แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - puntanaruk

หน้า: [1]
1
แจ้งสมาชิกด้วยการCopyบทความนำมาโพส ควรกล่าวขอบคุณและให้เครดิตแหล่งที่มาด้วย

เพราะว่าเป็นการให้เกียรติแก่เจ้าของบทความและเ็ป็นมารยาทที่ดีในโลกอินเตอร์เนต

                                                                                                         ทีมงานผู้ดูแลบอร์ด


ประวัติ ครูบาติ๊บ อุบาลี
อดีตเจ้าอาวาสวัดหัวฝาย


เจ้าอาจารย์ติ๊บ อุบาลี  เป็นคำที่ชาวบ้านตลอดทั้งศิษยานุศิษย์เรียกกัน ท่านเป็นพระสุปฏิปันโนรูปหนึ่ง ที่ได้พบเห็นมา ท่านเป็นพระที่มักน้อย
สันโดษที่แท้จริง ท่านไม่มีความทะเยอทะยานในเรื่องลาภ ยศ สรรเสริญใดๆ ทั้งสิ้น เป็นพระที่เคร่งครัดในพระธรรมวินัยอย่างมาก เปรี่ยมด้วย
เมตตาบารมี

    พระอาจารย์ติ๊บ อุบาลี นามเดิมติ๊บ  นามสกุล มณีอุด  นามฉายา อุบาลี เกิด พ.ศ.๒๔๔๐ ณ บ้านผาปัง ตำบลผาปัง อำเภอเถิน (ขณะนี้เป็น
อำเภอแม่พริก) จังหวัดลำปาง บิดาชื่อปั๋น มารดาชื่อหน่อแก้ว มณีอุด มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน  ๕   คน  เป็นหญิง ๒ ชาย ๓   คือ  
๑.นางจันทร์    
๒.นางดิบ  อุประวรรณา
๓.นายยา มณีอุด
๔. พระอาจารย์ติ๊บ อุบาลี    
๕.นายใจมา มณีอุด


      บิดา มารดาของพระอาจารย์ติ๊บ  อุบาลี ได้ถึงแก่กรรมตั้งแต่ท่านอายุยังไม่ถึง ๑๐ ขวบ ท่านได้อาศัยอยู่กับนางดิบ ผู้เป็นพี่สาว นับว่าท่าน
เป็นกำพร้าตั้งแต่เยาว์วัย ท่านเป็นคนว่านอนสอนง่ายไม่เคยทะเลาะเบาะแว้งกับใครเป็นเกรงใจคนอื่นและเป็นคนเสงี่ยมเจียมตนเสมอ พอ
อายุย่าง ๑๔ ปี พี่ก็นำไปฝากให้เป็นศิษย์วัด เพื่อเรียนหนังสือแบบล้านนา ณ วัดบ้านผาปังหลวง ซึ่งเป็นวัดในหมู่บ้าน  พระอาจารย์ติ๊บ อุบาลี
ท่านเป็นคนมีเมตตามาตั้งแต่เด็ก ๆ สมัยเมื่อท่านเป็นศิษย์วัด ได้มีศิษย์วัดด้วยกันชวนท่านไปจับนกตะขาบโดยใช้กับดัก ท่านก็ไปด้วยความ
ไม่อยากจะขัดใจเพื่อน ท่านก็ไปเมื่อจับนกตะขาบได้เพื่อนๆ ก็ให้ท่านเป็นผู้ถือเพราะท่านไม่ค่อยจะร่วมทำกิจกรรมอื่นๆ เมื่อท่านถือนก
ก็เกิดความสงสารจึงแอบปล่อยนกไปหมด แล้วบอกเพื่อนๆ ว่านกหลุดมือไป เพื่อนๆ ชวนท่านไปจับปลาท่านก็แอบปล่อย  จนเพื่อนๆไม่ชวน
ท่านไปอีกเลย  ต่อมาเมื่อท่านเรียนสวดมนต์ได้คล่องแล้วก็ได้บรรพชาเป็นสามเณรที่วัดบ้านผาปังหลวงนั่นเอง โดยมีพระคำมูลเป็นเจ้าอาวาส
พอวันแรกที่ท่านเป็นสามเณรท่านก็เริ่มฉันอาหารมื้อเดียว ไม่นานท่านก็ได้ไปเรียนหนังสือไทยภาคกลางและเรียนนักธรรมที่วัด ท่านางอำเภอเถิน
ตามประเพณีท้องถิ่นของอำเภอเถินพอมีสามเณรมาเรียนนักธรรมจะมีพ่อแม่อุปถัมภ์(เรียกว่าพ่อออกแม่ออก)จะนำอาหารมาส่งให้ทั้งตอน เช้าและ
ตอนกลางวันสามเณรรูปอื่นเขามีโยมอุปถากกันหมด พระอาจารย์ติ๊บมีพ่อแม่อุปถัมภ์ช้ากว่าเขาเนื่องจาก บุคลิกที่ไม่ค่อยพูดประกอบกับหน้าตา
ไม่หล่อเหลาเหมือนคนอื่นเขาในที่สุดท่านก็ได้พ่อหนานป้อง แม่มา (ไม่ทราบนามสกุล)เป็นผู้อุปถัมภ์ มีเรื่องเล่าว่าพ่อหนานป้อง แม่มา เกิดความ-
สงสัยว่า อาหารมื้อกลางวันที่ส่งให้พระอาจารย์ติ๊บ ไม่พร่องเลยคล้ายกับไม่ฉันหลายวันติดต่อกัน พ่อหนานป้องจึงถามดู ด้ความว่าพระอาจารย์ติ๊บ
ฉันอาหารมื้อเดียว และเลือกแต่อาหารผักเท่านั้น เกิดความปลื้มปิติยินดีแก่พ่อแม่อุปถัมภ์เป็นอย่างมากถึงกับเที่ยวอวดใครต่อใครว่าสามเณร
เหลือเดนที่พ่อหนานป้องรับอุปถาก นั้นเป็นเพชรในตม ที่คนอื่นมองไม่เห็น พ่อหนานป้องแม่มาจึงภูมิใจและเพิ่มความเอาใจใส่มากยิ่งขึ้น
เป็นพิเศษ พออยู่มา ๒ ปี ท่านก็เริ่มฉันอาหารเจ และออกปฏิบัติธรรมในที่ต่างๆ นับว่าท่านสร้างสมบารมีมามากท่านจึงทำได้ถึงเพียงนี้เพราะ
สมัยนั้นท่านไม่มีแบบอย่างที่ไหนมาก่อนเลย





พออายุครบ๒๑ปี ท่านก็อุปสมบท ณ วัดผาปังหลวง พอจำพรรษาอยู่ที่วัดผาปังหลวงได้ไม่นาน ท่านก็เดินทางไปเรียนมูลกัจจาย์สามัญญภิธาน-
สนธิ กับครูบาหมีที่วัดเมืองหม้อ อำเภอสูงเม่น จังหวัดแพร่ อยู่หลายพรรษาจนจบแล้วสามารถแปลบาลีได้ ท่านเคยจาริกติดตามครูบาเจ้าศรีวิชัย
หลายปี ท่านก็แยกตัวออกมาจาริกไปจำพรรษาอยู่วัดพระนอนม่อนช้าง อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน ได้ ๕ พรรษา แล้วจึงกลับมาวัดผาปังบ้านเดิม


            ปีพ.ศ.๒๔๗๔ ชาวบ้านผาปังประมาณ ๒๐ ครอบครัว ได้พากันอพยพมาอยู่บ้านหัวฝาย ตำบลนาทุ่ง อำเภอสวรรคโลก(สมัยนั้นยังไม่แยก
เป็นอำเภอทุ่งเสลี่ยม) จังหวัดสุโขทัย ตามบรรดาชาวบ้านที่อพยบมาก่อนหน้านี้ ๕-๖ ปี  ในจำนวนผู้อพยบมีนางดิบพี่สาวของท่านด้วย ท่านก็ได้
อพยบมาพร้อมกับพี่สาว มาอยู่บ้านหัวฝายในปัจจุบัน สมัยนั้นบ้านหัวฝายยังเป็นป่าดงดิบเต็มไปด้วยสัตว์ร้ายนานาชนิด ชาวบ้านก็ช่วยกันถางป่า
บนเนินเขาเล็กๆใกล้ๆหมู่บ้านเป็นที่ จำวัตรและเป็นที่ปฏิบัติของท่าน จนมาเป็นวัดหัวฝายในปัจจุบัน ท่านก็ได้เป็นเจ้าอาวาสวัดหัวฝายเป็นรูปแรก
สมัยนั้นในระแวกนี้ไม่มีอุปัชฌาย์กุลบุตร ที่มีความประสงค์จะบรรพชาอุปสมบทต้องไปที่อำเภอสวรรคโลก ระยะทางไกลประกอบอันตรายต่างๆนาๆ
เจ้าคุณสังวรสังฆปรินายก ซึ่งเป็นเจ้าคณะ จังหวัดสุโขทัยสมัยแต่งตั้งท่านเป็นอุปัชฌาย์ พอท่านทราบข่าว(ตอนนั้นท่านมีพรรษา ๑๒ พรรษา)
ท่านกลัวจะเป็นการผูกมัดด้วยยศตำแหน่งท่านจึงลาสิกขา ๗ วัน โดยนุ่งขาวห่มขาวถือศีลแปดอยู่ในวัด และก็อุปสมบทใหม่ เพื่อ
ให้พรรษาต่ำลงจนไม่สามารถเป็นอุปัชฌาย์ได้ ท่านเป็นพระที่ไม่ชอบอยู่กับที่ท่านมักจะหาที่สงบอยู่เสมอเช่นในถ้ำเช่นถ้ำแม่กะสา ถ้ำเชิงผา
และหลายๆที่ ท่านเป็นที่เคารพนับถือของชาวบ้านเป็นจำนวนมากสมัยนั้นมีญาติโยมหลายที่นิมนต์ท่านไปเป็นประธานสร้างวัดทั้งใกล้ทั้งไกลพอที่
จะเรียบเรียงได้มีดังนี้

๑. กุฏิ วิหารวัดสันหล่อ อำเภอแม่ละมาด
๒. เจดีย์ วัดผาปัง อำเภอแม่พริก
๓.เจดีย์ ถ้ำแม่กะสา อำเภอแม่สอด
๔.หอประชุม อุบาลีอุปถัมภ์ โรงเรียนบ้าหัวฝาย

แล้วก็มีวัดที่ญาติโยมนิมนต์ท่านเป็นประธานก่อตั้งวัดมีดังนี้

 ๑.วัดสังฆทน(แม่ทุเลา)          อำเภอทุ่งเสลี่ยม
 ๒.วัดคลองสำราญ                  อำเภอทุ่งเสลี่ยม
๓.วัดท่วิเศษ                           อำเภอทุ่งเสลี่ยม
๔.วัดเชิงผา                           อำเภอทุ่งเสลี่ยม
๕.วัดต้นธงชัย                        อำเภอทุ่งเสลี่ยม
๖.วัดชัยอุดม                          อำเภอทุ่งเสลี่ยม
๗.วัดเขาแก้วชัยมงคล            อำเภอทุ่งเสลี่ยม
๘.วัดม่อนศรีสมบุรณาราม      อำเภอทุ่งเสลี่ยม
๙.วัดฝั่งหมิ่น                         อำเภอทุ่งเสลี่ยม
๑๐.วัดวังธาร                         อำเภอทุ่งเสลี่ยม
๑๑.วัดห้วยขี้นก                     อำเภอแม่พริก
๑๒.วัดป่าคา                         อำเภอศรีสัชชนาลัย



*** ประวัติการสร้างวัตถุมงคลและเครื่องรางของขลังท่านครูบาติ๊บ พอสังเขป ดังนี้ ผมขอวิเคราะห์เกี่ยวกับการเรียนเวทย์มนต์คาถาของครูบาติ๊บ อุบาลี *** ผมคิดว่าครูบาติ๊บ คงจะใฝ่เรียนใฝ่รู้เกี่ยวกับคาถาอาคมตั้งแต่เป็นสามเณรแล้ว และคงจะเรียนคาถาอาคมจากพระเกจิอาจารย์ที่อำเภอเถิน เพราะว่าในสมัยนั้นแถบอำเภอเถิน อำเภอแม่พริกอุดมไปด้วยพระเกจิอาจารย์ชั้นเยี่ยมยอดหลายรูป นอกจากเรียนวิชาอาคมแล้ว ยังสักยันต์ต่างๆที่ลำตัวด้วย ต่อมาเมื่อครูบาติ๊บ มีความศรัทธาครูบาศรีวิไชยเพราะได้ยินกิตติศัพท์ของครูบาศรีวิไชย จึงได้ดั้นด้นไปหาและอยู่ปรนนิบัติรับใช้ครูบาศรีวิไชยตลอดมา และครูบาศรีวิไชยคงจะทราบด้วยญาณว่าครูบาติ๊บเป็นพระระดับไหน จึงทำให้ครูบาถึงกับเอ่ยว่า ครูบาติ๊บจะเสมอท่านแต่ติดตรงที่ ครูบาศรีวิไชยชี้ไปที่ลำตัวครูบาติ๊บที่สักยันต์เต็มตัวไปหมด **** ครูบาติ๊บหรือครูทิพย์ ได้สร้างวัตถุมงคลเครื่องรางของขลังตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 คือปี พ.ศ.2485 แล้ว ผมได้ย้ายไปเป็นครูที่โรงเรียนบ้านผาปังกลาง บ้านเกิดของครูบาติ๊บ ได้สืบค้นคว้าเกี่ยวกับประวัติครูบาติ๊บจากคนรุ่นที่ทันครูบาติ๊บ ได้ไปพบมัคทายกวัดผาปังท่านหนึ่งชื่อลุงเฮียน บ้านของแกอยู่หน้าโรงเรียนพอดี ยามว่างก็ไปนั่งคุยกับแก แกเล่าว่าเมื่อก่อน สมัยที่ครูบาติ๊บจำพรรษาอยู่ที่ผาปัง ครูบาติ๊บได้ทำผ้ายันต์ขึ้นผืนหนึ่ง แล้วให้ลุงเฮียนนำไปลอง ปรากฏว่า ดัง ลุงเฮียนก็ไปบอกว่า ดัง เละไปด้วยลูกปืนแก๊ปไปหมด ครูบาไม่ว่าอะไร คราวนี้ทำอีกผืนหนึ่งใช้ยันต์แผงใหม่ ให้ลุงเฮียนไปลองอีก คราวนี้ไม่ดังแม้แต่นัดเดียว ครูบาติ๊บพูดขึ้นว่า เพ้ก่อนก่า (ภาษาเหนือ) ลุงเฮียนเล่าว่าครูบาติ๊บทำเครื่องรางของขลังทุกอย่าง เช่น ตะกรุดชนิดต่างๆ ผ้ายันต์แบบต่างๆ เสื้อยันต์แบบต่างๆ ผมไปอยู่มา 5 ปี ได้ตะกรุด ผ้ายันต์ เหรียญรุ่น 1 รูปถ่ายขาวดำ เทียนชัยลงอักขระห่อกระดายฟอยไว้ เกษาได้จากนักเรียนเอามาจากพ่อ พ่อของนักเรียนคนนี้เป็นช่างตัดผมให้ครูบาติ๊บประจำครูบามอบให้ ครูบาติ๊บได้ทำเครื่องรางของขลังไว้แจกจ่ายชาวบ้านผาปังป้องกันอันตรายครั้งเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ปี พ.ศ.2485 ครูบาอายุราวๆ 45 ปี นับได้ว่าเก่งคาถาอาคมมาตั้งแต่อายุยังน้อย พอครูบาอพยพไปอยู่ที่บ้านหัวฝาย ก็ได้สร้างเหรียญขึ้นมา 2 รุ่น ในปี 2511- 2513 พอมาปี 2514 ก็ไปออกที่วัดผาปังกลางอีก 1 รุ่น คราวบูรณะวัดผาปังกลาง คงจะได้แนวคิดมาจากวัดหัวฝาย ชาวบ้านผาปังเขาหวงแหนมาก มีเหรียญรุ่น 1 กันทุกครอบครัว เหรียญทั้ง 3 รุ่น มีประสบการณ์มากมาย ดีเด่นทางแคล้วคลาด แต่เหรียญที่ออกวัดหัวฝายดีเด่นทางมหาอุด จนหนังสือข่าวสดนำไปลงว่าเหรียญครูบาติ๊บอุดลูกปืน ปัจจุบันราคายังถูกมากแค่หลักร้อยแก่ๆ พบเห็นได้บ่อยที่สนามพระลำพูน เชียงใหม่ ลำปาง สำหรับเหรียญที่ออกวัดหัวฝาย สุโขทัย รุ่น 1 ราคาหลักพันต้นๆเท่านั้น ครูบาติ๊บที่สุโขทัยยกย่องให้ท่านเป็น 1 ใน 15 บูรพาจารย์ของจังหวัดสุโขทัยเลยเชียวหนา ก็ไม่ใช่ธรรมดา เพราะที่สุโขทัย เมืองเก่ามีสุดยอดเกจิมากมาย เช่น ลพ.เอม ลพ.ปี้ ลพ.บุญมี ลพ.ห้อม ลพ.ทิม ลพ.ย่น ฯลฯ ***

2
ฮือฮา.ในกลุ่มศิษย์ทั้งยโสธร.หลวงตาพวงเดินผิวน้ำ..หลวงพ่อคูณกล่าวถึงหลวงตาพวง



หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ กล่าวถึง หลวงตาพวง ชื่อเสียงของหลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ แห่งวัดบ้านไร่ อำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา ย่อมเป็นที่รู้จักกันดีในสายวงวัตถุมงคลโชคลาภ ของคนไทยทั่วประเทศเพราะด้วยปฏิปทาที่เรียบง่าย สมถะและเมตตาแก่ทุก ๆ คนที่ไปหา มิใช่แต่ชาวจังหวัดนครราชสีมาที่เลื่อมใสและศรัทธาท่าน ชาวยโสธรเองก็เช่นเดียวกันที่เลื่อมใสศรัทธาในวัตรปฏิบัติ และพากันไปกราบนมัสการหลวงพ่อคูณ เพื่อความเป็นสิริมงคล รวมทั้งขอวัตถุมงคลเพื่อคุ้มครองป้องกันภยันตรายต่าง ๆมิได้ขาด
แต่ทุก ๆ ครั้งที่ชาวยโสธรไปกราบนมัสการหลวงพ่อคูณนั้น หากท่านทราบว่าเป็นชาวยโสธรแล้วหลวงพ่อคูณท่านจะไม่ยอมให้วัตถุมงคล และบอกว่าให้กลับไปเอาที่ยโสธร ท่านมักจะพูดว่า "ที่ยโสธรมีคนเก่งกว่ากูมีอีก ผมหงอก ๆ ขาว ๆ ที่นั่งอยู่ริมแม่น้ำชีนั่นแหละ ท่านหมดกิเลสแล้ว ท่านไม่แสดงเฉยๆ กูยังไม่ถึงเท่าท่านเลย ไป"
เมื่อสัมภาษณ์หลวงตาพวง ถึงเรื่องนี้ ท่านก็เล่าให้ฟังว่า "ก็เคยได้ยินมาจากญาติโยมหลายสิบคนแล้ว ที่เล่าให้ฟังเหมือนกันว่าเมื่อชาวยโสธรไปกราบหลวงพ่อคูณ ท่านมักจะไล่กลับมาหาหลวงตา"
"หลวงตาเองก็ไม่เคยได้พูดคุยกับหลวงพ่อคูณสักครั้งเดียว หลวงตาก็เคยไปวัดบ้านไร่มาสองครั้ง แต่ไม่เคยมีโอกาสพูดคุยกับท่านเพราะมีญาติโยมเป็นจำนวนมากจึงไม่มีโอกาสพูดคุยกัน หลวงพ่อคูณจะทราบได้อย่างไรก็ไม่ทราบหรืออาจเป็นเพราะมีลูกศิษย์เล่าให้ฟังถึงประวัติหลวงตากระมัง"




ปาฏิหาริย์หลวงตาพวง เดินข้ามบิณฑบาตรแม่น้ำชี
มีเรื่องเล่าขานกันในหมู่ชาวบ้านแถบลำน้ำชีอันเป็นที่ตั้งของ วัดศรีธรรมารามซึ่ง หลวงตาพวงเคยจำพรรษาอยู่ ฝั่งตรงข้ามของวัดศรีธรรมารามเป็นหมู่บ้านที่อยู่ในเขตของอำเภอพนมไพร จังหวัดร้อยเอ็ด ชาวบ้านเล่ากันว่ามีคนออกไปเก็บกับดักหนูที่ดักไว้ในช่วงเช้ามืดได้เห็นหลวงตาพวงออกเดินบิณฑบาตโดยเดินบนแม่น้ำชีจาก         วัดศรีธรรมารามไปบิณฑบาตในหมู่บ้านฝั่งอำเภอพนมไพร
คุณสมจันทร์ โพธิศรี อยู่บ้านเลขที่ 68 บ้านกุดกง (คุ้มหนองแสง) ต. เขื่องคำ อ.เมือง จ. ยโสธร เล่าให้ฟังเป็นภาษาอิสานว่า "เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2538- 2539 เช้าวันหนึ่งข่อยไปดักหนูป่าแมะ ได้เห็นหลวงตาพวงเพิ่นเดินข้ามแม่น้ำชีไปแมะ ข่อยนี้แหละเป็นผู้เห็นท่านเองเลย" (คัดจากหนังสือโลกทิพย์)
เมื่อถามเรื่องนี้กับหลวงตา หลวงตาก็ตอบว่า "เป็นเรื่องของเขาเห็นปรากฏในสายตา หลวงตาไม่ค้าน ไม่ได้ปฏิเสธ เขาคงเห็นด้วยสายตาของเขา จะเล่าลืออย่างไร หลวงตาไม่ได้พูด ไม่ได้อวดอะไร" แล้วหลวงตาก็เปลี่ยนเรื่องพูดถึงเรื่องหมู่บ้านในฝั่งอำเภอพนมไพรว่า "หลวงตาก็รับนิมนต์ไปสวดหรือไม่ก็ฉันที่หมู่บ้านฝั่งนี้เป็นประจำทุกวันออกพรรษาชาวบ้านทั้งหมู่บ้าน ก็พากันมามอบกายถวายตัวเป็นลูกศิษย์ มากราบขอพรเพราะพวกเขาไม่มีที่พึ่งในหมู่บ้าน เขาจึงมาพึ่งหลวงตา เมื่อมีการงานอะไรพวกเขาก็มาช่วยเสมอ ๆ แม้แต่มาอยู่ที่วัดป่าใหม่นิคมพัฒนาราม พวกเขาก็ยังมา"

3
ขอบคุณมากครับ ผมชอบยันต์แม่ทัพ ครับ  :015: :015:




4
มีแต่เหรียญสวยๆ สวยมากครับ  :053: :053: :015: :015:

ขอบคุณครับที่นำมาให้ชม  :016:

5
ผมได้รับแล้วครับ ขอบคุณมากครับ  :054:

6
ผมได้รับวัตถุมงคลแล้วครับ ต้องขอขอบคุณผู้มีส่วนเกี่ยวข้องงานในครั้งนี้ด้วยครับ
ขอบคุณมากครับ  :054: :054: :054:

ผมได้รับ 2 อย่างคือ

1. สติกเกอร์ยันต์เสือ หลวงพ่อเปิ่น
2. เหรียญหน้าเสือ หลวงพ่อเปิ่น รุ่นพิเศษ 53 มีรอยจารด้วยครับ  :016:

ขอบคุณอีกครั้งครับ  :053:








7
เหรียญเจ้าพ่อกู่ช้าง รุ่นแรก :074: :074:ผมก้อใช้อยู่ครับเดี๋ยวคนใยพื้นที่เริ่มเก็บเเล้วนะครับ

ใช่แล้วครับหายากมาก เพื่อนผมได้เป็นเนื้อทองแดง ( ชุดกรรมการ )
สวยมากครับ ตอนนี้ผมบูชารุ่นสาม มาอีก 2 เหรียญ ครับเนื้อทองแดง  :016: :015:

8
พี่ ธรรมะรักโข  อยู่ที่ กทม แต่มีข้อมูลของวัดในลำพูนมากเลยครับ
ขอบคุณมากครับ  :053: :054: :054: :054:

9
ผมมีทั้งพระรอด และพระคงครับ

ผมชอบพระสายเหนือ นอกจากมีพระรอดพระคงแล้วผมยังมี

เหรียญเจ้าพ่อกู่ช้าง รุ่นแรก
เหรียญครูบาชุ่ม (ไข่ใหญ่ สองตา )
ขุนแผนครูบาจันต๊ะ (รุ่นสอง)

แค่นี้ก่อนครับ เอาเฉพาะที่แขวนขึ้นคอมาเล่าให้ฟังครับ  :002: :002:

10
อนุโมทนาด้วยครับ

ขอบคุณมากครับ :054:

12
ขอบคุณครับ  :054: :054: :054:

แต่ยังไม่ทราบที่อยู่ครับ

13
ขอบคุณครับ อ่านแล้วคลายเครียดดีครับ  :004:

14
ขอบคุณ ครับ  อนุโมทนาด้วยครับ

15
 2 ชื่อ ครับ

http://www.bp-th.org (URL เดิมที่เคยใช้ )

http://www.bp.or.th  (ใช้งานปัจจุบัน)

 :054: :054: :054:

18
ผมขอขอบคุณ น้ำใจพี่น้องทุกๆท่านครับ

อบอุ่นครับ :015:   :053: :053: :053:

20
สวัดดีครับ  ผมใหม่   ปัตตานีครับ
ยินดีที่ได้รู้จักครับ :060:

ยินดีที่รู้จักเช่นกันครับ  :027:
ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย รักษาสุขภาพด้วยนะครับ พี่น้องทุกๆคน  :002:

21
ครูบาชุ่ม โพธิโก



ประวัติหลวงพ่อชุ่ม โพธิโก พระอริยเจ้า แห่งหริภุญชัย

วัดชัยมงคล (วังมุย) ตำบลประตูป่า อำเภอเมือง จังหวัดลำพูน

หลวงปู่ ครูบาเจ้าชุ่ม โพธิโก แห่งวัดชัยมงคล (วัดวังมุย) ต.ประตูป่า อ.เมือง จ.ลำพูน
นามเดิมชื่อ ชุ่ม ปลาวิน ถือกำเนิดเมื่อวันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2442 เมื่อวันขึ้น 7 ค่ำ เดีอน 5 เหนือ ปีกุน ณ บ้านวังมุย จ.ลำพูน บิดาชื่อ นายมูล ปลาวิน มารดารชื่อ นางลุน ปลาวิน มีพี่น้องสืบสายโลหิตเดียวกัน 6 คน เป็นผู้หญิง 3 คน ท่านเป็นบุตรคนที่ 5
บุตรคนหัวปี ชื่อ พี่เอ้ย (หญิง) บุตรคนรองชื่อ พี่เป็ง (หญิง) บุตรคนที่สามชื่อ พี่โต (ชาย) บุตรคนที่สี่ ชื่อพี่แก้ว (หญิง) บุตรคนที่ห้า คือ ครูบาชุ่ม และบุตรคนสุท้องชื่อ นายเปา (ชาย)
บิดาของท่านเป็นคนบ้านวังมุยโดยกำเนิด ส่วนมารดาเป็นคนบ้านขุนคง อ.หางดง จ.เชียงใหม่ (ระยะทางระหว่างบ้านวังมุยกับบ้านขุนคงอยู่ห่างกันประมาณ 10 กิโลเมตร) บุพการีทั้ง 2 ท่าน เป็นคนเชื้อสาย ละ บางคนออกเสียง วะ หรือ ลัวะ ประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลัก
เมื่อเด็กชายชุ่ม ปลาวิน เจริญวัยขึ้นก็พอจะทำงานช่วยเหลือบิดา มารดา เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระการงานได้บ้าง เช่น ช่วยทำงานในทุ่งนา เท่าที่สามารถจะทำได้ทุกอย่าง เลิกงานสรก็ทำสวนทำไร่ ถางหญ้าพรวนดิน และงานบ้านอย่างการปัดกวาดเช็ดถูบ้านเรือน เพื่อเป็นการทดเเทนพระคุณของบิดา มารดาเท่าที่กำลังความสามารถของตนจะทำได้
ครั้นเมื่อเติบโตได้พอสมควรได้ไปศึกษาเล่าเรียนการออ่าน การเขียนหนังสือเบื้องต้น กับเจ้าอาวาสวัดศรีสองเมือง (เมื่อรกร้างไป ชาวบ้านจึงเรียกวันว่า วัดห่าง) พร้อมกับเรียนวิธีการอ่านบทสวดมนต์ และธรรมะเบื้องต้นจากท่านเจ้าอาวาส การที่เด็กชายชุ่ม ปลาวิน เป็นเด็กว่านอนสอนง่าย และมีความจำดีเลิศ จึงเป็นที่รักใคร่ของท่านเจ้าอาวาส และบรรดาภิกษุสามเณรในวัดเป็นอันมาก และการที่ได้คลุกคลีกัลท่านเจ้าอาวาสบ่อยๆ นี่เอง ทำให้ท่านค่อยๆ ซึมซับหลักพระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทีละเล็กทีละน้อยจนสามารถอ่านหนังสือ และสวดมนต์ได้อย่างคล่องแคล่ว เริ่มมีใจรักเคารพในสมณเพศมากขึ้นทุกวัน

ทดแทนบุญคุณพ่อแม่
ครั้งหนึ่งเด็กชายชุ่ม ปลาวิน ได้ยินอุ๊ย (คนเฒ่า คนแก่) แถวบ้านพูดว่า ใครอยากทดแทนบุญคุณพ่อ แม่ ต้องบวชให้กับท่าน ใครบวชเป็นเณร ถือว่าเป็นการบวชทดแทนบุญคุณให้แม่ แต่ถ้าใครบวชเป็นตุ๊เจ้า (พระภิกษุ) ถือว่าเป็นการบวชทดแทนบุญคุณทั้งพ่อและแม่ เพราะการบวชเป็นพระ จะได้อานิสงส์ผลบุญมาก ต่อมาเด็กชายชุ่มจึงตัดสินใจแน่วแน่ที่จะเดินในหนทางของการบรรพชา ตั้งแต่อายุเพียง 10 กว่าขวบเท่านั้น ถือว่าท่านมีบุญบารมีเกี่ยวข้องในทางพระพุทธศาสนาอย่างชัดเจน

บรรพชาที่วัดพระธาตุขาว
เมื่ออายุได้ 12 ปี เด็กชายชุ่ม ปลาวิน ได้ขออนุญาตจากบิดา และมารดา เพื่อบรรพชาเป็นสามเณร ซึ่งบุพการีทั้งสองต่างก็ยอนยอมพร้อมใจให้บรรพชา โดยทั้ง 2 ท่านได้เล็งเห็นว่า
ประการแรก เด็กชายชุ่มจะได้มีวิชาความรู้ติดตัว เพราะในสมัยก่อนโรงเรียนที่ดีที่สุดก็คือ วัด นั่นเอง
ประการที่ส่อง เด็กชายชุ่ม มีใจรักในทางพระพุทธศาสนาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว บุพการีทั้ง 2 จึงได้นำตัวไปฝากเป็นศิษย์ครูบาอินตา แห่งวัดพระธาตุขาว จังหวัดลำพูน ซึ่งงานทั้งส่องคุ้นเคยเป็นอย่างดี
ต่อมาจึงได้บรรพชาเป็นสามเณร โดยมีครูบาอินตา วัดพระธาตุขาวเป็นพระอุปัชฌาย์เมื่อได้บรรพชาเป็นสามเณรแล้ว สามเณรน้อยชุ่มได้ตั้งสัตยาธิษฐานด้วยใจแน่วแน่สีพระพุทธเจ้าเป็นองค์ประธาน พร้อมพระธรรม และบารมีพระคุณครูบาอาจารย์ คุณบิดามาดา พร้อมกล่าวคำอธิษฐานว่า
"ข้าน้อยขอถวายชีวิตเป็นพุธบูชาแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งข้าน้อยเคารพอย่างสูงสุด และจะขอรับใช้พระพุทธศาสนา เผยแพร่หลักธรรม คำสั่งสอนของพระพุทธองค์ ตั้งแต่บัดนี้ตราบเท่าชีวิตจะหาไม่"
สามเณรชุ่ม ปลาวิน นั้นเป็นสามเณรน้อยที่มีความพยายามสูง และควรค่าแก่การบันทึกไว้ ท่านเป็นสามเณรชาวเหนือที่เคร่งครัด เพียบพร้อมไปด้วยศีลาจารวัตรอันงดงาม สิ่งใดที่พระอุปัชฌาย์พร่ำสอน ท่านก็เชื่อฟังและหมั่นปฏิบัติตามอย่างจริงจัง ท่านครูบาอินตาได้สั่งสมให้สามเณรชุ่ม ท่องบททำวัตร และบทอื่น ๆ รวมทั้ง บท 12 ตำนาน ให้ขึ้นใจ และสามเณรชุ่ม ก็ไม่ได้ทำให้ครูบาอาจารย์ผิดหวัง ท่านได้ท่องบทสวดมนต์ต่างๆ ได้ในเวลาอันรวดเร็ว รวมทั้งศึกษาพระไตรปิฎกไปด้วย และเริ่มเข้าใจอย่างถ่องมากขึ้น ภายหลังเมื่อสามเณรชุ่มได้บวชเป็นพระภิกษุแล้ว ท่านเคยกล่าวให้พระเณร และเหล่าลูกศิษย์ฟังว่า การศึกษาทางพระพุทธศาสนาในสมัยก่อนนั้น ต้องทำกันอย่างจริงจัง และใช้ความเพียรเป็นอย่างมาก เพราะไม่มีเทคโนโลยีอย่างสมัยใหม่นี้ การศึกษา บทสวดมนต์ และพระไตรปิฏกในสมัยก่อนนั้น ต้องอาศัยสมองอย่างเดียวล้วน ๆ ต้องจด ต้องจำ ต้องท่องบ่นอย่างเอาเป็นเอาตามเท่านั้น จึงจะสามารถจำบทสวดมนต์ และสามารถแปลพระไตรปิฎกได้อย่างถ่องแท้ และจึงจะนับได้ว่าเป็นผู้รู้หนังสือดี"
ต่อมาเมื่อสามเณรชุ่ม ได้ศึกษาวิชาความรู้จากพระอุปัชฌาย์ เป็นอย่างดีแล้ว ด้วยใจที่รัก และใฝ่รู้การศึกษาได้กราบขออนุญาตจากพระอุปัชฌาย์ ออกเดินทาง เพื่อแสวงหาวิชาความรู้ต่างๆ เพิ่มเติม โดยพระอุปัชฌาย์ได้ชี้แนะครูบาอาจารย์ผู้ทรงคุณวิเศษด้านต่าง ๆ ให้
จากนั้นจึงได้กราบลาพระอุปัชฌาย์ พร้อมกับลาบิดามารดา ญาติพี่น้อง นำเครื่องอัฐบริขารเท่าที่จำเป็นออกเดินทางด้วยเท้ามุ่งสู่ จ.เชียงใหม่ และเข้าศึกษาด้านปริยัติธรรมที่วัดผ้าขาว วัดพระสิงห์ และวัดเจดีหลวง ตามลำดับ

อุปสมบท
                ท่านได้ศึกษาเล่าเรียน จนอายุได้ 20 ปี สามเณรชุ่ม ปลาวิน จึงได้พิจารณา ว่า "บัดนี้เราก็อายุครบบวชแล้ว ควรจะเดินทางกลับบ้านเกิดที่เมืองลำพูน เพื่อทำการอุปสมบท การที่เราได้อาศัยอยู่ในร่มเงาาของพระพุทะศาสนานั้น เรารู้สึกเย็นใจ และร่มเย็นดีแท้ แม้เราคิดสึกออกไป เราก็ยากที่จะได้รับความสงบร่มเย็นเช่นนี้ เห็นทีเราจะต้องบวชเรียนต่อไป"
หลังจากตัดสินใจแล้ว ท่านจึงได้เดินทางกลับมาอุปสมบทเป็นพระภิกษุสงฆ์ ที่ภูมิลำเนาเดิม คือที่บ้านวังมุย จ.ลำพูน โดยมีพระครูบาอินตา (ครูบาปัญโญ) วัดพระธาตุขาว เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์หมื่น เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอาจารย์หลวงอ้าย เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า โพธิโก
เมื่อท่านอุปสมบทแล้ว ก็ได้มุ่งมั่นศึกษาทั้งทางด้านปริยัติควบคู่กับด้าน)ปฏิบัติ โดยได้ฝึกพระกรรมฐานตามแนวทางกรรมฐาน 40 ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อชำระจิตมใจของตนให้บริสุทธิ์ หลุดพ้นจากกิเลศ สามารถทรงสมาธิได้สูงขึ้นตามลำดับ
นอกจากนั้นท่านยังได้ศึกษาศาสตร์ทางด้านพระเวทย์เลขยันต์ คาถาอาคมต่างๆ รวมทั้งตำราพิชัยสงครามอีกด้วย ความพากเพียรศึกษาในด้านการศึกษาของพระภิกษุชุ่ม เป็นที่กล่าวขวัญไปทั่ว เจ้าคณะจังหวัดลำพูนมในสมัยนั้น มีความชื่นชมพระภิกษุชุ่มเป็นอย่างมากได้ร้องขอให้ท่านไปศึกษาต่อด้านปริยัติที่กรุงเทพฯ โดยทางจังหวัดจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด เมื่อศึกษาจบแล้วจะได้กลับมาช่วยสอนหนังสือให้กับพระเณรในจังหวัด แต่ท่านไม่อาจรับภารกิจนี้ได้ โดยให้เหตุผลว่ายังต้องศึกษาด้านการปฏิบัติให้มาก ๆ เสียก่อน
ท่านเจ้าคณะจังหวัดเมื่อมีกิจธุระสิ่งใดก็มักจะเรียกให้พระภิกษุชุ่มอยู่เสมอ โดยได้มอบหมายให้ท่านเป็นเลขาฯ ประจำใกล้ชิด มอบหน้าที่ความรับผิดชอบในด้านต่างๆ ให้ ซึ่งท่านก็มิได้ทำให้พระผู้ใหญ่ผิดหวัง งานด้านต่าง ๆท่านสามารถทำได้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีทุกชิ้นทุกอัน จนเจ้าคณะจังหวัดจะแต่งตั้งชั้นยศ และขอสมณศักดิ์ชั้นพระครูให้ แต่พระภิกษุชุ่มได้ปฏิเสธไม่ขอรับสมณศักดิ์นั้น

เสาะหาครูบาอาจารย์
                ตั้งแต่ช่วงแรกที่บวชเป็นพระภิกษุ พระภิกษุชุ่มก็ได้พากเพียรฝึกกายฝึกจิตตามแนวทางสายเอกของพระพุทธศาสนา แล้วยังออกเดินทางแสวงหาครูบาอาจารย์เพื่อฝากตัวเป็นศิษย์ เอาเยี่ยงอย่างภูมิธรรมชั้นเลิศจากคณาจารย์หลายท่านคือ
ครูบาอริยะ ที่วัดท้าวบุญเรือง ต.หนองหอย อ.หางดง จ.เชียงใหม่
ศึกษาศาสตรสนธิทั้งแปดมรรค แปดบท อันเป็น อรรถคาถา บาลีมูล กัจจายน์ จนจบ สามารถแปลและผูกพระคาถาต่าง ๆ ได้
พระครูบาศรีวิชัย  วัดร้องแหย่งบ อ.หางดง จ.เชียงใหม่
เป็นพระอาจารย์ พระปฏิบัติวิปัสนากรรมฐานที่มีชื่อเสียงในยุคนั้น ตอนที่ครูบาชุ่มไปฝากตัวเป็นศิษย์ พระครูบาศรีวิชัย วัดร้องแหย่ง มีอายุประมาณ 70 ปีแล้ว แต่ก็ยังแข็งแรงดี ครูบาชุ่มได้อยู่ศึกษาปฏิบัติกับพระครูบาศรีวิชัยวัดร้องแหย่ง เป็นเวลา 2 พรรษา
ครูบาศรีวิชัย  ตนบุญแห่งล้านนา
ในขณะที่อยู่วัดร้องแหย่งนี้เอง ท่านจึงได้พบพระนักบุญแห่งล้านนา คือครูบาศรีวิชัย (ครูบาศีลธรรม) แห่ง วัดบ้านปาง ได้มาเยี่ยมเยือนสักการะท่านครูบาศรีวิชัยวัดร้องแหย่งด้วยความเคารพนับถืออยู่เสมอ ทุกครั้งที่มาเยี่ยมก็จะมีปัจจัยไทยธรรมมาถวาย บางครั้งได้มาพักจำวัด และร่วมสวดมนต์ เจริญพระกรรมฐานกับภิกษุสามเณรที่วัดร้องแหย่งด้วย ครูบาชุ่มจึงได้รู้จักมักคุ้นกับท่านครูบาศรีวิชัย นักบุญแห่งล้านนา ที่วัดร้องแหย่งนี้เอง และในเวลาต่อมาปรากฏว่าทั้งคู่เป็นศิษย์ อาจารย์ที่มีความผูกพันรักใคร่กันอย่างยิ่ง
ครูบาแสน วัดหนองหมู อ.เมือง จ.ลำพูน
เป็นพระนักปฏิบัติที่เคร่งครัดทางด้านวิปัสสนากรรมฐานอีกรูปหนึ่ง ครูบาชุ่มได้อยู่ศึกษากับครูบาแสน จนได้รับการถ่ายทอดวิชาทุกแขนง
ครูบาก๋ำ  วัดน้ำโจ้ อ.สารภี จ.เชียงใหม่
เป็นผู้สอนอักขระล้านนาให้แก่ครูบาชุ่ม
ครูบาพรหมา วัดพระพุทธบาทตากผ้า อ.ป่าซาง จ.ลำพูน
(บ้างเรียกครูบารหมจักร หรือครูบารหมจักโก สมณศักดิ์เดิมคือ พระครูพรหมจักรสังวร สมณศักดิ์สุดท้ายคือ พระสุพรหมยานเถระ)
ความจริงแล้วครูบาชุ่ม กับครูบาพรหมา ท่านอายุรุ่นราวคราวเดียวกันแต่ต่างองคฅ์ต่างนับถือและแลกเปลี่ยนความรู้ สรรพวิชาต่างๆ กันอยู่เสมอ นอกจากนี้ ท่านยังได้ไปศึกษาเพิ่มเติมที่วัดห้วยโท้ง อ.สันป่าตอง จ.เชียงใหม่วัดน้ำบ่อหลวง อ.สันป่าตอง จ.เชียงใหม่อีกด้วย
จากนั้น เมื่อเจ้าอาวาสวัดวังมุยเก่ามรณภาพลง ชาวบ้านจึงมาอาราธนาท่านให้กลับไปเป็นเจ้าอาวาสปกครองดูแลวัดต่อไป
ข้อวัตรปฏิบัติ
ครูบาชุ่มท่านจะตื่นขึ้นมาตอนตี 3 เพื่อปฏิบัติไปตามลำพังในกุฏิของท่านจากนั้นก็กระทำกิจธุระส่วนองค์แล้วจึงเรียกพระเณรให้ทำวัตรเช้าในเวลาประมาณตี 5 ต่อด้วยการนั่งสมาธิภาวนาอีก 1 ชั่วโมง พอคลายออกจากสมาธิจึงนำพระเณรออกบิณฑบาตโปรดสัตว์ ในยามปรกติท่านจะฉันสองมื้อ แต่ในช่วงเข้าพรรษาท่านจะฉันเพียงมื้อเดียว อาหารที่ท่านฉันก็เป็นอาหารพื้นบ้านง่ายๆ อย่างข้าวเหนียว จิ้มกับน้ำพริกผักต้ม แม่เพชร อินโม่ง ซึ่งเป็นผู้ทำอาหารถวายครูบาชุ่มอยู่เสมอ เล่าว่า ท่านชอบทานผักแคบ หรือตำลึงในภาษากลางนั่นเอง ครูบาชุ่มละเว้นไม่ฉันอาหารที่เป็นเนื้อสัตว์ แต่จะฉันบ้างกรณีที่มีญาติโยมมาถวายภัตตาหารเพลและนั่งรอรับพรอยู่ต่อหน้า เป็นการฉันเพื่อไม่ให้ญาติโยมเสียกำลังใจ ช่วงหนึ่ง ครูบาชุ่มป่วย แพทย์ระบุว่าเป็นโรคขาดสารอาหาร ศรัทธาชาวบ้านจึงได้ขอร้องให้ท่านฉันเนื้อสัตว์บ้าง ท่านก็รับปาก

พระเดชลือชา
ช่วงเย็น 18.00 น. พระเณรที่วัดวังมุยจะทำวัตรเย็นพร้อมดัน ต่อจากนั้นนั่งสมาธิอีกประมาณ 30 นาที แล้วจึงแยกย้ายกันไปทำกิจส่วนตัวได้ จนใกล้เวลาจำวัด คือราว 20.10 น. ครูบาชุ่มท่านจะนั่งอยู่ด้านหน้า นำสวดบท นะโมฯ 3 จบ แล้วท่านจะเงียบ คอยฟังเสียงของพระเณร ว่าตั้งใจสวดมนต์กันหรือไม่ หากพบว่าองค์ไหนเงียบเสียงไป ท่านจะเมตตาตักเตือนให้ อย่างเบา คือโยนดินสอ หรือหนังสือไปสะกิด และก็มีบ้างที่ท่านต้องเมตตาหนักเป็นกรณีพิเศษ คือสะกิดด้วยกระโถนบิน พระเณรที่ย่อหย่อนจากความเพียร อุตสาหะ วิริยะ ต่างหัวปูด  หัวโน ไปตามกัน
แม่แต่ชาวบ้านที่พ้นวัยเด็กมานาน หากมาส่งเสียงดังในบริเวณวัดอย่างเบาครูลบาชุ่มท่านจะแค่ตวาด และอย่างหนักหน่อยอาจจะโดนท่านยิงด้วยหนังสติ้ก แล้วท่านก็ยิงได้แม่นยำอย่างยิ่ง โดยเล็งที่ขาหรือหลัง พอให้รู้ตัว
สมัยนั้น ถ้าใครคิดจะให้ลูกหลานมาบวชที่วัดของหลวงปู่ครูบาชุ่ม ต้องยกให้เป็นลูกของท่านเลย เพราะท่านจะอบรมสั่งสอนเต็มที่ แม้แต่เฆี่ยนตีบ้าง พ่อแม่จะต้องยอมรับได้ เพราะท่านจะบอกไว้ก่อนว่าห้ามมาโกรธกัน หากท่านต้องทำโทษเฆี่ยนตีลูก ๆ ในทางธรรมของท่านด้วยความปรารถนาดี
เด็กบางคนทางบ้านได้ส่งให้มาเป็นขโยม (ลูกศิษย์วัด) รอบวช โดยให้หลวงปู่ครูบาชุ่มอบรมบ่มนิสัยไปด้วย ขโยมรายนี้โดนกระโถนเข้าไปครั้งเดียวเพราะทำผิด ถึงกับโดดหน้าต่างหนีออกจากวัดมาตอนกลางคืนแทบไม่ทันทีเดียวทางบ้านขอร้องให้กลับไปอยู่วัดต่ออย่างไร ขโยมน้อยรายนี้ก็ยืนกรานไม่ไปเด็ดขาด ด้วยเห็นว่าหลวงปู่ชุ่มดุมาก
ก็คงจะเป็นเรื่องจริต วาสนา และความเกี่ยวเนื่องที่ยากจะอธิบายศิษย์อาจารย์บางคน หากไม่มีวาสนเกี่ยวเนื่องกัน ไม่เคยสอรนสั่งกันมาก่อน ต่อให้ทั้งศิษย์หรืออาจารย์คู่นั้นจะเก่งกล้าขนาดไหน ก็ไม่อาจเป็น คู่ปรับ เปลี่ยนแปลงปรับปรุงให้บรรลุถึงมรรคผลอันควรได้

สายสัมพันธ์ศิษย์ - อาจารย์
ลูกศิษย์สายตรงของครูบาชุ่ม ในปัจจุบันพอจะกล่าวถึงได้ดังนี้
1. หลวงพ่อทองใบ โชติปัญโญ เจ้าอาวาสวัดหรหมวนารามหรืออดีต ครูทองใบ สายพรหมมา เป็นศิษย์ได้รับอนุญาตให้สร้างเหรียญครูบาเจ้าชุ่มรุ่นแรกปี พ.ศ. 2517
2. พระอาจารย์หมื่อน ญาณเมธี วัดพรหมวนาราม นอกจากเป็นศิษย์แล้วท่านยังเป็นหลานแท้ ๆ ของครูบาเจ้าชุ่ม คือตุ๊ลุงหมื่นเป็นบุตรของแม่อุ้ยแก้ว พี่สาวร่วมอุทรของครูบาเจ้าชุ่ม ตุ๊หมื่นได้เก็บรักษาเครื่องระลึกถึงครูบาเจ้าชุ่มไว้หลายอย่าง เช่นภาพถ่ายเก่าๆ ดาบ เล็บ และอัฐิ
3.  พ่อหนานปัน จินา เป็นศิษย์ที่มีความสนใจในด้านวิชาอาคมขลังและพิธีกรรมต่าง ๆ โดยเฉพาะศาสตร์ในเรื่องตะกรุดซึ่งท่านได้รับการถ่ายทอดจากครูบาเจ้าชุ่มมาพอสมควร ปัจจุบันท่านเป็นผู้อาวุโสของหมู่บ้าน
4.  พ่ออุ้ยตุ่น หน่อใจ  เป็นศิษย์ที่ได้รับความไว้วางใจให้ทำหน้าที่สองอย่างคือปลงเกศาให้ครูบาเจ้าชุ่ม และช่วยสร้างพระผงให้ท่าน
5.  พ่อหนานทอง ปัญญารักษา อายุ 68 ปี เป็นศิษย์อีกท่านที่ปัจจุบันทำหน้าที่ ปู่จารย์ เจ้าพิธีประจำวัดชัยมงคล(วังมุย) พีอหนานทองเป็นผู้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับพิธีพุทธาภิเษกรูปเหมือนหลวงปู่ชุ่มเมื่อ พ.ศ. 2520
6.  พ่อหนานบาล  อินโม่ง เป็นศิษย์ที่เคยติดตามครูบาเจ้าชุ่มไปธุดงค์ตามสถานที่ต่าง ๆ หลายแห่ง
7.  คุณลุงเสมอ  บรรจง ชมรมพระตลาดบุญอยู่ เป็นผู้มีส่วนร่วมสร้างวัตถุมงคลของครูบาเจ้าชุ่ม
8.  พ่อเลื่อน กันธิโน  เป็นศิษย์ที่ติดตามอุปัฏฐากครูบาเจ้าชุ่มไปในที่ต่าง ๆ จนถึงวินาทีสุดท้ายที่ท่านไปมรณภาพที่กรุงเทพฯ
9.  อุ๊ยหมื่น สุมณะ (เพิ่งเสียชีวิตในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2549 ด้วยวัย 101 ปี) เป็นศิษย์อาวุโส ซึ่งมีวัยวุฒิน้อยกว่าครูบาเจ้าชุ่ม 10 ปี เป็นผู้ให้ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับประวัติการสร้างวัดใหม่
10.  อุ๊ยหนานทอง  (เสียชีวิตแล้ว) เป็นลูกศิษย์ของครูบาเจ้าชุ่ม แล้วยังเป็นประติมากรผู้รังสรรค์พระรูปเหมือนครูบาเจ้าศรีวิชัย ในขณะที่ท่านรักษาตัวอยู่ ณ วัดจามเทวี ก่อนที่ท่านจะไปมรณภาพที่วัดบ้านปาง
อุ้ยหนานทองเป็นคนบ้านริมปิง อ.เมือง จ.ลำพูน ท่านได้พบกับครูบาชุ่มตั้งแต่อายุ 15 ปี ตอนนั้นหลวงครูบาชุ่มจาริกไปถึงบ้านริมปิง บ้านเดิมของอุ้ยหนานทอง หนุ่มน้อยได้บังเกิดความเคารพศรัทธาครูบาชุ่มจนขอติดตามกลับมาที่วัดวังมุยด้วย ครูบาชุ่มก็เมตตาพามา และจัดการบวชให้เป็นสามเณรที่วัดเก่า (วัดศรีสองเมือง) ต่อมาเมื่ออายุหนานทองอายุครบ 20 ปี หลวงปู่ครูบาชุ่มก็ได้จัดการอุปสมบทให้เป็นพระภิกษุที่วัดใหม่ คือวัดชัยมงคล (วังมุย)
ช่วงที่บวชเป็นสามเณร สามเณรทองได้เป็นลูกมือช่วยสร้างพระที่วัดมหาวัด จึงได้นำประสบการณืและวิฃาความรู้ครั้งนั้น มาใช้ในงานปั้นพระประธานไว้ในโบสถ์วัดเก่า จำนวน 3 องค์ ขนาดเท่าคนจริง แต่หลังจากวัดเก่าได้ถูกทิ้งร้าง พระประธานทั้ง 3 องค์ ที่สามเณรทองปั้นไว้ ก็หายสาบสูญไป
พอครูบาชุ่มได้มาดำเนินการสร้างวัดใหม่ คือวัดชัยมงคล (วังมุย) ท่านก็ได้มอบหมายให้อุ้ยหนานทองรับหน้าที่ปั้นพระประธาน และพระขนาดเล็กอีกเป็นจำนวนมาก
11.  หลวงพ่อบุญรัตน์ กนฺตจาโร เจ้าอาวาสวัดโขงขาว จ.เชียงใหม่
หลวงพ่อบุญรัตน์ ได้พบหลวงปู่ครูบาเจ้าชุ่มครั้งแรกในระหว่างที่ทั้งคู่ต่างอยู่ในระหว่างธุดงค์หลีกเร้นเพื่อบำเพ็ญสมณธรรมตามป่าเขา ขอยกความตอนหนึ่ง จากเนื้อหาประวัติของหลวงพ่อบุญรัตน์ ที่นิตยสารโลกทิพย์ จัดพิมพ์
"หลวงพ่อบุญรัตน์ กนฺตจาโร มีโอกาสได้พบและน้อมรับอุบายธรรมปฏิบัติจากหลวงปู่ครูบาเจ้าชุ่ม โพธิโก ในครั้งแรกนั้นก็ด้วยครั้งที่ติดตามหลวงพ่อชื่อนออกธุดงค์ ซึ่งได้ไปพักปฏิบัติธรรมอยู่ที่วัดร้างในป่าสวนหลวงนั่นแหละ คือวันหนึ่ง หลวงปู่ครูบาชุ่มท่านได้เดินทางมาเยี่ยมหลวงพ่อชื่นลูกศิษย์ของท่าน ที่มาพักจำพรรษาอยู่ที่วัดร้างในป่าสวนหลวง หลวงปู่ครูบาชุ่มท่านเดินกางร่มสีแดงมาด้วย เห็นแต่ไกล สมัยนั้นร่มสีแดง พอมาถึงที่วัดร้างแล้ว หลวงปู่ครูบาชุ่มท่านก็นั่งพักสนทนาถามทุกข์สุขกับหลวงพ่อชื่น หลวงพ่อบุญรัตน์ได้เห็นลักษณะอัดงดงามยิ้มแย้มแจ่มใสของหลวงปู่ครูบาชุ่มว่าท่านมีเมตตาดีก็เข้าไปนมัสการท่าน หลวงปู่ครูบาชุ่มท่านยิ้มรับ สอบถามได้ความว่า หลวงพ่อบุญรัตน์ก็มีความสนใจในการปฏิบัติธรรม และได้เคยออกธุดงค์บำเพ็ญสมาธิ เจริญพระกรรมฐาน จึงกว่าวว่า
"เออดีแล้ว ดีแล้ว ได้มาบวช โอ้โฮ เป็นบุญเป็นกุศลแล้ว ให้ปฏิบัติธรรมเข้านะ จะได้เป็นบุญที่จะติดตัวเราไปข้างหน้าเนาะ อันอื่นน่ะเอาไปไม่ได้เนาะ มีเงินมีทองมีสมบัติพัสถานก็เอาไปไม่ได้ จะเอาไปได้ก็เป็นบุญเป็นกุศลนี่แหละที่จะเป็นเงาติดตามตัวเราไป ให้หมั่นหาเข้านะ พุทโธก็ได้ อะไรก็ได้ ให้นึกถึงสังขาร ให้ปลงสังขารมันเสีย ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ไม่เที่ยงแท้แน่นอนมันเป็นอนิจจัง ไม่เที่ยงแท้แน่นอน ทุกขังก็เป็นทุกข์ อนัตตาก็ใช่ตนใช่ตัว เราเกิดมาในครั้งนี้ เรามีเพียงแต่คนเดียวกลับไปก็กลับคนเดียว เราจะชวนคนอื่นกลับไม่ได้ ร่างกายของเรานี่ไม่ใช่ของเรานะ ใช่ของเราไหม?"
หลวงพ่อบุญรัตน์ถามว่า "เป็นยังไงครับหลวงปู่ ไม่ใช่ร่างกายของเรา"
หลวงปู่ครูบาชุ่มท่านยิ้มและบอกว่า "ไม่ใช่ ถ้ามันเป็นของเรา มันคงไม่ปวด บอกว่า อย่าไปวดนะ มันก็คงไม่ปวด อย่าไปเจ็บนะ มันก็คงไม่เจ็บ แล้วทำไมมันปวด มันเจ็บ ทีนี้หลวงปู่ก็เหมือนกัน ตาก็ไม่สว่าง ต้องใส่แว่นตาดูหนังสือ ถ้ามันเป็นของหลวงปู่ หลวงปู่ก็จะบอกกับมันว่า ตานะ อย่าไปเสียนะ ก็คงจะดีนะคงไม่ต้องใช้แว่นตา ผมที่บนศรีษะ บนหัวนี่นะ ทำไมมันหงอกนะ หลวงปู่ครูบาชุ่มพูดพลางหัวเราะ พลางชี้ไปที่ศรีษะของท่าน"
"ถ้าเป็นผมของหลวงปู่แล้วมันคงไม่หงอกแน่นอน ไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอน หายึดสิ่งใดในโลกนี้ไม่มี นอกจากพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ศีลธรรม กรรมฐานเท่านั้นที่จะติดตามตัวเราไปข้างหน้า ไม่เสียเวลาเกิด ถ้าเราเกิดมาเราบวช เราประพฤติปฏิบัติ โอ้โฮ เป็นบุญเป็นกุศลของเรา มาบวชนี่จะไปหวังอะไร ? ให้หวังบุญหวังกุศลเท่านั้น

ผลของการปฏิบัติ
                ครูบาชุ่มท่านเป็นพระผู้ทรงศัลาจารวัตร และมุ่มมั่นในการปฏิบัติอย่างแรงกล้า ครั้งหนึ่งท่านนั่งสมาธิอยู่ในพระวิหารที่วัดวังมุย ได้เกิดมีเปลวไฟฉายโชนออกจากร่างกายของท่าน แลดูสว่างไสว มีผู้ที่อยู่ในบริเวณนั้นเห็นเหตุการณ์หลายคน พ่อหนานปัน ก็เป็นหนึ่งในนั้น ได้เห็นไฟลุกโพลนขึ้นท่วมร่างของครูบาชุ่ม จากนั้นเปลวไปได้เคลื่อนออกจากกาย ตรงขึ้นไปที่ปล่องด้านข้างของพระวิหาร พอครูบาชุ่มคลายออกจากสมาธิ ลูกศิษย์ที่เป็นห่วงได้รีบเข้าไปถามว่า ครูบาเจ้าเป็นอะไรไปหรือเปล่า ทำไมไฟลุกขึ้นมา ท่านได้เมตตาบอกว่า เป็นเพราะผลของการปฏิบัติ

โดนลองของ
ครั้งหนึ่ง ครูบาชุ่มโดน ลองของ โดยพระรูปหนึ่งในจังหวัดลำพูนนั่นเองพระผู้นั้นได้ปล่อยของทางไสยศาสตร์มายังกุฏิของท่าน ขณะนั้นครูบาชุ่มกำลังจำวัดอยู่ และทราบเหตุร้ายด้วยญาณ ท่านจึงลุกขึ้น และได้เรียกบอกพระเณรให้มานั่งอยู่ในกุฏิท่าน พร้องทั้งสั่งให้ทุกรูปสวดมนต์ ของที่ส่งมานั้นปรากฏเป็นตัวแมลงขนาดใหญ่ พวกมันได้แต่บินวนเวียนอยู่นอกกุฏิ เสียงชนฝาผนังดังปึงปังอยู่ตลอดเวลา และแล้วครูบาชุ่มก็ได้หยิบหมากขึ้นมาเคี้ยวพร้อมทั้งบริกรรมคาถา จากนั้นก็คายชานหมากลงในกระโถนสักพักต่อมา เหล่าแมลงได้บินฝ่าเข้ามาถึงด้านในกุฏิพุ่งตรงเข้ามาหาท่านทันที
ท่านจึงบริกรรมคาถาจนหมู่แมลงอ่อนกำลังลง จากนั้นได้นำกระโถนที่คายชานหมากไว้มาคารอบแมลงเหล่านั้น เมื่อเปิดกระโถนออกดู ปรากฏว่าแมลงได้กลับกลายเป็นตะปูไปจนหมด

บุญญาภินิหาร
ครูบาชุ่มมีเมตตาธรรมประจำใจ ไม่ค่อยขัดต่อผู้ใดที่มาขอร้องให้ท่านช่วยเหลือ ถ้าไม่เกินขอบเขตแห่งพระธรรมวินัย โดยเฉพาะผู้ที่เจ็บป่วยด้วยคุณไสยแล้ว เชือกและน้ำมนต์ของท่านขลังยิ่งนักมีอยู่ครั้งหนึ่งครูบาชุ่มได้ธุดงค์ไปถึงอำเภอฮอด เข้าพักแรมในป่าช้าบ้านบ่ง ชาวบ้านเหล่านั้นมีด้วยกันหลายเผ่าหลายภาษา เช่น ลั๊วะ ยาง (กระเหรี่ยง) ได้เอาเนื้อสด ๆ มาถวายโดยบอกว่า เป็นส่วนของวัดหนึ่งหุ้นที่ล่าสัตว์มาได้ ครูบาชุ่มไม่ยอมรับและบอกว่าหากจะนำมาถวายพระหรือสามเณรควรจัดทำให้สุกเป็นอาหารมาจึงรับได้

และขอบิณฑบาต พวกชาวบ้านมาใส่บาตร แต่ได้ขอร้องครูบาชุ่มไม่ให้สวดมนต์อีกต่อไป โดยกล่าวหาว่าเป็นเพราะท่านสวดมนต์ พวกตนจึงเข้าป่าล่าสัตว์ไม่ได้สัตว์มาหลายวันแล้ว

22
ขุนแผนครูบาจันต๊ะรุ่น2
ขุนแผนชัยมงคล ครูบาจันต๊ะ รุ่น 2 วัดหนองช้างคืน ลำพูน ปี 2544

 สุดยอดแห่งเสน่ห์เมตตา ค้าขายคล่อง การเงินการทองดีมากๆ เรื่องเหนียวก็ไม่เป็นลอง และผสมผงหลวงปู่ทิม วัดระหารไร่ ระยอง




มวลสารการสร้างพระผง ขุนแผนชัยมงคล รุ่น 2
-พระผงหลวงพ่อแดงและผงตะไบ หลวงพ่อแดง วัดเขาบรรไดอิฐ เพชรบุรี

 -เกษรดอกไม้ 108 ว่านต่างๆ กาฝากขนุน กาฝากมะรุม กาฝากชมพู่
-ผงหลวงพ่อทองคำ วัดท่าทอง อุตรดิตถ์

 -ผงเผาใบลานเก่า(ธรรมเก่า) วัดหนองช้างคืน

 -ผงหลวงพ่อเกษม สุสานไตรลักษณ์ ลำปาง
-ผงพระห้วยทรายใต้ เพชรบุรี

 -อิฐ - กระเบื้องเก่า วัดหนองช้างคืน

 -น้ำมนต์ วัดพระสงฆ์ น้ำมนต์หลวงพ่อเกษม สุสารไตรลักษณ์ ลำปาง
-น้ำมนต์ วัดหนองช้างคืน

 -ปูนเปลือกหอย พลอยพระธาตุจอมทอง

 -เกษาครูบาจันต๊ะ วัดหนองช้างคืน

 -ชานหมากพ่อแก่ แร่ร่องระกำ เพชรบุรี
-ผงขุนแผนหลวงปู่ทิม วัดระหาไร่ ระยอง 1 ถ้วย

 -ลูกอมผงพรายกุมาร 1 ลูกของหลวงปู่ทิม วัดระหารไร่ ระยอง

 -ผงได้มาจากอาจารย์วัดป่างิ้ว อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ได้มาจากลูกศิษย์ของหลวงปู่ทิม

 ซึ่งผงดังกล่าวได้นำมาผสมทำผง " ขุนแผนชัยมงคล " รุ่นนี้ด้วย
จากนั้นได้แผ่เมตตาอธิฐานจิตเดี่ยว โดย ครูบาจันต๊ะ วัดหนองช้างคืน ต.หนองช้างคืน อ.เมือง จ.ลำพูน

ช่วงระหว่างวันที่ 1 - 25 กรกฎาคม 2544

- ธรรมดา - เนื้อขาวอมน้ำตาลส้ม จำนวน 4,804 องค์
ชนิดพิเศษ

- เนื้อสีดำ (ผสมเกษา วัดหม้อคำตวง) จำนวน 100 องค์

- เนื้อขาวอมน้ำตาลส้ม ตะกรุดทอง โรยผงทอง จำนวน 9องค์
- เนื้อขาวอมน้ำตาลส้ม ตะกรุดเงิน 3 ดอก จำนวน9 องค์
- เนื้อสีดำ ตะกรุดเงิน 1 ดอก จำนวน 5 องค์
- เนื้อสีดำ ตะกรุดเงิน - ทอง จำนวน 3 องค์
- เนื้อสองสี ตะกรุดเงิน - ทอง จำนวน 2 องค์
- เนื้อสองสี ตะกรุดเงิน 1 ดอก จำนวน 5องค์
- เนื้อขาวอมน้ำตาลส้ม ตะกรุดเงิน 1 ดอก จำนวน41 องค์
- เนื้อขาวอมน้ำตาลส้ม ทาทองพิเศษ จำนวน 300 องค์

ครู บาจันต๊ะ(รุ่นแรก) ออกปีพ.ศ.2537 มีส่วนผสมผงสมเด็จหลวงพ่อแดง วัดเขาบันไดอิฐและผงพรายกมารของปู่ทิมที่ลูกศิตษ์เก็บไว้นำผสมกับพระคง พระเปิม ที่หักด้วย คุณวิเศษไปทางด้านเมตตา มหานิยม องค์ที่แต้มแดงเอาไปให้หลวงพ่อคูณเสกเพิ่มอีกที่ครับคนสร้างเป็นคนเอาไปให้ หลวงปู่เองครับ ถือเป็นขุนแผนแห่งเมืองเหนือครับ ใครมีไว้ใช้บอกสุดยอดมากเลยครับ สาวรักสาวหลงครับ และพุทธคุณที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในหมู่นักเล่นพระเชียงใหม่ลำพูน จำนวนสร้างชัดเจน และมีจำกัด ของเก๊ยังไม่มี ปัจจุบันเริ่มหายากแล้ว เพราะคนพากันหันมาเก็บกันมากขึ้น พระขุนแผนมีจำนวนการสร้างทั้งหมดเพียง 6,337 องค์เท่านั้น (รวมทุกสี) ด้านหลังองค์พระมีทั้งปั้มตราวัด จาร และไม่มีตราวัดครับ ปี254iรร4 ก่อนที่ครูบาจะมรณะภาพได้มีการสร้างขุนแผนรุ่น2มวลสารเหมือนรุ่นแรก เพียงแต่เปลี่ยนรูปแบบของพิมพ์



เมื่อปี2544 ก่อนที่ครูบาจะมรณะภาพได้มีการสร้างขุนแผนรุ่น2มวลสารเหมือนรุ่นแรก เพียงแต่เปลี่ยนรูปแบบของพิมพ์
เมื่อ ปี25ครูบาจันต๊ะ ท่านได้มรณะภาพไปแล้ว ตอนท่านมรณะได้มีผึ้งหลวงมาทำรังในโลงท่านถึง11 รัง จนเป็ฯที่ฮือฮาในข่าวหน้าหนังสือพิมพ์ และร่างของท่านไม่เน่าเปื่อยปัจจุบันอยู่ที่วัด ขุนแผนของท่านสร้างจากผงกระดูกกุมาร หรือ ผงพลายกุมารที่ท่านสร้างเองตามตำราทางเหนือประสบการณ์ มีลุงลุงหลายคนไม่ย่อมเปลี่ยนพระห้อยเลย ห้อยขุนแผน ขงอครูบาจันต๊ะ อย่างเดียวไม่ยอมเปลี่ยนก็จะเปลี่ยนได้อย่างไร เล่นเอาสาว เข้าบ้านไม่ซ้ำน่าเลย ทั้งที่ไม่ใช่คนหน้าตาดี แถมยังสียงดัง พูดไม่เพราะด้วยนอกจากนี้ ก็มีหัวหน้าป่าไม้ เจ้าของร้านอาหาร และ อีกหลายท่านที่ใช้ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ของท่านแรงจริงๆ เรื่องผู้หญิงเท่าที่ผมทราบมาแบบว่าเปลี่ยนไม่ซ้ำก็แล้วกัน นี่แหละครับขุนแผนพลายกุมาร อันดับหนึ่งของทางเหนือ ที่ท่านสร้างจากกระโหลกพลายกุมารจริงๆดูเหมือนพระใหม่ ๆ แต่นี่แหละครับของแรงจริงๆ อย่างพราะหลวงปู่ทิมตอนออกมาใหม่ๆก็เหมือนกันคนเห็นเป็นสีขาว พระพิมพ์ใหม่ๆ ไม่คิดว่าจะดัง แล้วตอนนี้ละครับ ราคาแซงพระกรุเสียอีก ครูบาจันต๊ะท่านมรณะภาพอายุแปดสิบกว่าปี เมื่อสี่ปีกว่า ท่านเป็นเกจิยุคเดียวกับครูบาชุ่ม โพธิโก แต่ท่านพึ่งมาสร้างพระขุนแผนเมื่อปี ๓๗ นี่เองเป็นรุ่นแรก ท่านบอกสร้างก็สร้างให้ดี ไม่ดีก็ไม่สร้างดีกว่า ขุนแผนรุ่นนี้เดิมที่ดังในพื้นที่และคนที่รู้ต่อมาผู้ไปใช้ต่างเจอประสบ การณ์รื่องหญิงเป็นหลักท่านได้สร้างไว้ สองรุ่น รุ่นสองก็สร้างจำนวนไม่มากครับ ดูเหมือนพระใหม่ๆ แต่ประสบการณ์นี่ซิ หลายคนเอาไปใส่ตลับทองแขวนเดี่ยวเลยน่ะครับ
นี่แหละครับ ขุนแผน พลายกุมารทางเหนือที่สร้างจากตำราโบราณของทางเหนือ ลองหามาห้อยดูสักองค์ซิครับ แล้วจะรู้ว่ามหาเสน่ห์เป็นอย่างไร รุ่นแรกท่านสร้างไว้ไม่มากครับ ตอนนี้หายากขึ้นเรื่อยๆ ต่อไปคิดว่าหาไม่ได้แน่นครับ ครูบาจันต๊ะท่านสร้างด้วยจิตที่บริสุทธิ์ และ สร้างเพื่อสืบทอด ยอดผงพลายกุมารตามตำราโบราณทางเหนือ เรื่องสตรีนี้อยากให้คนที่เอาไปใช้มาเล่าให้ฟังเองจัง

23


พระ อธิการจันต๊ะ อนาวิโล ( ครูบาจันต๊ะ )เกิดเมื่อวันจันทร์ที่ 28ก.พ.2468 ที่ตำบลหนองช้างคืน อ.เมือง จ.ลำพูน เมื่อเยาว์วัยได้มาเป็นลูกศิษย์วัดหนองช้างคืนเพื่อศึกษาเล่าเรียนจากครูบา อาจารย์หลายท่าน เมื่อมีอายุได้ 12ปีได้บรรพชา จนเมื่อท่านอายุได้ 20 ปีท่านก็ได้อุปสมบท เมื่อวันที่ 5มิ.ย.2487 ท่านได้เล่าเรียนธรรมจนสอบธรรมสนามหลวงแผนกธรรม ชั้นโท พ.ศ. 2494 หลังจากนั้นท่านได้ขึ้นเป็นเจ้าอาวาสวัดหนองช้างคืนเมื่อ พ.ศ.2520 ท่านได้ปฏิบัติหน้าที่เจ้าอาวาสและได้พัฒนาวัดให้มีความเจริญรุ่งเรืองขึ้น เป็นตามลำดับ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างศาลาการเปรียญ กุฏิสงฆ์ บูรณะอุโบสถ ท่านมีความเมตตาธรรมสูง มีความสามารถพิเศษในด้านการเทศน์ธรรมมหาชาติ กัณฑ์มัทรี และได้รับการยกย่องเป็นอย่างสูงว่าเป็นเกจิอาจารย์ในด้านเครื่องลางของขลัง วัตถุมงคล คาถาอาคมและยันต์ต่างๆเป็นต้น จนเป็นที่รู้จักของคนทั่วไป ในปี 2537 และปี 2542 ท่านได้สร้างพระเครื่องครั้งใหญ่ขึ้นโดยเป็นเนื้อผงพุทธคุณ ได้แก่ พิมพ์ขุนแผน ขุนช้าง สังขจาย ล.ป.ทวด กลีบบัว และปิดตา วัตถุมงคลรุ่นนี้ต่อมาภายหลังได้รับความนิยมของในพื้นที่มาก โดยมีความโดดเด่นในเรื่องเมตตามหานิยม ค้าขาย โชคลาภ และแคล้วคลาดปลอดภัย โดยเฉพาะขุนแผนและขุนช้างนั้นได้รับการยอมรับเป็นอย่างสูงในเรื่องเมตตาและ มหาเสน่ห์โชคลาภ


ขุนแผน ครูบาจันต๊ะ(รุ่นแรก)



 
ขุนแผนครูบาจันต๊ะ อนาวิโล จังหวัดลำพูน พระมาแรงแห่งยุค
ขุนแผน ครูบาจันต๊ะ(รุ่นแรก) กรรมการหายาก ออกปีพ.ศ.๒๕๓๗ มีส่วนผสมผงสมเด็จหลวงพ่อแดง วัดเขาบันไดอิฐและผงพรายกมารของปู่ทิมที่ลูกศิตษ์เก็บไว้นำผสมกับพระคง พระเปิม ที่หักด้วย คุณวิเศษไปทางด้านเมตตา มหานิยม ถือเป็นขุนแผนแห่งเมืองเหนือครับ ใครมีไว้ใช้บอกสุดยอดมากเลยครับ สาวรักสาวหลงครับ ผมกำลังหันมาเก็บพระจากสำนักนี้อยู่ เพราะเชื่อมั่นถึงอนาคต และพุทธคุณที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในหมู่นักเล่นพระเชียงใหม่ลำพูน จำนวนสร้างชัดเจน และมีจำกัด ของเก๊ยังไม่มี ปัจจุบันเริ่มหายากแล้ว เพราะคนพากันหันมาเก็บกันมากขึ้น ด้านหลังองค์พระมีทั้งปั้มตราวัด จาร และไม่มีตราวัดครับ
เปิดตำนานเรื่องจริงยอดขุนแผนพลายกุมารอันดับ1ของทางเหนือที่เด่นเรื่องสตรีล้วนๆ


จนท่านมรณะภาพเมื่อวันพฤหัสบดีที่26 ก.ค.2544 รวมสิริอายุได้ 76 ปี พรรษา56 เมื่อท่านมรณะภาพ ได้เกิดเหตุอัศจรรย์ขึ้น เมื่อฝูงผึ้งได้เข้ามาทำรังในโลงของท่านรังใหญ่ด้วยกัน ต่อเมื่อจะทำการพิธีพระราชทานเพลิงศพฝูงผึ้งเหล่านั้นกลับได้ออกไปเองโดยไม่ มีใครไปทำลายแต่อย่างใด



24
สวัสดีครับพี่ๆน้องๆทุกท่าน ผมน้องใหม่ จ.ลำพูน ขอรายงานตัวครับ :054: :054: :054:

25
เสือเหลียวหลัง ของพระอาจารย์ราชัน เชียงใหม่ครับ


หน้า: [1]