:




[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

69
     พ่อครูฤษี    เป็นเทวดาองค์หนึ่งของนักดนตรีไทย นักดนตรีบางท่านเรียกพ่อครูว่า "พ่อแก่" ส่วนนามอื่น ๆ ที่มีความหมายเดียวกับพ่อครูฤษี
คือพระนารทฤษี บางทีเพี้ยนไปเป็น นารอท ศรีษะพ่อครูฤษีที่นำมาบูชามักทำเป็นรูปศรีษะผู้ชราสีทอง สวมชฎาดอกลำโพง ลักษณะใบหน้ายิ้มเห็นฟัน 2 ซี่
แก้มทั้งสองตอบลง ขนคิ้วและหนวดเป็นสีขาว

     พ่อแก่เป็นคำสามัญใช้ในวงการโขนละคร ความจริงคือพระฤาษีครูและหมายรวมถึงครู อาจารย์ทุกท่านในอดีตจนถึงปัจจุบันทักรู้จักและไม่รู้จักชื่อของท่าน และเป็นเครื่องหมายแห่งความกตัญญูรู้คุณอาจารย์นาฏศิลปะ ในพิธีไหว้โขนละครจึงนิยมปั้นหุ่นรูปพระฤาษีครูเป็นประธานในพิธี      :054: :054: :054:


[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

70
ไป10วันได้อะไรบ้าง เล่าให้ฟังหน่อยครับ อยากทราบครับ  :050: :050: :050:

71
คาถาบูชาฤาษีตาไฟ
นะโม3จบ
อิติปิโสภะคะวา อะระหังสัมมา สัมพุทธโธวิชชา จะระนะสัมปันโน สุขโตโลกะวิทูร อนุตะโร ปุริสะธัมมะสาระทิ สัตสาเท วะมะนุศสานังพุทโธ ภะคะวาติ 3จบ
เเล้วต่อด้วย คาถาฤาษีตาไฟ
นาโคชิริยะ อิติกะถานัง สาระสะนะพุทโธ พระฤษีสิทธิอาคะตะสิทธิโต พะภะคะสติโต มะนะสะสีตะโต สะวาหะฯ 9จบ

72
ฤาษีนารายณ์ ทุกๆวงการยอมรับนับถือ ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นทางไสยศาสตร์ นาฏศิลป์ ดนตรี หรือหมอแผนโบราณ จะต้องเรียกขาน ขอประทานพระบารมีของท่านอยู่ร่ำไป

ประวัติความเป็นมา เมื่อครั้งที่องค์พระนารายณ์ ได้กระทำเทวฤทธิ์อวตารลงมาเป็น พระกบิล ทรงบำเพ็ญตบะอยู่ใต้พิภพ เพื่อจะปราบกุมารทั้งหกหมื่น อาวุธที่ร้ายแรงสำหรับพระฤาษีนารายณ์ หรือ พระกบิล นี้ ก็คือไฟกรดอันแรงกล้า ที่ได้มอดไหม้พระกุมารทั้งหกหมื่น ตายกันจนหมดสิ้น

ส่วนอิทธิฤทธิ์และบารมีของท่าน นั้น มีมากมาย ไม่ทำลายผู้กระทำความดี มีแต่ช่วยส่งเสริม และช่วยเหลือโดยตลอดไป ด้วยพระเมตตาปราณีเป็นล้นพ้น

ฝูงชนมักนิยมบูชากราบไหว้ เป็นส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นพิธีมงคลใดๆ ก็จะต้องทำการนิมนต์ อัญเชิญให้ท่านเสด็จลงมาร่วมพิธีด้วยทุกครั้งไป ก็จะได้เป็นมงคลอันดีงาม สำหรับงาน หรือว่ากิจการที่กระทำนั้นๆ ให้ได้บังเกิดผลสำเร็จ


73
อาโปกสิณ

การเพ่งนํ้า





นํ้าเป็น1 ในธาตุ 4 คือ ดิน นํ้า ลม ไฟ

นํ้านั้นเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับสิ่งมีชีวิต เพราะนํ้านั้นช่วยต่ออายุให้กับสิ่งมีชีวิตและยังความชุ่มชื้น สดชื่นมาให้กับโลก

ดังนั้น

นํ้ามีธาตุเย็นอยู่ในตัวโดยธรรมชาติ

นํ้าจึงสามารถดับความกระหาย

ระบายผ่อนคลายความร้อนได้

หน้า150

เมื่อเพ่งกสิณไฟแล้วเกิดอาการร้อนใน ตาแดง และมีอาการไข้ขึ้นแล้ว ก็อาจจะอาศัยการเพ่งกสิณนํ้าเป็นอารมณ์ ก็จะช่วยบรรเทาอาการร้อนในนั้น ผ่อนคลายลดเบาบางลงได้

วิธีเพ่งนํ้าทำดังนี้

ตักนํ้าสะอาดบริสุทธิ์ใส่ลงในขันหรือบาตรทรงกลมแล้วนำมาตั้งห่างจากตัวเราประมาณ 1 ศอก

ผู้ฝึกนั่งในท่าขัดสมาธิ เพ่งมองลาดตํ่าในลักษณะตาจ้องมองนํ้าทั้งวงกลมที่บรรจุอยู่ในภาชนะเพื่อจับเป็นนิมิต โดยตาเราจับจ้องที่นํ้านั้น ให้นึกถึงนิมิตนั้น คือ นํ้าและให้นึกถึงสภาพของนํ้านั้นมีความเย็นเป็นธาตุแท้ เมื่อเราเพ่งมองจนจำนิมิตได้แล้ว ก็พยายามเอาตัวเรากลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน นํ้าคือตัวเรา เราคือตัวนํ้า นํ้านั้นก็จะชะล้างจิตของเราให้คลายจากความเร่าร้อนได้ แล้วความเย็นของนํ้ายังแผ่ซ่านทั่วกายตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าให้เย็นสบายสดชื่น

หน้า151

นิมิตกสิณนํ้าที่ได้นี้

ใหม่ๆจะเห็นเป็นวงกลมที่มีนํ้ากระเพื่อมๆไหวๆ เหมือนมีคลื่นแผ่มาเป็นระลอกๆอยู่พักใหญ่

แต่เมื่อจับจ้องเพ่งมองไปมากๆเข้า

นํ้าที่มีคลื่นนั้นจะค่อยๆนิ่งสงบลง

แต่ยังมีประกายระยิบระยับคล้ายลมเป่าผิวนํ้า

ต้องปรับจิตจับจ้องเพ่งพิจารณาให้นํ้าสงบมากขึ้น

ต่อมาผิวนํ้านั้นก็จะสงบเรียบเป็นสีขาวสนิท

ใสสะอาดดังนํ้าทิพย์จากฟากฟ้าแดนสุขาวดี

ผู้ฝึกถึงภาวะนี้จะมีจิตใจสงบแช่มชื่น

เหมือนดังนํ้าทิพย์นั้นได้ชโลมกายทั้งใจให้ปลอดโปร่ง

เป็นที่ร่าเริงสุขใจยิ่งนักท่ามกลางความสงบสุขนั้น



หลวงปู่ท่านหนึ่งท่านได้กรุณาเล่าให้ฟังว่า

ท่านได้บรรลุฌานญาณขั้นสูงด้วยการเพ่งกสิณนํ้า คือ เมื่อได้เพ่งกสิณนํ้าจนได้นิมิตเป็นรูปฌานในระดับ

หน้า152

ปฐมฌานเจริญถึงจตุตถฌานแล้วก็เข้าพิจารณาสภาวะของนํ้าว่าที่เกิดที่ดับ ตั้งแต่ละอองนํ้ามีอยู่ในอากาศรวมตัวเป็นก้อนเมฆจนตกลงมาเป็นฝนรวมตัวเป็นลำธาร แม่นํ้า ทะเล มหาสมุทร แล้วก็ระเหยขึ้นไปเป็นละอองนํ้าอีกครั้งหนึ่งที่ลอยๆอยู่ในอากาศเป็นการพิจารณามองเห็นวงจรของนํ้าที่ไม่ยั่งยืนจีรัง ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ ไม่เป็นบุคคลตัวตนเราเขาที่จะให้ยึดมั่นถือมั่นได้

การได้พิจารณาเช่นนี้

ผู้ปฏิบัติย่อมมองเห็นวัฏฏะของนํ้า แล้วเมื่อมองเข้ามาพิจารณาตน ก็จะเห็นร่างกายก็เป็นไปดังเช่นนํ้าที่เมื่อเกิดขึ้นก็เดินไปสู่การดับ จิตก็สามารถคลายจากการยึดมั่นถือมั่นในตนที่เคยหลงว่าเที่ยงแท้

จิตจึงสามารถลอยอยู่เหนือสังขารที่เกิดมา

สามารถพัฒนาจิตเข้าสู่สภาวะนิ่งสงบอย่างสมบูรณ์


74
เตโชกสิณ

วิธีเพ่งกสิณไฟ





การเพ่งกสิณไฟนี้ นิมิตไฟอาจจะมาจากการเพ่งไฟที่ไม่ได้ปรับปรุงแต่ง เช่น จากการดูเปลวไฟที่ตะเกียงที่เตาหรือไฟอันเกิดจากการเผาไหม้ในภาวะต่างๆ

แต่ทั้งนี้

บางท่านอาจจะเพ่งมองเปลวไฟแล้วก็สามารถจำเป็นนิมิตไปสู่การเจริญรูปฌานได้

หน้า134

แต่บางท่านจิตใจสงบได้ยาก เพ่งมองแล้วหลับตาเห็นสิ่งต่างๆรอบเปลวไฟด้วย ก็เกิดความสับสน นิมิตไม่เกิดเป็นหนึ่งให้จิตใจจับเป็นอารมณ์ให้สงบได้ยาก

จึงควรจัดแต่งกสิณดังนี้

ก่อไฟด้วยฟืน

แสงไฟจากตะเกียงหรือเทียน

การก่อไฟด้วยฟืน นั้น

1. การเตรียมการ ต้องหาไม้มีแก่นที่แห้งสนิทตัดเป็นท่อนๆแล้วผ่าออกตากแดดแล้วหอบไปที่โคนไม้หรือที่อยู่อาศัย ก่อไฟอย่างระมัดระวัง ไม่ให้รุกลามไหม้ป่าไม้ หรือเรือนพัก อันจะเป็นอันตรายต่อตนเองและส่วนรวมด้วย

2. การสร้างนิมิต กสิณไฟนี้เหมาะกับเวลากลางคืนหรือในที่มืด แสงนั้นจะได้ชัดเจนและสว่างพอที่จะจับเป็นนิมิต

เมื่อก่อไฟจนลุกโชนแล้ว หาเสื่อลำแพนหรือแผ่นหนังหนาทึบหรือผืนผ้าสีทึบนี้ต้องมีความกว้างยาวมาก

หน้า135

พอที่จะบังแสงและวัตถุอื่นด้วย เมื่อหาวัสดุเหล่านี้อย่างใดอย่างหนึ่งมาแล้วก็เจาะให้เป็นวงกลมรัศมีประมาณ 1 คืบ แล้วกางออกข้างหน้าของผู้ฝึก ก็จะเกิดรูปนิมิตไฟสว่างเป็นวงกลมอยู่ข้างหน้าเรา

3.วิธีเพ่งไฟให้เป็นนิมิต นั่งในระยะพอเหมาะกับสายตา คือ อย่าใกล้เกินไป อาจจะร้อน ไกลเกินไป อาจจะมองไม่ชัด นั่งตํ่าไปอาจจะปวดต้นคอที่แหงนดู นั่งสูงไปอาจจะมองนิมิตผิดจากความจริงได้

นั่งเข้าที่เรียบร้อยแล้ว

รวมจิตใจและสายตาจ้องมองไปที่แสงเปลวทึบที่เจาะช่องรูวงกลมไว้มองจนจำได้ ก็ให้หลับตาก็จะเห็นเป็นดวงวงกลมสว่างอยู่ข้างหน้าเรา หน่วงอยู่สักครู่ก็จะดับหายไปก็ลืมตาขึ้นมาเพ่งใหม่ สลับทำอย่างนี้อยู่หลายครั้งก็จะเกิดเป็นนิมิตดวงกลมขึ้นในความทรงจำ ใจก็ภาวนาท่องว่า ? ไฟ ไฟ ไฟ ? อยู่ในระยะเริ่มแรก เมื่อจิตสงบ คำบริกรรมหายไป ก็จดจ่ออยู่เพียงนิมิตเท่านั้น

การเพ่งมองนี้ ต้องไม่ไปสนใจถึงหญ้าและไม้หรือวัสดุอื่นที่รอดออกจากม่าน และไม่สนใจควันหรือเปลว

หน้า136

ข้างบนม่าน และไม่ต้องพิจารณาสีของไฟว่าจะเป็นสีขาว สีเหลือง สีแดง แม้ว่าเราจะนั่งไกลสมควรแล้วยังมีความร้อนแผ่มาถึงก็ให้ทำใจกลมกลืนกับความร้อน และนิมิตดวงกสิณไฟนั้นอยู่ในสภาพอันหนึ่งอันเดียวกันที่แยกไม่ออกจากกันแล้ว ก็จะดับความกระวนกระวายได้ จิตก็จะสงบดิ่งลงไปในนิมิตจนเป็นนิมิตที่ติดตาจำได้แม่นยำและสามารถหดขยายดึงขึ้นสูงตํ่าผลักดันให้ไกลใกล้ดังจิตเราต้องการ สุดท้ายก็จะเข้าสู่จุดแห่งการเป็นนิมิตวงกลมที่เปล่าแสงเจิดจ้าในรูปปฐมฌานได้

นิมิตกสิณไฟใหม่ๆอาจจะเห็นเป็นสีต่างๆ เช่น ส้ม แดง เหลือง เราก็ไม่สนใจสีเหล่านี้ สุดท้ายนิมิตนั้นก็จะเข้าสู่การเป็นสีขาวบริสุทธิ์ที่เปล่งปลั่งดังดวงอาทิตย์เที่ยงวันได้

2. แสงไฟจากตะเกียงหรือเทียน การสร้างแต่งนิมิตกสิณไฟจากแสงไฟตะเกียงหรือเทียนขอกล่าวในบทต่อไป

75
วันนี้ใครที่ได้ไปชมแข่งเรือที่วัดบางพระ ช่วยนำมาเล่าให้ฟังหน่อยครับ วันนั้นไปสักเห็นคนเค้าซ้อมพายเรือกันใหญ่ คิดว่าวันงานน่าจะสนุกมาก
 :015: :015: :015:

76
นางสมจิตร นัดสูงวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลบางแก้วฟ้า ประธานการดำเนินงาน พร้อมนาย บุญส่ง นัดสูงวงศ์ สมาชิกสภาจังหวัดนครปฐม นายชำนาญ นัดสูงวงศ์ กำนันตำบลบางแก้วฟ้า คณะกรรมการจัดงานได้เตรียมความพร้อม เพื่อรองรับประชาชนที่จะมาชมการแข่งขันในครั้งนี้ และการแข่งขันได้แพร่หลายไปทั่วประเทศ จึงจัดให้มีการถ่ายทอดสดทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทยช่อง 11 ในวันที่ 23 ตุลาคม ตั้งแต่เวลา 17.00 น. เป็นต้นไป 
นายมนัส โนนุช ประธานชมรมศิษยานุศิษย์หลวงพ่อเปิ่น กล่าวอีกว่า นับว่าเป็นพระกรุณาธิคุณอย่างล้นพ้น ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี เสด็จทรงเป็นองค์ประธาน ในพิธีการพระราชทานถ้วยรางวัลแก่ผู้ร่วมแข่งขัน นับว่าเป็นมหามงคลอย่างยิ่งแก่ชาวจังหวัดนครปฐม ที่สืบทอดเจตนารมณ์ ของหลวงพ่อเปิ่น  ในพิธีการได้รับเกียรติอย่างยิ่งจาก พลตำรวจโทพงศพัศ พงษ์เจริญ ผบช.รร.นายร้อยสามพรานที่จัดวงดุริยางค์ของโรงเรียนนายร้อยสามพราน เข้าร่วมพิธีเชิญถ้วยพระราชทานอย่างสมพระเกียรติ นับว่าการจัดการแข่งขันในครั้งนี้จัดได้ยิ่งใหญ่ จึงขอเชิญชวนพี่น้องชาวไทยทั่วประเทศเข้าร่วมชมการแข่งขันเรือยาวประเพณีครั้งนี้ พร้อมนมัสการหลวงพ่อเปิ่นเพื่อเป็นสิริมงคลต่อไป 

ดังนั้น ขอเชิญพบกันได้ ณ วัดหลวงพ่อเปิ่น ลุ่มนํ้านครชัยศรี (วัดบางพระ) ต.บางแก้วฟ้า อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม ในวันที่ 23 ตุลาคม 2549 
นายมนัส โนนุช ชมรมศิษยานุศิษย์หลวงพ่อเปิ่น เผยว่า การแข่งขันเรือยาวประเพณีชิงถ้วยพระราชทาน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดชมหาราช ณ วัดหลวงพ่อเปิ่น ได้จัดมา 14 ปีติดต่อกัน ซึ่งสมัยหลวงพ่อเปิ่นยังมีชีวิตอยู่ ท่านได้เป็นผู้ริเริ่มจัดการแข่งขันขึ้นเพื่อให้ชาวบ้านได้มีกิจกรรมร่วมกัน เพื่อความสมัครสมานสามัคคีและไปทำบุญร่วมกัน เพราะท่านจะจัดพร้อม กับการทอดกฐินประจำปี เหมือนเช่นวันนี้เมื่อชาวบ้านได้ทำบุญทอดกฐินแล้วก็จะได้ชมการแข่งขันเรือยาวประเพณีต่อไปเลย 

พระครูอนุกูลพิศาลกิจ (หลวงพ่อสำอางค์) เจ้า อาวาสวัดหลวงพ่อเปิ่น (วัดบางพระ) องค์ปัจจุบัน ซึ่งได้สืบทอดเจตนารมณ์ของหลวงพ่อเปิ่นมาหลายปีแล้ว เผยการจัดการแข่งขันเรือยาวประเพณีได้จัดมาเป็นประจำ ทุกปี โดยจะจัดให้ตรงกับการทอดกฐิน ซึ่งขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนร่วมทำบุญพร้อมกันในครั้งนี้ ทางวัดได้ เตรียมอาหารไว้สำหรับประชาชนที่มาร่วมกิจกรรมครั้งนี้ อย่างพร้อมเพรียง พร้อมเชิญร่วมทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้หลวงพ่อเปิ่นในช่วงเช้าของวันที่ 23 นี้ 

นายพเยาว์ เปียแก้ว นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครปฐม กล่าวว่า สนามวัดหลวงพ่อเปิ่นถือว่าเป็นสนามการแข่งขันเรือยาวชิงถ้วยพระราชทานประจำปี จังหวัดนครปฐม ในปีนี้เป็นปีมหามงคลที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดชมหาราช ทรงครองราชย์ ครบ 60 ปี ทาง อบจ.ได้เตรียมการจัดการแข่งขันไว้อย่างยิ่งใหญ่สมพระเกียรติ พี่น้องประชาชนจะได้พบกับสุดยอด เรือชั้นนำในประเทศไทย เรือทุกลำที่เข้าแข่งขันมีผลงานทั่วประเทศมาแล้ว คือจะนำเรือที่ได้แชมป์ชนะเลิศแต่ละสนามมาแข่งขันในครั้งนี้ จึงขอเชิญชวนพี่น้องมาร่วมชมกันอย่างพร้อมเพรียงกัน 

นายปรัชญา เนียมรุ่งเรือง ผู้ใหญ่บ้านตำบลบางแก้วฟ้า เผยว่า การแข่งเรือยาวประเพณีวัดหลวงพ่อเปิ่นถือว่าเป็นการแข่งขันเรือยาวชิงถ้วยพระราชทานที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เพราะสนามวัดหลวงพ่อเปิ่นมีถ้วยพระราชทานถึง 3 ถ้วย  เป็นความภาคภูมิใจกับชาวจังหวัดนครปฐมอย่างยิ่ง คือถ้วยพระราชทานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดชมหาราช, ถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พร้อมถ้วยประทานทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี สนามเรามีถ้วยพระราชทานถึง 3 ถ้วย นับว่ามีมากที่สุดทุกสนามในประเทศไทย เรือชั้นนำมาแข่งขันเพื่อเฉลิมฉลองในวโรกาสพ่อของแผ่นดินครองราชย์ครบ 60 ปี พร้อมมีเงินรางวัลอย่างมากมาย เรือที่แข่งขันประกอบด้วย เรือสาวดวงแก้ว, เรือเทพส่องแสง, เรืออัครโยธิน, เรือศรสุวรรณ, เรือภาพประทานพร, เรือเจริญศรี, เรือคนสวย-เมืองเพชร เป็นต้น     


77
ปลุกเสกกุมารทอง
- ?เอหิ กุมารัง กุมารีนัง อุติอุนิ นะอังอิติ พุทโธ
ปลุกเสกรักยม
- ?จิเจรุนิ จิตตัง เจตตะสิกกัง รูปัง กุมาโรวา นิมิตตัง กุมารทอง เจ้ารัก เจ้ายม พรายทอง อาคัจฉาหิ จิตติ เอหิ เอหิ นะมะพะทะ นะมะพะทะ นะมะพะทะ
คาถาบทนี้ จะใช้ปลุกรักยมก็ได้ พรายทองก็ได้ กุมารทองกุมารีก็ได้ ลูกกรอกก็ได้
ใช้ปลุกเสกประจำทุก ๆ วัน อย่าให้ขาด เขาก็จะเพิ่มอิทธิฤทธิ์ขึ้นอีก และมีชีวิตชีวาอยู่กับเราตลอดไป และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ อย่าให้น้ำมันจันทร์แห้งขวด


เรียกกุมารทอง - รักยม
เวลาที่เราจะไปไหนมาไหน ก็จะต้องเรียกให้เขาไปด้วยกับเราด้วยคาถานี้ ในขณะที่เราจะกินอะไร หรือเอามาให้เขากิน ก็จะต้องเรียกด้วยคาถานี้เช่นเดียวกัน ถ้ามีศัตรูหรือกำลังเดือดร้อน ก็เรียกให้เขาช่วยด้วยคาถานี้เหมือนกัน
- ?เอหิกุมาโร เอหิกุมารี เอหิรักยม เอหิพรายทอง ปิยังมะมะ ปุตตัง วะซายะติ อารักขานะ ปัจจะโย เจ้าร้กเจ้ายม กุมารทอง พรายทอง จงมา จงมา เอหิมะมะ


 :054: :054: :054:

78
"คาถา คงกระพัน"
อิติปิโสภะคะวานะเพชรคงข้างซ้ายโมเพชรคงข้างขวา
ธาเพชรคงข้างหลังเพชรหุนเพชรหันเพชรผันเพชรสู้
เพชรอยู่อย่าไปไหนพุทธังหินทั้งสามพันก้อนตะบอง
ทั้งสามพันท่อนฟันกูบ่มิเข้าปืนนั้นเล่ายิงกูบ่มิออก
ปราบหมู่มนุษย์ทั้งสี่ทวีปรึกลือรึกลืออะนิอะนิมะ
หิละตังสะนะพุทธังอะสุนอะนิพุทธังคงเนื้อธัมมัง
คงหนังสังฆังคงกระดูกสังขะนุริมะธนาอะทนๆ
มะทานๆอะอึๆ


 :054: :054: :054:

79
คาถามหาละลวย คาถาเก่าแก่
นะมหาละลวย
ท่องคาถานี้ 5 จบเสกเป่าใส่เครื่องดื่มน้ำหรือขนมหวาน ให้คนที่ถูกเอ่ยชื่อในคาถานี้กิน คนโบราณเชื่อถือกันนักว่า เมื่อเขาหรือเธอ กลับบ้านแล้ว ในใจจะมีแต่ใบหน้าคุณลอยวนเวียนอยู่ตลอดเวลา ในใจจะโหยหามิเป็นอันอยู่นิ่งได้ ต้องการหาทางกลับมาพบหน้าคุณอีกครา
นะ ละลวย หันตะวา โม เมามัว พุท พาตัว (ชื่อคนที่คุณรัก)มาหาหู ทา สมสู่ ยะ อยู่ด้วยกันจนตาย นา สังสิโม สังสิโมนา สิโมนาสัง โฆนาสังสิ
มหาละลวย(ฉบับขุนแผน)
โอม ละลวย มหาละลวย ชายเห็นชายงวย หญิงเห็นหญิงหลง มึ...งเห็นหน้ากูก็ให้งวยงงหลงใจรัก จะ ภะ กะ สะ
ทั้งฝูงชนมาพะวักพะวงหลงรักใคร่ จะ ภะ กะ สะ กูจะมารำลึกถึง เจ้าไทยก็ลืมสวาทรัก จะภะ กะ สะ
กูจะคิดสาวแท้ๆ ก็มาลืมทั้งแม่ทั้งพ่อ จะ ภะ กะ สะ พะวักภวังค์ให้จิตมันคลุ้มคลั่งตะลึงหลง จะภะ กะ สะ
โอมพระพายเจ้าอ๋ย จงชักนำอีนั่นมา จะภะกะสะ หาละลวยงวยงงจงใจรักกูแห่งกู จะ ภะ กะ สะ
ช้างอยู่ในป่าหลงรักกู กูก็มาลืมลม จะ ภะ กะ สะ ผมอยู่ในหัวก็มาลืมเกล้า จะ ภะ กะ สะ
ข้าวอยู่ในคอก็มาลืมกลืน สะอึกสะอื้นมาหากู จะ ภะ กะ สะ คิดถึงกูทนอยู่มิได้ อาคัจฉายะ อาคัจฉาหิ
อาคัจฉาหิ อาคัจฉายะ


80
"คาถาบูชาฤาษีตาไฟ"
พระฤาษีองค์นี้ก็มี 3 ตา เช่นเดียวกัน ท่านมีอำนาจและมหิทธิฤทธิ์มากมาย
จนกระทั่งไม่มีใครกล้าแหยม ตาที่ 3 ของท่านที่อยู่บนหน้าผาก
เช่นเดียวกับพระอิศวร (ศิวะ) ท่านก็จะหลับสนิทตลอดเวลา
ถ้าหากว่าเผลอเผยอเปลือกตาที่ 3 นั้นออก ลืมขึ้นมาในครั้งใดก็ครั้งนั้นแหละ
สิ่งที่อยู่ตรงหน้าของท่านก็ต้องมอดไหม้กลายเป็นจุลมหาจุลลงไปในที่สุด
ด้วยประกายไฟอันแรงกล้าจากสายตาที่ 3 ของท่าน
แต่ในด้านอุปนิสัยของพระฤาษีตาไฟนี้ ท่านมีนิสัยดุมาก เสียงดัง
แต่ส่วนภายในนั้นสิ ไม่มีใครที่จะใจดีเหมือนกัน
ท่านชอบช่วยเหลือผู้อื่น ชอบเสริมสร้างในด้านทานบารมี พูดกันง่าย ๆ
ก็จะเข้าทำนองที่ว่า ปากร้ายใจดี หากใครประสงค์ที่จะให้ท่านช่วยเหลืออะไร
ก็ควรที่จะใช้ดอกไม้ธูปเทียนเคารพบูชาสักการะต่อท่าน
แล้วจะบนบานอย่างไร ก็จงตั้งใจบอกกับท่านไปตามตรงสิ่งที่ไม่ผิดวิสัย
ไม่เหลือวิสัย ท่านก็อาจที่จะต้องช่วยให้เราสำเร็จผลนั้น ๆ ได้
ด้วยความเอื้ออารีของท่าน จึงได้รับฉายาใหม่ว่า "พระฤาษีเนตรอัคนี"
"คาถาบูชาพระอิศวร (พระศิวะ)"
โอมนะมัสสิวายะ
จำเป นะเคารา นะสีระกายายะ กัตตะปูระณะ
กาวะนะสี จะกายอ นะมัสสิ วายะยายะ จะนะมัสสิวายะยอ
กัตตุกรี คิกากัง คะมะติจัตติตายายะ เสตาริฉัน จัตติตอยอ
สะกุณธะลายายะ มะนิกุณธะลายอ นะมัสสิวายายะ จะนะมัสสิวายา
อะระคัม สัมปุญญัม สีวิรุส ตะไรยยะเก กาเม จะมะเหยะเตฯ
ส่วนของที่ใช้บูชาก็คือดอกดาวเรือง, ดอกกุหลาบ, ธูปแขก นม-เนย ใบมะตูม ผลไม้

81
คาถามงกุฎพระพุทธเจ้า(คงกระพัน แคล้วคลาด)
ข้อความ : อิติปิโสวิเสเสอิ อิเสเสพุทธะนาเมอิ
อิเมนาพุทธะตังโสอิ อิโสตังพุทธะปิติอิ
ตะโจพระพุทธเจ้าจงมาเป็นหนัง
มังสังพระธรรมเจ้าจงมาเป็นเนื้อ
อัฎฐิพระสังฆเจ้าจงมาเป็นกระดูก
ตรีเพชรคงคา อิสวาสุ สวาสุอิ สุสะวาอิ พุทธะปิติ
ข้อแนะนำ ให้ตั้งใจเหนี่ยวโน้มให้เสมือนพระคาถานี้เป็นพระพิชัยมงกุฎสวมใส่อยู่บนเหนือศีรษะ ว่าสัก3หน7หน แล้วยกมือลูบศีรษะให้ทั่ว

 :015: :015: :015:

82
ประวัติปู่ฤาษีหน้าวัวหรือตาวัว เดิมที่เป็นพระสงฆ์ตาบอดอยู่เมือศรีเทพ (ปัจจุบันอยู่ในจังหวัดลพบุรี) แต่ชอบเล่นแร่แปรธาตุท่านพยายามหาตำราสูตรต่างๆมาและตำราที่สร้างสรรค์ขึ้นเองเพื่อต้องการสิ่งที่วิเศษ จนท่านสามารถสร้างปรอทขึ้นมาท่านดีใจมาก จนทำปรอทตกลงที่ถ่ายมูลท่านหายังไงก็หาไม่เจอให้ลูกศิษย์หาก็กลัวมันรู้ จึงปิดปากเงียบจนลูกศิษย์คนหนึ่งไปพบแสงสีเขียวประหลาดเข้า จึงวิ่งแจ้นไปบอกหลวงตาท่านดีใจมากจึงรีบไป
บอกให้ลูกศิษย์หยิบขึ้นมาเลอะช่างมันเดี้ยวล้างได้ และก็เก็บใส่โถน้ำผึ้งของวิเศษต่อท่านท่านก็ขุ่นคิดว่า เออ เราก็มีของวิเศษอยู่แล้วทำไม
ไม่รักษาโรคตาบอดซะเลยละ ท่านจึงใช้ให้ลูกศิษย์คนเดิมไปหาลูกตามาเจ้าลูกศิษย์หาเท่าไรก็หามไม่เจอ จนไปเจอลูกตาวัวเข้าจึงควักออกมาให้หลวงตา พอท่านใช้อำนาจปรอทวิเศษของท่านเกิดอภินิหาร
ตาของท่านที่บอดกลับมองเห็นอีกครั้ง ท่านดีใจมากแต่ซักพักท่านก็ต้องตกใจ เมื่อมองหน้าที่กระจกใบหน้าจากคนก็กลายเป็นหน้าวัว
ฝ่ายต้องขอโทษท่านอย่างมาก แต่หลวงตาก็ให้อภัยและก็คิดว่า
เฮอ ต้องเพศลาจากการเป็นสงฆ์แล้วสิเรา เพราะกฏห้ามสัตว์เดียรฉานบวชเป็นพระ ท่านจึกสึกจากการเป็นพระมาบวชฤาษีแทน จึงมีชื่อว่า พระฤาษีตาวัวหรือหน้าวัว เข้าป่าสร้างอาศรม บำเพ็ญตบะ
และคิดค้นสร้างสรรค์และแสวงตำราเล่นแร่แปรธาตุใหม่ๆ จนพบกลุ่ม 10 ฤาษี โดยมี ฤาษีพิลาไลย ฤาษีตาไฟ เป็นใหญ่ จึงของอาศัยอยู่ด้วยๆจาก10เป็น11ด้วยท่านเคยเป็นพระจึงมีตบะ เหนือฤาษีองค์อื่น และมีความสามารถในการเล่นแร่แปรธาตุทั้งเชิงตำราเชิงคิดสร้างสรรค์เอง ในปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นหมอหรือนักเคมี จะบูชาพระฤาษีตาวัวหรือหน้าวัวกันไม่น้อย ท่านจัดว่าเป็นฤาษีของไทยทีมีชื่อเสียงมากที่สุดในสยาม


อ่านเจอมาก็เลยนำมาลงเพื่ออาจจะเป็นประโยชน์ต่อๆไปครับ :054: :054: :054:

83
คุณ Gearmour เผอิญอยากรบกวนขอเบอร์โทรหน่อยครับ มีเรื่องอยากจะคุยด้วยครับ ขอด่วน!
ขอบคุณล่วงหน้า

84
พระหลวงพ่อเปิ่นรุ่นซุ้มเศรษฐีนี้ มีประสบการณ์คือคนที่ห้อยพระรุ่นนี้โดนยิง
แต่ยิงไม่ออก แต่ก็ได้ใจพลั้งปากด่าไปว่า ไอ้สั_ เท่านั้นแหละครับ กระสุนพุ่งจาก
ปากกระบอกปืนมาเข้าปาก ฟันร่วงไปหลายซี่ แต่กระสุนไปตุงอยู่ตรงฟันซี่หน้า
ที่โดนแรงกระแทกซะเอียงเข้าไปในปาก คนที่โดนนี้สลบไป 3 วัน
พอรักษาตัวหายแล้วก็ได้ไปเล่าเรื่องราวให้หลวงพ่อเปิ่นฟัง ท่านหัวเราะ
แล้วก็ให้สายสิญจ์มา แล้วก็บอกทิ้งท้ายว่าคราวนี้เอ็งเจอปืนใหญ่ก็ไม่ต้องกลัวนะ

85
ท่านเจ้าอาวาสวัดบางพระในปัจจุบัน
ท่านเป็นพระที่น่าเคารพนับถือท่านนึงเลย
ตอนที่ผมจะบวช ผมตั้งใจว่าจะไปบวชอยู่วัดบางพระ
ก็ได้ไปติดต่อกับหลวงพ่อท่าน (ขณะนั้นหลวงพ่อเปิ่นสุขภาพไม่แข็งแรง)

ท่านก็ได้เป็นธุระจัดการให้หลายต่อหลายอย่าง
ผมได้มีโอกาสพูดคุยกับท่านอยู่พอสมควร
คำถามหนึ่งก็คือ "ท่านได้วิชาอะไรมาจากหลวงพ่อเปิ่นบ้าง"
ท่านตอบแบบไม่ต้องคิดนานเลยว่า "โอ้ย..หลวงพ่อท่านเก่ง อาตมาไม่ได้เท่าท่านหรอก"
และหลวงพ่อรองเจ้าอาวาส (ในขณะนั้น) ก็ได้บอกว่า
วิชานะปัดตลอดของหลวงพ่อเปิ่น อาตมาได้เห็นมากับตา
มีนายพลคนนึงเอาแผ่นทองแดงมาให้หลวงพ่อท่านทำเป็นแผ่นยันต์
ซึ่งเอามาให้เยอะมาก คงต้องใช้เวลานานในการเขียนยันต์
พระลูกวัดก็เป็นห่วงว่าจะทำให้ได้ทันหรือไม่ เพราะนายพลท่านต้องรีบใช้
หลวงพ่อท่านก็รับปากไว้เรียบร้อย รองเจ้าอาวาส (ในขณะนั้น)
บอกว่าตอนที่ท่านทำนั้น ท่านได้เขียนยันต์ไว้แผ่นนึง จากนั้นท่านก็ได้
ตบผั๊วะเดียว แล้วยื่นให้รองเจ้าอาวาส (ในขณะนั้น) แล้วบอกว่าเอาไปให้ท่านนายพลได้เลย

รองเจ้าอาวาส ก็งงเพราะเห็นกับตาว่าท่านเขียนไปแผ่นเดียว
จึงได้เปิดดูเกือบทุกแผ่น ปรากฏว่าแผ่นทองแดงทุกแผ่น
มียันต์ติดไปทั้งหมด

 :054: :054: :054: :054: :054:

86
ตำนาน
ครั้งพุทธกาล มีเรื่องเล่าไว้ในคัมภีร์พระวินัยปิฎกกฐินขันธกะว่า ครั้งหนึ่งภิกษุชาวเมืองปาฐา ประมาณ 30 รูป ซึ่งถือธุดงควัตรอย่างยิ่งยวด มีความประสงค์จะเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าซึ่งขณะนั้นประทับอยู่กรุงสาวัตถี แคว้นโกศล จึงพากันเดินทางมุ่งหน้าไปยังเมืองนั้นพอถึงเมืองสาเกต ซึ่งอยู่ห่างจากกรุงสาวัตถีประมาณ 6 โยชน์ก็เป็นวันเข้าพรรษาพอดี เดินทางต่อไปมิได้ต้องจำพรรษาอยู่ที่เมืองสาเกตตามพระวินัยบัญญัติ ขณะที่จำพรรษาอยู่ ณ เมืองสาเกต เกิดความร้อนรนอยากเฝ้าพระพุทธเจ้าเป็นกำลัง ดังนั้นพออกพรรษาปวารณาแล้วก็รีบเดินทาง แต่ระยะนั้นมีฝนตกมากหนทางที่เดินชุ่มไปด้วยน้ำ เป็นโคลนเป็นตม ต้องบุกต้องลุยมาจนกระทั่งถึงกรุงสาวัตถีได้เข้าเฝ้าสมความประสงค์
            พระพุทธเจ้าจึงมีปฏิสันถารกับภิกษุเหล่านั้นเรื่องการจำพรรษาอยู่ ณ เมืองสาเกตและการเดินทาง ภิกษุเหล่านั้นจึงกราบทูลถึงความตั้งใจ ความร้อนรนกระวนกระวายและการเดินทางที่ลำบากให้ทรงทราบทุกประการ
            พระพุทธเจ้าทรงทราบและเห็นความลำบากของภิกษุจึงทรงยกเป็นเหตุและมีพระพุทธานุญาตให้พระภิกษุผู้จำพรรษาครบถ้วนแล้วกรานกฐินได้ และเมื่อกรานกฐินแล้วจะได้รับอานิสงส์ตามที่กำหนดในพระวินัยถึง 5 ประการคือ

อยู่ปราศจากไตรจีวรได้ จะไปค้างคืนที่ไหน ไม่ต้องถือเอาไตรจีวรไปครบสำรับก็ได้ ไม่ต้องอาบัติ
จะไปไหนมาไหน ไม่ต้องบอกลาก็ได้ ไม่ต้องอาบัติ
ฉันคณะโภชน์ได้ ไม่ต้องอาบัติ
เก็บอดิเรกจีวรไว้ได้ตามปรารถนา
จีวรอันเกิดขึ้นในที่นั้น เป็นของได้แก่พวกเธอทั้งได้โอกาสขยายเขตจีวรกาล ให้ยาวออกไปอีกจนถึงกลางเดือน 4

ข้อกำหนดเกี่ยวกับกฐิน
จำนวนพระสงฆ์ในวัดที่จะทอดกฐิน สงฆ์ผู้จะให้ผ้ากฐินนั้น จะต้องมีจำนวนอย่างน้อย 5 รูป เพราะจะต้องจัดเป็นผู้รับผ้ากฐิน 1 รูป เหลืออีก 4 รูปจะได้เข้าเป็นองค์คณะ (สงฆ์) มากกว่า 5 รูปขึ้นไปใช้ได้ แต่น้อยกว่า 4 รูปใช้ไม่ได้
คุณสมบัติของพระสงฆ์ที่มีสิทธิรับกฐิน คือพระสงฆ์ที่จำพรรษาในวัดนั้นครบ 3 เดือน ปัญหาที่เกิดขึ้นมีอยู่ว่าจะนำพระสงฆ์จากวัดอื่นมาสมทบ จะใช้ได้หรือไม่ คำตอบคือ ได้ แต่พระรูปที่มาสมทบจะไม่มีสิทธิในการรับผ้าและไม่มีสิทธิออกเสียงว่าจะถวายผ้าให้กับรูปใด (เป็นเพียงแต่มาร่วมให้ครบองค์สงฆ์เท่านั้น) แต่คณะทายกทายิกาอาจถวายของสิ่งอื่นได้
กำหนดกาลที่จะทอดกฐิน การทอดกฐินนั้นทำได้ภายในเวลากำหนด คือ ตั้งแต่วันแรม 1 คำ เดือน 11 จนถึงวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 12 ก่อนหรือหลังจากนั้นไม่นับเป็นกฐิน
กฐินไม่เป็นอันทอดหรือเป็นโมฆะ การที่พระในวัดเที่ยวขอโดยตรงหรือโดยอ้อม ด้วยวาจาบ้าง ด้วยหนังสือบ้าง เชิญชวนให้ไปทอดกฐินในวัดของตน การทำเช่นนั้นผิดพระวินัย กฐินไม่เป็นอันกราน นับเป็นโมะ การทอดก็ไม่เป็นทอด พระผู้รับก็ไม่ได้อานิสงส์
ประเภทของกฐิน
การทอดกฐินที่ปฏิบัติกันในประเทศไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน แยกเป็นประเภทใหญ่ๆ ได้ 2 ประเภทคือ กฐินหลวง และ กฐินราษฎร์

87
ความหมาย
พิธีทอดกฐิน เป็นงานบุญที่มีปีละครั้ง ท่านจึงจัดเป็นกาลทาน แปลว่า "ถวายตามกาลสมัย" คำว่า "กฐิน" มีความหมายที่เกี่ยวข้องกันอยู่หลายความหมายดังนี้

กฐินที่เป็นชื่อของกรอบไม้ กรอบไม้แม่แบบสำหรับทำจีวร ซึ่งอาจเรียกว่าสะดึงก็ได้ เนื่องจากในครั้งพุทธกาลการทำจีวรให้มีรูปลักษณะตามที่กำหนดกระทำได้โดยยาก จึงต้องทำกรอบไม้สำเร็จรูปไว้ เพื่อเป็นอุปกรณ์สำคัญในการทำเป็นผ้านุ่งหรือผ้าห่ม หรือผ้าห่มซ้อนที่เรียกว่าจีวรเป็นส่วนรวม ผืนใดผืนหนึ่งก็ได้ ในภาษาไทยนิยมเรียก ผ้านุ่ง ว่า สบง ผ้าห่ม ว่า จีวร และ ผ้าห่มซ้อน ว่า สังฆาฏิ
          การทำผ้าโดยอาศัยแม่แบบเช่นนี้ คือทาบผ้าลงไปกับแม่แบบแล้วตัดเย็บย้อม ทำให้เสร็จในวันนั้นด้วยความสามัคคีของสงฆ์ เป็นการร่วมใจกันทำกิจที่เกิดขึ้นและเมื่อทำเสร็จ หรือพ้นกำหนดกาลแล้ว แม่แบบหรือกฐินนั้นก็รื้อเก็บไว้ใช้ในการทำผ้าเช่นนั้นในปีต่อๆ ไป การรื้อแบบไม้นี้เรียกว่า เดาะ ฉะนั้น คำว่า กฐินเดาะ หรือ เดาะกฐิน จึงหมายถึงการรื้อไม้แม่แบบเพื่อเก็บไว้ใช้ในโอกาสหน้า
กฐินที่เป็นชื่อของผ้า หมายถึงผ้าที่ถวายให้เป็นกฐินภายในกำหนดกาล 1 เดือน นับตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 ถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ผ้าที่จะถวายนั้นจะเป็นผ้าใหม่ หรือผ้าเทียมใหม่ เช่น ผ้าฟอกสะอาด หรือผ้าเก่า หรือผ้าบังสุกุล คือผ้าที่เขาทิ้งแล้ว และเป็นผ้าเปื้อนฝุ่นหรือผ้าตกตามร้านก็ได้ ผู้ถวายจะเป็นคฤหัสถ์ก็ได้ เป็นภิกษุหรือสามเณรก็ได้ ถวายแก่สงฆ์แล้วก็เป็นอันใช้ได้
กฐินที่เป็นชื่อของบุญกิริยา คือการทำบุญ คือการถวายผ้ากฐินเป็นทานแก่พระสงฆ์ผู้จำพรรษาอยู่ในวัดใดวัดหนึ่งครบ 3 เดือน เพื่อสงเคราะห์ผู้ประพฤติปฏิบัติชอบให้มีผ้านุ่งหรือผ้าห่มใหม่ จะได้ใช้ผลัดเปลี่ยนของเก่าที่จะขาดหรือชำรุด การทำบุญถวายผ้ากฐิน หรือที่เรียกว่า ทอดกฐิน คือทอดหรือวางผ้าลงไปแล้วกล่าวคำว่าถวายในท่ามกลางสงฆ์ เรียกได้ว่าเป็น กาลทาน คือการถวายก่อนหน้านั้น หรือหลังจากนั้นไม่เป็นกฐิน ท่านจึงถือโอกาสทำได้ยาก
กฐินที่เป็นชื่อของสังฆกรรม คือกิจกรรมของสงฆ์ก็จะต้องมีกานสวดประกาศขอรับความเห็นชอบจากที่ประชุมสงฆ์ ในการมอบผ้ากฐินให้แก่ภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง เมื่อทำจีวรสำเร็จแล้วด้วยความร่วมมือของภิกษุทั้งหลายก็จะได้เป็นโอกาสให้ได้ช่วยกันทำจีวรของภิกษุรูปอื่น ขยายเวลาทำจีวรได้อีก 4 เดือน ทั้งนี้เพราะในสมัยพุทธกาลการหาผ้า การทำจีวรทำได้โดยยาก ไม่ทรงอนุญาตให้เก็บสะสมผ้าไว้เกิน 10 วัน แต่เมื่อได้ช่วยกันทำสังฆกรรมเรื่องกฐินแล้วอนุญาตให้แสวงหาผ้าและเก็บไว้ทำเป็นจีวรได้จนตลอดฤดูหนาว คือจนถึงวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 4

จากความหมายข้างต้นจะเห็นว่า มีความเกี่ยวข้องกัน 4 ประการ เมื่อสงฆ์ทำสังฆกรรมเรื่องกฐินเสร็จแล้ว และประชุมกันอนุโมทนากฐินคือแสดงความพอใจ ว่าได้ กรานกฐิน เสร็จแล้วก็เป็นอันเสร็จพิธี คำว่า กรานกฐิน คือการลาดผ้า หรือทาบผ้าลงไปกับกรอบไม้แม่แบบเพื่อตัดเย็บ ย้อม ทำเป็นจีวรผืนใดผืนหนึ่ง
            ยังมีคำอีกคำหนึ่งที่เราได้ยินกันก่อนจะมีการทำบุญกฐิน คือ การจองกฐิน หมายถึงการแสดงความจำนงเป็นลายลักษณ์อักษร หรือด้วยวาจาต่อทางวัดว่าจะนำกฐินมาถวาย เมื่อนั้นแล้วแต่จะตกลงกัน แต่จะต้องภายในเขตเวลา 1 เดือน ตามที่กำหนดในพระวินัย (ตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 ถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12)
            อีกคำหนึ่งที่จะได้ยินในขณะที่มีพิธีการทอดกฐินคือคำว่า อปโลกน์กฐิน หมายถึงการที่ภิกษุรูปใดรุปหนึ่งเสนอขึ้นในที่ประชุมสงฆ์ถามความเห็นชอบว่าควรมีการกรานกฐินหรือไม่ เมื่อเห็นชอบร่วมกันแล้วจึงหารือกันต่อไปว่า ผ้าที่ทำสำเร็จแล้วควรถวายแก่ภิกษุรูปใด การปรึกษาหารือการเสนอความเห็นเช่นนี้เรียกว่า อปโลกน์ (อ่านว่า อะ-ปะ-โหลก) หมายถึง การช่วยกันมองดูว่าจะสมควรอย่างไร เพียงเท่านี้ก็ยังใช้ไม่ได้ เมื่ออปโลกน์เสร็จแล้วต้องสวดประกาศเป็นการสงฆ์ จึงนับว่าเป็นสังฆกรรมเรื่องกฐินดังกล่าวไว้แล้วในตอนต้น

            ในปัจจุบัน มีผู้ถวายผ้ามากขึ้น มีผู้สามารถตัดเย็บย้อมผ้าที่จะทำเป็นจีวรได้แพร่หลายขึ้น การใช้ไม้แม่แบบอย่างเก่าจึงเลิกไป เพียงแต่รักษาชื่อและประเพณีไว้โดยไม่ต้องใช้กรอบไม้แม่แบบ เพียงถวายผ้าขาวให้ตัดเย็บย้อมให้เสร็จในวันนั้น หรืออีกอย่างหนึ่งนำผ้าสำเร็จรูปมาถวายก็เรียกว่าถวายผ้ากฐินเหมือนกัน
            และเนื่องจากยังมีประเพณีนิยมถวายผ้ากฐินกันแพร่หลายไปทั่วประเทสไทยจึงนับว่าเป็นประเพณีนิยมในการบำเพ็ญกุศล เรื่องกฐินนี้ยังขึ้นหน้าขึ้นตาเป็นสาธารณประโยชน์ร่วมไปกับการบูรณปฏิสังขรณ์วัดวาอารามไปในขณะเดียวกัน

88
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / ถามพี่เอ
« เมื่อ: 06 พ.ค. 2549, 10:30:08 »
เสือตีนโตที่ถ่ายนัยรูปนี่สักกะหลวงพี่อารัยคับ อยากรุเพราะว่าลายเส้นชัดดีและสวย  :058: กะว่าจะไปลงกะหลวงพี่นันอยู่คับ  :045:

89
เห็นมีข่าวว่าที่วัดด้ายจัดทัม พิมพ์หนังสือขึ้นมาเล่มนึงเมื่อมั่ยนานนี้ มีคัยที่ทราบเรื่องนี้บ้างคับ เพราะผมด้ายปัยหาซื้อแต่ก้อมั่ยมี จึงอยากรุว่ามีคัยที่มีเล่มที่กล่าวบ้างหรือป่าว (ผมมีเล่มเก่าที่วัดออกเล่มนึงสีแดงแต่นานมากแล้ว)  :058: :058: :058:

90
คัยรุบ้างคับว่าปู่ฤาษีและหนุมานมีกี่ตัวและมีอะรัยบ้าง คัยรุบอกที :010:

91
วันนี้ใครได้ไปครอบเศียรหลวงพี่ติ่งบ้างคับ คัยเปนงัยบ้างเล่าสู่กันฟังบ้างคับ ส่วนผมก้อปัยมา ได้ครอบเศียรก้อช่วงเช้าๆคนเต็มวัดเลยคับ :002:

92
เอาไว้ท่องก่อนออกจากบ้าน แคล้วคลาดปลอดภัย
นะโม3จบ - อิติสุคคะโต อะระหัง พุทโธ นะโมพุทธายะ ฐิตคุโณ อาจาริโย จะมหาลาภัง สัพพะโภคัง สัพพะธะนัง ภะวันตุเมฯ

93
คัยจะปัยวัดบ้างครับ เร็วๆนี้นัดกันปัยเยอะๆน่าจะดีนะครับจะด้ายรุจักกันบ้างอ่ะ ขอพาน1นะครับ และจะปัยงัยลงบอกหน่อยน๊าครับ :053:

หน้า: [1]