ผู้เขียน หัวข้อ: เมตตาเป็นเหตุ กรุณาเป็นผล (สมเด็จพระญาณสังวรฯ)  (อ่าน 1377 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ NONGEAR44

  • นวมะ
  • ****
  • กระทู้: 669
  • เพศ: ชาย
    • MSN Messenger - en2005f@hotmail.com
    • ดูรายละเอียด
                                                       เมตตาเป็นเหตุ กรุณาเป็นผล (สมเด็จพระญาณสังวรฯ)

“โลโก ปตฺถมฺภิกา เมตฺตา - เมตตาเป็นเครื่องค้ำจุนโลก”

พระพุทธศาสนสุภาษิตบทนี้ให้ความรู้สึกชัดเจนว่า เมตตายิ่งใหญ่นัก แม้เมตตาไม่ยิ่งใหญ่จะเป็นเครื่องค้ำจุนโลกได้อย่างไรเล่า  เพราะโลกนั้นมิใช่เล็ก มิใช่ยิ่งใหญ่ธรรมดา แต่ยิ่งใหญ่เป็นพิเศษที่เดียว ดังนั้นสิ่งที่ค้ำจุนโลกได้จึงต้องมีความยิ่งใหญ่เป็นพิเศษมิได้น้อยกว่า ความยิ่งใหญ่ของโลก และสิ่งนั้นคือเมตตา เมตตาจึงยิ่งใหญ่ที่สุด สำคัญที่สุด ควรเป็นที่ได้รับความเทิดทูนถนอมรักษาเหนือสิ่งอื่นใดทั้งนั้น

โลกคือทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งมนุษย์ ทั้งสัตว์ ทั้งบุคคล ทั้งสิ่งของ ทั้งตัวเรา ทั้งตัวเขา กล่าวได้ว่าอะไรทั้งนั้นที่มีอยู่ เห็นได้อยู่ ล้วนเป็นโลก ตัวเขาก็คือโลก ตัวเราก็คือโลก ทั้งหมดทั้งสิ้นคือโลก ควรจะอัศจรรย์นักที่สิ่งเหล่านี้ทรงตัวอยู่ได้ ไม่สูญสลายไป ก็เพราะมีเครื่องค้ำจุน ที่คิดเพียงผิวเผินแล้วเป็นสิ่งเล็กน้อยนักคือความเมตตา

เมตตาเป็นเครื่องค้ำจุนโลก เมตตาใหญ่ยิ่งนักจริงๆ สำคัญนักจริงๆ  เมตตาคือความปรารถนาดีปรารถนาให้เป็นสุข คำที่คู่กับเมตตาคือกรุณา กรุณาที่เป็นความลงมือทำอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อให้เกิดความพ้นจากทุกข์ ได้เป็นสุข พูดไปแล้วเมตตากับกรุณาแยกกันไม่ได้ เหมือนเป็นคำเดียวกัน เพียงแต่ว่าเมตตาเป็นเหตุและกรุณาเป็นผล เมื่อมีเหตุต้องมีผล เป็นธรรมดาเสมอไป เช่นที่พูดกันเสมอว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว  ดังที่ปรากฏเป็นสัจธรรมในพระพุทธศาสนา

: สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
: พระชนมายุ ๘๗ พรรษา วันที่ ๓ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๔๓
  
  ขอบคุณที่มา เว็บบอร์ด dhammajak
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16 ต.ค. 2553, 09:28:47 โดย NONGEAR44 »