แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - •••--สายัณ--•••

หน้า: [1]
1


ภาพของ เอ นครลุง






3
อิทธิมหามงคลไตรมาส ๒๕๓๗ พระผงนั่งเสือ รุ่นสมปราถรถนา หลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ ๙๙๙๙๙๙๙๙๙
ไม่รู้ว่าออกที่วัดบางพระหรือเปล่า






4
หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ วัดบ้านไร่ 4 ตุลาคม 2537 ครบ 6 รอบ 72 ปี
ตัวหนังสือ ล้วนเป็นอักขระขอมทั้งสิ้น





image hosting jpeg

image upload

5
สมเด็จไกเซอร์ หลังรูปเหมื่อน รุ่นแรก หลวงพ่อไสว วัดปรีดาราม








6
เบี้ยแก้เปลื้อย พระอาจารย์ปุ้ม วัดศาลาแดง
ขออนุญาต นำมาลงครับ




7
เหรียญ หลังเสือหมอบ ปี 2519 หลวงพ่อทองอยู่ วัดใหม่หนองพะอง



8
ผมมีเรื่องสงสัย เกี่ยวกับ เสือบูชาครู ปี ๔๓
ทำใม มีแบบไม่มีหูกับห่วง กับ มีหูกับห่วง
ช่วยออกความเห็น ด้วยครับ
ต้องขออนุญาต นำภาพจาก การเดินท่อง Google มาลงครับ (ไม่มีกล้องถ่ายรูป)
ส่วนของผม เป็นแบบมีห่วง+หู

แบบไม่มี



แบบมี


9
ภาพบายศรี วันไหว้ครูแสดงมุทิตาจิต วัดป่าศรีมหาโพธิ์วิปัสสนาราม เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2553   ธรรมเปิดโลก จักรวาล















บายศรีศาลเพียงตา





10
ผมขออนุญาต ดูดมาจากที่อื่น ลืมไปแล้วว่าที่ไหน

อ.ประโยชน์ สัก


11
งานเจริญมรณานุสติกัมมัฎฐาน (อธิฐานตาย นอนโลงศพ) ประจำปี 2552
เริ่มงาน วันที่ 1 กันยายน ถึง 30 กันยายน 2552 นอนโลงตามคอร์ทวันละ คนละ 4ชั่วโมง ช่วงสุดท้าย
ใครมีตบะแกกล้าพอ นอนโลง 72 ชั่วโมง แต่สามารถ อธิฐานนอนโลงแบบ 4 อริยาบท ได้ แต่ไม่ถึงใจ

วันสุดท้าย มีการอธิฐานจิต เป่ายันต์เกราะเพชร ตำรับหลวงพ่อปาน
วัดบางนมโค โดย (ปู่ขาว) ท่านอาจารย์มหาวิสุทธิ์ ญาณวรปัญโญ

12
ปัจจัย 2 ล้านกว่า ถูกขโจร ลักในกุฎิ ต่อยอดจาก คนพิศวาสมีด

รายละเอียด ใน คมชัดลึก

http://www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROd01ERXdOekE1TURVMU1nPT0=&sectionid=TURNd01RPT0=&day=TWpBd09TMHdOUzB3T1E9PQ==
เวรกรรม นำสู่ขุมนรก

สำรอง
http://www.konrakmeed.com/webboard/upload/index.php?showtopic=7588&st=150&start=150




13
ภาพของ Mr.gottkung 

ขอเรียนถาม ผู้รู้ ว่า เหรียญมหามนต์จนไม่เป็น ท่านใดเป็นผู้ดำเนินการจัดสร้าง สร้างในวาระโอกาสใด ปีที่สร้างปีไหน
ครูบาอาจารย์ รูปใดอธิฐานจิตปลุกเสก สร้างจำนวนกี่องค์ สร้างกี่เนื้อ  :054: :054: :054:




14


หลวงพ่อบุญมี วัดอ่างแก้ว

เกิดวันศุกร์ที่ 6 ธันวาคม 2432 ตรงกับขึ้น 14 ค่ำ เดือนอ้าย ปีฉลู
อุปสมบท วันที่ 1 มิถุนายน 2452 ณ พัทธสีมาวัดอ่างแก้ว ภาษีเจริญ
มรณภาพ วันที่ 15 ธันวาคม 2524 เวลา 19.05 น.
รวมสิริอายุ 92 ปี 9 วัน 72 พรรษา

ท่านเป็นศิษย์ หลวงปู่เอี่ยม วัดหนัง

วัตถุมงคลที่ได้รับความนิยม
วัตถุมงคลที่ได้รับความนิยมสูงสุด คือ เหรียญเสมาใหญ่รูปเหมือนเต็มองค์ รุ่นแรก ปี 2503 มีเนื้อทองแดง เนื้อทองแดงกะไหล่เงิน และเนื้อทองแดงกะไหล่ทอง นอกจากนี้แล้วยังมีวัตถุมงคลอื่น ๆ อีกมากมายหลายชนิด

พุทธคุณที่เล่าสืบทอดกันมา
พุทธคุณในเหรียญรุ่นนี้เด่นทาง เมตตามหานิยม


รูปนำมาจากเวบขายพระ  ข้อมูลจาก google หมูหิน

15
คาถาแคล้วคลาด วัดไผ่ล้อม  แต่งโดยหลวงปู่พูล หรือ หลวงพี่น้ำฝน ไม่ทราบ คือ

พุทธัง แคล้วคลาด ธัมมัง แคล้วคลาด สังฆัง แคล้วคลาด
ขับรถไม่ประมาท แคล้วคลาด ปลอดภัย


ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพ สาธุ

16
ได้ข่าวว่า ลป.เจือ วัดกลางบางแก้ว สร้างมีดหมอ แบบสูตรโบราณ จำนวน 199 เล่ม
เท็จจริง อย่างไร ไม่ยืนยันได้ข่าวจาก ช่องจานดาวเทียม สนใจติดต่อวัดกลางบางแก้ว

17
ท่านอชิตะ สายตรงวัดชายนา ช่วยตอบให้หายสงสัยหน่อย
ลูกอมที่เป็นเนื้อดิน จาร ตัวนะ และ ลูกแก้ว จารตัวนะ
ที่หลวงพ่อตัด แจก เป็นถุงๆ เลย ทำแจกเนื่องในโอกาสอะไร
ดีทางไหน ความเป็นมาอย่างไร
ขอบคุณครับ

18
ได้ข่าว มาว่า วันที่ 7 พฤษภาคม 2552 เป็นวันไหว้ครู ของพระอาจารย์ปุ้ม  จริงหรือเปล่า ท่าน ack01 ช่วยตอบหน่อย :054:

19
คาถาบูชาพ่อปู่ฤาษีนำมาจากฐานรูปปั้นเยื้องกุฎิหลวงพี่ญา
นะโม 3 จบ
ฤ ฤๅ ฦ ฦๅ นะโมพุทธายะ นะมะพะทะ จะพะกะสะ มะอะอุ
สิทธิกิจจัง สิทธิกัมมัง สิทธิการิยะ คะถาคะโต
สิทธิเตโช ชะโยนิจจัง สัพพะลาภัง ภะวันตุ เม


ขอให้มีความสุขทั่วหน้าทุกๆ คนเทอญ

20
ไปเอามาจากเวบขายเสื้อ ดูเขาซิเออ


21
นำมาจาก เวบ วัดโฆษิตาราม ขอขอบคุณ และขออนุญาต ด้วย :017: :017: :017:





22
เป็นจั๊กกิ้ม พิการ หรือเปล่าไม่ทราบ เอามาจาก Zone-it



23
                                         ประวัติพระเดชพระคุณพระสุนทรธรรมากร
                                              (หลวงปู่คำพันธ์ โฆสปัญโญ)
                                         อดีตที่ปรึกษาเจ้าคณะอำเภอปลาปาก
                                  อดีตเจ้าอาวาสวัดธาตุมหาชัย อ.ปลาปาก จ.นครพนม

                                                        

พระเดชพระคุณพระสุนทรธรรมากร(หลวงปู่คำพันธ์ โฆสปัญโญ) อายุ ๘๙ พรรษา ๕๙ (พ.ศ.๒๕๔๖) เจ้าอาวาสวัดธาตุมหาชัย บ้านมหาชัย ต.มหาชัย อ.ปลาปาก จ.นครพนม
     สถานะเดิม ชื่อ คำพันธ์ ศรีสุวงค์ เกิดเมื่อวันที่ ๑๐ มกราคม พุทธศักราช ๒๔๕๘ โยมบิดาชื่อ นายเคน ศรีสุวงค์ โยมมารดาชื่อ นางล้อม ศรีสุวงค์ เป็นบุตรคนโต มีพี่น้องร่วมบิดา-มารดาเดียวกัน ๒ คน คือ
๑. พระเดชพระคุณพระสุนทรธรรมากร (คำพันธ์ ศรีสุวงค์)
๒. นายพวง ศรีสุวงค์ (ถึงแก่กรรม)
และมีน้องร่วมมารดา แต่ต่างบิดากันอีก ๔ คน คือ
๑. นางสด วงษ์ผาบุตร (ถึงแก่กรรม เมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๗)
๒. ด.ช.บด แสนสุภา (ถึงแก่กรรม)
๓. ด.ญ.สวย แสนสุภา (ถึงแก่กรรม)
๔. นางกดชา เสนาช่วย (ถึงแก่กรรม)

     การบรรพชา-อุปสมบท วันที่ ๗ กันยายน ๒๔๗๕ (อายุ ๑๗ปี) ได้บรรพชาเป็นสามเณร ที่วัดศรีบุญเรือง บ้านหนองหอย ต.นาแก อ.นาแก จ.นครพนม โดยมีพระอาจารย์เชือม เป็นพระอุปัชฌาย์ หลังจากได้บรรพชาแล้วก็ได้ศึกษาอักษรธรรม และหนังสือสูตรคาม แบบโบราณ ในขณะเดียวกันก็ได้ฝึกปฏิบัติกัมมัฎฐานควบคู่ไปด้วย หลังจากบรรพชาได้ ๓ พรรษา ได้ออกเดินธุดงค์ทรงกรดไปที่จังหวัดเลย พร้อมกับพระภิกษุ ๒ รูป คือ พระภิกษุบุญ และพระภิกษุวัน ก่อนหน้าที่จะได้ฝึกปฏิบัติกัมมัฏฐานนั้น เคยได้รับความรู้เรื่องกัมมัฏฐานมาจาก พระอาจารย์เสาร์ ซึ่งท่านไปอบรมประชาชนที่วัดโพนเมือง ท่านอาจารย์เสาร์ให้แนวทางในการ ปฏิบัติกรรมฐานไว้ว่า ให้กำหนดลมหายใจออก ท่านอาจารย์เสาร์ได้ให้ข้อคิดต่อ ไปอีกว่า ?ร่างกายของคนเรานั้น เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่ง มันทำงานอยู่ตลอดเวลา ลมหายใจเข้า-ออกนั้น มีความสำคัญมาก ถ้าลมไม่ทำงานคนเราจะตายทันที ดังนั้นจึงจำเป็นต้องกำหนดลมหายใจ? นอกจากนั้นท่านอาจารย์เสาร์ยังได้ย้ำอีกว่า ?ให้คนเราตีกลองคือขันธ์ ๕ ให้แตก? ซึ่งก็หมาย ความว่า ท่านให้ทำความเข้าใจขันธ์ ๕ ให้จงดีให้เข้าใจตามสภาพที่เป็นจริง........
     หลวงปู่ได้ยึดแนวทางในการปฏิบัติของท่านอาจารย์เสาร์ เป็นแนวทางในการปฏิบัติเรื่อยมา นับแต่นั้นต่อมาก็ได้ไปศึกษาและปฏิบัติธรรมร่วมกับอาจารย์ครุฑ ซึ่งเป็นพระขาว (ปะขาว) และได้รับความรู้ในเรื่องการปฏิบัติธรรม จากท่านอาจารย์นี้เพิ่มเติมเป็นจำนวนมาก ที่จังหวัดเลยนี้ ได้จำพรรษาเป็นเวลา ๑ พรรษา ต่อมาได้รับข่าวโยมพ่อถึงแก่กรรม จึงเดินทางกลับบ้านมาอยู่จำพรรษาที่บ้านเดิม คืออำเภอนาแก
พ.ศ. ๒๔๗๘ อายุ ๒๐ ปี ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ และเริ่มศึกษาพระปริยัติธรรม
พ.ศ. ๒๔๘๒ อายุ ๒๔ ปี มารดาก็ถึงแก่กรรม เวลานั้นเหลือน้องผู้หญิง ๒ คน ซึ่งยังเล็กมาก จึงได้ลาสิกขาบทออกไปเลี้ยงดูน้อง
พ.ศ. ๒๔๘๘ อายุ ๓๐ ปี ได้กลับเข้าอุปสมบทอีกครั้ง และได้ออกไปจำพรรษาที่วัดป่า เป็นเวลา ๓ พรรษา
    ต่อมาก็ได้ปฏิบัติกัมมัฏฐานพร้อมเป็นครูสอน พระปริยัติธรรมด้วยที่วัดพระพุทธบาทจอมทอง บ้านหนองหอยใหญ่ ต.นาแก อ.นาแก จ.นครพนม
พ.ศ. ๒๔๙๕ ได้นำญาติโยมประมาณ ๕ ครอบครัว จากบ้านหนองหอยใหญ่ อ.นาแก มาสร้างบ้านและวัดใหม่ ที่โนนมหาชัย และให้ชื่อบ้านว่า ?บ้านมหาชัย? ในปัจจุบันนี้ ได้สร้างวัดธาตุมหาชัย (เดิมชื่อวัดโฆษการาม) จนเจริญรุ่งเรืองตราบถึงปัจจุบัน

การศึกษา
พ.ศ. ๒๔๗๒ สำเร็จการศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ โรงเรียนบ้านโพนดู่ บ้านโพนดู่ ต.พุ่มแก อ.นาแก จ.นครพนม
พ.ศ. ๒๔๗๙ อายุ ๒๒ ปี สอบไล่ได้นักธรรมชั้นตรี สำนักเรียนคณะจังหวัดนครพนม วัดพระพุทธบาทจอมทอง บ้านหนองหอยใหญ่ อ.นาแก จ.นครพนม
พ.ศ. ๒๔๘๘ อายุ ๓๐ ปี สอบไล่ได้นักธรรมชั้นโท สำนักเรียนคณะจังหวัดนครพนม วัดพระพุทธบาทจอมทอง บ้านหนองหอยใหญ่ อ.นาแก จ.นครพนม
พ.ศ. ๒๔๘๙ อายุ ๓๑ ปี สอบไล่ได้นักธรรมชั้นเอก สำนักเรียนคณะจังหวัดนครพนม วัดพระพุทธบาทจอมทอง บ้านหนองหอยใหญ่ อ.นาแก จ.นครพนม

การศึกษาพิเศษ
๑. ได้ศึกษาอักษรธรรม อักษรขอม อักษรไทยน้อย อ่านเขียนได้คล่องแคล่วและมีความชำนาญมาก
๒. ทรงจำพระปาฏิโมกข์ได้แม่นยำ เป็นพระผู้สวดพระปาฏิโมกข์ในวันทำสังฆกรรมอุโบสถ ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๙๐ เรื่อยมา

ความชำนาญการ
     มีความชำนาญการแสดงพระธรรมเทศนาโวหาร บรรยายธรรม เทศนาธรรม และเทศนาธรรมแบบปุจฉาวัสัชนา ๒ ธรรมาสน์ จนมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วเขตอีสานเหนือ ยากที่จะหาพระธรรมกถึกรูปอื่นเสมอเหมือน ในสมัยนั้น
     ชำนาญการเทศนาธรรม ทำนองแหล่ภาษาอีสาน มีความสามารถในการประพันธ์กลอนแหล่ทำนองอีสานได้ เช่น กลอนอัญเชิญพระเวสสันดรเข้าเมือง, พระเวสสันดรทรงพบพระประยูรญาติ, พระเวสสันดรลาป่า, นางมัทรีเดินป่า เป็นต้น
     เป็นพระวิปัสสนาจารย์ใหญ่ สายพระอาจารย์เสาร์ กันตสีโล พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต พระอาจารย์ฝั้น อาจารโร ให้การอบรมวิปัสสนากรรมฐานประจำที่วัดป่ามหาชัย วัดส้างพระอินทร์ และที่วัดภูพานด่านสาวคอย
      มีความชำนาญการด้านนวัตกรรม การออกแบบก่อสร้างเสนาสนะทั้งานไม้ งานปูน โดยเป็นผู้นำในการก่อสร้างกุฏิสงฆ์ ศาลาการเปรียญ และพระธาตุมหาชัย (การก่อสร้างครั้งแรกๆ ทำเองทั้งหมดเพราะสมัยนั้นไม่มีช่างผู้ชำนาญการ และเงินงบประมาณมีไม่เพียงพอ)

ตำแหน่งงานปกครอง
พ.ศ. ๒๕๐๙ เป็นเจ้าอาวาสวัดโฆษการาม (วัดธาตุมหาชัย ในปัจจุบัน)
พ.ศ. ๒๕๐๙ เป็นเจ้าคณะตำบลมหาชัย
พ.ศ. ๒๕๑๘ เป็นรองเจ้าคณะอำเภอปลาปาก
พ.ศ. ๒๕๑๙ เป็นพระอุปัชฌาย์
พ.ศ. ๒๕๑๙ เป็นเจ้าสำนักศาสนศึกษา ธรรม-บาลี
พ.ศ. ๒๕๓๑ เป็นเจ้าคณะอำเภอปลาปาก
พ.ศ. ๒๕๔๒ เป็นที่ปรึกษาเจ้าคณะอำเภอปลาปาก

สมณศักดิ์
พ.ศ. ๒๕๑๘ พระครูสัญญาบัตรชั้นตรี ที่ ?พระครูสุนทรธรรมโฆษิต?
พ.ศ. ๒๕๒๐ พระครูสัญญาบัตรชั้นโท ที่ ?พระครูสุนทรธรรมโฆษิต?
พ.ศ. ๒๕๒๘ พระครูสัญญาบัตรชั้นเอก ที่ ?พระครูสุนทรธรรมโฆษิต?
พ.ศ. ๒๕๓๕ พระราชาคณะ ชั้นสามัญ ราชทินนาม ?พระสุนทรธรรมากร?

งานสาธารณูปการ
พ.ศ. ๒๔๙๒ เป็นประธานสร้างอุโบสถ วัดพระพุทธบาทจอมทอง
พ.ศ. ๒๔๙๔ เป็นประธานสร้างหอระฆัง วัดพระพุทธบาทจอมทอง
พ.ศ. ๒๔๙๘ เป็นประธานนำชาวบ้านมหาชัยสร้างวัดธาตุมหาชัย
พ.ศ. ๒๕๐๐ เป็นประธานสร้างพระคู่บ้านมหาชัย ?พระพุทธศักดิ์สิทธิ์?
พ.ศ. ๒๕๑๔ เป็นประธานสร้างพระธาตุมหาชัย
พ.ศ. ๒๕๒๐ เป็นประธานสร้างอุโบสถ วัดธาตุมหาชัย
พ.ศ. ๒๕๒๔ เป็นประธานสร้างกำแพงล้อมรอบวัดธาตุมหาชัย
พ.ศ. ๒๕๒๗ เป็นประธานสร้างกุฏิสงฆ์
พ.ศ. ๒๕๒๗ เป็นประธานสร้างวัดป่ามหาชัย (อรัญญคาม)
พ.ศ. ๒๕๒๘ เป็นประธานสร้างกุฏิสงฆ์หลังใหม่อีกหลังหนึ่ง
พ.ศ. ๒๕๓๔ เป็นประธานสร้างโรงเรียนมัธยม ?โรงเรียนธรรมโฆษิตวิทยา?
พ.ศ. ๒๕๓๖ เป็นประธานสร้างโรงเรียนมัธยม ? โรงเรียนธรรมากรวิทยา?
พ.ศ. ๒๕๓๖ เป็นประธานสร้างพระธาตุมหาชัยครอบองค์เดิม
พ.ศ. ๒๕๓๗ เป็นประธานสร้างพระพุทธรูปองค์ใหญ่ ณ วัดส้างพระอินทร์ ?พระพุทธการุณ?
พ.ศ. ๒๕๓๗ เป็นประธานสร้างโรงเรียนมัธยม ?โรงเรียนมหาชัยวิทยาคม?
พ.ศ. ๒๕๔๕ เป็นประธานสร้างตึกผู้ป่วย โรงพยาบาลปลาปาก

ลักษณะนิสัยทั่วไป
     พระเดชพระคุณหลวงปู่เป็นพระมหาเถระ ที่มีอัธยาศัยใจคอกว้างขวาง เยือกเย็น มีความเมตตา กรุณาต่อศิษย์ ตลอดถึงญาติโยมทุกคนที่เข้าหาท่าน ใครก็ตามที่มีปัญหา หรือมีความทุกข์เข้าหาท่าน จะได้รับการต้อนรับจากท่านอย่างดียิ่ง เสมอกันหมด ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นใครก็ตาม ต่อครูบาอาจารย์ และพระเถระที่อาวุโสกว่า หลวงปู่จะแสดงอาการอ่อนน้อมถ่อมตนเสมอ โดยไม่เคยจะแสดงอาการ แข็งกระด้างใดๆเลย ด้วยเหตุนี้หลวงปู่จึงเป็นที่เคารพนับถือของ ศิษยานุศิษย์และญาติโยมโดย ทั่วไปเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้แล้ว หลวงปู่ก็ยังเป็นพระเถระที่มีความตั้งใจมั่นคง หนักแน่นอีกด้วย
     จะเห็นได้จากการที่ท่านตั้งใจจะทำสิ่งใดแล้ว จะต้องทำสิ่งนั้นให้สำเร็จให้จงได้ คงเป็นเพราะ ความตั้งใจจริงและความตั้งใจมั่นคงนี้เอง ที่ทำให้หลวงปู่ทำสิ่งใดก็สำเร็จลุล่วงด้วยดี และรวดเร็ว เกิน ความคาดหมายทุกประการ ตัวอย่างเช่น พระธาตุมหาชัย, อุโบสถวัดธาตุมหาชัย, กำแพง ล้อมรอบวัดธาตุมหาชัย และกุฏิสงฆ์หลังใหม่ ๒ หลัง ซึ่งสิ่งก่อสร้างแต่ละอย่างล้วน แต่ใช้ค่าก่อ สร้างจำนวนมากทั้งสิ้น เมื่อญาติโยมที่มีความเคารพนับถือในตัวหลวงปู่ทราบ ต่างก็มีจิตศรัทธา ช่วย กันสละกำลังทรัพย์มาช่วยในรูปของกฐินบ้าง ผ้าป่าบ้าง จนงานก่อสร้างดัง กล่าวสำเร็จรวดเร็วเกินคาด อีกประการหนึ่ง โดยอุปนิสัยแล้ว หลวงปู่ท่านถือการ ปฏิบัติกัมมัฏฐานเป็นประจำนับตั้ง แต่อุปสมบทพรรษาแรก จนกระทั้งมรณภาพ
         ๏ การมรณภาพ
พระเดชพระคุณพระสุนทรธรรมากร (หลวงปู่คำพันธ์ โฆสปัญโญ) ได้ละสังขารอย่างสงบในกุฏิจำพรรษา ด้วยโรคชราภาพ ประกอบกับมีโรคประจำตัวหลายอย่างแทรกซ้อน หลังจากอาพาธมานานหลายปี เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๒๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๖ เวลาประมาณ ๐๑.๕๙ น. ณ วัดธาตุมหาชัย ต.มหาชัย อ.ปลาปาก จ.นครพนม สิริอายุรวม ๘๙ พรรษา ๕๙ สร้างความโศกเศร้าให้แก่บรรดาลูกศิษย์ลูกหาที่ใกล้ชิด ตลอดจนชาวพุทธที่เลื่อมใสศรัทธาหลวงปู่เป็นอย่างยิ่ง วันนี้หลวงปู่คำพันธ์ พันธุ์ไม้มีแก่นในตัว ไม่โอ้อวด ไม่ยึดติด ท่านสิ้นใจแต่ไม่สิ้นธรรม

ข้อมูลจาก http://www.geocities.com/thatmahachai/info/abbot.htm
       และ http://www.thaiput.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=538636407
ขอขอบพระคุณผู้ให้ข้อมูล สาธุ




24
หลวงพ่อบุญมาก สัญญโม
พระเกจิอาจารย์ชื่อดัง "หลวงพ่อบุญมาก สัญญโม" แห่งวัดโพธิ์ แขวงบางระมาด เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ ท่านได้สร้างวัตถุมงคลขึ้นมารุ่นหนึ่ง ซึ่งกำลังได้รับความนิยมอย่างมาก ในรูปแบบวัตถุมงคล "พระพุทธพักตร์"

"หลวงพ่อบุญมาก" ท่านเป็นพระปฏิบัติ และพระนักพัฒนา ผู้ได้รับการสืบทอดตำราธรรม และเคล็ดวิชามาจากพระครูโพธิสารคุณ (นวล) ซึ่งเป็นศิษย์หลวงพ่อปาน โสนันโท วัดบางนมโค อ.เสนา จ.พระนครศรีอยุธยา
ปัจจุบัน หลวงพ่อบุญมาก มีอายุ 82 ปี ท่านบรรพชาเป็นสามเณร เมื่อปี พ.ศ.2485 และสอบนักธรรมตรีและโท หลังจากนั้นเริ่มสร้างพระเครื่อง ในปีพ.ศ.2494 โดยนำรายได้ที่ให้บูชา ไปสร้างอุโบสถวัดต่างๆ จนถึงปัจจุบันมีกว่า 16 แห่งทั่วประเทศ 
ในครั้งนี้ได้สร้างสมเด็จพระพุทธพักตร์ เป็นแบบจำลองมาจากพระพุทธพักตร์ที่หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ท่านปั้นหล่อไว้สำหรับท่านใดที่จะสร้างวัดใหม่ได้เอาไปทำเป็นหน้า พระพักตร์ของพระประธานในอุโบสถ อาราธนาอธิษฐานได้ต่างๆ มีความศักดิ์สิทธิ์มาก เจริญด้วยลาภ ยศ สุข สรรเสริญ ยิ่งนัก
หลวงพ่อบุญมาก เห็นความขลังศักดิ์สิทธิ์จากสิ่งนี้ จึงจำลองขึ้นด้วยวัตถุมงคลอันเดียวกันกับพุทธพักตร์องค์เดิม เพื่อจะได้อธิษฐานตามปรารถนา เพื่อความสุข ความเจริญ ของพวกเราทั้งหลาย
โดย "พระพุทธพักตร์" ที่สร้างขึ้นนี้มีมวลสารมากมาย ด้วยผงของเก่าของหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค จ.พระนครศรีอยุธยา ผงจากยันต์เกราะเพชร หลวงปู่นวล และพระอาจายร์บุญมาก สัญญโม วัดโพธิ์ ทำขึ้นกับผงสมเด็จพระพุฒาจายร์ที่หักๆ ผงวัดพลับ ผงหลวงพ่อโชติ วัดตะโน ผงพระโมลี หลวงพ่อวัดไร่ขิง ผงถ้ำม้าร้อง จ.เพชรบุรี ผงหลวงปู่แก้ว วัดช่องลม ท่าฉลอม ผงหลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง จ.สิงห์บุรี ผงหลวงพ่อโง่น วัดเขารวก จ.พิจิตร ผงหลวงพ่อผล วัดดักคะนน จ.ชัยนาท ผงกรุพระปรางค์เก่า วัดโพธิ์ตลิ่งชัน กทม. ผงหลวงพ่อขอม จ.สุพรรณบุรี และผงของพระอาจารย์ต่างๆ อีกมากนำมาเจือปนกัน สร้างเป็นพระพุทธพักตร์ อธิษฐานอาราธนาใช้ได้ ตามความปรารถนา ทุกประการ เป็นวัตถุมงคลที่เด่นมากทางด้านเมตตา มหาอำนาจ แคล้วคลาด ปลอดภัย

สนใจร่วมบุญบูชาได้แห่งเดียวเท่านั้นที่วัดโพธิ์ แขวงบางระมาด เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ


http://www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROaWRXUXhOVEV5TURFMU1RPT0=&sectionid=TURNd053PT0=&day=TWpBd09DMHdNUzB4TWc9PQ==

25

รายละเอียด พระครูสังฆรักษ์ หิน อินทวินโย หรือ หลวงปู่  หิน เรียกตามตำแหน่งฐานานุกรมในพระเดชพระคุณ ท่านเจ้าคุณพระเทพสิทธินายก ( หลวงปู่นาค)ว่า ?พระครูสังฆรักษ์ หิน  หลวงปู่  หิน เป็นพระเถระชั้นผู้ใหญ่รูปหนึ่งของวัดระฆังโฆสิตาราม

หลวงปู่ หิน นามสกุลเดิม สุขเกษม   เกิดเมื่อ 9 เดือนพฤศจิกายน 2442 ตรงกับ วันพฤหัสบดี  ขึ้น 7 ค่ำ  เดือน 12 ปีกุน เวลา ประมาณ 18.30 น. ที่จังหวัด ปริวแวง ประเทศ กัมพูชา บวชเป็น สามเณร 15ปี  ภายหลังได้ลาสิกขาบท มาช่วยโยมมารดาบิดา มาประกอบอาชีพ อยู่พักหนึ่ง และได้ทำการอุปสมบทใหม่อีกครั้ง อายุ 21 ปี ณ...พัทธสีมา วัดธนาคัน ตำบลจาง อำเภอ ตะแบก จังหวัด ปริวแวง ประเทศกัมพูชา โดยมีพระรัตนาวงศาเป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์แรม เป็นพระกัมมวาจา และพระมงคลเถระเป็นพระอนุสาวนา จารย์.....หลังจากออกพรรษาแล้ว ท่านได้เดินทางไปศึกษาหาความรู้ในทางไสยศาสตร์..ชั้นแรกคือการเรียน ตรีนิสิงเห  การเรียนลงเลขยันต์...ยันต์ตรีนิสิงเห มีอุปเท่ห์สารพัดซึ่งหลวงปู่ หิน ใช้ได้ผลมามาก หลวงปู่ หิน ท่านมีความมุ่งมั่นในทางการเรียนวิชาไสยศาสตร์มาก เดินธุดงค์รุกขมูลตามป่าดงดิบ   ประเทศพม่า พระตะบอง นครวัด ได้ร่ำเรียน วิชาการต่างๆมากมาย ฝึกฝนกับพระคณาจารย์ต่างๆ การอบรมเสร็จสิ้น  เมื่อ เดือน 12 พศ..2465 หลวงปู่ หิน ได้เดินธุดงค์ มาเรื่อยๆ ตามตะเข็บชายแดน ของประเทศไทย มายัง กบินทร์บุรี นครนายก สระบุรี  และได้เดินมานมัสการ พระพุทธบาท สระบุรี จากนั้น  ใช่ว่า มาอยู่ เมืองไทยนะครับ ...ท่านเดินทางกลับไปประเทศพม่า โดยใช้เส้นทางเดิม กลับวัดธนาคันตามเดิม คือ วัดที่ท่านบวชแต่ครั้งแรก

       ในระหว่างนั้นท่านก็หมั่นปฏิบัตรธรรมกรรมฐาน จนได้ชื่อว่าเป็น  พระที่เชี่ยวชาญทางกรรมฐานท่านหนึ่ง   ทุกครั้งที่ท่านออกพรรษา ท่านจะออกธุดงค์ตลอดไม่ค่อยอยู่วัด    ออกธุดงค์ไปเรื่อยๆ เวียงจันทร์หลวงพระบาง  ย้อนกลับมา เมืองไทย แล้วกลับประเทศพม่า      ...ครั้งหนึ่งหลวงปู่ หินมีความประสงค์จะเดินทางรุกค์ขมูลไปยังประเทศอินเดียให้ได้  แต่แล้วเป็นจุดหักเห ของชีวิตของท่าน  พระเพื่อนที่ร่วมเดินทางของท่านเกิดป่วยกลางป่าลึกในระหว่างทาง   จึงได้เดินทางมาที่เมืองไทยทำการรักษาตัว  ในที่สุดพระรูปนี้ มรณภาพลงที่ จังหวัด  ตาก ...ในเวลานั้น ใกล้เวลาจะเข้าพรรษาหลวงปู่ หิน จำต้องจำพรรษาที่  จังหวัด  ตาก 1 พรรษา

       หลังจากนั้น หลวงปู่ ก็เดินธุดงค์ ต่อไป ที่ จังหวัด เชียงใหม่ เลยเข้าไป ประเทศ  พม่า และต่อมาท่านเดินทางมาที่   จังหวัด สุโขทัย พักอยุ่ ที่ วัดพุทธปรางค์   อำเภอ  สวรรคโลก 2  เดือน และออกธุดงค์มาเรื่อย   จนถึง จังหวัด  พระนครศรีอยุธยา ได้พบกับพระอุปัชฌาย์  เทพ  ซึ่ง  เป็นพระเพื่อนมาแต่เดิม เป็นเจ้าอาวาส อยู่ วัดทางหลวง ตำบล ปลายกลัด อำเภอบางซ้าย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ท่านจึงพำนักที่นั้น และช่วยดำเนินการสร้างเสนาสนะสงฆ์ ตลอดจนวิหารและศาลาฟังธรรมต่างๆ จนลุล่วง ท่านได้อยู่วัดทางหลวงเป็นเวลา  11 พรรษา  อยุธยา นั้น ไม่สิ้นคนดี เป็นคำพังเพย โบราณ ที่เราคุ้นๆหูกันอยู่นะครับ หลวงปู่ หิน ได้ร่ำเรียนไสยศาสตร์แถบนี้มาก  ต่อมาก แม้กระทั่งหลวงพ่อ จง แห่งวัดหน้าต่างนอก...  หลวงพ่อ ต่วน วัด กล้วย ซึ่งต่อมาเป็นพระสหายทางสมิกธรรม  ฯลฯ  ประวัติการร่ำเรียนวิชาทาง  ไสยศาสตร์ของท่าน ว่าร่ำเรียนกับพระอาจารย์ท่านใดนั้นมิอาจบรรยายได้  เพราะ หลวงปู่  หิน ท่านออกธุดงค์ เพียงรูปเดียวในระยะหลัง

     ต่อมาใน  พศ....2478 ท่านได้ทราบถึง  กิติศัพท์ ของท่านเจ้าประคุณ สมเด็จพระพุฒาจารย์  โต พรหมรังสี เกิดมีความศรัทธาอย่างแรงกล้า จึงตัดสินใจเดินทางมายัง  วัดระฆังโฆสิตาราม และเข้ากราบนมัสการ    พระเทพสิทธินายก หรือ หลวงปู่  นาค ขณะนั้น  หลวงปู่  นาค  ดำรงตำแหน่ง พระราชโมฬี  เจ้าอาวาส แห่งวัดระฆัง สนทนาธรรมเป็นที่ถูก  อัธยาศัย ยิ่งนัก ....หลวงปู่ นาค จึงได้ชักชวนให้อยู่จำพรรษา อยู่  วัดระฆัง เสียที่นี่   คณะ3 ซึ่งอยู่ทางด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ของวัด   ปัจจุบันเป็นโรงเรียนโฆสิตสโมสร ในสมัยนั้นทางสำนัก วัดระฆังได้เปิดอบรม  กัมมัฎฐานและวิปัสสนา หลวงปู่ นาค ก็ได้แต่งตั้ง หลวงปุ่  หิน มีหน้าที่ช่วยเหลือในกิจของสงฆ์ทางวัด ตลอดมา ไม่ว่าพัฒนางานก่อสร้างทำนุบำรุงต่างๆ  สมัยนั้นมีแต่แรงงานพระในผ้าเหลืองล้วน หลวงปู่ หิน เป็นช่างควบคุมเองทั้งหมด ไม่ว่า   ครั้งใด  คำปฏิเสธนั้น ไม่เคย หลุดจากปากท่านเลย กับการก่อสร้างวัดวาอารามต่างๆหลายวัด   แม้ในบางครั้งท่านได้ไม่มีเงินพอที่จะช่วย   ท่านก็นำพระผงของท่าน มามอบให้ประชาชนได้บูชากัน   เพื่อนำเงินไปใช้ในการก่อสร้าง นั้นๆ เป็นเจตนาที่บริสุทธิ์โดยแท้

       การสร้างพระผงต่างๆ   ของหลวงปู่ หิน แห่งวัดระฆังนั้น ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น หลวงปู่ นั้นมีความศรัทธา ต่อ สมเด็จพระพุฒาจารย์  โต มากๆ   หลวงปู่ท่านพยายามเสาะแสวงหา   พระสมเด็จมาสะสมไว้ ทั้งที่  แตกหักและชำรุด จนมีจำนวนมากพอแก่ความต้องการ    ท่านจึงนำมาโขลกเป็นผง  นอกจากนี้แล้ว ท่านยังได้ยัดผงปิลันทร์จากกรุ มุมพระอุโบสถ  ด้านทิศใต้ .....ผงจากกรุ  วัดสามปลื้ม ผงสุริบาตร และผงตรีนิสิงเห ที่ขาดมิได้   ...... การสร้างพระพิมพ์ของหลวงปู่ นั้น เริ่มตั้งแต่  พศ...2482-พศ..2515มีจำนวน 8 รุ่นด้วยกัน   อาจารย์   ขวัญ  วิสิฎโฐ ( คุ้มประยูร) เป็นผู้ช่วยเหลือโดยใกล้ชิด   พระเครื่องที่สร้างแบ่งตาม  พศ. พอจำแนก.ได้ ดังนี้

1...พระสมเด็จ รุ่นแรก พศ..2482 มี5พิมพ์

      1.1พิมพ์อกครุฑ
      1.2พิมพ์แหวกม่าน
      1.3พิมพ์เส้นด้าย
      1.4พิมพ์ทรงเจดีย์
      1.5พิมพ์ทรงเจดีย์พิมพ์เล็ก

2....พระสมเด็จรุ่น 2 พศ..2484มี 5 พิมพ์

      2.1พิมพ์ทรงพระประธาน
      2.2พิมพ์ทรงพระเกศทะลุซุ้ม
      2.3พิมพ์ทรงชายจีวร
      2.4พิมพ์อกครุฑเศียรบาตร
      2.5พิมพ์ทรงอกร่องหูยานคู่

3...พระสมเด็จ รุ่น 3 พศ..2488 มีเพียง  2 พิมพ์

      3.1พิมพ์ทรงนิยม
      3.2พิมพ์ทรงเจดีย์

4...พระสมเด็จรุ่นที่ 4 พศ..2494  ติดต่อถึงปี  95 จึงเรียกว่า  รุ่น  2495

      4.1พิมพ์ทรงพระประธาน พิมพ์นี้มี 2ชนิด คือ  เนือ้ผงและเนื้อผงใบลาน
      4.2พิมพ์พระประธานขาโต๊ะ
      4.3พิมพ์ทรงเจดีย์
      4.4พิมพ์สามเหลี่ยมด้านเท่า
      4.5พิมพ์สามเหลี่ยมหน้าจั่ว
      4.6พิมพ์สามเหลี่ยมหน้าจั่วพิมพ์เล็ก

5...พระสมเด็จรุ่น5 พศ..2497มีเพียง 2 พิมพ์เท่านั้น

      5.1พิมพ์ทรงเจดีย์
      5.2พิมพ์เจดีย์ทะลุซุ้ม

6...พระสมเด็จรุ่นที่ 6 พศ..2500

      6.1พิมพ์พระประธาน ขนาดบูชา
      6.2พิมพ์ปรกโพธิ์พิมพ์ใหญ่
      6.3พิมพ์ทรงนาคปรก
      6.4พิมพ์ปรกโพธิ์ฐานแซม
      6.5พิมพ์ทรงอกครุฑเศียรบาตร
      6.6พิมพ์ฐานหมอน
      6.7พิมพ์ทรงนิยม
      6.8พิมพ์ทรงเจดีย์   
      6.9พิมพ์ทรงนิยมพิมพ์กลาง
      6.10พิมพ์ทรงนิยม  พิมพ์เล็ก
      6.11พิมพ์คะแนนปรกโพธิ์
      6.12พิมพ์คะแนนพระประธาน
      6.13พิมพ์ทรงสามเหลี่ยมหน้าจั่ว
      6.14พิมพ์คะแนนทรงพระประธานขนาดเล็ก
      6.15พิมพ์ทรงเม็ดแตง

7...พระสมเด็จ รุ่นที่ 7 พศ...2512  เรียกว่า รุ่น เสาร์5 มี6 พิมพ์

      7.1พิมพ์นิยมเสาเอก สร้างด้วยไม้   ทำจากเสากุฎิ  สมเด็จโต
      7.2พิมพ์ทรงจุฬามณี
      7.3พิมพ์สังฆาฎิ
      7.4พิมพ์ทรงอกร่องหูยานฐานแซม
      7.5พิมพ์กลีบบัว
      7.6พิมพ์ทรงพระประธาน  หูบายศรี

8...พระสมเด้จ  รุ่นที่ 8  รุ่นสุดท้าย พศ..2515 เรียก ว่ารุ่น100ปี การมรณภาพ สมเด็จพระพุฒาจารย์  โต พิธีมหาพุทธาภิเศก  หลวงปู่หิน สร้าง2พิมพ์เข้าพิธีด้วย มี  2พิมพ์

     8.1พิมพ์ทรงนิยม
     8.2พิมพ์ทรงอกครุฑเศียรบาตร
     8.3เหรียญ รุ่นแรก พศ.2516

   นอกจากนี้ยังมีพระนอกพิมพ์อีกจำนวนหลายพิมพ์เช่นกัน เรียกว่า  พิมพ์นอก เป็นพระที่สร้างในปีเดียวกัน  แต่ไม่ได้ออกเป็นทางการ ท่านจะแจกเป็นการส่วนตัวแต่พิมพ์ทรงจะแตกต่างกันออกไป

ท่านพระครูสังฆรักษ์  หิน อุปสมบทพระ   เมื่อวันที่ 30  พฤษภาคม พศ...2463พรรษาแห่งการบวช ท่านศีกษาทางกรรมฐานจนแตกฉาน  จนเกิดความชำนาญ ต่อมาศึกษาทางด้านคาถาอาคม จนเกิดความแตกฉาน วิชาไสยศาสตร์ ชนิดหาตัวจับยาก ภายหลังค้นคว้าแพทย์แผนโบราณ  รักษาผู้คนตกทุกข์ได้ยาก เป็นพันๆคนในขณะนั้น ท่านย้ายมาอยู่ วัดระฆัง  พศ...2478 ?พศ..2521 ตลอดระยะเวลา 43ปี    ภายหลังหลวงปู่ หิน ป่วย ท่านได้ย้ายมาอยู่ที่ วัดกล้วย จ...อยุธยา เพื่อทำการรักษาตัวเพราะไม่มีเวลาพักผ่อน และท่านมีเวลาไม่นานแล้ว  ประกอบกับมีเนื้องอกที่ กระพุ้งแก้มเพราะ  เกิดจาการฉันท์หมากมาก   ในปีเดียวกันนั้นเอง  (พศ..2521) ท่านเดินทางกลับวัดระฆัง 19พฤษภาคม 2521   ...........มรณภาพ21 พฤษภาคม2521 รวมอายุ 79ปี 58 พรรษา  @@@ขอขอบคุณข้อมูลนี้จากหนังสือประวัติ  หลวงปู่หิน จากวัด พระศรีสุทธิโสภณ (เที่ยง อัคคธัมโม  ปธ..9) 3ตค..2521 ซึ่งเป็นผู้เรียบเรียง ประวัติ  หลวงปู่ หิน ...และเป็นหนังสือพ็อคเก็ตบุคส์  ภาพ ขาวดำ ..เล่มเล็ก ...ที่ออกมาจากวัดระฆัง..หนังสือเล่มนี้ทำแจกแก่ศิษย์ยานุศิษย์ที่มางานฌาปนกิจ หลวงปู่ หิน ในครานั้น....@@@การเล่นหาพระเครื่องของท่านนั้นจึงยึดหลักตามหนังสือเล่มนี้ที่มีมาโดยตลอดครับ@@@
 

26
ขุนแผนพระอาจารย์ปุ้มครับ


                              ถอดรหัส พระขุนแผนเสนห์พันพราย จาก http://amulet.numchaigp.com/viewpage.php?page_id=5

ผมไม่ใช่คนที่ดื่มด่ำและลึกซึ้งในธรรมะอันละเอียดอ่อนอะไร ตรงกันข้ามผมคือปุถุชนที่ยังแน่นหนาไปด้วยกิเลสตัณหาเยี่ยงคนธรรมดาสามัญทั้งหลายผมไม่ได้เข้าถึงหลักธรรมอะไรจนกล้าหาญที่จะถ่ายทอดอัตตชีวะประวัติ-ธรรมะ ของพระสุปฏิปันโน ได้ดีเท่าไหร่ ก็เพราะยังไม่เข้าถึงธรรมเท่าไหร่หรอกครับ ผมไม่ได้มองหลวงพ่อ หลวงปู่เป็นผู้วิเศษอะไรที่เหนือมนุษย์ทั้งหลาย สิ่งทีผมมองและพยายามที่จะเข้าใจก็คือคุณงามความดีให้ลึกซึ้งอย่างเข้าถึง และมองท่านในฐานะมนุษย์ด้วยสายตาและทัศนะอันจำกัดของคนคนหนึ่งเท่านั้นเองครับ

    ผมรู้จัก อาจารย์ปุ้ม หรือพระอาจารย์นคร โฆษการี แห่งวัดศาลาแดง แขวงบางไผ่ เขตบางแค กรุงเทพฯ มานานและนับถือหัวจิตรหัวใจความมีพรหมวิหารของท่านมาก ท่านเป็นพระที่ผมรักและศรัทธาอีกรูปหนึ่งเลยทีเดียวเชียวครับพลังจิตสูงส่งมากกระทั่งประจุวิชาเข็มทองจนเข็มวิ่งในตัวคน

    พระอาจารย์ปุ้ม ในวันนี้เรียนกได้ว่าเป็นพระเกจิอาจารย์ที่มีลูกศิษย์มากมายนับตั้งแต่ท่านได้ไปเรียนคาถาอาคมกับหลวงตาเผือด วัดมะกอก ตลิ่งชัน จวบจนปัจจุบัน อาจารย์ปุ้มได้เจริญรอยตามหลวงตา สืบทอดวิชาโบราณได้ไว้อย่างอี ผมเข้าใจสัมผัสได้ และผมก็เป็นศิษย์ทั้งหลวงตาเผือดทั้งอาจารย์ปุ้มครับ

     พระอาจารย์ปุ้ม เคยบอกกับผมว่าท่านเป็นคนจนมาก่อน ท่านเลยสงสารคนจน เมื่อมาบวชเป็นพระท่านก็เร่งศึกษาในสิ่งที่รัก หวังช่วงชาวบ้านได้ตามสมควร ภารกิจสักเลขยันต์ที่ทำอยู่ ก็ไม่ได้หาเอกลาภเงินทองอะไร แต่หวังเพียงบารมีธรรมจากการช่วยคนเป็นทาน

ช่วงเวลาเข้าพรรษาสำหรับอาจารย์ปุ้ม บำเพ็ญบารมีตามแนวของตนเอง โดยการนำพุทธาคมมาช่วยคน บางคนอาจมองเรื่องเหล่านี้เหลวไหลหรืองมงาย แต่มันก็เป็นที่พึ่งอันใหญ่หลวงของอีกหลายๆคน ศาสนาไม่มีเรื่องเยี่ยงนี้แล้วศาสนาก็อยู่ไม่ได้นะผมว่า อิทธิปาฏิหาริย์สำคัญมากๆเชียวหล่ะ พระภิกษุหนุ่มรูปนี้ท่านพึงลำลึกเสมอว่าท่านเป็นคนไม่ค่อยศึกษาหลักธรรมบาลี อะไรมากมาย และไม่ค่อยรู้เรื่องราวโลกภายนอกอะไร แต่สิ่งหนึ่งที่อาจารย์พึงรู้คือ พระสงฆ์ไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ต่างรับบทบาทผู้นำชุมชนในการพัฒนาสาธารณะประโยชน์มาโดยตลอด พระสงฆ์รับหน้าที่มาโดยไม่รู้ตัว มีพระสงฆ์หลายต่อหลายรูปทั้งที่ปรากฏชื่อหรือไม่ปรากฏชื่อ เป็นพระที่ไม่ได้สักแต่บิณฑบาตข้าวชาวบ้านฉันอย่างเดียว ด้วยวิธีเช่นนี้เองที่ พระอาจารย์ปุ้ม ของลูกศิษย์ได้เลือกบทบาทของท่านอย่างแน่วแน่ ที่จะช่วยเหลือวัดที่พึ่งพาอาศัยตามเหตุตามควร แม้ว่าสถานภาพของท่านจะเป็นเพียงพระลูกวัดธรรมดาๆก็ตาม

     ปฐมบทของการเริ่มเป็นพระนักพัฒนาของเกจิหนุ่ม ที่จะช่วยหลวงพ่อเจ้าอาวาสวัดซึ่งเปรียบดั่ง ?พ่อ?
สร้างอุโบสถ์วัดศาลาแดงก็เริ่มขึ้น

วิชาความรู้จากหลวงตาเผือดถูกพลิกตำรับตำราอีกครั้งเพื่อกิจนี้ พระขุนแผนเสน่ห์พันพราย จึงเกิดขึ้นพร้อมๆด้วยประการฉะนี้ งานนี้พระอาจารย์ปุ้ม ท่านขอสร้างบุญบารมีเต็มกำลังครับ ท่านว่าเช่นนั้น แม้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของวัดศาลาแดง ด้วยกำลังใจที่ล้นเหลือลูกศิษย์ก็พร้อมที่จะช่วยเหลือทุกคน ร่วมแรงร่วมใจมาโขลกตำผงเพื่อพิมพ์พระขุนแผน อนุสติงานบุญผมขอเป็นฝ่ายนำเสนอบุญแล้วกัน สร้างพระไม่ใช่ของง่ายๆเลย พระคณาจารย์โบราณบางท่านจะมีการสร้างพระซึ่งอาจเป็นรูปเปรียบพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ หรือรูปท่านเองก็ตาม ท่านดำเนินตามเจตนาของคนรุ่นก่อนๆเพื่อเป็นการสืบทอดพระศาสนาและให้ผู้นำไปใช้มีจิตสำนึกถึงพระอยู่เสมอ มีอนุสติระลึกถึงทำให้เกิดสมาธิจิตใจเป็นคนดี เนื่องมาจากมีพระเครื่องติดตัว เจตนาของท่านผู้สร้างมีความบริสุทธิ์ ไม่ได้คิดให้ชาวบ้านนำไปตีรันฟันแทง ฉกชิงวิ่งราว ประพฤติตนเป็นคนพาลแต่อย่างใด

     พระเครื่องจึงเกิดขึ้น และเรียกรวมๆในภายหลังว่า วัตถุมงคล ให้สาธุชนนำไปสักการบูชา ระลึกถึงธรรม ทำตนให้เป็นคนดีเพราะคนทั่วไปยังต้องอาศัยเครื่องยึดเหนี่ยวทำให้เกิดศรัทธา ง่ายๆก็คือยังมีการยึดติดอยู่กามระดับภูมิธรรมที่มีในตัวเอง แม้ท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิต ผู้ดำรงในธรรม ก็ยังอนุโลม มีการปลุกเสกปฐวีชาตุ ซึ่งเป็นก้อนกรวดเล็กนำมาอธิษฐานให้เป็นสิ่งคุ้มครองป้องกันภัย เป็นแก้วสารพัดนึก ท่านเจ้าคุณนรฯ กล่าวเองเลยว่า ?สิ่งนี้สามารถกันนิวเคลียร์ได้? ผมไม่ทราบจริงๆครับว่า เท็จจริงเพียงใด? แต่หากเรามาลองวิเคราะห์ดู ในหลักพลังงานทางวิทยาศาสตร์ ก็พอเข้าใจได้ว่าผู้เข้าถึงสมาธิย่อมมีพลังงานมหาศาลทางจิตที่สามารถบันดาลผลให้เป็นไปตามจิตสั่งได้ พระอริยสงฆ์ท่านกระทำได้ด้วยจิตทรงพลังไม่มีประมาณ พระผู้ทำการปลุกเสกพลังในวัตถุมงคลจึงต้องเป็นผู้ประกอบด้วย ญาณสมาธิ ที่มากพอสมควร เพราะถ้าไม่มีพลังจิตสูงพอ วัตถุมงคลนั้นก็รั่วเสื่อมได้ตามระดับของพลังจิตผู้ปลุกเสกอธิฐาน ผู้ปลุกเสกจำเป็นต้องเข้าถึงธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ ต้องจำให้สว่างจ้า ปลุกเสกจนเกิดปิติ เกิดพลังเท่านั้นจึงเกิดผลไปตามจิตบังคับ เท่านี้พลังในพระก็จะสถิตชั่วนิรันดร เพราะไม่มีอำนาจใดเท่ากับอำนาจจิตได้ อำนาจจิตไปไกลไม่มีขอบเขตทรงอำนาจเหนือโลกได้ พ่อท่านคล้าย วาจาสิทธิ์ ปลุกเสกพระด้วยพลังโลกุตตระ อำนาจเหนือโลก ทให้พระไม่มีเสื่อมแม้ใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกง ชั้นใน ใครจะมาถอดถอนด้วยวิชาก็ไม่มีทางเพราะจิตท่านเหนือไสยศาสตร์ไปแล้ว

    สำหรับขุนแผนเสน่ห์พันพราย ของพระอาจารย์ปุ้ม วัดศาลาแดง บรรจงสร้าง โดยยึดคติการสร้างจากผงอาถรรพณ์ธาตุขันธ์ของมนุษย์ ตามแนวทางของพ่อท่านเจิม วัดหอยราก นครศรีธรรมราช และ พ่อท่านฮา วัดท่าข้าม สงขลา หรือไกล้เคียงพระขุนแผนพรายกุมาร หลวงปู่ทิมวัดละหารไร่ ก็อาจได้
 
     กรรมวิธีอาจแตกต่างกันตามมติที่ออกมาจากจิตสั่งและตำราระบุโดยอาศัยสายญาณขากธาตุขันธ์และญาณครูบารอาจารย์มาประสิทธิ์โดยตรง พระอาจารย์ปุ้ม เชื่อว่าในพวกธาตุขันธ์ของมนุษย์สัตว์ประเสริฐมีพลังแฝงในตัวเอง พลังเหล่านี้จะอยู่ในรูปความร้อนเตโชธาตุ มีพลังธาตุแฝงอยู่มากเป็นพิเศษ เมื่อเอามาประจุพลังพุทธคุณ ปลุกปั้นธาตุทั้งปวงให้เป็นตัวตนแล้วอัดพระเวทลงไป เท่านี้พลังมหาศาลก็เกิดขึ้นตามทฤษฎีลึกลับอำนาจแห่งจิตใจ

    พระอาจารย์จำเนียร วัดถ้ำเสือ กระบี่ ท่านก็ไม่ปฏิเสธคตินี้ มิเช่นนั้น พระ 7 ป่าช้า ของท่านคงไม่เกิดขึ้น เล่าว่าเฮี้ยนนัก พระกรรมฐานท่านก็ไม่ทิ้งทางนี้เหมือนกัน กายมนุษย์เมื่อได้พลีมาแผ่เมตตาเป็นผงอาถรรพณ์ ก็นับว่าเป็นกุศลแล้ว และมันอาจเป็นความเชื่อของบางกลุ่มคนที่ชอบอะไรแรงๆขลังๆหรือเฮี้ยนๆก็ได้ อยู่ที่ความเชื่อ ทำถูกต้องแล้วสิ่งนี้ไม่มีอันตรายครูบาอาจารย์สายนี้ท่านบอกไว้ ตรงนี้ได้โปรดใช้ดุลพินิจด้วยนะครับ

     จัดเป็นพระเนื้อผงทีไม่เหมือนวัตถุมงคลแขนงอื่น ในสายตำรับหลวงปูทิม วัดละหารไร่ ผงพรายกุมารนี้ต้องเป็นผู้มีอาคมขลัง จึงจะสร้างได้ และมีขั้นตอนที่ยุ่งยากมากกล่าวคือ ต้องหาศพหญิงตายทั้งกลมในวันเสาร์และกำหนดเผาในวันอังคาร จึงจะถูกต้องตามตำราและเมื่อเผาเรียบร้อยแล้วให้เอากะโหลกเด็กในท้องหญิงนั้นมาปลุกเสก ทำเป็นผงกุมาร ซึ่งจะต้องใช้วิชาอาคมและต้องมีจิตมั่นคงและแน่วแน่เท่านั้นถึงจะไม่มีอันตรายมากล้ำกราย หลังจากนั้นจึงมาทำพิธีขอขมาลาโทษบวงสรวงก่อนจึงจะนำมาใช้ให้เกิดเป็นเสน่ห์เมตตาแคล้วคลาดคงกระพันชาตรี ขุนแผนของพระคุณเจ้าหลวงปู่ทิมนั้น นอกจากใช้ผงพรายกุมารแล้ว หลวงปู่ทิมยังได้นำผงเก่าที่เก็บสะสมไว้อีกหลายอย่างมาผสมเพื่อให้เกิดเมตตามหานิยม และเพื่อความขลังความสักสิทธิ์อีกเป็นอันมาก ผงที่เอามาบทรวมกันได้แก่ ผงอิทธิเจ ผงปถมัง ผงพระไว ผงจินดามณี และยังมีผงว่านมหามงคลอีกเป็นจำนวนมาก ในครั้งแรกแม่พิมพ์ขุนแผนหลวงปู่ทิมได้สร้างจากบล็อคหินมีดโกน โดยแบ่งเป็นพิมพ์ใหญ่กับพิมพ์เล็ก เป็นรูป 5 เหลี่ยม หลวงปู่ทิมท่านให้ผงมาทีละกระป๋องนม ผสมทำพระลูกศิษย์ช่วยกันผสมผงกดพิมพ์เองเมื่อผงหมดก็ให้ผงมาใหม่
ส่วนพระของอาจารย์ปุ้ม ผสมแบบล้วนๆแต่ละครั้งจำเป็นต้องบวงสรวงบอกครู คือ หลวงตาเผือด ให้มาช่วยป้องกันสิ่งชั่วร้ายพระทุกองค์ ทั้งพิมพ์เล็กและพิมพ์ใหญ่ อาจารย์กดพิมพ์เองที่วัด

     ตำราการสร้าง อาจารย์ยึดถือการสร้างพระสูตรสมเด็จบางขุนพรหม และสูตรของหลวงตาเผือด วัดมะกอก ผสมผงพุทธคุณจากพระเกจิอาจารย์ต่างๆนับพันชนิด เรียกว่า เอาพุทธคุณคุมผงอาถรรพณ์ ภูตผีอาจเป็นเรื่องน่ากลัวแต่ผู้ที่เข้าถึงพลังอำนาจทางจิตใจได้แล้วย่อมสามารถใช้จิตแผ่นำทางวิญญาณสู่ทางสงบได้ ภูตผีบางตนก่อนหน้านี้สร้างกรรมชั่วไว้มาก ไม่ชอบสร้างบุญ ไม่ชอบปฏิบัติธรรม ตายไปแล้วก็ยังไม่อาจไปสู่ภพภูมิอื่นได้ เป็นวิญญาณพเนจร อดอยาก ต่างต้องการหาบุญมาเติมเต็มตัวเอง เพื่อจะได้สู่ภพที่ดีกว่านี้ตามวัฏจักรชีวิต สังขารของเขาหากได้มาทำประโยชน์ก็อาจเป็นทางช่วยให้ภูตผีเหล่านี้รับผลบุญให้เวลาการใช้กรรมสั้นลง บรรเทาลดลง ดังนั้นครูบาอาจารย์หลายท่านมีการนำผงอาถรรพณ์ น้ำมันสรีระ ไปสร้างเป็นเครื่องมงคล ตามความเชื่อของครูอาจารย์ท่านนั้นเอง
การนำผงอาถรรพณ์จากสรีระมนุษย์ มาสร้างเป็นเครื่องมงคลอัตลักษณะขององค์พระสมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็นับว่าเป็นส่วนหนึ่งของการสืบทอดพระพุทธศาสนาเขาก็ได้บุญกุศลด้วย ทั้งนี้ต้องอาศัยเจตนาเป็นเครื่องชี้ทางซึ่งก็มีผู้แอบอ้างโฆษณาชวนให้เชื่อในเรื่องที่ไม่อาจเป็นไปได้เพียงเพื่อต้องการเงินทอง ไม่มีความละอาย ไม่กลัวบาปกรรม ผมก็เป็นบุคคลทั่วไปไม่มีจิตสัมผัสอะไร มองไม่เห็นเหมือนผู้ทรงวิชาหลายๆท่าน ผมเห็นคนมีอุปทานทางนี้ก็เยอะแยะ ซึ่งก็นับว่าน่ากลัวมากๆ แต่ผมเป็นเพียงผู้นำเสนอเรื่องราวแบบนี้เพื่อเป็นสีสันแก่ผู้สนใจ ขอเตือนว่าอย่าหลงทางแล้วกัน ยึดถือคุณพระพุทธเจ้าให้มากๆ ดังนั้นท่านที่สนใจในเครื่องรางเครื่องมงคลที่แปลกๆ อาทิ นำผงอาถรรพณ์ น้ำมันสรีระ มาสร้าง ก็ใคร่ขอให้ดูเจตนาเป็นเกณฑ์และผู้ที่สักการะเครื่องมงคลสายนี้ก็ควรหมั่นสวดมนต์กรวดน้ำไปให้ผู้ที่อยู่อีกภพหนึ่งด้วย อย่าได้ประมาท อย่าได้ละเลยจุดนี้ไป หากได้ทำก็เป็นบุญติดตัวไปด้วย

สำหรับมวลสารอาถรรพณ์ของอาจารย์ปุ้มนั้น ได้รับการแผ่เมตตาปลุกเสกจากพระสายกรรมฐานสายพระอาจารย์มั่น ภูริโต หลายสิบรูป แม้แต่หลวงปู่แผ้ว วัดกำแพงแสน ก็ปลุกเสกเป็นกรณีพิเศษด้วยพลังจิตแก่กล้า พร้อมชี้ชัดว่า ?พระขุนแผนรุ่นนี้ อีก 2 ปีจะโด่งดัง บูชาให้ดีก็จะมีลาภเกิดขึ้นมากๆ? หลวงพ่อมงคล วัดมหาธาตุฯ ท่าพระจันทร์ การันตี เซ่นสรวงเขาให้ดีนะ จะเกิดผลดี ในเมื่อพระเกจิผู้ทรงอภิญญา ท่านรับรอง ผมก็พลางมั่นใจในพลัง
กายสังขารของมนุษย์ อาจเกิดจากการปรุงแต่ง ประกอบขึ้นมาหลายส่วน แต่ส่วนที่สำคัญนั่นคือวิญญาณ ที่หมายถึงจิตที่ทำหน้าที่รู้สึกสัมผัสได้ คนเราก็แค่นี้ เกิด แก่ เจ็บ ตาย จมสู่ดินเป็นปลายทางหากธาตุขันธ์มาเป็นเครื่องน้อมสักการะถึงองค์พระศาสดาผู้ประเสริฐ ก็ขออนุโมทนาบุญ ผมมองในแง่บุญกุศลไม่น่าใช่สิ่งเลวร้าย

     ขุนแผนเสน่ห์พันพราย เสน่ห์แรงหอมหวนมหารัญจวนอย่างไรขอเชิญสัมผัสเองได้ที่อาจารย์ ปุ้ม โฆษการี
คงไม่มีเครื่องมงคลใดประเสริฐสุดช่วยเหลือเราได้ครอบจักรวาล สิ่งเดียวที่เรายึดถือได้นั้นคือ ธรรมปัญญา จากการเรียนรู้ ตริตรอง ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านอบรมสั่งสอน หากถามผมว่าเครื่องมงคลหลวงพ่อใด อาจารย์ใด ขลังสุดๆผมคงจะตอบกลับทันทีว่า คุณเชื่อถือของหลวงพ่อใด ของนั้นแหละดีเลิศที่สุดแล้ว เชื่อที่ใหนที่นั้นแหละดี ส่วนผมเอง ผมเชื่ออาจารย์ปุ้มครับ ควรใช้ความคิดวิเคราะห์ให้เยอะๆแล้วท่านจะได้อะไรดีๆผมก็พินิจพิเคราะห์ของผมเองเช่นกัน ขอหมายเหตุตรงพระขุนแผนเสน่ห์พันพราย ของพระอาจารย์ปุ้มไว้เพียงเท่านี้ครับ

พิเศษเปิดกรุของขลังของอาจารย์ปุ้ม วัดศาลาแดง เบี้ยแก้ ตำหรับวัดนายโรง
ยอดพุทธคุณบูชาร่วมบุญกันได้ที่ พระอาจารย์ปุ้ม ขออนุโมทนาบุญ

โก้ แม่กลอง
คัดลอกมาจาก หนังสือ พุทธามหาเวท
โดย เพชร ประพันธ์ ผู้เขียน







27
งานเจริญมรณานุสติกัมมัฎฐาน (อธิษฐานตาย) นอนโลงศพ
ณ วัดป่าศรีมหาโพธิ์วิปัสสนาราม

เลขที่ 29/1 หมู่ 4 หมู่บ้านศรีมหาโพธิ์พัฒนาธานี
ต. บัวชุม อ.ชัยบาดาล จังหวัดลพบุรี 15130


ตั้งแต่วันที่ 1 - 30 กันยายน 2551

เป็นวันมหากุศลครั้งยิ่งใหญ่ ทอดผ้าป่าโลงศพและผ้าขาว ในงานเจริญมรณานุสติกัมมัฎฐาน (อธิษฐานตาย) ขอเชิญทุกท่านร่วมเป็นเจ้าภาพทอดผ้าป่าโลงศพและผ้าขาวห่อศพ ตามกำลังศรัทธา หรือบริจาคเป็นชุด ๆ ชุดใหญ่ 2000 บาท ชุดเล็ก 1000 บาท เนื่องด้วยคณะกรรมการมูลนิธิ ฯ และสำนักปฏิบัติธรรม ฯ ได้จัดงานเจริญมรณานุสติกัมมัฎฐาน (อธิษฐานตาย) เป็นประจำทุกปี จึงต้องใช้โลงศพ และผ้าขาวห่อศพ เป็นจำนวนมาก ในแต่ละปี จึงได้บอกบุญมหากุศลมายังผู้มีจิตศรัทธาได้ทราบ โดยทั่วกัน รวมเวลาปฏิบัติธรรม 30 วัน 30 คืน จึงขอเชิญชวนทุกท่าน มาร่วมงานปฏิบัติธรรม ท่านใดจะมาปฏิบัติกี่วันก็ได้ใน 30 วัน

วัตถุประสงค์ : เพื่อใช้หนี้กรรมเก่าด้วยชีัวิต เหตุการณ์ร้าย ๆ จะได้หมดไปจากชีวิต และเจริญมรณานุสติกัมมัฎฐาน (อธิษฐานตาย) นอนกรรมฐาน เป็นการสะเดาะเคราะห์กรรมที่รุนแรง ที่ทำให้ชีวิตต้องวิบัติได้พิจารณาความตายอยู่เนือง ๆ ตามสัจธรรมที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอน เป็นการสร้างปรมัตถะบารมี เช่น สัจจปรมัตถ์ วิริยะปรมัตถ์ ขันติปรมัตถ์ ปัญญาปรมัตถ์ ศีลปรมัตถ์ อธิษฐานปรมัตถ อุเบกขา์ปรมัตถ์ ทานปรมัตถ์ ด้วยการปฏิบัติภาวนา ได้ตัดกรรม ด้วยถอนอาถรรพณ์ กรรมหนัก ๆ ให้เบาลง และหมดไป ขอเชิญท่านมาสัมผัสปฏิบัติเองจึงรู้ได้เฉพาะตน แล้วจะเข้าใจชีวิต และ กรรมเก่า มากขึ้น มีวิธีเดียวในโลกที่ตัดกรรมได้เร็วที่สุด พิสูจน์ได้เอง สำหรับท่านที่จะนอนค้างคืน ควรโทรจองล่วงหน้า

กำหนดการ :

04.00 น. ทำวัตรเช้า สวดมนต์

08.00 น. ใส่บาตรคุณธรรม และพระสงฆ์สามเณร

10.00 น. ถวายภัตตาหาร และสังฆทานผ้าป่า

11.00 น. รับประทานอาหารพร้อมกัน (มังสวิรัติ์)


11.40 น. เริ่มเข้าที่ปฏิบัติธรรมลงโลง ปฏิบัติอธิษฐานตาย 4 ชั่วโมง

หมายเหตุ : พิเศษวันที่ 30 กันยายน 2551 ปฏิบัติอธิษฐานตาย 36 ชั่วโมง


ร่วมบริจาคเงินได้ที่บัญชี ธนาคารกสิกรไทย สาขาลำนารายณ์ เลขที่ 123-2-XXXX1-7

 

28
เสียงธรรมตามสาย หายไปไหน หายไปหลายวันแล้ว หรือพระอาจารย์ ไม่ได้ค่ากัณฑ์เทศ เลยไม่มาเทศนา ให้ได้รับฟังกัน

29
                    

                                           ครูบาศรีวิชัย

ครูบาศรีวิชัย ซึ่งเป็นที่รู้จักกันทั่วไปโดยเฉพาะในเขตล้านนาว่าเป็น "ตนบุญ" หรือ "นักบุญ" อันมีความหมายเชิง

ยกย่องว่าเป็นนักบวชที่มีคุณสมบัติพิเศษ อาจพบว่ามีการเรียกอีกว่า ครูบาเจ้าศรีวิชัย พระครูบาศรีวิชัย ครูบาศีลธรรม

หรือ ทุเจ้าสิริ (อ่าน"ตุ๊เจ้าสิลิ") แต่พบว่าท่านมักเรียกตนเองเป็น พระชัยยาภิกขุ หรือ พระศรีวิชัยชนะภิกขุ เดิมชื่อ

เฟือนหรืออินท์เฟือนบ้างก็ว่าอ้ายฟ้าร้อง เนื่องจากในขณะที่ท่านถือกำเนิดนั้นปรากฏฝนฟ้าคะนองอย่างหนัก ส่วนอินท์

เฟือนนั้น หมายถึง การเกิดกัมปนาทหวั่นไหวถึงสวรรค์หรือเมืองของพระอินทร์ ท่านเกิดในปีขาล เดือน ๙ เหนือ(เดือน

๗ของภาคกลาง) ขึ้น ๑๑ ค่ำ จ.ศ.๑๒๔๐ เวลาพลบค่ำ ตรงกับวันอังคารที่ ๑๑ เดือนมิถุนายน พ.ศ.๒๔๒๑ ที่หมู่บ้านชื่อ

"บ้านปาง" ตำบลแม่ตืน อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน ท่านเป็นบุตรของนายควาย นางอุสา มีพี่น้องทั้งหมด ๕ คน มีชื่อตาม

ลำดับ คือ ๑. นายไหว ๒. นางอวน ๓. นายอินท์เฟือน(ครูบาศรีวิชัย) ๔. นางแว่น ๕. นายทา

ทั้งนี้นายควายบิดาของท่านได้ติดตามผู้เป็นตาคือ หมื่นปราบ (ผาบ) ซึ่งมีอาชีพเป็นหมอคล้องช้างของเจ้าหลวงดารา

ดิเรกฤทธิ์ไพโรจน์(เจ้าผู้ครองนครลำพูนองค์ที่ ๗ ช่วง พ.ศ.๒๔๑๔-๒๔๓๑)ไปตั้งครอบครัวบุกเบิกที่ทำกินอยู่ที่บ้านปาง

บ้านเดิมของนายควายอยู่ที่บ้านสันป่ายางหลวง ทางด้านเหนือของตัวเมืองลำพูน

ในสมัยที่ครูบาศรีวิชัยหรือนายอินท์เฟือนยังเป็นเด็กอยู่นั้น หมู่บ้านดังกล่าวยังกันดารมากมีชน กลุ่มน้อยอาศัยอยู่มาก

โดยเฉพาะชาว ปกาเกอญอ (กะเหรี่ยง) ในช่วงนั้นบ้านปางยังไม่มีวัดประจำหมู่บ้าน จนกระทั่งเมื่อนายอินท์เฟือนมีอายุ

ได้ ๑๗ ปีได้มีพระภิกษุรูปหนึ่งชื่อ ครูบาขัติยะ (ชาวบ้านเรียกว่า ครูบาแฅ่งแฅะ เพราะท่านเดินขากะเผลก) เดินธุดงค์

จากบ้านป่าซางผ่านมาถึงหมู่บ้านนั้น ชาวบ้านจึงนิมนต์ท่านให้อยู่ประจำที่บ้านปาง แล้วชาวบ้านก็ช่วยกันสร้างกุฏิชั่ว

คราวให้ท่านจำพรรษา ในช่วงนั้น เด็กชายอินท์เฟือนได้ฝากตัวเป็นศิษย์ และเมื่ออายุได้ ๑๘ ปีก็ได้บรรพชาเป็น

สามเณรที่ อารามแห่งนี้โดยมีครูบาขัติยะเป็นพระอุปัชฌาย์ ๓ ปีต่อมา (พ.ศ. ๒๔๔๒) เมื่อสามเณรอินท์เฟือนมีอายุ

ย่างเข้า ๒๑ ปี ก็ได้เข้าอุปสมบทในอุโบสถวัดบ้านโฮ่งหลวง อำเภอบ้านโฮ่งจังหวัดลำพูน โดยมีครูบาสมณะวัดบ้านโฮ่ง

หลวงเป็นพระอุปัชฌาย์ ได้รับนามฉายาในการอุปสมบทว่า สิริวิชโยภิกฺขุ มีนามบัญญัติว่า พระศรีวิชัย ซึ่งบางครั้งก็พบ

ว่าเขียนเป็น สรีวิไชย สีวิไช หรือ สรีวิชัย

เมื่ออุปสมบทแล้ว สิริวิชโยภิกขุก็กลับมาจำพรรษาที่อารามบ้านปางอีก ๑ พรรษา จากนั้นได้ไปศึกษากัมมัฏฐานและ

วิชาอาคมกับครูบาอุปละ วัดดอยแต อำเภอแม่ทา จังหวัดลำพูน ต่อมาได้ไปฝากตัวเป็นศิษย์ของครูบาวัดดอยคำอีกด้วย

และอีกท่านหนึ่งที่ถือว่าเป็นครูของครูบาศรีวิชัยคือครูบาสมณะ วัดบ้านโฮ่งหลวงซึ่งเป็นพระอุปฌาย์ของท่าน
ครูบาศรีวิชัยรับการศึกษาจากครูบาอุปละวัดดอยแตเป็นเวลา ๑ พรรษาก็กลับมาอยู่ที่อารามบ้านปางจนถึง พ.ศ.

๒๔๔๔ (อายุได้ ๒๔ ปี พรรษาที่ ๔) ครูบาขัติยะได้จาริกออกจากบ้านปางไป(บางท่านว่ามรณภาพ) ครูบาศรีวิชัยจึง

รักษาการแทนในตำแหน่งเจ้าอาวาส และเมื่อครบพรรษาที่ ๕ ก็ได้เป็นเจ้าอาวาสวัดบ้านปาง จากนั้นก็ได้ย้ายวัดไปยัง

สถานที่ที่เห็นว่าเหมาะสม คือบริเวณเนินเขาซึ่งเป็นที่ตั้งวัดบ้านปางในปัจจุบัน เพราะเป็นที่วิเวกและสามารถปฏิบัติธรรม

ได้เป็นอย่างดีโดยได้ให้ชื่อวัดใหม่แห่งนี้ว่า วัดจอมสรีทรายมูลบุญเรือง แต่ชาวบ้านทั่วไปยังนิยมเรียกว่า วัดบ้านปาง

ตามชื่อของหมู่บ้าน
ครูบาศรีวิชัยเป็นผู้มีศีลาจารวัตรที่งดงามและเคร่งครัด โดยที่ท่านงดการเสพ หมาก เมี่ยง บุหรี่ โดยสิ้นเชิง ท่านงดฉัน

เนื้อสัตว์ตั้งแต่เมื่ออายุได้ ๒๖ ปี และฉันอาหารเพียงมื้อเดียว ซึ่งมักเป็นผักต้มใส่เกลือกับพริกไทเล็กน้อย บางทีก็ไม่

ฉันข้าวทั้ง ๕ เดือน คงฉันเฉพาะลูกไม้หัวมันเท่านั้น นอกจากนี้ท่านยังงดฉันผักตามวันทั้ง ๗ คือ วันอาทิตย์ ไม่ฉันฟัก

แฟง, วันจันทร์ ไม่ฉันแตงโมและแตงกวา, วันอังคาร ไม่ฉันมะเขือ, วันพุธ ไม่ฉันใบแมงลัก, วันพฤหัสบดี ไม่ฉันกล้วย,

วันศุกร์ ไม่ฉันเทา (อ่าน"เตา"-สาหร่ายน้ำจืดคล้ายเส้นผมสีเขียวชนิดหนึ่ง), วันเสาร์ ไม่ฉันบอน นอกจากนี้ผักที่ท่านจะ

ไม่ฉันเลยคือ ผักบุ้ง ผักปลอด ผักเปลว ผักหมากขี้กา ผักจิก และผักเฮือด-ผักฮี้(ใบไม้เลียบอ่อน) โดยท่านให้เหตุผลว่า

ถ้าพระภิกษุสามเณรรูปใดงดได้ การบำเพ็ญกัมมัฏฐานจะเจริญก้าวหน้า ผิวพรรณจะเปล่งปลั่ง ธาตุทั้ง ๔ จะเป็นปกติ

ถ้าชาวบ้านงดเว้นแล้วจะทำให้การถือคาถาอาคมดีนัก
ครูบาศรีวิชัยมีความปรารถนาที่จะบรรลุธรรมะอันสูงสุดดังปรากฏจากคำอธิษฐานบารมีที่ท่านอธิษฐานไว้ว่า "...ตั้ง

ปรารถนาขอหื้อได้ถึงธรรมะ ยึดเหนี่ยวเอาพระนิพพานสิ่งเดียว..." และมักจะปรากฏความปรารถนาดังกล่าวในตอน

ท้ายชองคัมภีร์ใบลานที่ท่านสร้างไว้ทุกเรื่อง อีกประการหนึ่งที่ทำให้ครูบาศรีวิชัยเป็นที่รู้จักและอยู่ในความทรงจำของ

ชาวล้านนาคือการที่ท่านเป็นผู้นำในการสร้างทางขึ้นสู่วัดพระธาตุดอยสุเทพโดยพลังศรัทธาประชาชนเป็นจำนวนมาก

ทั้งกำลังกายและกำลังทรัพย์ ซึ่งใช้เวลาสร้างเพียง ๕ เดือนเศษ โดยไม่ใช้งบประมาณของรัฐ แต่เรื่องที่ทำให้ครูบาศรี

วิชัยเป็นที่รู้จักกันใน ระยะแรกนั้นเกิดเนื่องจากการที่ท่านต้องอธิกรณ์ ซึ่งระเบียบการปกครองสงฆ์ตามจารีตเดิมของ

ล้านนานั้นให้ความสำคัญแก่ระบบหมวดอุโบสถ หรือ ระบบหัวหมวดวัด มากกว่า และการปกครองก็เป็นไปในระบบพระ

อุปัชฌาย์อาจารย์กับศิษย์ ซึ่งพระอุปัชฌาย์รูปหนึ่งจะมีวัดขึ้นอยู่ในการดูแลจำนวนหนึ่งเรียกว่าเจ้าหมวดอุโบสถ โดย

คัดเลือกจากพระที่มีผู้เคารพนับถือและได้รับการยกย่องว่าเป็น ครูบา ซึ่งหมายถึงพระภิกษุที่ได้รับความยกย่องอย่างสูง

ดังนั้นครูบาศรีวิชัยซึ่งมีชื่อเสียงอยู่ในขณะนั้นจึงอยู่ในตำแหน่งหัวหมวดพระอุปัชฌาย์ โดยฐานะเช่นนี้ ครูบาศรีวิชัยจึง

มีสิทธิ์ตามจารีตท้องถิ่นที่จะบวชกุลบุตรได้ ทำให้ครูบาศรีวิชัยจึงมีลูกศิษย์จำนวนมาก และลูกศิษย์เหล่านี้ก็ได้เป็น

ฐานกำลังที่สำคัญของครูบาศรีวิชัยในการดำเนินกิจกรรมทางศาสนาและกิจกรรมสาธารณประโยชน์ อีกทั้งยังเป็นแนว

ร่วมในการต่อต้านอำนาจจากกรุงเทพฯ เมื่อเกิดกรณีขัดแย้งขึ้นในเวลาต่อมา

ส่วนสงฆ์ในล้านนาเองก็มีแนวปฏิบัติที่หลากหลาย เนื่องจากมีการจำแนกพระสงฆ์ตามจารีตท้องถิ่นออกเป็นถึง ๑๘

นิกาย และในแต่ละนิกายนี้ก็น่าจะหมายถึงกลุ่มพระที่เป็นสายพระอุปัชฌาย์สืบต่อกันมาในแต่ละท้องที่ซึ่งมีอำนาจ

ปกครองในสายของตนโดยผ่านความคิดระบบครูกับศิษย์ และนอกจากนี้นิกายต่าง ๆ นั้นยังเกี่ยวข้องกับชื่อของเชื้อ

ชาติอีกด้วย เช่น นิกายเชียงใหม่ นิกายขึน (เผ่าไทขึน/เขิน) นิกายยอง (จากเมืองยอง) เป็นต้น สำหรับครูบาศรีวิชัย

นั้นยึดถือปฏิบัติในแนวของนิกายเชียงใหม่ผสมกับนิกายยองซึ่งมีแนวปฏิบัติบางอย่างต่างจากนิกายอื่น ๆ มีธรรมเนียม

ที่ยึดถือคือ การนุ่งห่มที่เรียกว่า กุมผ้าแบบรัดอก สวมหมวก แขวนลูกประคำ ถือไม้เท้าและพัด ซึ่งยึดธรรมเนียมมา

จากวัดดอยแตโดยอ้างว่า สืบวิธีการนี้มาจากลังกา การที่ครูบาศรีวิชัยถือว่าท่านมีสิทธิ์ที่จะบวชกุลบุตรได้ตามจารีตการ

ถือปฏิบัติมาแต่เดิมนั้น ทำให้ขัดกับพระราชบัญญัติการปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ.๑๒๑(พ.ศ.๒๔๔๖) เพราะในพระราช

บัญญัติดังกล่าวกำหนดว่า "พระอุปัชฌาย์ที่จะบวชกุลบุตรได้ ต้องได้รับการแต่งตั้งตามระเบียบการปกครองของสงฆ์

จากส่วนกลางเท่านั้น" โดยถือเป็นหน้าที่ของเจ้าคณะแขวงนั้น ๆ เป็นผู้คัดเลือกผู้ที่ควรจะเป็นอุปัชฌาย์ได้ และเมื่อคัด

เลือกได้แล้วจึงจะนำชื่อเสนอเจ้าคณะผู้ใหญ่ในกรุงเทพฯเพื่อดำเนินการแต่งตั้งต่อไป การจัดระเบียบการปกครองใหม่

ของกรุงเทพฯนี้ถือเป็นวิธีการสลายจารีตเดิมของสงฆ์ในล้านนาอย่างได้ผล องค์กรสงฆ์ล้านนาก็เริ่มสลายตัวลงที่ละ

น้อยเพราะอย่างน้อยความขัดแย้งต่าง ๆ ก็เกิดขึ้นระหว่างสงฆ์ในล้านนาด้วยกันเอง ดังกรณี ความขัดแย้งระหว่างครู

บาศรีวิชัยกับพระครูมหารัตนากรเจ้าคณะแขวงลี้ อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน เป็นต้น

การต้องอธิกรณ์ระยะแรกของครูบาศรีวิชัยนั้นเกิดขึ้นเพราะครูบาศรีวิชัยถือธรรมเนียมปฏิบัติตามจารีตเดิมของล้านนา

ส่วนเจ้าคณะแขวงลี้ซึ่งใช้ระเบียบวิธีปฏิบัติของกรุงเทพฯ ซึ่งเห็นว่าครูบาศรีวิชัยทำหน้าที่พระอุปัชฌาย์โดยไม่ได้รับ

การอนุญาตจากเจ้าคณะแขวงลี้ จึงถือว่าเป็นความผิด เพราะตั้งตนเป็นพระอุปัชฌาย์เองและเป็นพระอุปัชฌาย์เถื่อน

ครูบามหารัตนากรเจ้าคณะแขวงลี้กับหนานบุญเติง นายอำเภอลี้ได้เรียกครูบาศรีวิชัยไปสอบสวนเกี่ยวกับปัญหาที่ครู

บาศรีวิชัยเป็นพระอุปัชฌาย์บวชกุลบุตรโดยมิได้รับแต่งตั้งตามพระราชบัญญัติ การจับกุมครูบาศรีวิชัยสามารถแบ่งช่วง

เวลาออกเป็น ๓ ช่วงเนื่องจากเป็นระยะเวลาที่ยาวนานเกือบ ๓๐ ปีและแต่ละช่วงจะมีรายละเอียดของสภาพสังคมที่

แตกต่างกัน

อธิกรณ์ระยะแรก (ช่วง พ.ศ.๒๔๕๑ - ๒๔๕๓)

การต้องอธิกรณ์ช่วงแรกของครูบาศรีวิชัยเป็นผลมาจากการเริ่มทดลองใช้กฎหมายของคณะสงฆ์ฉบับ

แรก(พ.ศ.๒๔๔๖)และเป็นการเริ่มให้อำนาจกับสงฆ์สายกลุ่มผู้ปกครองในช่วงพ.ศ.๒๔๕๓ นั้น บทบาทของครูบาศรี

วิชัยในหมู่ชาวบ้านและชาวเขามีลักษณะโดดเด่นเกินกว่าตำแหน่งสงฆ์ผู้ปกครอง ดังจะเห็นว่าชาวบ้านมักนำเอาบุตร

หลานมาฝากฝังให้ครูบาศรีวิชัยบวชเณรและอุปสมบท เมื่อความทราบถึงเจ้าคณะแขวงและนายอำเภอลี้ ทางการก็เห็น

ว่าครูบาศรีวิชัยล่วงเกินอำนาจของตน เจ้าคณะแขวงและนายอำเภอได้พาตำรวจควบคุมครูบาศรีวิชัยไปกักไว้ที่วัดเจ้า

คณะแขวงลี้ได้ ๔ คืน จากนั้นก็ส่งครูบาศรีวิชัยไปให้พระครูบ้านยู้ เจ้าคณะจังหวัดลำพูนเพื่อรับการไต่สวน ซี่งผลก็ไม่

ปรากฏครูบาศรีวิชัยมีความผิด หลังจากถูกไต่สวนครั้งแรกไม่นานนัก ครูบาศรีวิชัยก็ถูกเรียกตัวสอบอีกครั้งโดยพระครู

มหาอินทร์ เจ้าคณะแขวงลี้ เนื่องจากมีหมายเรียกให้ครูบาศรีวิชัยนำลูกวัดไปประชุมเพื่อรับทราบระเบียบกฎหมายใหม่

จากนายอำเภอและเจ้าคณะแขวงลี้ แต่ครูบาศรีวิชัยไม่ได้ไปตามหมายเรียกนั้น ซึ่งส่งผลทำให้เจ้าอธิการหัววัดที่อยู่ใน

หมวดอุโบสถของครูบาศรีวิชัยไม่ไปประชุมเช่นกัน เพราะเห็นว่าเจ้าหัวหมวดไม่ไปประชุม ลูกวัดก็ไม่ควรไป พระครูเจ้า

คณะแขวงลี้จึงสั่งให้นายสิบตำรวจเมืองลำพูนไปควบคุมครูบาศรีวิชัยส่งให้พระครูญาณมงคลเจ้าคณะจังหวัดลำพูน

จัดการไต่สวน ครั้งนั้น ครูบา ศรีวิชัยถูกควบคุมตัวอยู่ที่วัดชัยเมืองลำพูนถึง ๒๓ วัน จึงได้รับการปล่อยตัว

ส่วนครั้งที่๓ ใน พ.ศ.เดียวกันนี้ พระครูเจ้าคณะแขวงลี้ได้สั่งให้ครูบาศรีวิชัยนำเอาลูกวัดเจ้าอธิการหัววัดตำบลบ้านปาง

ซึ่งอยู่ในหมวดอุโบสถไปประชุมที่วัดเจ้าคณะแขวงตามพระราชบัญญัติที่จะเพิ่มขึ้น ปรากฏว่าครูบาศรีวิชัยมิได้เข้า

ประชุมอีก มีผลให้บรรดาหัววัดไม่ไปประชุมเช่นกัน เจ้าคณะแขวงและนายอำเภอลี้จึงมีหนังสือฟ้องถึงพระครูญาณมงคล

เจ้าคณะจังหวัดลำพูน ครูบาศรีวิชัยถูกควบคุมไว้ที่วัดพระธาตุหริภุญชัยเมืองลำพูนนานถึงหนึ่งปี พระครูญาณมงคลจึง

ได้เรียกประชุมพระครูผู้ใหญ่ในจังหวัดเพื่อพิจารณาเรื่องนี้ ซึ่งในที่สุดที่ประชุมก็ได้ตัดสินให้ครูบาศรีวิชัยพ้นจาก

ตำแหน่งหัวหมวดวัดหรือหมวดอุโบสถและมิให้เป็นพระอุปัชฌาย์อีกต่อไป พร้อมทั้งถูกควบคุมตัวต่อไปอีกหนึ่งปี

อธิกรณ์ระยะที่สอง (พ.ศ. ๒๔๕๔ - ๒๔๖๔)

อธิกรณ์พระศรีวิชัยครั้งที่สองนี้มีความเข้มข้นและรุนแรงขึ้นเนื่องจากเป็นผลมาจากการต้องอธิกรณ์ครั้งแรกถึง ๓ ครั้ง

แต่การต้องอธิกรณ์กลับเป็นการเพิ่มความเลื่อมใสศรัทธาของชาวบ้านที่มีต่อครูบาศรีวิชัยมากยิ่งขึ้น เสียงที่เล่าลือ

เกี่ยวกับครูบาสรีวิชัยจึงขยายออกไป นับตั้งแต่เป็นผู้วิเศษเดินตากฝนไม่เปียกและได้รับดาบสรีกัญไชย(พระขรรค์

ชัยศรี)จากพระอินทร์ ความนับถือเลื่อมใสศรัทธาใน ตัวครูบาศรีวิชัยยิ่งแพร่ขยายออกไปอย่างไม่หยุดยั้ง คำเล่าลือดัง

กล่าวเมื่อทราบถึงเจ้าคณะแขวงลี้และนายอำเภอแขวงลี้ ทั้งสองจึงได้เข้าแจ้งต่อพระครูญาณมงคล เจ้าคณะจังหวัด

ลำพูน โดยกล่าวหาว่า "ครูบาศรีวิชัยเกลี้ยกล่อมส้องสุมคนคฤหัสถ์นักบวชเป็นก๊กเป็นเหล่า และใช้ผีและเวทมนต์"

พระครูญาณมงคลจึงออกหนังสือลงวันที่ ๑๒มกราคม ๒๔๖๒ สั่งครูบาศรีวิชัยให้ออกไปพ้นเขตจังหวัดลำพูน ภายใน

๑๕ วัน พร้อมทั้งมีหนังสือห้ามพระในจังหวัดลำพูนรับครูบาศรีวิชัยไว้ในวัด เมื่อครูบาศรีวิชัยโต้แย้งและทางการไม่

สามารถเอาผิดครูบาศรีวิชัยได้ ความดังกล่าวก็เลิกราไประยะหนึ่ง แต่ต่อมา ก็มีหนังสือของเจ้าจักรคำขจรศักดิ์เจ้าผู้

ครองเมืองนครลำพูน เรียกครูบาศรีวิชัยพร้อมกับลูกวัดเข้าเมืองลำพูน ครั้งนั้นพวกลูกศิษย์ได้จัดขบวนแห่ครูบาศรีวิชัย

เข้าสู่เมืองอย่างใหญ่โต การณ์ดังกล่าวคงจะทำให้ทางคณะสงฆ์ผู้ปกครองลำพูนตกใจอยู่มิใช่น้อย ดังจะพบว่าเมื่อครู

บาศรีวิชัยพักอยู่ที่วัดมหาวันได้คืนหนึ่ง อุปราชเทศามณฑลพายัพจึงได้สั่งย้ายครูบาศรีวิชัยขึ้นไปยังเชียงใหม่ โดยให้

พักกับพระครูเจ้าคณะเมืองเชียงใหม่ที่วัดเชตวัน เสร็จแล้วจึงมอบตัวให้พระครูสุคันธศีล รองเจ้าคณะเมืองเชียงใหม่ ที่

วัดป่ากล้วย (ศรีดอนไชย)

ในระหว่างที่ครูบาศรีวิชัยถูกควบคุมอยู่ที่วัดป่ากล้วย ก็ได้มีพ่อค้าใหญ่เข้ามารับเป็นผู้อุปฐากครูบาศรีวิชัยคือหลวงอนุ

สารสุนทร (ซุ่นฮี้ ชัวย่งเส็ง)และพญาคำ แห่งบ้านประตูท่าแพ ตลอดจนผู้คนทั้งในเชียงใหม่และใกล้เคียงต่างก็เดิน

ทางมานมัสการครูบาศรีวิชัยเป็นจำนวนมาก ทางฝ่ายผู้ดูแลต่างเกรงว่าเรื่องจะลุกลามไปกันใหญ่เนื่องจากแรงศรัทธา

ของชาวเมืองเหล่านี้ เจ้าคณะเมืองเชียงใหม่และเจ้าคณะมณฑลพายัพจึงส่งครูบาศรีวิชัยไปรับการไต่สวนพิจารณาที่

กรุงเทพฯ ซึ่งผลการพิจารณาไม่พบว่าครูบาศรีวิชัยมีความผิด และให้ครูบาศรีวิชัยเลือกเป็นเจ้าอาวาสหรืออาศัยอยู่ใน

วัดอื่นก็ได้ เมื่อครูบาศรีวิชัยกลับจากกรุงเทพฯแล้ว ชนทุกกลุ่มของล้านนาก็ได้เพิ่มความเคารพยกย่องในตัวครูบา ดัง

จะเห็นได้จากความสนับสนุนในการบูรณะปฏิสังขรณ์วัดวาอารามต่าง ๆ ทั่วไปในล้านนาซึ่งต้องใช้ทั้งเงินและแรง

งานอย่างมหาศาล

อธิกรณ์ระยะที่สาม (ช่วง พ.ศ. ๒๔๗๘ - ๒๔๗๙)

การต้องอธิกรณ์ช่วงที่สามของครูบาศรีวิชัยเกิดขึ้นในช่วงที่ได้มีการสร้างถนนขึ้นสู่พระธาตุดอย สุเทพเพราะขณะก่อ

สร้างทางอยู่นั้นเอง ปรากฏว่ามีพระสงฆ์ในจังหวัดเชียงใหม่รวม ๑๐ แขวง ๕๐ วัด ขอลาออกจากการปกครองคณะ

สงฆ์ไปขึ้นอยู่ในปกครองของครูบาศรีวิชัยแทน เมื่อเห็นการที่วัดขอแยกตัวไปขึ้นกับครูบาศรีวิชัยเพิ่มจำนวนมากขึ้น

เรื่อย ๆ เช่นนั้น ทางคณะสงฆ์จึงสั่งให้กลุ่มพระสงฆ์ในวัดที่ขอแยกตัวออกดังกล่าวเข้ามอบตัวและพระสงฆ์ที่ครูบาศรี

วิชัยเคยบวชให้ก็ถูกสั่งให้สึก อธิกรณ์ครั้งที่ ๓ นี้ได้ดำเนินมาจนกระทั่ง พ.ศ. ๒๔๗๙ ครูบาศรีวิชัยได้ให้คำรับรองต่อ

คณะสงฆ์ว่าจะปฏิบัติตามพระราชบัญญัติลักษณะการปกครองคณะสงฆ์ทุกประการ ท่านจึงได้รับอนุญาตให้เดิน

ทางกลับลำพูนเมื่อวันที่ ๑๓ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๗๙ รวมเวลาที่ต้องสอบสวนและอบรมอยู่ที่วัดเบญจมบพิตรเป็นเวลา

ถึง ๖ เดือน ๑๗ วัน

กรณีความขัดแย้งระหว่างครูบาศรีวิชัยกับคณะสงฆ์ฝ่ายปกครองได้ดำเนินมาเป็นระยะเวลาเกือบ ๓๐ ปี นับตั้งแต่

พ.ศ.๒๔๕๑ เป็นต้นมา ตราบกระทั่งวาระสุดท้ายในชีวิตของครูบาศรีวิชัย แต่ในช่วงเวลานั้น ครูบาศรีวิชัยก็ยังคง

ดำเนินการช่วยเหลือประชาชน เป็นที่พึ่งทางใจและดำเนินการบูรณะ ปฏิสังขรณ์วัดวาอารามต่างๆ ตลอดจนสาธารณะ

ประโยชน์ตามคำอาราธนาอยู่เรื่อยมา

การปฏิสังขรณ์วัดและปูชนียวัตถุทางพุทธศาสนากับการสร้างสิ่งสาธารณประโยชน์

ครูบาศรีวิชัยได้ชื่อว่าเป็นผู้ถือปฏิบัติเคร่งมาตั้งแต่เป็นสามเณร ดังเห็นว่าท่านเป็นผู้ที่มักน้อย ถือสันโดษ และเว้น

อาหารที่มีเนื้อสัตว์เจือปน ตลอดจนงดกระทั่งหมาก เมี่ยง และบุหรี่ ทำให้คนทั่วไปเห็นว่าครูบาเป็นผู้บริสุทธิ์ที่มีลักษณะ

เป็น"ตนบุญ" คนทั้งปวงต่างก็ประสงค์จะทำบุญกับครูบาเพราะเชื่อว่าการถวายทานกับภิกษุผู้บริสุทธิ์เช่นนั้นจะทำให้ผู้

ถวายทานได้รับอานิสงส์มาก เงินที่ประชาชนนำมาทำบุญก็นำไปใช้ในการก่อสร้างสาธารณประโยชน์และบูรณะศาสน

สถานและศาสนวัตถุ งานก่อสร้างดังกล่าวเริ่มขึ้นเมื่อปี ฉลู พ.ศ.๒๔๔๒ เดือน ๓ แรม ๑ ค่ำ ครูบาได้แจ้งข่าวสารไปยัง

ศรัทธาทั้งหลายรวมทั้งชาวเขาเผ่าต่าง ๆ ว่าจะวัดบ้านปางขึ้นใหม่ ซึ่งก็สร้างเสร็จภายในเวลาไม่นานนัก ให้ชื่อวัดใหม่

นั้นว่า "วัดศรีดอยไชยทรายมูล" ซึ่งคนทั่วไปนิยมเรียกว่า "วัดบ้านปาง"

ขั้นตอนปฏิบัติในการไปบูรณะปฏิสังขรณ์วัดมีว่า เมื่อครูบาได้รับนิมนต์ให้ไปบูรณะปฏิสังขรณ์วัดใดแล้ว ทางวัดเจ้าภาพ

ก็จะสร้างที่พักของครูบากับศิษย์และปลูกปะรำสำหรับเป็นที่พักของผู้ที่มาทำบุญกับครูบา คืนแรกที่ครูบาไปถึงก็จะ

อธิษฐานจิตดูว่าการก่อสร้างครั้งนั้นจะสำเร็จหรือไม่ ซึ่งมีน้อยครั้งที่จะไม่สำเร็จเช่นการสร้างสะพานศรีวิชัยซึ่งเชื่อม

ระหว่าง อำเภอหางดง เชียงใหม่ กับอำเภอเมือง ลำพูน จากนั้นครูบาก็จะ "นั่งหนัก" คือเป็นประธานอยู่ประจำในงานนั้น

คอยให้พรแก่ศรัทธาที่มาทำบุญโดยไม่สนใจเรื่องเงิน แต่มีคณะกรรมการช่วยกันรวบรวมเงินไปเป็นค่าใช้จ่ายในการ

ก่อสร้าง ครูบาไป "นั่งหนัก" ที่ไหน ประชาชนจะหลั่งไหลกันไปทำบุญที่นั่นถึงวันละ ๒๐๐-๓๐๐ ราย คับคั่งจนที่นั้น

กลายเป็นตลาดเป็นชุมชนขึ้น เมื่อก่อสร้างเสร็จแล้วก็จะมีงาน "พอยหลวง-ปอยหลวง" คืองานฉลอง บางแห่งมีงาน

ฉลองถึงสิบห้าวัน และในช่วงเวลาดังกล่าวก็มักจะมีคนมาทำบุญกับครูบามากกว่าปกติ เมื่อเสร็จงาน"พอยหลวง-ปอย

หลวง" ในที่หนึ่งแล้ว ครูบาและศิษย์ก็จะย้ายไปก่อสร้างที่อื่นตามที่มีผู้มานิมนต์ไว้ โดยที่ท่านจะไม่นำทรัพย์สินอื่นใด

จากแหล่งก่อนไปด้วยเลย ช่วงที่ครูบาศรีวิชัยต้องอธิกรณ์ครั้งที่สองและถูกควบคุมไว้ที่วัดศรีดอนชัย เชียงใหม่ เป็น

เวลา ๓ เดือนกับ ๘ วันนั้น ผู้คนหลั่งไหลไปทำบุญกับครูบาไม่ต่ำกว่าวันละ ๒๐๐ ราย เมื่อครูบาได้ผ่านการพิจารณา

อธิกรณ์ที่กรุงเทพฯ ซึ่งใช้เวลาอีก ๒ เดือนกับ ๔ วันแล้วครูบาก็เดินทางกลับลำพูนเมื่อวันที่ ๒๑ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๖๓

หลังจากนั้นผู้คนก็มีความศรัทธาในตัวครูบามากขึ้น ครูบาศรีวิชัยเริ่มต้นการบูรณะวัดขณะที่ท่านอายุ ๔๒ ปี โดยเริ่ม

จากการบูรณะพระเจดีย์บ่อนไก้แจ้ จังหวัดลำปาง ถัดจากนั้นได้บูรณะเจดีย์และวิหารวัดพระธาตุหริภุญชัย ต่อมาได้ไป

บูรณะเจดีย์ดอยเกิ้ง ในเขตอำเภอฮอด เชียงใหม่ จากนั้นไปบูรณะวัดศรีโคมคำ จังหวัดพะเยา กล่าวกันมาว่าในวันที่

ท่านถึงพะเยานั้น มีประชาชนนำเงินมาบริจาคร่วมทำบุญใส่ปีบได้ถึง ๒ ปีบ หลังจากนั้นมาบูรณะวัดพระสิงห์ เชียงใหม่

เป็นอาทิ รวมแล้วพบว่างานบูรณะปฏิสังขรณ์วัดวาอารามของครูบาศรีวิชัยมีประมาณ ๒๐๐ แห่ง




ในขณะที่ครูบาศรีวิชัยกำลังบูรณะวัดสวนดอกเชียงใหม่ใน พ.ศ.๒๔๗๕ อยู่นั้น หลวงศรีประกาศได้หารือกับครูบาศรี

วิชัยว่าอยากจะนำไฟฟ้าขึ้นไปใช้บนดอยสุเทพ แต่ครูบาศรีวิชัยว่าหากทำถนนขึ้นไปจะง่ายกว่าและจะได้ไฟฟ้าในภาย

หลัง ทั้งนี้ทางการเคยคำนวณไว้ในช่วง พ.ศ.๒๔๖๐ ว่าหากสร้างทางขึ้นดอยสุเทพนั้นจะต้องใช้งบประมาณ ๒๐๐,๐๐๐

บาท แต่ครูบาศรีวิชัยได้เริ่มสร้างทางเมื่อวันที่ ๙ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๗๗ และเปิดให้รถยนต์แล่นได้ในวันที่ ๓๐

เมษายน พ.ศ.๒๔๘๘ โดยไม่ต้องใช้งบประมาณเลย ครั้นเสร็จงานสร้างถนนแล้ว ครูบาศรีวิชัยก็ถูกนำตัวไปสอบ

อธิกรณ์ที่กรุงเทพฯอีกเป็นครั้งที่สอง และงานชิ้นสุดท้ายของท่านที่ไม่เสร็จในสมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ก็คือสะพานศรี

วิชัยอนุสรณ์ ทอดข้ามน้ำแม่ปิงเชื่อมอำเภอหางดง เชียงใหม่ กับอำเภอเมืองจังหวัดลำพูน

ในการก่อสร้างต่าง ๆ นับแต่ พ.ศ.๒๔๖๓ ถึง ๒๔๗๑ มีผู้ได้บริจาคเงินทำบุญกับท่าน ประมาณ ๓๐๐,๐๐๐ รูปี คิดเป็น

เงินไม่น้อยกว่าสามหมื่นห้าพันบาท รวมค่าก่อสร้างชั่วชีวิตของท่านประมาณสองล้านบาท นอกจากนั้นท่านยังได้สร้าง

คัมภีร์ต่าง ๆ อีกไม่น้อยกว่า ๓๐๐๐ ผูก คิดค่าจารเป็นเงิน ๔,๓๒๑ รูปี(รูปีละ ๘๐ สตางค์) ทั้งนี้ แม้ครูบาศรีวิชัยจะมี

งานก่อสร้างที่ยิ่งใหญ่และมากมาย แต่บิดามารดาคือนายควายและนางอุสาก็ยังคงอยู่ในกระท่อมอย่างเดิมสืบมาตราบ

จนสิ้นอายุ

ครูบาศรีวิชัยซึ่งเป็นคนร่างเล็กผอมบางผิวขาว ไม่ใช่คนแข็งแรง แม้ท่านจะไม่ต้องทำงานประเภทใช้แรงงาน แต่การที่

ต้องนั่งคอยต้อนรับและให้พรแก่ผู้มาทำบุญกับท่านนั้น ท่านจะต้อง"นั่งหนัก"อยู่ตลอดทั้งวัน ด้วยเหตุนี้ท่านจึงอาพาธ

ด้วยโรคริดสีดวงทวารซึ่งสะสมมาแต่ครั้งการตระเวนก่อสร้างบูรณะวัดในเขตล้านนา และการอาพาธได้กำเริบขณะที่

สร้างสะพานข้ามแม่น้ำปิง ครูบาศรีวิชัยถึงแก่มรณภาพเมื่อวันที่ ๒๒ มีนาคม พ.ศ.๒๔๘๑ ที่วัดบ้านปาง ขณะมีอายุได้

๖๐ ปี ๙ เดือน ๑๑ วัน และตั้งศพไว้ที่วัดบ้านปางเป็นเวลา ๑ ปี บางท่านก็ว่า ๓ ปี จากนั้นได้เคลื่อนศพมาตั้งไว้ที่วัดจาม

เทวี ลำพูน จนถึงวันที่ ๒๑ มีนาคม พ.ศ.๒๔๘๙ จึงได้รับพระราชทานเพลิงศพ เมื่องานพระราชทานเพลิงศพเสร็จสิ้นจึง

ได้มีการแบ่งอัฐิของท่านไปบรรจุไว้ตามที่ต่าง ๆ เช่น ที่วัดจามเทวีจังหวัดลำพูน วัดสวนดอก จังหวัดเชียงใหม่ วัดพระ

แก้วดอนเต้า จังหวัดลำปาง วัดศรีโคมคำ จังหวัดพะเยา วัดพระธาตุช่อแฮ จังหวัดแพร่ และที่วัดบ้านปาง จังหวัดลำพูน

อันเป็นวัดดั้งเดิมของท่าน เป็นต้น



วัตถุมงคลของครูบาเจ้าศรีวิชัย

ในยุคที่ครูบาศรีวิชัยยังไม่ถึงแก่มรณภาพนั้น ผู้ที่ทำบุญกับครูบาศรีวิชัยจะได้รับความอิ่มใจที่ได้ทำบุญกับท่านเท่านั้น

ส่วนการสร้างวัตถุมงคลนั้น ระยะแรก พวกลูกศิษย์ที่นับถือครูบาศรีวิชัยได้จัดทำพระเครื่องคล้ายพระรอดหรือพระคง

ของลำพูน โดยเมื่อครูบาปลงผมในวันโกน ก็จะเก็บเอาเส้นผมนั้นมาผสมกับมุกมีส่วนผสมกับน้ำรักกดลงในแบบพิมพ์

ดินเผาแล้วแจกกันไปโดยไม่ต้องเช่าในระหว่างศิษย์ กล่าวกันว่าเพื่อป้องกันภยันตรายต่าง ๆ ซึ่งก็ลือกันว่ามีอิทธิฤทธิ์

เป็นที่น่าอัศจรรย์

ส่วนเหรียญโลหะรูปครูบาศรีวิชัยนั้น พระครูวิมลญาณประยุต (สุดใจ วิกสิตฺโต) ชาวจังหวัดอ่างทองได้ร่วมกับคณะสงฆ์

จังหวัดลำพูนสร้างขึ้นให้เช่าเพื่อนำเงินมาช่วยในการปลงศพครูบาศรีวิชัย โดยให้เช่าในราคาเหรียญละ ๕ สตางค์ ทั้งนี้

สิงฆะ วรรณสัย ยืนยันจากประสบการณ์ที่ท่านรู้จักครูบาดีและได้คลุกคลีกับเรื่องพระเครื่องมาตั้งแต่ครูบายังไม่

มรณภาพนั้นระบุว่าไม่มีเหรียญรุ่นดอยสุเทพ ไม่มีเหรียญที่ครูบาศรีวิชัยสร้าง หรือวัตถุมงคลอื่นใดที่ครูบาจะสร้างขึ้น

นอกจากการให้พรและความอิ่มใจในการทำบุญกับท่านเท่านั้น แต่ในระยะหลังก็พบว่ามีการสร้างวัตถุมงคลของครูบา

อยู่เป็นจำนวนมาก ในรูปแบบต่างๆ โดยผู้ที่ครอบครองวัตถุมงคลเหล่านั้นมีความศรัทธาในความดีของ "ตนบุญ"เป็น

สำคัญ

อุดม รุ่งเรืองศรี

(เรียบเรียงจากงานของ วิลักษณ์ ศรีป่าซาง, ประวัติครูบาศรีวิชัยร่วมกับหลวงศรีประกาศ ตอนสร้างทางขึ้นดอยสุเทพ

ของ ส.สุภาภา ๑๐ พค.๒๕๑๘, สารประวัติครูบาศรีวิชัย นักบุญแห่งลานนาไทย ของสิงฆะ วรรณสัย ศูนย์หนังสือ

เชียงใหม่ พฤศจิกายน ๒๕๒๒, และ ตำนานครูบาศรีวิชัยแบบพิศดารและตำนานวัดสวน-ดอก สถาบันวิจัยสังคม

มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ๒๕๓๗)
  
 จาก http://www.lannaworld.com/person/svchai.htm อีกทีหนึ่ง  

30
หลวงปู่อุ้น สุขกาโม
 จากเวบhttp://www.wattalkong.blogspot.com/


นามเดิม : อุ้น อินพรหม

สมณศักดิ์ : พระครูวินัย วัชรกิจ เจ้าอาวาสวัดตาลกง
อ.ท่ายาง จ.เพชรบุรี

ชาติภูมิ : กำเนิดเมื่อวันที่ 9 มีนาคม พ.ศ.2459
( แรม 2 ค่ำ เดือน 4 ปี มะโรง ) เป็นบุตรคนโต
ในจำนวนพี่น้อง 8 คน คือ 1.ลพ.อุ้น 2.นายอิ่น
3.นายเอื่อน 4.นายพวง 5. นายแดง
6.นางพุด 7.นางเพี้ยน 8.นางพ้วน
ของโยมบิดา บุญ อินพรหม
โยมมารดา เล็ก อินพรหม ณ บ้านหนองหินถ่วง
ต.มาบปลาเค้า อ.ท่ายาง จ.เพชรบุรี

เริ่มการศึกษาเบื้องต้น หนังสือไทย ขอม ที่วัดไสค้าน
จนกระทั่งจบการศึกษาภาคบังคับ แล้วมาช่วยเหลือ
บิดามารดาประกอบอาชีพในด้านเกษตรกรรม

อุปสมบท : เมื่ออายุ 20 ปี วันที่ 21 ก.ค.2479
ณ พัมธสีมา วัดตาลกง โดยมีพระอธิการชัน
วัดมาบปลาเค้า เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอธิการผิว
วัดตาลกง เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอธิการขาว
วัด อินจำปา เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับสมณฉายา
ว่า " สุขกาโม "

การศึกษาพุทธาคม : ศึกษาข้อวัตรปฏิบัติ อยู่รับใช้
ลพ.ผิว วัดตาลกง ซึ่งเป็นอาจารย์ที่เชี่ยวชาญไสยศาสตร์
เวทย์มนต์คาถาอาคม รุ่นราวคราวเดียว ( สหธรรมิก )
กับ ลพ.เพลิน วัดหนองไม้เหลือง ทั้งยังเก่งด้านวิปัสนา
กรรมฐาน เมตตา อยู่ยงคงกระพัน ซึ่งใกล้ชิดกับ
ลป.นาค วัดหัวหิน ทั้งเคยเดินทางไปศึกษาวิชาความรู้
จาก ลป.นาค อยู่เป็นประจำ

หลวงพ่อผิว ธมสิริ เป็นพระเกจิทรงคุณวิเศษ
ของเมืองเพชรบุรีในยุคนั้น แต่อุปนิสัยของท่านชอบ
อยุ่สันโดษ เก็บตัวเงียบ ไม่ยอมเปิดเผยว่ามีดีนานๆ
จะลง นะ ที่กระหม่อมให้ผู้ไปหาท่านสักครั้ง
ชาวบ้านวัยชราอายุ 80 กว่า เล่าให้ฟังว่า
ลพ.ผิวลง นะ ที่หัวให้ตัวเดียว มีคุณสารพัด
อยู่ยงคงกระพันจนวันตาย คนเก่าๆแถวท่ายาง
ต่างประจักษ์ในความคงกระพันชาตรีมาแล้วหลายราย
ก่อนนี้มีไอ้หนุ่มวัยรุ่นมาติดพันสาวมาบปลาเค้า
เข้าไปกราบนมัสการ ลพ.ผิว ขอให้ท่านลงนะที่
กระหม่อมให้ ครั้นต่อมาไม่นานเขากลับมามาบปลาเค้า
อีกครั้ง ถูกนักเลงเจ้าถิ่นแทงด้วยมีด ตีหัวด้วยท่อนไม้
ไม่ยักเป็นไร เลยฮึดสู้หนึ่งต่อสาม เล่นเอานักเลง
เจ้าถิ่นต้องเปิดหนีกันจ้าละหวั่นไปเลย
หลวงพ่ออุ้น เป็นที่โปรดปรานของ ลพ.ผิวมากๆ
ได้รับการถ่ายทอดสรรพวิชาให้จนหมดสิ้น
ในพรรษาต่อมา ลพ.อุ้่นเดินทางไปกราบนมัสการ
ลพ.ทองศุข วัดโตนดหลวง ถวายตัวเป็นศิษย์เพื่อ
เล่าเรียนฝึกปฏิบัติสมธกรรมฐาน วิปัสนากรรมฐาน
พุทธาคม โดยเรียนฝึกวิชากสิณจนชำนาญในกสิน 10
รวมทั้งตำรับตำราการทำผงเมตตาชั้นสูงด้วย

หลวงพ่อทองศุข เห็นความมานะพยายามของ ลพ.อุ้น
ประจวบกับ ลพ.ผิว ก็มีความคุ้นเคยกับ ลพ.ทองศุข
มาก่อนแล้ว ท่านจึงรับไว้เป็นศิษย์ถ่ายทอดสรรถวิชา
ให้อย่างเต็มกำลัง
อันที่จริงศิษย์ของ ลพ.ทองศุขมีหลายรูป
ล้วนแต่มีชื่อเสียงทั้งสิ้น เช่น ลป.คำ วัดหนองแก
ลพ.ยิด วัดหนองจอก ลป.นิ่ม วัดเขาน้อย
ลพ.พิมพ์มาลัย วัด หุบมะกล่ำ ลพ.อบ วัดถ้ำแก้ว
ลพ.แผ่ว วัดโตนดหลวง ลพ.แล วัดพระทรง เป็นต้น
ก่อนที่จะศึกษาเล่าเรียนวิชา ลพ.ทองศุขได้ดู
ฤกษ์ยามก่อน แล้วนัดกำหนดวันให้ ลพ.อุ้น
เดินทางไปทำพิธีขึ้นครู หรือการยกครูมีขันธ์ 5
ดอกไม้ ธูปเทียน บายศรี ทำพิธีขึ้นครู กล่าวได้ว่า
ลพ.อุ้น เป็นศิษย์ผู้สืบทอดพุทธาคมจาก ลพ.ทองศุข
โดยตรงอีกรูปหนึ่งอย่างแท้จริง
ไม่ใช่เป็นการกล่าวอ้างครูบาอาจารย์อย่างเลื่อนลอย
การเรียนวิชาอาคม ของ ลพ.อุ้น ต้องเดินทาง
จากวัดตาลกงไปเรียนที่วัดโตนดหลวง ครั้งหนึ่ง
พักอยู่ 15 วัน ไปกลับอย่างนี้เป็นประจำ ทั้งยังออก
ปริวาสกรรมร่วมกับหลวงพ่อทองศุข ขึ้นเขา
ไปบำเพ็ญเพียรในป่าช้าก็บ่อยครั้ง มีอยู่ครั้้งหนึ่ง
ได้พบกับ หลวงพ่อจัน วัดมฤคทายวัน
ซึ่งเป็นญาติกับ ลพ.ทองศุข
ลพ.จัน เก่งวิชาสะกดชาตรี คือวิชาสะกดสัตว์ร้าย
อยู่กับที่ไม่สามารถเคลื่อนไหวไ้ด้ เรียนมาจาก
พระภิกษุธุดงค์ชาวเขมร
หลวงพ่อจัน ได้ถ่ายทอดวิชาสะกดชาตรีให้กับ
ลพ.อุ้นเช่นกัน สำหรับวิชาที่โดดเด่นมากของ
ลพ.ทองศุข ยากที่ศิษย์ผู้ใดจะได้รับการถ่ายทอด
คือ " วิชาการทำผงพระจันทร์ครึ่งซีก "
วิชา การทำผงพระจันทร์ครึ่งซีกเป็นอย่างไร ?
ผงพระจันทร์ครึ่งซีก เป็นผงเมตตามหานิยม
มีพุทธคุณอมตะล้ำลึกแต่ท่านยังไม่เคยนำเอาวิชา
มาทำผงเลย เพราะสัจจะกฎสำคัญมากนอกจากนั้น
ยังได้รับการถ่ายทอดการทำผงอิทธิเจ ผงปถมัง
ผงมหาราช และผงหน้าพระภักษ์ อันเป็นตำรับ
สุดยอดของ พระผงวัดนก จังหวัดอ่างทอง
สำหรับตำราผงหน้าพระภักษ์ รู้ว่าปัจจุบัน
ได้สูญหายไปจากวงการไสยศาสตร์นานแล้ว
หากมีอยู่หรือเป็นมรดกแก่ผู้ใดบ้างก็คงมีน้อย
เต็มที ที่จะรู้ได้
อีกวิชาหนึ่ง ที่ได้รับการถ่ายทอด
จากหลวงพ่อทองศุข คือ การสักยันต์คงกระพัน
ชาตรี หลวงพ่ออุ้นเคยสักยันต์ใ้ห้ลูกศิษย์ไปหลายคน
ล้วนแล้วแต่อยู่ยงคงกระพันชาตรี ภายหลังลูกศิษย์
ของท่าน ( บางคน ) มีนิสัยเกเร
สร้างความเดือดร้อนใจให้ผู้อื่น ท่านมาพิจารณาดูแล้ว
เห็นเป็นการส่งเสริมให้คนประกอบมิจฉาชีพผิดคดีโลก
คดีธรรม ตั้งแต่นั้นท่านเลิกสักยันต์โดยเด็ดขาด
ส่วนใครที่อยากได้รับประสิทธิ์ประสาทอักขระเลขยันต์
จากท่าน ก็เมตตาทำให้เพียงเป่ากระหม่อม หรือเจิม
หน้าผากด้วยผงพุทธคุณเพื่อความเป็นศิริมงคล
สำหรับ วิชา นะปัดตลอด นั้น ลพ.อุ้น
ได้รับการถ่ายทอดเช่นเดียวกัน วิชานี้จะสังเกตุ
ได้ถึงวัตถุมงคลสำนักวัดโตนดหลวง
มียันต์นะปัดตลอด และ นะ ปถมังปรากฎ
อย่างชัดเจน รวมทั้งวัตถุมงคลศิษย์สาย
หลวงพ่อทองศุขทุกรูป
หลังจากนั้น ลพ.อุ้นได้ไปกราบนมัสการ
พระอธิการชัน วัดมาบปลาเค้า เพื่อขอศึกษา
วิชาไสยศาสตร์ ด้านอยู่ยงคงกระพัน เสกลิงลม
ขับคุณไสย วิชาทำตะกรุด ครูบาอาจารย์ของท่าน
มิใช่จะมีแต่บรรพชิตเท่านั้น แม้คฤหัสถ์ผู้ิเชี่ยวชาญ
อาคม ท่านก็ยังขอเล่าเรียนเช่นกัน อย่างเช่น
อาจารย์โม หมอสักชาวเพชรบุรีมีชื่อเสียงโด่งดัง
ทีสุดในยุคนั้น
หลวงพ่ออุ้น ได้ไปขอเรียนวิชาจากอาจารย์โม
แม้ ลพ.ไสว วัดปรีดาราม ( มรณภาพไปแล้ว )
ก็เคยไปเรียนวิชาการสักยันต์มาเหมือนกัน
จากนั้น ลพ.อุ้นไปเรียนวิชาทำสีผึ้งเมตตามหานิยม
วิชาลงเลขยันต์ ลงสมุนไพร ตำราสมุนไพรจากหมอฉ่ำ
หมอไสยศาสตร์ ชาวท่ายาง
อันที่จริงโยมพ่อบุญ อินพรหม บิดาของ ลพ.อุ้น
ก็เชี่ยวชาญเป็นหมอไสยศาสตร์ มีความรู้เรื่องยาโบราณ
ทั้งตำรายาโบราณที่ตกทอดมาแต่ยุคก่อนจำนวนมาก
โดยเฉพาะตำราทำผงยาเพชรบุรี ซึ่ง ลพ.อุ้น
ได้รับสืบทอดมาด้วยเช่นกัน
ว่ากันว่า ผงยาเพชรมณีหรือเพชรจินดา
เป็นตำรายาหัวใจ ยาลม ยาอายุวัฒนะที่ดีมาก
มีคุณสมบัติพิเศษไม่แตกต่างกับผงยาจินดามณี
ของหลวงปู่บุญมากนักหรืออาจเป็นตำราสูตรเดียวกัน
มาแต่โบราณก็เป็นได้

ปฏิปทาศีลวัตร
หลวงพ่ออุ้น เป็นพระที่มีอัธยาศัยไมตรีเปี่ยมด้วยเมตตา
ถือสัจบารมีเป็นที่ตั้ง ปฏิปทาศีลวัตรงดงามบริสุทธิ์
เสมือนทองทั้งแท่ง ท่านใฝ่ใจในเรื่องที่เป็นวัฏสงสาร
การเกิดแก่เจ็บตาย บุญกรรมสิ่งลี้ลับ ธรรมชาติ
โดยเฉพาะเรื่องเวทมนต์ถาถาอาคมอักขระเลขยันต์
เป็นพิเศษ ซึ่งมีอุปนิสัยใจคอมาตั้งแต่วัยเด็ก
จึงเป็นแรงจูงใจให้ใฝ่ศึกษาเล่าเรียนรู้แล้วปฏิบัติ
ให้เข้าถึงรู้แจ้งเห็นจริง ผู้ใกล้ชิดหลวงพ่ออุ้น
ต่างรุ้กันดีว่าท่านไม่ใช่พระธรรมดาหรือเป็นพระธรรมดา
ที่ยิ่งกว่าธรรมดา มีญาณสมาบัติสูง มีสมาธิจิตแก่กล้า
หยั่งรู้อนาคต แม้กรวดหินแร่ธาตุต่างๆท่านหยิบผ่านมือ
แล้วมอบใ้ห้แก่ใครก็มีอานุภาพพุทธคุณอย่างน่าอัศจรรย์

พระันักพัฒนา
เมื่อพูดถึงงานด้านการพัฒนา หลวงพ่ออุ้น
ได้อยู่ช่วยเหลือ หลวงพ่อผิว ( ผู้เป็นหลวงลุง )
สร้างวัดตาลกงมาตั้งแต่แรกๆ จนสำเร็จลุล่วง
ไปด้วยดี
ก่อนนี้ท่านได้เดินทางไปป่าละอูไปช่วย ลพ.ผิว
ตัดไม้ ไปกลางเืดือนอ้ายกลับถึงวัดกลางเดือนห้า
ใช้เวลาไปกลับครั้งละ 4 เดือน เป็นอย่างนี้ประจำ
ถึง 5 ปี ไปกับหมู่สงฆ์ไปปลูกโรงอาศัยในป่าไม้ที่ตัด
ใช้เกวียนลากมาแสนจะลำบาก
หลวงพ่ออุ้น ออกธุดงควัตรไปทั่วทุกภาคที่ๆอยู่
ในความทรงจำของท่านมากที่สุดก็คือ ป่าตะนาวศรี
ป่าละอู และป่าปราณบุรี เดินธุดงค์จนไปพบกับ
ผู้มีจิตศรัทธาเลื่อมใส ได้ถวายที่ดินให้ท่านสร้างวัด
และโรงเรียนจำนวนเนื้อที่ถึง 10,000 กว่าไร่
ลพ.ถามโยมผู้ถวายที่ดินว่าเมื่อโยมถวายที่ให้อาตมา
แล้วจะให้มีอะไรบนที่ดินผืนนี้บ้าง โยมผู้ันั้นบอกว่า
ต้องการมีวัด โรงเรียนและสถานีอนามัย เมื่อรับปาก
ว่าจะดำเนินการจัดสร้างสำนักสงฆ์ท่าไม้ลายขึ้น
ตั้งอยู่หมู่ที่ 6 ต.เขาเจ้า อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์
โดยจัดส่ง พระอาจารย์รุ่ง ปิยธโร ซึ่งเป็นศิษย์
ของ ลพ.อุ้นไปควบคุมดูแลปฏิสังขรณ์สำนักสงฆ์
ได้รับผ้าป่ากฐินพอเลี้ยงตัวเองได้ ต่อมาได้สร้าง
โรงเรียนขึ้นเมื่อ 7 ปีที่แล้ว จนบัดนี้ก็มีเด็กนักเรียน
ประมาณ 200 คน พร้อมกับสถานีอนามัยอยู่บนพื้น
ที่แห่งนี้สมเจตนารมย์ของผู้ถวายทุกประการแล้ว
หลวงพ่ออุ้นนอกจากจะเป็นพระนักปฏิบัติแล้ว
ก็เป็นพระนักพัฒนาผู้นำความเจริญก้าวหน้า
มาสู่สำนักสงฆ์ท่าไม้ลาย จากที่ว่างเปล่าให้กลาย
เป็นที่เจริญรุ่งเรืงด้วยการพัฒนาสถานที่พัฒนาบุคคล
ไปพร้อมๆกัน

กิตติคุณบารมีธรมและผลงาน
หลวพ่ออุ้น สุขกาโม เป็นพระเกจิอาจารย์อาวุโสรูปหนึ่งของเมืองไทย
แม้จะเพิ่งเปิดเผยชีวประวัติเพียงไม่กี่ปีก็ตาม สำหรับสาธุชนในท้องถิ่น
ต่างรู้จักกิตติคุณของท่านมานานนับกว่า 30 ปีแล้ว
หลวงพ่ออุ้น สุขกาโม เป็นแบบอย่างของพระภิกษุสงฆ์
ที่เคร่งครัดธรรมวินัย มีศีลบริสุทธิ์ ประพฤติปฏิบัติธรรมตามแนวทาง
ในพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง เป็นพระที่ไม่สะสม ไม่ปรุงแต่ง
ไม่เคยยึดติดลุ่มหลงในยศฐาบรรดาศักดิ์ ไม่ยึดติดในลาภสักการะ
ท่านมีแต่สงเคราะห์ช่วยเหลือแผ่เมตตาบารมี
ผลงานการสร้างเสนาสนะสงฆ์ตลอดทั้งถาวรวัตถุต่างๆ
ปรากฎเป็นรูปธรรมมากมาย เช่น อุโบสถ ศาลาการเปรียญ
กุฎิสงฆ์ ฌาปนสถาน สำนักสงฆ์ โรงเรียน
ถนนหนทาง กำแพงวัด ฯลฯ
ทุกสิ่งทุกอย่าง ล้วนสำเร็จด้วยบุญฤทธิ์ของหลวงพ่ออุ้นทั้งสิ้น
เคยมีพระเถระผู้ใหญ่มาขอร้องให้ท่านรับตำแหน่งอุปัชฌาย์
ตำแหน่งเจ้าคณะตำบล ท่านปฏิเสธทั้งหมด เท่าที่ทราบพอลำดับ

ประวัติตำแหน่งหน้าที่และสมศักดิ์ได้ดังนี้
พ.ศ.2500 ได้รับการแต่งตั้งเป็นพระกรรมวาจาจารย์
พ.ศ.2504 ได้รับการแต่งตั้งเป็นพระอธิการ อุ้น สุขกาโม
เจ้าอาวาสวัดตาลกง
พ.ศ.2508 ได้รับการแต่งตั้งเป็นพระครูฐานานุกรม
ที่พระครูสังฆรักษ์อุ้น สุขกาโม
พ.ศ.2522 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครู
สัญญาบัตร ชั้นตรีที่พระครูวินัยวัชรกิจ
พ.ศ.2531 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมศักดิ์เป็นพระครู
สัญญาชั้นตรีที่พระราชทินนามเดิม
เอกลักษณ์อย่างหนึ่งของหลวงพ่ออุ้น สุขกาโม
คือการพูดตรงไปตรงมา เป็นวาจาเสมือนเนื้อของหัวใจ
คือปากกับใจตรงกัน ไม่ปิดบังอำพราง ใครอยากจะรู้อะไร
ไปถามท่าน ท่านก็ตอบตรงๆ ถ้ารู้ท่านก็จะบอกจะอธิบาย
ถ้าไม่รู้ท่านก็จะบอกว่าไม่รู้ ท่านเป็นพระเกจิอาจารย์
ที่ไม่มีความโลภ โกรธ หลง แต่ประการใด
ไม่เคยเห็นหลวงพ่ออุ้น โกรธใคร ดุด่าว่ากล่าว
หรือตำหนิติเตียนผู้ใด ท่านเป็นพระอริยสงฆ์สำรวมในศีลาจารวัตร
และมีเมตตาธรรม สนับสนุนการศึกษาแก่เยาวชน
โดยจัดมอบทุนการศึกษา แก่นักเรียน 9 โรงเรียน
ที่เรียนดีแต่ยากจน เป็นประจำทุกปี

หลวงพ่ออุ้น สุขกาโม เป็นพระสุปฏิปันโน ผู้บริสุทธิ์
ด้วยไตรสิกขา เป็นพระเกจิอาจารย์จอมขมังเวทย์ระดับแนวหน้า
ในยุคปัจจุบันของเมืองไทยแม้จะเพิ่งเปิดตัวไม่กี่ปี เป็นที่รู้ศรัทธา
เลื่อมใสของญาติโยมสาธุชนอย่างกว้างขวาง ใครไปหาท่าน
ท่านเมตตาต่อทุกคน จะกราบไหว้ก็กราบด้วยความสนิทใจ
สมเป็นสมณพุทธบุตรธรรมทายาทอย่างแท้จริง
เกียรติคุณของหลวงพ่ออุ้น สุขกาโม เป็นที่ยอมรับ
กันอย่างแท้จริง ดังนั้นท่านได้รับการยกย่องจากสื่อมวลชน
ในแวดวงพระเครื่องจัดลำดับพระเกจิอาจารย์ยอดนิยมเมืองไทย
ให้เป็นหนึ่งในสิบพระเกจิอาจารย์ในยุคปัจจุบัน

กิตติคุณ : เป็นพระสุปฏิปันโน ผู้บริสุทธิ์ ด้วยไตรสิกขา
เปี่ยมด้วยเมตตาบารมีธรรม ถือสัจจะเป็นที่ตั้ง
อัธยาศัยไมตรียิ้มแย้มแจ่มใส ต้อนรับการปฏิสันถาร
ญาติโยมด้วยความเป็นกันเอง

นับแต่ พระครูวินัยวัชรกิจ ( อุ้น สุขกาโม )
ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดตาลกง
ได้ประพฤติปฏิบัติวางตนอยู่ในกรอบของ
พระธรรมวินัยปฏิบัติตามกฎมหาเถรสมาคม
ระเบียบแบบแผนของทางราชการ
ได้จัดทำผังวางแผนพัฒนาวัดในด้านต่างๆ
ร่วมกับคณะกรรมการวัด ญาติโยมสาธุชน
ทำให้คณะสงฆ์ และญาติโยมผู้อุปการะวัด
มีความสมัครสมานสามัคคีร่วมแรง ร่วมใจ
ให้ความอุปถัมภ์บำรุงพระพุทธศาสนา พระสงฆ์ - สามเณร
และช่วยเหลือกิจศาสนามาด้วยดี จึงสามารถพัฒนาสิ่งปลูกสร้าง
เสนาสนะภายในวัดหลายอย่าง เช่น กุฎิสงฆ์ ศาลาการเปรียญ
โบสถ์ ศาลา บำเพ็ญกุศล หอระฆัง ซุ้มประตูทางเข้าวัด
และอื่นๆอีกมากมาย จนสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี
นอกจากนั้นท่านยังให้การสนับสนุนการศึกษา
ปริยัติธรรมของพระสงฆ์ - สามเณร
และการศึกษาของเด็กนักเรียน โรงเรียนวัดตาลกงอีกด้วย
ท่านยังเป็นผู้ที่ปฏิบัติธรรม เจริญกัมมัฎฐาน
จนเป็นที่รู้จักและยอมรับของสังคมเป็นอย่างดียิ่ง

หมายเหตุ : อ้างอิงจากหนังสือ ชีวประวัติและภาพวัตถุมงคล
หลวงพ่ออุ้น สุขกาโม ( รวมเล่ม 1- 2 )

เขียนโดย หมู่เอก
 

31
พระคาถา บูชาเอกอัครมหาบูรพปรมาจารย์ ชีวกโกมารภัจจ์
(แพทย์ ประจำองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า)

ก่อนสวดตั้งนะโม 3 จบ

นะโมตะสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (3 จบ)

--------------------------------------------------------------------------------
บทสวด

โอมะ นะโม ชีวะโก สิระสา อะหัง กะรุณิโก
สัพพะ สัตตานัง โอสะถะทิพพะมันตัง
ปะภาโส สุริยาจันทัง โกมาระภัจโจ ปะภาเสสิ
วันทามิ บัณฑิโต สุเมธะโส อะโรคา สุมะนะโหมิ

ผู้ใดได้กล่าวสรรเสริญคุณแห่งพระคาถาบทนี้ / ผู้ใดได้เจริญพระคาถาบทนี้ จะบังเกิดมีอานุภาพ ป้องกันสรรพโรคภัยไข้เจ็บ ทั้งหลายทั้งปวง / จะเป็นผู้ไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐ / หาได้ยาก และหากยิ่งได้ช่วยเผยแพร่ออกไป จะมีอานิสงส์บุญทำให้ปราศจากโรคร้ายภัยเวรต่างๆ
--------------------------------------------------------------------------------
บทอธิษฐาน

ขอบารมีแห่งบรมครูหมอชีวกโกมารกัจจ์ จงคุ้มครองให้ ข้าพเจ้า ........ (ชื่อ / นามสกุล) ........ พ้นจากโรคร้ายภัยเวร โรคเวร โรคกรรม ขอให้มีอายุมั่นขวัญยืน มีสุขภาพกาย สุขภาพจิตที่ดี ขอให้อานิสงส์แห่งแรงอธิษฐานนี้คุ้มครองข้าพเจ้านับตั้งแต่บัดนี้ล่วงไปเมื่อหน้าเทอญ ...

เวปไทยแวร์ จัดให้ครับท่าน

32
คาถาอาคม / คาถาปลุกผีลุก
« เมื่อ: 30 มิ.ย. 2551, 12:23:54 »
คาถาปลุกผีลุก

ตั้งนะโม 3 จบ ก่อน
สะอะนิโส สะอะนิสัง ทุสะนิโส ทุสะนิสัง โอม นะโมนามะมัง สะมาโส ยุตตะโส ยุตถะ เอหิมานะ หิเนถาเน
นามะวิกรึง คะเร เอหิจิตตัง มามะ ภูตา พันธานัง วิกรึงคะเร เอหิ มะมา อะอิเออุ ทุสะนะโส นะโมพุทธายะ
กลางดึกสงัด ต้องมีกุ้งพร่าปลายำ เหล้ายามาด้วย เพื่อจะทำการปลุกให้ผีลุกขึ้นมา
เพื่อจะได้ใช้งานในหน้าที่ต่าง ๆ ตามความต้องการ (แต่อย่าให้ผิดศีล) มิใช่ข้อห้ามจะใช้ผีที่ปลุกขึ้นมานี้ได้ทุกอย่าง
แต่ทางที่ต้องห้ามจะทำให้ผีนั้นกลับเห็นเราเป็นศัตรู อาจจะทำร้ายเราให้ถึงตาย หรือเป็นไข้หัวโกร๋นได้ไม่ยากนัก


เวบวัดสะแก

33
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / ประกาศคนหาย
« เมื่อ: 29 มิ.ย. 2551, 01:27:24 »
[spoil]คุณกุ๊งกิ๊ง หายตัวไปอย่างลึกลับ หลายเพลาแล้ว ใครพบเห็นช่วยติดตาม หรือ แจ้ง ข่าวให้ทราบด้วย ทางบอร์ดคิดถึง[/spoil] :006: :006: :006:

34
เหรียญเสมา หลวงพ่อไสว วัดปรีดาราม มีเหลือ อยู่ที่วัดนก ซ.จรัญฯ 13 ทำบุญ 100 บาท









35
ตัวนะ โลหะ อยู่ไหน



36
                            คาถามหาลาภ (หลวงพ่อเกษม เขมโก)

จุดธูป 9 ดอก นะโม 3 จบ
สะมะณัง วันทามิ    1  จบ
มหาลาโภ ภะวะตุเม   15  จบ

                             คาถากวักเงินกวักทอง (หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง)

นะโม   3    จบ
ทุสะ  นิมะ  ธะนัง    โภคา   เอหิ    อาคัจเฉยยะ
อาคัจฉาหิ   เอหิจิตตัง    ปิยังมะมะ

                             คาถาพูนทรัพย์ (หลวงพ่อพูน วัดไผ่ล้อม)

นะโม  3  จบ
เอหิลาภัง   มานิมามา    เอหิโภคัง   มานิมามา    นะโมพุทธายะ
สวดวันละ   9   จบ

37
เชิญรับชม รับฟังได้

[wmv=460,360]http://www.thairealtv.com/video/week/08may08/vdo561.wmv[/wmv]

38
บทสวดมนต์ / คำขอขมาพระรัตนตรัย
« เมื่อ: 26 พ.ค. 2551, 05:41:15 »
<a href="http://img148.imageshack.us/img148/1638/kamapraca4.swf" target="_blank" rel="noopener noreferrer" class="bbc_link bbc_flash_disabled new_win">http://img148.imageshack.us/img148/1638/kamapraca4.swf</a>

40
                                    คาถามหาจักรพรรดิ์ (หลวงปู่ดู่ วัดสะแก)
นะโม 3 จบ
นะโมพุทธายะ พระพุทธไตรรัตนญาณ มณีนพรัตน์ สีสะหัสสะ สุธรรมา พุทโธ ธัมโฒ สังโฆ
ยะธาพุทโมนะ พุทธะบูชา ธัมมะบูชา สังฆะบูชา อัคคีธานัง วะรังคันธัง สิวลี จะมหาเถรัง
อะหัง วันทามิ ทูระโต อะหัง วันทามิ ธาตุโย อะหัง วันทามิ สัพพะโส พุทธะ ธัมมะ สังฆะ ปูเชมิ

ภาวนาแล้ว ไม่อด ไม่อยาก ไม่ยาก ไม่จน ทำสิ่งใดคล่องตัวตลอด เป็นศิริมงคล

41
จากเวป http://www.pimolnews.net/forum/index.php?topic=95.0

การสอนวิชาแสงออร่า 
เมื่อวันที่ 20 มิย48 ผมกับคุณประหยัดได้ไปที่โรงเรียนสวนกุหลาบธัญญบุรี คลองสี่ ตอน10.30-12.00 น

โรงเรียนที่นั่นใหญ่พอสมควร เป็นของรัฐ
การบรรยายใช้ห้องประชุมใหญ่
มีนักเรียนชั้นม5 รวม 7 ห้อง หรือประมาณ 300 คน มานั่งบนพื้นเรียงเป้นแถวเป็นห้อง

วิชาที่บรรยายคือ แสงออร่า แสงกายทิพย์ รัศมีกายทิพย์ ตาทิพย์ ได้ข้อมูลเพิ่มดังนี้

ไม่มีใครรู้จัก คำว่าออร่า แต่มีบางส่วนรู้จักคำว่า ตาทิพย์ กายหยาบและ กายใน เพราะตามหลักสูตร มีวิชาศาสนา อยู่ด้วย

เมื่อมองไปทั่วห้อง เห็นบรรยากาศสีม่วงเต็มห้อง แปลว่า เด็กนักเรียนที่นั่น โดยรวม เป็นคนดี สวดมนต์ไหว้พระ

จากเด็กที่นั่งกันเต็ม เมื่อมองด้วยตาที่สาม พบว่า มีประมาณ 10 % ที่มีแสงกายสว่างกว่าปกติ แปลว่า มีองค์ มีเทพ หรือเรียนวิชาพลังอย่างอื่น จี้กง ธรรมกาย มาก่อน
จึงเรียกให้มายืนข้างหน้า ประมาณ 5 คน

เมื่อบรรยายวิชาจบ ก็สาธิตการใช้ตาที่สาม
เพื่อบอกสีออร่า
เพื่อบอกโรคที่เป็นอยู่
เพื่อวัด ระยะและขนาดกำลังภายใน
ก็เป็นที่ฮือฮาและไม่เคยเห็น

อันดับสุดท้าย คือ อัญเชิญเทพที่ประจำตัวนักเรียนที่เลือกไว้แล้วให้ออกมา
นักเรียนตกตะลึงเพราะไม่เคยเห็ยนเพื่อนร่วมชั้นที่สนิทกันออกมาทำท่าแปลกๆๆ
ทำท่าให้พร (พระแม่ธรณี).. พระพิฆเนศวร..พระแม่กวนอิม
ที่ฮือฮามาก คือ คนที่ทีเทพหนุมาณสมุนเอกพระราม
พอออกมาก็เดิน กระทืบพื้น ตึงๆๆ เหมือนเล่นโขน เพื่อนๆๆตกใจกันหมด

ที่น่าสังเกตุ คนที่องค์หนุมาณออกมา จะคืนกลับยาก เสียเวลามากกว่าปกติ
รู้ภายหลังว่า เขาสักลงยันต์รูปหนุมาณ ไว้ในตัว
เวลาเชิญ จึงออกมาเร็ว แค่จ้อง ยังไม่ทันเชิญก็ออกมาแล้ว

ผมจึงจำไว้ในหัวใจ ว่า ต่อนี้ไป จะดูตัวใครต้องถามเพิ่มว่า
เคยสักยันต์มาหรือเปล่า

ถ้าสักเป้นรูปสัตว์ร้ายแรง
เช่น แรด ปลาฉลาม มังกร มังกือ เสือเผ่น เสือคาบดาบ
รามสูร พระราหู
ก็ต้องเตรียมตัว
เราอาจจะเห็น คนลงไปนอนกับพื้น ทำท่าไหว้น้ำ(ปลาฉลาม)
ที่เจอมาแล้ว คือ เสือ เผ่น  เมื่อ ออกมา ทำท้าย่อตัว ออกเสียงคำราม โอกๆๆ วงแตกกันบ่อยๆๆ
ถ้าสักเป็นรูปฤาษีก็จะดีหน่อย

จึงอยากจะแนะนำว่า ถ้าไม่จำเป็นอย่าไปสัก
เพราะเข้าตัวแน่นอน
ถ้าจะสัก เอารูปของดีๆๆ
พยายามหลีกเลี่ยงรูปสัตว์ร้ายๆๆ
เพราะเวลาเข้า ตัวเขาจะออกฤทธิ์เป็นสัตว์ขนิดนั้น

เวลาตาย เขาจะร้องโหยหวล
เหมือนสัต์ที่กำลังจะตาย
อยากเป็นเช่นนั้นหรือ 

42
 ทำใม เทพยดาต่างๆ  ไม่ชอบอยู่ บนวิมานแก้ว วิมานทอง
 ทำใม ปู้ฤๅษีต่างๆ ไม่ชอบอยู่ ในอาศรมในป่า หรือาศรมทิพย์
 ทำใม ท่านทั้งหลายเหล่านั้น ชอบมาอยู่ตำหนัก
 อยากรู้จริงๆ :054: :054: :054:

43
ที่มา http://www.212cafe.com/freewebboard/view.php?user=saksuphan&id=41 โดย : ศักดิ์ สุพรรณ

ชีวประวัติ พระครูสุวรรณวุฒาจารย์
หลวงพ่อมุ่ย พุทธรักขิตฺโต
วัดดอนไร่ ตำบลหนองสะเดา
อำเภอสามชุก จังหวัดสุพรรณบุรี
พระเกจิอาจารย์จอมขมังเวทย์ผู้มีอายุยืนยาว ๕ แผ่นดิน

วัดดอนไร่

วัดดอนไร่ ปัจจุบันตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ของตำบลหนองสะเดา อำเภอสามชุก จังหวัดสุพรรณบุรี
เป็นวัดที่สร้างในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนกลาง ในปี พ.ศ.2456 ภายใต้การนำของท่านผู้ใหญ่ยาและนางบู่
ต้นตระกูล ยาสุขแสง ได้นำชาวบ้านหักร้างถางดงบนที่ดอนแห่งหนึ่งในหมู่บ้านหนองตม อันเป็นไร่เก่าของนายสี
นางพูน และนายแก้ว นางหมอน แล้วสร้างเป็นวัดขึ้นตรงไร่ดังกล่าวเรียกว่า วัดดอนไร่
เพื่อใช้เป็นสถานที่ประกอบศาสนกิจของชาวบ้านหนองตม

วัดดอนไร่เป็นวัดที่ใหญ่โตอีกวัดหนึ่งในปัจจุบัน
ด้วยได้รับความร่วมมือร่วมใจในการพัฒนาของบรรดาพุทธศาสนิกชนและเจ้าอาวาสของวัดทั้งในอดีตถึงปัจจุบัน

และหากกล่าวถึงวัดดอนไร่แล้วบุคคลส่วนใหญ่จะต้องนึกถึงพระครูสุวรรณวุฒาจารย์ หรือหลวงพ่อมุ่ย
พุทฺธรักฺขิโต อดีตเจ้าอาวาสวัดดอนไร่ และเจ้าคณะตำบลหนองสะเดา อำเภอสามชุก จังหวัดสุพรรณบุรี
ซึ่งมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วประเทศไทย วัตถุมงคลของท่านทุกรุ่น ทุกพิมพ์ ต่างก็ได้รับความนิยม
เป็นที่ต้องการของบุคคลทั้งหลาย


[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

44
หนึ่งก๊ง นงนุช
สองก๊ง พุทธวาจา
สามก๊ง เริ่มดี
สี่ก๊ง เริ่มบ้า
ห้าก๊ง เริ่มเมา

เบียร์ จะเกี่ยวกันไหมนี่ เอนะ

45
ห้องน้ำห้องส้วม ไม่มีน้ำ เอาไว้ราดทำความสะอาด แทบทุกๆส่วนของมุมวัด อุจจาระ ปัสสวะ คาคอห่านเต็ม ปีที่แล้ว เรียบร้อยกว่าเยอะ ก็แค่นินทาครับ งานผ่านไปแล้ว :069:

46
ท่านสิบทัศน์ ช่วยดูให้หน่อย ว่าเหรียญจิ๊กโก๋เล็ก ปี 2506 แบบตามรูปภาพนี้ ที่เขาเรียกว่า เหรียญขวัญถุง ปี 2506 ของหลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม
ว่าเหรียญนี้ มีอยู่ในสาระบบ หรือเปล่า หรือว่าเป็นเหรียญเก้ ไปเลย ขอขอบคุณล่วงหน้าครับ :086: :086: :086:

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

47
อันว่า ยันต์มงกุฏพระพุทธเจ้านั้นมีเรื่องเล่าต่อๆกันมาว่า
หลวงปู่เอี่ยม วัดหนัง ท่านเป็นพระเถระที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ทรงให้ความเคารพนับถือ ในคราวที่พระองค์ท่านเสด็จประพาสยุโรปครั้งที่ ๒ ในปี พ.ศ. ๒๔๔๐ ได้ทรงใช้พระคาถาที่หลวงปู่เอี่ยมทูลถวายให้ก่อนที่จะเสด็จพระราชดำเนิน  พระองค์ท่านทรงใช้พระคาถานั้นเสกหญ้าให้ม้าพยศกิน  ซึ่งพระคาถาดังกล่าวนั้นก็คือ คาถามงกุฏพระพุทธเจ้า หรือ คาถาอิติปิโสเรือนเตี้ย ซึ่งมีใจความดังนี้
     อิติปิโสวิเสเสอิ  อิเสเสพุทธนาเม อิ
     อิเมนา  พุทธตํโสอิ  อิโสตํพุทธปิติ  อิฯ
         พระคาถานี้ถ้าจะแก้โรคภัยไข้เจ็บทั้งมวล ให้เอามะกรูดส้มป่อยใส่น้ำมนต์เสก ๓ ที รดหายสิ้นแล ถ้าบุคคลใดมีเคราะห์ก็หายหมด ภาวนาทุกวันมิตกนรก เสกน้ำล้างหน้าทุกวันกันโรคภัยไข้เจ็บคุณไสยทั้งมวล ถ้าจะให้มีตบะเดชะ ให้ภาวนาทุกวัน จะเกิดสง่าราศรี เป็นที่เมตตาแก่คนทั้งหลาย ให้ภาวนาแผ่เมตตาแก่คนทั้งปวง ใครคิดร้ายต้องมีอันเป็นไป ถ้าจะปรารถนาสิ่งอันใด ให้ภาวนาคาถานี้ ๑๘ คาบ เป็นได้ดังใจนึกแล ถ้าจะให้เป็นจังงัง ให้ภาวนาคาถานี้ ๘ คาบ เป็นมหาจังงังแล ถ้าจะให้เป็นมหาระรวยให้ภาวนา
๙ คาบ ถ้าช้าง ม้า วัว ควาย สัตว์ดุร้ายทั้งหลาย ให้เสกหญ้า เสกของให้มันกิน กลับใจอ่อนรักเราแลฯลฯ
     

พระครูฐาปนกิจสุนทร พ.ศ.2537 ฉลองอายุครบ 6 รอบ

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

48
ของ จ.ประจวบฯ

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

49
บทความ บทกวี / คาถาเขาว่าโบราณ
« เมื่อ: 06 มี.ค. 2551, 01:24:12 »
จริงหรือเปล่าไม่รู้ แฮะ

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

50
เมื่อวันที่ 10/02/51 ผมไปวัดนกมา เห็นมีตะกรุดหนังเสือ เป็นแผ่นยังไม่ได้ม้วน ขนาดประมาณ 2.5 - 3  นิ้ว
หลวงพ่อเปิ่นเสก หลวงพี่อภิญญา จาร ดอกละ 500 บาท สอบถามวัดนก โทร...02-410-7849,02-410-7755

51
ฤๅษี ทำใมต้องใส่หนังเสือห่อหุ้มร่างกาย (ตามวรรณคดีไทย) ในเมื่อเขาต้องรักษาศีล ๕ เว้นการเบียดเบียนสัตว์
เสือมันอยู่ดีๆ ไปเอาหนังเสือมาได้อย่างไร ถ้ารอให้เสือตายเองก่อนแล้วค่อยไปเอาหนังมันมา ตอนแรกฤๅษี ไม่
ต้องนุ่งห่มใบตองกล้วยก่อนหรือ ถ้าแบบหนังอินเดีย ฤๅษี ก็ใส่ผ้าขาวบ้าง ผ้าเหลืองแบบพระบ้าง ข้องใจ :010: :010: :010:

52
มีลูกศิษย์หลวงพ่อท่านใด มีลายมือจารอักขระเลขยันต์ ต่างๆ ที่ใช่เหล็กจาร ปากกาจาร ที่จารแผ่นยันต์ ตะกรุด ฯลฯ
ไม่ร่วมเหล็กจารไฟฟ้า เพราะน่าจะไม่ถึง

53
ตะกรุดลูกระเบิดพิชัยสงคราม พระอาจารย์เอ็กซ์ วัดพรหมมหาจุฬามุนีฯ
พระอาจารย์เอ็กซ์ พระเกจิรุ่นใหม่ ปลุกเสกตะกรุดลูกระเบิดพิชัยสงคราม
แปลกและหายาก ลูกใหญ่ขนาด 2.5ซม. ใต้ฐานอุดแป้ง

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

54


[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

55
ลองเข้าไปดู
http://ramalaser.rama-alumni.com/know/tattoo4.htm

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

56
เข้าไปดูที่ http://www.sak-yant.com/yantpedia/home/public/modules/myalbum/viewcat.php?cid=6&uid=&orderby=titleA  เพื่อพบคนรู้จัก

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

57
ที่เกี่ยวข้อง http://www.sartsaksit.net/ganes/somp/index_2.htm







58
ขอร่วมไว้อาลัยแด่ สมเด็จพระเจ้าพี่นางฯ สิ้นพระชนม์​

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

59
เสือ เสาร์ ๕ หลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

60
จัดไป

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

61
ก็หน้าเสือ :095: :095: :095:

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

63
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / ใครเคยสัก
« เมื่อ: 17 พ.ย. 2550, 11:29:27 »
ใตรเคยสัก เปาวุ่นจิ้น บ้าง อยากดู

64
วันนี้ ถ้าใครไปวัดบางพระ จะได้รับแจก หลวงพ่อทวด วัดช้างให้ ท่านละ 1 องค์ ที่ทำพิธีพุทธาภิเษกพร้อมกับ วัตถุมงคลรุ่น 9  พยัคฆ์
ณ โบสถ์หลังเก่า (ห้ามเวียนเทียน)

65
หมู วัดบางพระ ครับ ปี 2541





66
เหรียญทรงผนวช ของ ร.9 ท่านใดสนใจและมีกำลังทุนทรัพย์ สั่งจองได้เพื่อเป็นสิริมงคล แก่ชีวิต

ที่เกี่ยวข้อง http://www.mahamakuta.com/main/?name=news&file=readnews&id=2

67
ตะกรุด สายจตุคามรามเทพ
ตะกรุดตาขุนโหร สร้างและเสกโดย ปู่มเหศวร หรือ อดีตเสือมเหศวร อดีตคู่ปรับขุนพันธรักษ์ราชเดช
ปู่มหศวรจารยันต์เป็นปฐม และครอบให้พระสงฆ์ 2 รูป ลงเห,กจารแทน ชื่อพระมหารุ่งเรือง
และพระเริงฤทธิ์ จากนั้นม้วนด้วยมหามนต์ม้วนปฐพี แล้วทำการพิธีบวงสรวงชุมนุมเทวดา เปิดเครื่องบัดพลี
เสกเชือก ชุบน้ำมนต์กลางหาว ถักเชือกลงรักปิดแผ่นเงิน และทำพิธีเทวาภิเษก ณ วิหารหลวงวัดมหาธาตุฯ
นครศรีธรรมราช


[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

68
สุดยอดแฟนพันธุ์แท้

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

69
เป็นเหรียญ รุ่นแรก ของหลวงปู่หงษ์ วัดน่าจะสร้างเอง ไม่มีนายทุนส่งราคา เหมื่อนรุ่นหลังๆ
ราคาในท้องตลาด น่าจะไม่เกินเหรียญละ 300 บาท ด้านหลังมี 3 แบบ




[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

70
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / ถาม
« เมื่อ: 18 ก.ย. 2550, 04:48:27 »
แข่งเรือยาวประเพณีประจำปี 2550 วัดบางพระ แข่งกันวันไหน คราบผม หรือ พร้อมทอดกฐิน

71
ชมเลย ขโมยเขามา

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

72
ไปเจอมา ก็เลยเอามาฝากให้ช่วยกันดู
ไปตามนี้เลยครับ? http://tnews.teenee.com/weird/14320.html

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

73
หลวงพ่อฉิ่ง วัดบางพระ ชลบุรี

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

74
[wmv=460,360]http://www.thairealtv.com/video/week/07may31/vdo565.wmv[/wmv]

75
เรื่องจตุคามที่​จะ​ทำ​ให้​วัดพระบาทน้ำ​พุ​ (วัดพระบาทน้ำ​พุ​ไม่​ได้​ทำ​เอง)  ​แต่ประธานจัดสร้าง​ซึ่ง​ก็คือ​  ​ดร​.​พิพัฒน์​  ​ปรีดาวิภาค​  LPN ​กรุ๊ป​  ​จะ​เป็น​คนสร้าง​ให้​วัด​  ​โดย​ราย​ได้​ทั้ง​หมด​ ​(​ไม่​หักค่า​ใช้​จ่าย)  ​มอบ​ให้​วัด​  ​โดย​ที่พระอุดมประชาทร​ (พระอลงกต)  ​ได้​อนุญาต​ให้​ใช้​ชื่อวัด​ใน​การประชาสัมพันธ์อย่าง​เป็น​ทางการ​และ​เป็น​รุ่นเดียวที่พระอาจารย์​ไปร่วมอธิฐานจิตที่วัดมหาธาตุ​  ​นครศรีธรรมราช​  ​เมื่อวันที่​  ๒๘  ​เม​.​ย​. ๕๐ 
สำ​หรับชื่อรุ่น​  "บารมี​เศรษฐี​เงินล้าน" 


กำ​หนดการรับจอง​และ​รับพระ
- ​เปิดการรับจองตั้งแต่วันที่​  25  ​พฤษภาคม​  -  25  ​กรกฎาคม​  2550
- ​รับวัตถุมงคล​  ​ณ​  ​สถานที่สั่งจอง​ได้​ตั้งแต่วันที่​ 4 ​กัน​ยายน​  2550  ​มีกำ​หนด​  2  ​เดือน
- ​วัตถุมงคลทุกองค์มี​โค๊ต​และ​หมายเลขกำ​กับ​ทุกองค์ทุกรายการ
- ​ชำ​ระ​เต็ม​ใน​วันสั่งจอง
สอบถามรายละ​เอียด​และ​สั่งจอง​ได้​ที่
- ​วัดพระบาทน้ำ​พุ​  ​โทร​  081-8313441, 036-428222
- ​ฝ่ายประชาสัมพันธ์​  ​มูลนิธิธรรมรักษ์​  ​วัดพระบาทน้ำ​พุ​  0-2294-2411    ​ต่อ​  5912, 0-2681-8413  ​หรือ​  ​โทร​ 081-9264142, 086-3264583, 089-9229654, 089-9876044
- ​อาคารเล้า​เป้งง้วนทาวเวอร์​ 1 ​เลขที่​  333  ​ถ​.​วิภาวดีรังสิต​  ​แขวงลาดยาว​  ​เขตจตุจักร​  ​กทม​. ​ฯ​ 10900  ​โทร​  02-6188000 ​กด​ 5000
- ​บริษัทซิกม่าดี​ไซน์​  ​จำ​กัด​  419/38-40  ​ซ​.​หมู่บ้านทานตะวัน​  ​ถ​.​ศรีนครินทร์​  ​ต​.​สำ​โรงเหนือ​  ​อ​.​เมือง​  ​จ​.​สมุทรปราการ​  ​โทร​  02-7487031-2
- ​นิตยสารพุทธคุณ​  594/407 ​ชั้น​ 2 ​อาคาร​ 2​ป​. ​ปิ่นเกล้าคอนโด​  ​แขวงคลองชักพระ​  ​เขตตลิ่งชัน​  ​กทม​. 10170 ​โทร​ 089-9225654
- ​บริษัทไปรษณีย์ทย​  ​ทุกสาขา​ทั่ว​ประ​เทศ
- ​ศูนย์พระ​เครื่องชั้นนำ​ทั่ว​ไป
- ​สั่งจองทางไปรษณีย์​โดย​แคชเชียร์​เช็ค​หรือ​ธนาณัติสั่งจ่าย​  ​ปณศ​.​ยานนาวา​  ​ใน​นาม​  ?​มูลนิธิธรรมรักษ์​  ​วัดพระบาทน้ำ​พุ​?  ​ไปที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์​  ​มูลนิธิธรรมรักษ์​  ​วัดพระบาทน้ำ​พุ​  99/9 ​ซอยนาคสุวรร​  ​ถนนนนทรี​  ​แขวงช่องนนทรี​  ​เขตยานนาวา​  ​กทม​.  10120  (กรุณา​แนบชื่อ​-​สกุล​  ​หมายเลขโทรศัพท์​  ​และ​รายการพระที่​ต้อง​การสั่งจองมาพร้อม​กับ​ธนาณัติ​ด้วย)
- ​ค่าจัดส่ง​ EMS: ​พระ​เครื่ององค์ละ​  60  ​บาท​  ​องค์ต่อ​ ​ๆ​ ​ไปองค์ละ​  30  ​บาท​


เรื่องราว ของวัดพระพุทธบาทน้ำพุ
http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y5383220/Y5383220.html

76
ผมได้เข้าไปดูแล้วเห็นว่าน่าสนใจดี ก็เลยจะให้เพื่อนๆ ดูกันบ้าง :005:
http://thaiblades.com/forums/showthread.php?t=7869

และก็ อีก หลวงพ่อยิด วัดหนองจอก
http://www.krusiam.com/book/rompo_mag/No_130/content/?BookSubCate_Content_ID=CID0000008
    

77
ใครเคยลง นะหน้าทอง กับ หลวงพ่อเปิ่น โดยตรง[/size
]ช่วยเล่าให้ฟังบ้าง เป็นอย่างไร ประสพการณ์ มีอย่างไร ช่วยบอกหน่อย คนรุ่นใหม่

หน้า: [1]