ผู้เขียน หัวข้อ: มงคล ๘ ประการ  (อ่าน 3920 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ลูกผู้ชายตัวจริง

  • สัตตมะ
  • **
  • กระทู้: 741
  • เพศ: ชาย
  • กูจะกลับมากู้แผ่นดิน ให้พ้นภัยศัตรู
    • MSN Messenger - namo159@HOTMAIL.COM
    • ดูรายละเอียด
    • อีเมล
มงคล ๘ ประการ
« เมื่อ: 01 มี.ค. 2550, 11:40:17 »
มงคล ๘ ประการ

 

มงคล ๘ ประการ หรือที่เรียนกันสั้นๆ ว่า มงคล ๘ เป็นมงคลที่พุทธศาสนิกชนถือว่าเป็นมงคลภายนอก ไม่มีปรากฏในหลักธรรมของพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นที่ยอมรับประพฤติปฏิบัติกันอย่างแพร่หลาย

มงคล ๘ ประการแบ่งแยกได้เป็น ๒ กลุ่ม คือ สิ่งที่ถือว่าเป็นมงคล และสิ่งของที่ใช้เป็นสัญลักษณ์ของมงคล

สิ่งที่ถือว่าเป็นมงคล ๘ ประการ

๑. ใบเงิน  ๒. ใบทอง  ๓. ใบนาค  ๔. ใบพรหมจรรย์  ๕. หญ้าแพรก ๖. ฝักส้มป่อย  ๗. ผิวมะกรูด ๘. ใบมะตูม

 

เหตุที่ถือว่า ใบไม้และผิวของผลไม้ ๘ อย่างเป็นมงคลเพราะถือว่า                       

ใบเงิน ใบทอง ใบนาค หมายถึง ความมั่งคั่ง

ใบพรหมจรรย์ หมายถึง ความบริสุทธิ์สะอาด

หญ้าแพรก หมายถึง ความเจริญงอกงามรวดเร็ว

ฝักส้มป่อย หมายถึง การล้างโรคภัย

ผิวมะกรูด หมายถึง ทำให้สะอาด

ใบมะตูม หมายถึง เทพพรของพระเป็นเจ้าของศาสนาพราหมณ์ทั้งสาม คือ พระศิวะ พระนารายณ์ และพระพรหม

 

 

เหตุที่จะอ้างว่าสิ่งของทั้ง ๘ ถือเป็นสัญลักษณ์ของมงคลในศาสนาพราหมณ์ มีดังนี้

กรอบหน้า พจนานุกรมฉบับราชบัณทิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕ อธิบายว่า 

?น. เครื่องประดับหน้าผากเป็นรูปกระจัง?

สิ่งที่ถือว่าเป็นมงคล ๘ ประการจะมีปรากฏในหม้อหรือขันเทพมนต์ของพราหมณ์ หรือในหม้อในขันและในบาตรพระพุทธมนต์ที่เกี่ยวกับพิธีทางศาสนาโดยทั่วไป สิ่งของที่ใช้เป็นสัญลักษณ์ของมงคล ๘ ประการ ซึ่งมีประวัติผูกพันกับคติประเพณีของพราหมณ์รามวงศ์นำมาเผยแพร่ ได้แก่

๑.กรอบหน้า ๒. ตะบอง (คทา ) ๓. สังข์ ๔. จักร ๕. ธงชัย (ธงชาย) ๖. ขอช้าง ๗. โคอุสภะ ๘. หม้อน้ำ

สิ่งของที่ใช้เป็นสัญลักษณ์ของมงคล ๘ อย่างนี้ กล่าวกันว่ามีประวัติผูกพันกับคติประเพณีของพราหมณ์รามวงศ์นำมาเผยแพร่ ซึ่งมีชี่อเป็นภาษาบาลีว่า อัฎฐพิธมงคล ซึ่งแปลว่ามงคล ๘ ประการนั่นเอง




เหตุที่ กรอบหน้า เป็นสัญลักษณ์ของมงคล หม่อมเจ้าหญิงพูนพิศมัย ดิศกุล ทรงอธิบายว่า ?เครื่องประดับหัวอันเป็นหลักของกาย?  ส่วนคำโบราณของเก่าอธิบายพอเก็บความได้ว่า ?กรอบหน้ามีความสัมพันธ์กับหญ้าแพรกและสายสิญจน์?

กล่าวคือ หญ้าแพรกที่ถือว่าเป็นใบไม้มงคลอย่างหนึ่งนั้นมีกำเนิดมาจากบัลลังก์อาสน์ของพระนารายณ์ซึ่งบรรทมหลับอยู่เหนือ หลังพญานาคที่ขดตัวเป็นวงเป็นแท่นบัลลังก์ เมื่อพระนารายณ์เสด็จลงมาช่วยมนุษย์แล้วก็จะเสด็จกลับไปบรรทม ณ แท่นบัลลังก์พญานาคเป็นเวลานานมากๆ นานมากจนกระทั่งปรากฏว่า หนวดของพญานาคได้เจริญงอกงามและยาวขึ้นเรื่อยๆ เมื่อยาวมากก็หลุดลอยไปตามกระแสน้ำ บ้างก็มาติดอยู่ตามชายฝั่งทะเล แล้วกลายเป็นหญ้าแพรก ภายหลังมนุษย์รวมเหตุที่มาของหญ้าแพรก เกิดความศรัทธาว่าเป็นมงคล จึงเอามาทำเป็นมงคลบ้าง สายสิญจน์บ้าง ถักทำเป็นครอบหน้าสวมศีรษะบ้าง ซึ่งในเวลาต่อมามงคลและสายสิญจน์ได้ถูกเปลี่ยนจากหญ้าแพรกเป็นด้ายดิบในปัจจุบัน รวมทั้งกรอบหน้าก็ได้เปลี่ยนจากหญ้าแพรกมาเป็นสิ่งอื่นจนถึงเป็นโลหะเช่นในปัจจุบัน ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของมงคลสิ่งหนึ่ง




 

ตะบอง หรือคทา หม่อมเจ้าหญิงพูนพิศมัย ดิศกุล ทรงอธิบายว่า ?เป็นศาตราวุธอย่างหนึ่งของพระนารายณ์เป็นเจ้า? ตำราโบราณอธิบายเก็บความได้ว่า ?ตะบองเดิมเป็น เทพวราวุธของพระพรหม ทำจากเถาวัลย์บนยอดเขาพระสุเมรุ พระนารายณ์ได้เสด็จไปพบเข้า จึงถอนเอามาด้วยพละกำลังอันแรงกล้า แล้วบิดให้เถาวัลย์นั้นเข้ารวมกันจนเป็นเกลียว แล้วถวายพระพรหมเพื่อทรงใช้เป็นเทพวราวุธคู่พระหัตถ์ ต่อมาพระพรหมถวายแด่พระอิศวร ตะบองนี้มีอานุภาพมากเป็นที่หวั่นเกรงของหมู่ยักษ์และภูตผีปิศาจ? เรื่องตะบองศักดิ์สิทธิ์นี้ได้ถูกจำลองมาทำด้วยใบลานหรือใบตาลเป็นรูปแบนๆ เรียกว่า ?ตะบองเพชร? ตรงปลายทำเป็นหงอน ซึ่งความจริงเป็นรูปพรหมสี่หน้า แต่ทำพอเป็นเลาๆ จึงไม่เห็นชัด ในเวลาโกนจุกเด็กๆ พราหมณ์จะให้เด็กถือตะบองดังกล่าวนี้ไว้เพื่อป้องกันสรรพภัยพิบัติ และช่วยให้เกิดสิริมงคล และในพระราชพิธีตรุษสมัยก่อน ผู้ฟังสวดภาณยักษ์ จะได้รับแจกตะบองเพชร  (ใบลาน) ให้ถือกันด้วย




 

สังข์  ในคำโคลงเป็น ศรีสังข์ หม่อมเจ้าหญิงพูนพิศมัย ดิศกุล ทรงอธิบายว่า เป็นศาตราวุธของพระนารายณ์เช่นเดียว กับตะบอง ในตำราของเก่าเล่าว่า

?ในปฐมกัลป์ โลกของเรายังว่างเปล่าอยู่ พระอิศวรได้ทรงสร้างสรรพสิ่งต่างๆ ขึ้นมาอีกจนครบถ้วน แล้วก็ทรงพระราชดำริจะสร้างคัมภีร์พระเวทขึ้นไว้คู่กับโลก จึงทรงมีเทวบัญชาให้พระพรหมสร้างขึ้น เมื่อพระพรหมสร้างเสร็จแล้วก็นำไปถวายพระอิศวรแต่ขณะเสด็จมาเกิดความร้อนพระวรกายและบังเอิญผ่านมหาสมุทร พระพรหมจึงหยุดสรงน้ำ โดยวางพระคัมภีร์ไว้ ณ ริมฝั่งมหาสมุทร ขณะเดียวกัน มีพรหมอีกคู่หนึ่งเป็นคู่อาฆาตกันได้จุติจากพรหมโลกลงมาเกิดเป็นยักษ์หอยสังข์มีชื่อว่า ?สังขอสูร? สิงสถิตอยู่ในแถบมหาสมุทรแห่งนั้น เห็นคัมภีร์พระเวท จึงแอบขโมยเอามากลืนเข้าไปไว้ในท้อง

แล้วลงไปนอนกบดานนิ่งอยู่ใต้ท้องมหาสมุทร พระพรหมเสด็จขึ้นจากน้ำไม่เห็นคัมภีร์พระเวท ตกพระทัยรีบเสด็จไปเฝ้าพระอิศวร กราบทูลให้ทรงทราบ พระอิศวรทรงทราบด้วยพระญาณจึงมีเทวบัญชาให้พระนารายณ์ลงไปปราบและนำคัมภีร์พระเวทคืนมา พระนารายณ์รับโองการแล้ว เสด็จลงไปปราบสังขอสูรโดยอวตารหรือแปลงองค์เป็นปลากรายทอง(มัสยาวตาร)ทรงปราบสังขอสูรได้แล้วแหกอกล้วงเอาพระเวทกลับคืนไปถวายพระอิศวร พระอิศวรจึงสาปว่า ถ้าผู้ใดจะทำการมงคลให้ใช้สังข์เป็นเครื่องหลั่งน้ำมนต์เป็นการประสาทพรจะทำให้เกิดสวัสดิมงคล พวกเป่าสังข์ให้เกิดเสียงดังก็จะเกิดสวัสดิมงคลจนกระทั่งสิ้นเสียงสังข์?

สังข์ หรือ หอยสังข์จึงถือกันว่าเป็นสัญลักษณ์ของมงคล เพราะจุติมาจากพรหมโลก เคยเป็นที่เก็บพระเวท และ ต้องพระหัตถ์พระนารายณ์มาแล้ว




 

จักร เป็นเทพวราวุธของพระอิศวรมีรูปเป็นวงกลม อย่างวงล้อและมีแฉกโดยรอบ ๙ แฉก เวียนไปทางขวาเป็น ทักษิณาวัตร ซึ่งหม่อมเจ้าหญิงพูนพิศมัย ดิศกุล ทรงอธิบายว่า เป็นศาตราวุธของพระนารายณ์ ตำราเก่าเล่าความเป็นมาและความศักดิ์สิทธิ์ของ ?จักร? ไว้เป็นใจความว่า

?พระอิศวรทรงสร้างเทวดานพเคราะห์ขึ้น ๙ องค์ คือ พระอาทิตย์ พระจันทร์ พระอังคาร พระพุธ พระเสาร์ พระพฤหัสบดี พระราหู พระศุกร์ และพระเกตุ ให้อยู่ในวิมาน ๙ วิมาน มีหน้าที่ตระเวนรอบจักรราศี ซึ่งแบ่งออกเป็น ๑๒ ราศี โดยเทวดานพเคราะห์ทั้ง ๙ องค์ หมุนเวียนผลัดเปลี่ยนกันไปตามลำดับนับตั้งแต่พระอาทิตย์ไปจนพระเกตุ และเทวดานพเคราะห์นั้นอาจบันดาลให้มนุษย์ประสบผลดีผลชั่วได้ ดังนั้นจึงถือว่าเป็นจักราวุธของพระอิศวร และถูกจำลองมาเป็นจักรมี ๙ แฉก แยกตามลำดับดาวนพเคราะห์ เช่น แฉกที่ ๑ พระอาทิตย์ แฉกที่ ๒ พระจันทร์ เรียงลำดับไป ดังนั้นผู้ที่ต้องการบำบัดทุกข์ภัยที่เกิดขึ้น จึงประกอบพิธีกรรมบวงสรวงเทวดา และนำจักร ๙ แฉกซึ่งถือว่าเป็นเทพวราวุธของพระอิศวร จัดเป็นสิ่งมงคล แทนเทวดาทั้ง ๙ เข้าร่วมในพิธีกรรม?




 

ธงชัย หรือธงชาย เหตุที่เรียกว่า ?ธงชัย? หมายถึง ธงอันจะนำมาซึ่งชัยชนะ เป็นธงที่นำกองทัพ ส่วนที่เรียกว่า ธงชาย นั้นเพราะรูปลักษณะเป็น ธงสามเหลี่ยม มีชายห้อยลงมาเป็น ๓ ชาย ชายหนึ่งหมายถึงพระอิศวร ชายหนึ่งหมายถึง พระนารายณ์ และอีกชายหนึ่งหมายถึงพระพรหม ธงดังกล่าวนี้เป็นธงนำกองทัพเทวดา ยกออกไปรบยักษ์ และได้ชัยชนะเป็นประจำ ธงชายจึงมาเป็นธงชัย ต่อมาได้มีการเปลี่ยนแปลงรูปทรงของธงชัยไปบ้าง ดังธงชัยประจำกองทัพ กองพัน ธงประจำองค์พระมหากษัตริย์ในการเสด็จพระราชดำเนินขบวนพยุหยาตรา ธงชัย หรือ ธงชาย จึงเป็นสัญลักษณ์ของสิ่งอันเป็นมงคลประการหนึ่ง




 

ขอช้าง เป็น เทพวราวุธของพระพิฆเณศวร ซึ่งเป็นโอรสของพระอิศวร ขอช้างได้รับความนับถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของสิ่งมงคลนั้น ตำราเล่าว่า ?ในป่าหิมพานต์ ครั้งหนึ่งเกิดมีช้างพลายเชือกหนึ่งชื่อ เอกทันต์ เป็นช้างที่ดุร้ายมีฤทธิ์มากเที่ยวสร้างความเดือดร้อนให้เทวดาและมนุษย์จนอยู่ไม่เป็นสุข ไม่มีใครปราบได้ พระอิศวรจึงทรงมีบัญชาให้พระนารายณ์ลงมาปราบ ช้างเอกทันต์พยายามหลบหนีเพราะรู้ตัวดีว่าสู้ไม่ได้ พระนารายณ์ตามไปจนพบ และทรงใช้บ่วงบาศคล้องเอาช้างเอกทันต์ไว้ได้ แต่เกิดปัญหาว่าบริเวณที่จับช้างได้นั้น เป็นทุ่งกว้างโล่ง ไม่มีต้นไม้หาที่ผูกช้างไม่ได้ ในที่สุดจึงทรงปักตรีศูลอันเป็นเทพศาตราวุธลงไปในดิน แล้วตรัสสั่งให้เทพศาตราวุธนั้นเป็นต้นไม้ใหญ่ ทันใดนั้นเทพศาตราวุธก็กลายเป็นต้นมะตูมใหญ่ จึงทรงผูกช้างไว้กับต้นมะตูมทรมานจนช้างคลายพยศ แล้วเสด็จขึ้นทรงพร้อมกับหักกิ่งมะตูมอันเป็นหนามมาทำเป็นขอช้าง บังคับนำช้างไปเฝ้าพระอิศวร และต่อมา พระนารายณ์ก็ทรงมอบขอช้างนั้นแก่พระพิฆเณศวร เป็นเทพอาวุธประจำพระองค์ดังกล่าวแล้ว ดังนั้นไม้มะตูมจึงถือว่าเป็นมงคล มักจะนำใบมะตูมใส่ลงไปในน้ำมนต์หรือรดน้ำมนต์แล้วก็เอาใบมะตูมทัดหู ด้วยถือว่าเป็นสิริมงคลเหมือนกับขอช้าง?




 

โคอุสภะ บางแห่งเรียกว่า โคอุสภราช เป็นพาหนะของพระอิศวร ดังนั้นเมื่อจะทำการมงคลใดๆ จึงนิยมเอามูลโคมาเจิมที่หน้าผากเพื่อให้เกิดสิริมงคล แต่เมื่อประเพณีดังกล่าวแพร่มาถึงเมืองไทยได้เปลี่ยนแปลงมูลโคเป็นแป้งกระแจะละลายในน้ำหอมแทน เหตุที่เจิมตรงหน้าผาก ก็เพราะเชื่อว่าที่หน้าผากนั้นเป็นที่อยู่ของสิริประจำตัวมนุษย์ทุกคน หรือบางท่านกล่าวว่าตรงหน้าผากเป็นที่สถิตของดวงตาที่ ๓ ของพระอิศวร จึงเจิมตรงนั้นให้เป็นสิริมงคลหรือเป็นสัญลักษณ์ของมงคลอย่างหนึ่ง




 

หม้อน้ำ ถือกันว่า พระอุมาซึ่งเป็นมเหสีพระอิศวร ทรงเลี้ยงโลกมาด้วยน้ำนมจากพระถันยุคล จึงจำลองมาเป็นหม้อน้ำมนต์ หรือครอบน้ำมนต์ มีน้ำเต็ม บางแห่งเรียกว่าเต้าน้ำมนต์ และใน หม้อน้ำมนต์ หรือครอบน้ำมนต์ แม้บาตรน้ำมนต์ก็มักจะใส่สิ่งอันเป็นมงคล คือ ใบทอง ใบเงิน ใบนาค ใบพรหมจรรย์ ฝักส้มป่อย หญ้าแพรก ผิวมะกรูด และใบมะตูม หรือจะใช้ดอกบัว ลอยแทนก็ได้ จะลอย ๕ ดอก ๓ ดอก หรือดอกเดียวก็ได้ตามขนาดของที่บรรจุน้ำมนต์ การใช้ดอกบัวลอยเป็นอีกคติหนึ่ง คือ สมมุติว่าน้ำนั้นได้มาจากสระโบกขรณี หม้อน้ำมนต์ถือว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งสิ่งอันเป็นสิริมงคลอย่างยิ่งอย่างหนึ่ง ดังจะเห็นได้ว่าการทำบุญส่วนใหญ่มักจะมีหม้อน้ำมนต์ หรือครอบน้ำมนต์ตั้งอยู่ด้วยเสมอ ไทยเราสมัยโบราณ มักจะมีหม้อใส่น้ำเต็มตั้งไว้หน้าพระในห้องพระเสมอ และนำน้ำนั้นมาล้างหน้า โดยถือว่าเป็นน้ำมนต์เพราะก่อนนอนคนไทยมักจะสวดมนต์ไหว้พระเสมอ

เรื่องมงคล ๘ ประการ เป็นคติความเชื่ออันเกิดจากศาสนาพราหมณ์ แต่ยังเป็นความเชื่อที่พุทธศาสนิกชนนิยมนับถืออยู่ และถือว่าจะบันดาลให้ตนมีความสุข