ขอยกตัวอย่างนะครับ
นายก.ไก่ ใช้เวลาใน 1 วัน 24 ชั่วโมง , โดยนั่งภาวนา 5 ชั่วโมง ,นอนหลับ 8 ชั่วโมง, แล้วปล่อยให้เวลาที่เหลือ 9 ชั่วโมง ขุ่นมัวด้วยเรื่องต่างๆ ไม่มีสติรู้เท่าทัน ปล่อยใจให้ตามกิเลส ไม่ระลึกรู้เท่าทัน พอมานั่งภาวนาใหม่ จิตของนายก.ไก่จะสงบได้ยาก ต้องใช้เวลาปรับใจนาน
นายข.ไข่ ใช้เวลา 1 วัน 24 ชั่วโมงเช่นกัน โดยนั่งภาวนาเพียง 40 นาที นอนหลับ 8 ชั่วโมงเท่ากัน แล้วใช้เวลาที่เหลือ 15 ชั่วโมง 20 นาที ในการมีสติรู้เท่าทันเท่าที่ทำได้ พอนานข.ไข่ มานั่งภาวนาในวันใหม่ จิตของนายข.ไข่ จะสงบและมีปัญญาได้ง่ายกว่านายก.ไก่
ส่วนนายค.ควาย ใช้เวลา 1 วัน 24 ชั่วโมง โดยนั่งภาวนาตอนเช้า 2 ชั่วโมง ก่อนนอน 2 ชั่วโมง ใช้เวลานอนหลับเท่ากัน 8 ชั่วโมง ใช้เวลาที่เหลืออีก 12 ชั่วโมง อย่างมีสติ รู้เท่าทันกับอารมณ์ที่เกิดขึ้น จิตของนายค.ควาย จะสงบ เกิดปัญญาได้มากกว่านายก.ไก่ และนายข.ไข่
ทั้งนี้ขอสรุปว่า จิตจะมีปัญญาได้นั้น หนึ่งเกิดจากเวลาในการนั่งภาวนานั่นคือสมถและวิปัสนากรรมฐาน สองเกิดจากใช้สติระลึกรู้ทุกอารมณ์ในทุกขณะจิตที่เกิดดับ เกิดดับ รู้เท่าทันอารมณ์อย่างมีสติตลอดเวลา นี่คือการรักษาใจ เพื่อเป็นภาชนะรองรับอารมณ์ในการทำกรรมฐานครับ
ดังนั้นการนั่งภาวนา กับ การใช้สติเฝ้าดูจิตทุกอารมณ์ สำคัญคู่กัน แยกกันไม่ได้ครับ