เอาละ
.ขยับโยกไปข้างหลังอีกหน่อย ตรวจสอบก้นกบ และโครงสร้างของเรา ต้องทำอย่างจริงจังและจับจ้องต่อมัน แล้วก็กลับมาอยู่ในท่าตรง ขยับหัวไหล่ แล้วแอ่นอกไปข้างหน้า แอ่นอกไปข้างหลัง จากนั้นตรวจสอบดูให้พร้อมว่า กระดูกส่วนใดมีความผิดปกติบ้าง บิดคอจากซ้ายไปขวา ขวาก็ไปซ้าย แล้วมองตรง เงยคอและหน้าขึ้นมองเพดาน และก็กลับมามองตรงเฉพาะหน้า สายตาทอดลงต่ำ
..
เมื่อเราได้โครงสร้างที่เหมาะสมแล้ว เราก็ค่อยๆเริ่มหรี่เปลือกตาลงน้อยๆ ด้วยความสุขุมนุ่มนวล และสุภาพอ่อนโยน ไม่ใช่หลับจนเกร็งเปลือกตา จนหลับปี๋ จะกลายเป็นความถมึงทึง เครียด
เสร็จเรียบร้อยแล้วก็ค่อยๆสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ช้าๆให้เต็มปอด ลึกสุดหยั่งเต็มที่ พร้อมตามดูลมไป จนกระทั่งมันพลุ่งพล่านอยู่ภายใน เปรียบประดุจดังน้ำที่เทเข้าขวด จนเต็มแน่นอัด ในขณะที่มันกำลังเต็ม ก็เกิดฟองคลื่น แล้วก็ล้นไหลนองออกมาจากขวด เราต้องปิดฝาขวดไว้สักพัก คือ กักลมทิ้งไว้ อย่าเพิ่งผ่อนลมออก นับในใจว่า 1,2,3,4,5,6 แล้วก็เปิดฝาขวดค่อยๆรินน้ำออก คือ ผ่อนลมออกอย่างแผ่วเบา สุภาพ ผ่อนคลาย และหมดจด แล้วพักไว้สักนิด หยุดกลืนน้ำลายลงคอหนึ่งครั้ง แล้วค่อยๆสูดเข้าไปใหม่อย่างสุขุมคัมภีรภาพ เบิกบาน เต็มสมบูรณ์ สูดให้เต็มปอด จนกระทั่งลมมันยกหน้าอกขึ้น แล้วก็กักลมทิ้งไว้ พร้อมกับนับใหม่
.
เราอาจจะนับไม่ถึง 6 ก็ได้ หรือไม่นับก็ได้ เพื่อให้ลมมันได้พุ่งพล่านไปในกาย ปลุกเส้นประสาททั้งหลายให้ตื่นตัว เมื่อมันตื่นหมด จนคิดว่าทนไม่ไหวแล้ว ค่อยๆผ่อนออก พยายามอย่าไปกลั้นลม จนเราทนไม่ไหว ตรงนี้มันจะทำให้เหนื่อย ที่จริงไม่ต้องใช้คำว่า ทนไม่ไหว แต่ว่ามันเหลือกลั้น ก็ผ่อนออก ผ่อนด้วยความนิ่มนวล ผ่อนคลาย ผ่อนของเสียที่มีอยู่ในกายออกมา ดูดของดีเข้าไปใหม่ เพื่อปรุงชีวิตอินทรีย์ขึ้นใหม่ แล้วก็ขับของเสียออกมา ผ่อนออกแล้วต้องทิ้งไว้นิดหนึ่ง แล้วจึงจะสูดเข้าไปใหม่ เพราะถ้าสูดเข้าไปเลย มันจะทำให้เหนื่อย
..
การผ่อนลม จะผ่อนออกทางปากก็ได้ ไม่จำเป็นต้องผ่อนทางจมูกเสมอไป ไม่มีข้อห้ามว่าจะต้องออกทางจมูกเท่านั้น สูดเข้าทางจมูกและผ่อนออกทางปากก็ได้ เหมือนกับอักษร จ แต่เขียนหางตัว จก่อน แล้วมาจบที่หัว หรือจะสูดเข้าทางปากแล้วออกทางจมูกก็ได้ เหมือนอักษร จที่เขียนตามปกติ เสร็จแล้วลองสำรวจดูอารมณ์ว่า สงบไหม
..สงบ
.ทรงความสงบนั้นไว้ก่อน อย่าเพิ่งปล่อยให้เราแยกแตกออกจากกันกับความสงบนั้น จงรักษาความสงบนั้นต่อไป ขั้นแรกของวิชาลม 7 ฐาน เอาแค่นี้ก่อน อาจยังเรียกไม่ได้ว่าขั้นแรก แต่อาจบอกได้ว่า เป็นพื้นฐานของวิชา ลม 7 ฐาน พอได้ ช่วงนี้ขอเพียงพวกเรารู้จักถึงกลิ่นอาย รสชาติ ที่แท้จริงของสติ สงบ เท่านี้ก่อน เพียงแค่นี้ มันก็ทำให้เรารู้สึกดื่มด่ำ ชุ่มฉ่ำ แช่มชื่น และมีสันติสุข พอที่จะเป็นฐาน เป็นพลัง ให้เราได้ทำ พูด คิด อย่างสมบูรณ์ ถูกต้องแล้ว
.
เข้าใจวิธีแล้วใช่ไหม เพราะฉะนั้น วิธีนี้คือวิธีที่เรียกว่า ศิลปะในการหายใจ เพื่อความผ่อนคลาย การที่เรากักลมทิ้งไว้ ลมที่กัก มันจะทำให้หัวใจเราเต้นแรง หลอดเลือดจะขยาย โลหิตจะไหลเวียนได้มากยิ่งขึ้น ใครที่เป็นโรคเส้นโลหิตอุดตัน เป็นโรคความดัน หรือเป็นโรคปลายประสาทฝ่อ จะแก้และรักษาได้ด้วยวิธีนี้
..
ฝึกใหม่ๆ แค่ 5 ครั้ง ก็น่าจะพอแล้ว ถ้า 10 ครั้ง มันจะเหนื่อยเกินไป แล้วค่อยๆเพิ่มปริมาณขึ้นเรื่อยๆ จะต้องทำติดต่อกันจนเป็นปกติของชีวิตเรา นี่เป็นวิธีการที่จะทำให้เราตั้งมั่นอยู่ได้ในทุกอิริยาบถ ถ้าหากเราฝึกจนถึงขั้นที่จะรู้เท่าทัน จตุธาตุวัฏฐาน หรือความเป็นไปของธาตุทั้ง 4 ภายในกาย เราก็สามารถจะควบคุมกายนี้ได้ เป็นนายกายนี้ถูก สมองทุกห้องของเรา จะใช้มันอย่างสมบูรณ์ ประสาททุกส่วนในตัวเรา จะได้รับการปลุกให้ตื่นได้ทุกเวลา ถ้าเราอยากตื่น
.
จริงๆแล้ว การหายใจ ไม่ควรที่จะต้องสูดลมหายใจแรงๆ เพราะจะทำให้เราเหนื่อย แถมจะทำให้ปอดขยายเร็วเกินไป ในกรณีของคนที่ปอดไม่แข็งแรง
หลวงปู่เคยแนะนำวิธีหายใจอย่างนี้ กับคนที่มีปอดเหลือครึ่งเดียว เขาเป็นคนขับรถแท็กซี่ รถที่ขับเป็นรถที่ใช้แก๊ส เขานั่งดมแก๊สที่มันรั่วเข้าไปในรถ โดยที่ไม่รู้ตัวมา 7 ปีเต็มๆ จนในที่สุด ปอดเขาเหลืออยู่ครึ่งหนึ่งเท่านั้น ปกติปอดมี 2 ข้าง แต่เขาโดนมะเร็งทำลายปอด จนเยื่อหุ้มปอดเป็นขุย ปอด 2 ข้างนี้เหลือแค่ครึ่งหนึ่ง เพราะฉะนั้นเวลาเขาหายใจ ก็จะหายใจสั้นๆ จนในที่สุดเขาก็ทนไม่ไหว เมียเขาไปขอร้อง อ้อนวอนคุณหมอให้ช่วย เพราะว่าลูกเขายังเรียนไม่จบ คุณหมอก็พามาหาหลวงปู่ให้ช่วย
..
หลวงปู่ช่วยรักษาเขา โดยการสอนให้เขาเดินลมแบบนี้ล่ะ แต่ใช้ศิลปะเทคนิค ที่ไม่ต้องสูดลมเข้าให้เต็มปอด มันเหมือนปาฏิหาริย์นะ เพราะเยื่อหุ้มปอดที่เป็นขุย ที่ขังลมไม่ได้ กักลมไม่อยู่ มันกลายเป็นพังผืดที่เต็มแน่นสนิทเหมือนกับของเดิม มันไม่อาจจะงอกมาตลอดทั้ง 2 ข้างได้ แต่ที่คงไว้ ที่มีอยู่นั้น กลายเป็นปกติ เขาสามารถเอาชนะมันได้ หมอผู้เชี่ยวชาญโรคมะเร็ง เลยกลายเป็นลูกศิษย์หลวงปู่โดยปริยาย เพราะหมอเป็นคนพามา เขาเชื่อเรื่องวิธีการอย่างนี้
..
ตามหลักวิชาวิทยาศาสตร์และวิทยาศาสตร์การแพทย์บอกว่าคนที่หายใจช้าและสม่ำเสมอ คือ คนที่มีชีวิตยืนยาวและมีพลังมากที่สุด เพราะฉะนั้นหลวงปู่ไม่ได้หวังว่า เราจะหายใจได้ตามหลวงปู่ถึง 36 หรือ 22 หรือ 23 ต่อวินาที อะไรนั่นไม่ใช่ แต่หลวงปู่หวังว่า มันจะทำให้เราตื่นได้ทุกเวลา ที่เราต้องการตื่น ช่วงปฏิบัติใหม่ๆ เราอาจจะทำได้สัก 15 , 7 ,3 , 2 แต่อย่าถึงขนาด 1 เลยนะ
.
ที่มา
http://www.buddha-dhamma.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=334451&Ntype=4