ตถตาอาศรม บ้านบึง ชลบุรี
๘ กุม๓าพันธ์ ๒๕๕๔
กางกรดพำนักอยู่ในกระท่อมร้างบนภูเขา สมาทานงดฉันอาหารตั้งแต่วันแรกที่ปักกรด
ไม่มีกำหนดเวลาที่แน่นอน ขึ้นอยู่กับสภาพของร่างกาย ให้เวลาแก่การเจริญสติภาวนาเป็นหลัก
อาศัยน้ำปานะกาแฟและโอวัลตินบำบัดทุกขเวทนาในยามหิวกระหาย รอเวลาที่จิตจะทรงไว้ใน
อารมณ์ปิติได้ตลอดเวลา เพราะว่าเมื่อจิตเข้าสู่อารมณ์สมาธิและทรงปิติไว้ได้นั้น ทุกขเวทนา
ความหิวกระหายก็จะหมดไป แต่ตลอดเวลาสิบกว่าวันที่ผ่านมานั้น ไม่สามารถที่จะทรงอารมณ์
ไว้ได้ตลอดเวลาเพราะว่ามีผัสสะสิ่งรบกวนในตอนกลางวันอยู่ตลอด เช่นมีญาติโยมมาเยี่ยมเยือน
ข้นเอาน้ำปานะมาถวายมาพูดคุยด้วยหรือการก่อสร้างกุฏิกัมมัฏฐานที่กำลังดำเนินการอยู่นั้น ต้องขึ้นไป
ดูแลสั่งงาน ควบคุมแบบแปลน จะมีเวลาเป็นส่วนตัวก็เฉพาะตอนกลางคืนจนถึงรุ่งสว่างเพราะไม่มีใคร
ขึ้นมารบกวน จึงมีเวลาปฏิบัติเจริญภาวนาได้เต็มที่
ตอนกลางวันจึงใช้การเจริญสติและเจริญสัมปชัญญะ ให้มีความรู้ตัวทั่วพร้อมและระลึกรู้อยู่ตลอด
ใช้ขันติข่มเวทนาคือความหิวกระหายในตอนกลางวัน ส่วนกลางคืนนั้นใช้สมาธิเป็นตัวข่มทุกขเวทนา
ความหิวกระหายทั้งหลายที่เกิดขึ้น บนภูเขาสูงสงบแต่ไม่สงัดเพราะยังได้ยินเสียงยวดยานพาหนะ
จากถนนด้านล่างที่สะท้อนดังขึ้นมา จึงต้องใช้เวลาในการปรับตัวปรับจิตให้เกิดความเคยชินกับเสียงนั้น
ซึ่งคงจะใช้เวลาไม่นานก็จะชินไปเอง
พิจารณาทำความรู้ความเข้าใจในทุกสรรพสิ่ง ในความเป็นจริงของชีวิต คิดทุกอย่างเข้าหาหลักธรรม
ให้เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ประสพพบเห็นนั้น...มันเป็นเช่นนั้นเอง...เมื่อเข้าใจทุกอย่างก็จบ มันมีคำตอบอยู่
ในตัวของมันเอง ไม่ต้องไปสงสัย ไม่ต้องไปกังวล ไม่ต้องไปค้นหา เพราะว่า...ตถตา มันเป็นเช่นนั้นของมันเอง...
นี่คือที่มาของชื่ออาศรม...ตถตาอาศรม...เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมันเป็นเช่นนั้นเอง...
ด้วยความปรารถนาดีและไมตรีจิตแด่มวลมิตรทุกผู้คน
รวี สัจจะ-สมณะไร้นาม-วจีพเนจร
๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ เวลา ๐๗.๒๒ น. ณ ตถตาอาศรม บ้านบึง ชลบุรี