ตถตาอาศรม ริมฝั่งโขง
๑๙ กันยายน ๒๕๕๓
.....รอยทาง.....
ช่วงนี้อากาศแปรปรวน ฝนตกเกือบทุกวัน ลมหนาวเริ่มจะมา
กลางวันลมพัดแรง กลางคืนอากาศหนาว ทำให้ต้องปรับสภาพร่างกายให้รับได้
กับสภาพอากาศที่แปรปรวน ก็คือการหมั่นออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง
การออกกำลังกายของพระก็คือการทำงาน กวาดวิหารลานวัด เคลื่อนไหวร่างกาย
ให้เหงื่อมันได้ระบายออกมา หลังจากทำกิจวัตรของสงฆ์ในช่วงเช้าแล้ว ลงไปดูงาน
ก่อสร้างและสั่งงานให้พระช่วยกันทำามความถนัดของแ่ละท่าน เช่นตัดหญ้าในสวนป่า
ปลูกต้นไม้ประดับรอบอุโบสถและลานธรรม ต่อรถเข็น ตอนบ่ายมีญาิติโยมเอาเสื้อมา
ถวายเพื่อไว้แจกฝีพายชุดผู้หญิง จึงลงไปคุมเด็กๆสกรีนส์เสื้อทีม เด็กๆที่สอนไว้เริ่ม
ที่จะทำกันเป็นแล้ว เพียงแ่ต่ต้องคอยแนะนำเทคนิคอีกเล็กน้อยเวลามีปัญหาและการ
ลงน้ำหนักเวลาปาดสกรีนส์ ซึ่งเด็กๆเริ่มเข้าใจและทำกันได้ ตอนเย็นลงไปดูฝีพายซ้อม
เพราะว่าเพิ่มทีมฝีพายผู้หญิงมาอีกสองชุด จึงต้องลงไปชี้แจงทำความเข้าใจกับผู้ที่มาใหม่
ได้เวลาทำวัตรสวดมนต์เย็นจึงกลับขึ้นมาทำกิจของสงฆ์ เสร็จแล้วกลับที่พักปฏิธรรมต่อ
ตามปกติที่ทำมา สมควรแก่เวลาจึงได้จำวัตรพักผ่อน
.....รอยธรรม.....
ทบทวนสภาวะธรรมต่างๆที่เคยผ่านมา โดยการน้อมจิตพิจารณาธรรม
ในกรรมฐานแต่ละกอง ลำดับสภาวะธรรมต่างๆที่เกิดขึ้น ว่าเป็นอย่างไร อะไรเกิดขึ้นบ้าง
อะไรเกิดขึ้นก่อน อะไรเกิดขึ้นที่หลัง เพื่อป้องกันไม่ให้สับสน เป็นการเจริญวิมังสาใคร่ครวญ
พิจารณาในธรรมทั้งหลายตามหลักของอิทธิบาท ๔ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการปฏิบัติธรรม
ที่จะทำให้รู้และเข้าใจจดจำได้ ถึงที่มาและที่ไป เหตุปัจจัยที่ทำให้สภาวะธรรมต่างๆนั้นเกิดขึ้น
เพราะเมื่อรู้และเข้าใจ จำทางเดินของจิตได้นั้น มันจะทำให้เข้าอารมณ์สมาธิได้ง่าย และเร็วขึ้น
เป็นการฝึกจิตให้เป็นวสี คือมีความชำนาญในการเข้าออกอารมณ์ จึงจำเป็นที่้ต้องกระทำในทุกครั้ง
หลังจากการเจริญสติภาวนา ต้องมาทบทวนว่ามันเกิดอะไรขึ้นมาบ้าง ทำไมมันจึงเกิด เกิดขึ้นได้
อย่างไร อะไรเป็นเหตุและปัจจัยที่ทำให้มันเกิด นักปฏิบัติธรรมส่วนใหญ่จะขาดในสิ่งนี้ คือการทบทวน
เพราะเมื่อเลิกปฏิบัิติแล้ว ก็เลิกแล้วเลิกเลยลืมการทบทวนพิจารณา ทำให้จำไม่ได้ว่าจิตนั้นเดินมาอย่างไร
พอกลับมาปฏิบัิิติใหม่ ก็ต้องมาเริ่มคลำทางใหม่ ไม่ได้ต่ออารมณ์จากที่เคยปฏิบัติมา ทำให้ความเจริญก้าว
หน้าในการปฏิบัิตินั้นช้าลง
พุทธสุภาษิต
" ผู้ใดทุศีล มีจิตไม่มั่งคง แม้มีอายุอยู่ร้อยปี ก็สู้คนมีศีล แม้มีชีวิตอยู่วันเดียวยังดีเสียกว่า "
" โย จ วสฺสสตํ ชีเว ทุสฺสีโล อสมาหิโต เอกาหํ ชีวิตํ เสยฺโย สีลวนฺตสฺส ฌายิโน "
.....รอยกวี....
ในอ้อมกอดของขุนเขา
ใ้ต้ร่มเงาหมู่มวลพฤกษา
ท่ามกลางสายลมที่พัดโชยมา
บนจุดหนึ่งของกาลเวลา
จงถามตัวเองอยู่เสมอว่า...
แสวงหาให้ได้มาซึ่งสิ่งใด
ทบทวนในสิ่งที่ได้ผ่านไป
ว่าความมุ่งหวังที่ตั้งใจไว้
นั้นก้าวไกลถึงไหนแล้ว....
ไม่มีคำว่าสายสำหรับการเริ่มต้น
มันอยู่ที่ทุกคนจะคิดและทำหรือไม่
อย่าได้น้อยใจและโทษวาสนาบารมี
ต่อว่าัตัวเรานั้นไม่ดีไม่มีอำนาจวาสนา
เพราะว่าการทำอย่างนั้นเท่ากับการแช่งตัวเอง
ขาดความศรัทธาเชื่อมั่นในการกระทำของตนเอง
ซึ่งมันจะทำให้มีแ่ต่ความเสื่อมถอยไม่มีความเจริญ
จงมีความศรัทธาเชื่อมั่นในตนเอง
ศรัทธาและเชื่อมั่นในความดีที่ได้กระทำมา
ทบทวนมองหาความดีที่เราได้เคยกระทำ
น้อมนำมาคิดและพิจารณาเพื่อให้ศรัทธานั้นเกิด
เพราะว่าชีวิตของแต่ละคนที่ผ่านมาย่อมมีคุณค่า
คุณค่าของชีวิตคือจิตที่ใฝ่หาซึ่งความดีของชีวิต
จงคิดใคร่ครวญทบทวนว่า...เรามีคุณค่าของชีวิตแล้วหรือยัง....
.........................................
ด้วยความปรารถนาดีและไมตรีจิต
รวี สัจจะ-สมณะไร้นาม
๑๙ กันยายน ๒๕๕๓ เวลา ๐๗.๒๒ น. ณ ศาลาน้อยริมน้ำโขง ชายขอบประเทศไทย