ผู้เขียน หัวข้อ: " พระเขี้ยวแก้ว " ทันตธาตุแห่งสิงหล ลังกาทวีป  (อ่าน 1604 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ suwatchai

  • การนิ่งเงียบต่อคนโง่คนสามหาว เป็นทางยาวสู่เกียรติที่ใฝ่ฝัน ทั้งรักษาในศักดิ์ศรีเป็นเกราะกัน ไม่หุนหันฉันท์หมาวัดที่จัญไร เราจงดูราชสีห์น่าเกรงขาม ทุกผู้นามเกรงกลัวได้ไฉน ไม่เคยเห่าเคยหอนไล่ผู้ใด แล้วไซร้ใยมีเกียรติเป็นราชันต์...
  • สมาชิกที่ถูกแบน
  • **
  • กระทู้: 241
  • เพศ: ชาย
  • Death Is Beautiful & Sweet ....
    • MSN Messenger - suwatchai.com@windowslive.com
    • ดูรายละเอียด
    • อีเมล

วัดมัลลิกา ดาลดาหรือ " วัดพระเขี้ยวแก้ว " แห่งเมืองแคนดี ประเทศศรีลังกา เป็นสถานที่ประดิษฐานพระทันตธาตุขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันเป็นพระเขี้ยวแก้วเพียงองค์เดียวที่ปรากฏบนโลกมนุษย์ โดยมีหลักฐานรองรับความถูกต้องตรงตามพระคัมภีร์มหาวังศาว่าด้วยพระทันตธาตุ หลังจากการถวายพระเพลิงพุทธสรีระ ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 4 องค์คือ.....

องค์ขวาบน ประดิษฐานอยู่ที่เจดีย์เกศแก้วจุฬามณี บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์

องค์ขวาล่าง อยู่ที่แคว้นคันธารราษฎร์ อันได้แก่ประเทศปากีสถานในปัจจุบัน ซึ่งได้หายสาบสูญไปแล้ว

องค์ซ้ายล่าง อยู่ที่นาคพิภพบาดาล

และสุดท้ายคือองค์ซ้ายบน ประดิษฐาน ณ เกาะลังกาแห่งนี้

นับตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 9 พระเขี้ยวแก้วได้ประดิษฐานอยู่บนแผ่นดินแห่งนี้มาโดยตลอด มิเคยถูกนำออกนอกดินแดนเลยนับตั้งแต่ถูกอัญเชิญมาจากชมพูทวีปโดยเจ้าหญิงเหมมาลา แห่งแคว้นกาลิงคะเมื่อกว่า 1,700 ปีก่อน ชาวศรีลังกาต่างถวายความเคารพต่อพระทันตธาตุอย่างสูงสุด โดยเชื่อกันว่าหากเมื่อใดพระเขี้ยวแก้วถูกนำออกนอกเกาะลังกาแล้ว ก็จะนำภัยพิบัติมาสู่ประเทศชาติ

และยังเชื่อว่า หากเมื่อใดที่เกิดทุกข์ภัยขึ้น การเปิดอัญเชิญพระเขี้ยวแก้วออกให้ผู้คนสักการบูชา จะสามารถขจัดเภทภัยต่างๆ ได้ โดยจะมีการจัดพิธีสมโภช เปิดอัญเชิญพระเขี้ยวแก้ว ในช่วงราวทุก 4-5 ปี โดยในปีนี้ได้จัดขึ้นเมื่อระหว่างวันที่ 6-16 มีนาคม 2552 ที่ผ่านมา

ทุกวันนี้ ชาวศรีลังกายังคงระลึกถึงเมื่อคราวที่อังกฤษยกทัพเข้ามายึดกรุงศรีวัฒนาปุระแคนดีแห่งนี้เมื่อพ.ศ.2352 ทหารลังกาทุกนายยอมวางอาวุธแต่โดยดี เมื่อทราบว่าอังกฤษสามารถยึดพระเขี้ยวแก้วไว้ได้แล้ว หากมิฉะนั้น การสู้รบก็คงจะยืดเยื้อ ด้วยทหารลังกายังหมายจะต่อสู้โจมตีพวกอังกฤษต่อไปไม่คิดยอมจำนน

หลังจากพวกอังกฤษยึดเอาพระเขี้ยวแก้วไว้ ก็เกิดความแห้งแล้งอย่างหนักติดต่อกันหลายปี เกิดความทุกข์ยากแสนสาหัสทั่วประเทศ ชาวลังกาจึงเจรจากับผู้ปกครองอังกฤษ ขออนุญาตให้มีการนำพระเขี้ยวแก้วมาเปิดบูชาตามประเพณีโบราณ ซึ่งฝ่ายอังกฤษก็ยินยอม

ในระหว่างทำพิธีนั้นเอง ท้องฟ้าที่เคยปราศจากเมฆฝนมาหลายปี ก็บังเกิดฝนเทลงมา สร้างความชุ่มฉ่ำ และอัศจรรย์ใจให้ผู้คนที่พบเห็น แม้กระทั่งพวกอังกฤษก็เช่นกัน  ปาฏิหาริย์ของพระเขี้ยวแก้ว เป็นเรื่องที่ชาวศรีลังกาเล่าขานกันมิรู้เบื่อ

พิธีการเปิดพระเขี้ยวแก้วซึ่งบรรจุอยู่ในเจดีย์ทองคำ และผอบทองคำเจ็ดชั้น ประดิษฐานในห้องกระจกกันกระสุนอย่างแน่นหนา การนำออกมาให้สาธุชนสักการบูชานั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะกุญแจที่ใช้เปิดพระเจดีย์ทองแต่ละชั้นมีถึง 3 ดอก แยกกันถือโดยพระมหาสังฆนายก (เทียบได้กับพระสังฆราช) สยามนิกาย 2 องค์ที่ปกครองฝ่ายคามวาสี และอรัญวาสี

ส่วนกุญแจอีกดอกอยู่กับตัวแทนของฝ่ายฆราวาส อันมาจากการเลือกตั้งจากผู้มีเกียรติ อันเป็นที่ยอมรับของทั้งทางฝ่ายศาสนาและประชาชน มีตำแหน่งเรียกว่า "นิละเม" ซึ่งทั้ง 3 ท่านนี้จะต้องมาโดยพร้อมเพรียงกัน ถึงจะเปิดได้

ระหว่างการเปิด คณะกรรมการจะถอดสายสร้อย สายสังวาล เครื่องเพชร เครื่องทองต่างๆ ซึ่งเป็นสมบัติล้ำค่ามหาศาลที่ชาวพุทธศรีลังกาตั้งแต่พระมหากษัตริย์ในอดีตจนถึงชาวบ้านปัจจุบัน ได้ถอดคล้องถวายเป็นพุทธบูชาจำนวนมากมาย จนต้องทำบัญชีบันทึกไว้ทุกชิ้นในทุกครั้งที่ทำการเปิดพระเขี้ยวแก้ว


การเปิดพระเขี้ยวแก้ว จะเริ่มจากพระเจดีย์ทององค์ใหญ่ชั้นนอกสุดเข้าไปหาพระเจดีย์ทองที่ลดหลั่นเล็กลงไปอีก 4 ชั้น ชั้นในจะพบผอบหิน และผอบทองคำฝังอัญมณี และเมื่อเปิดออก ก็จะเป็นกลักทองประดับเพชรพลอยล้ำค่า ซึ่งเป็นที่บรรจุพระทันตธาตุชั้นในสุด

พระเขี้ยวแก้ว จะถูกอัญเชิญนำออกมาประดิษฐานสอดในห่วงเส้นทองคำปักบนฐาน อัญเชิญไว้ในเจดีย์แก้วขนาดใหญ่ เพื่อให้สาธุชนเห็นได้ชัดเจนระยะไม่กี่เมตร  ท่ามกลางการแห่ประโคมของช่างฟ้อน ช่างดนตรี เสียงปี่กลองมังคละดังกระหึ่ม ขับความชั่วร้ายทั้งปวงให้ออกไปจากมณฑลพิธี ภาพชาวศรีลังกาที่แออัดกันเพื่อที่จะขอมีโอกาสสักครั้งในชีวิต ได้กราบนมัสการพระเขี้ยวแก้ว หลั่งไหลกันมาราวกับสายน้ำ  จำนวนผู้คนนับแสนที่ต่อแถวกันด้วยอาการสงบ ยาวออกไปนอกวัด นับหลายกิโลเมตร ต่างคนมาจากต่างเมือง มาเป็นครอบครัวเดียวกัน ด้วยศรัทธาอันแรงกล้า เพื่อที่จะขอสักครั้งเข้าไปกราบนมัสการพระทันตธาตุ มิพักที่จะต่อแถวตั้งแต่ตีสี่ตีห้า กว่าจะได้เข้าไปกราบเพียงไม่กี่อึดใจตอนประมาณบ่ายสามโมงเย็น แล้วเดินยิ้มหน้าใสออกมา เพียงเพื่อจะมาต่อแถวใหม่อีกครั้ง

พระทันตธาตุ สัณฐานคล้ายดอกจำปีตูมปลายสอบ สีเหลืองอมส้ม ตรงปลายสอบเล็กน้อย มีขนาดใหญ่กว่าฟันมนุษย์ธรรมดา

พระเขี้ยวแก้วนี้ย่อมเป็นของแท้จริงอย่างแน่นอน แท้จริงด้วยพระคัมภีร์โบราณที่มีการสืบทอดมานานนับพันปี แท้จริงด้วยความศรัทธาอันแรงกล้าของชาวพุทธลังกาผู้ปราศจากวิกิจฉาลังเลสงสัยในพระรัตนตรัย แท้จริงด้วยจิตใจอันงดงามบริสุทธิ์ อันยึดเอาคุณพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ เพ่งรวมกันเป็นพลังแรงกล้าซึมซ่านอาบอวลทุกอณูอากาศทั่วบริเวณเขตแดนอันศักดิ์สิทธิ์นี้ .......
[/b]