ผู้เขียน หัวข้อ: สัมมาวาจา...ว่าด้วย...วจีกรรม ๔  (อ่าน 2790 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ รวี สัจจะ...

  • รองประธาน
  • *****
  • กระทู้: 1137
  • รวี สัจะ-สมณะไร้นาม-วจีพเนจร
    • ดูรายละเอียด
    • รวี สัจจะ สมณะไร้นาม (เคลื่อนไหวดุจสายลม)
สัมมาวาจา....  การพูดจา เจรจาโดยชอบ
ประกอบด้วย สัมมาวาจาวิรติเจตสิก อันได้แก่
๑.กถาสัมมาวาจา...การกล่าวถ้อยคำที่ชอบ
๒.เจตนาสัมมาวาจา...เจตนากล่าวชอบโดยเหตุผล
๓.วิรติสัมมาวาจา...กล่าวชอบด้วยการงดเว้นจาก "วจีทุจริต ๔ "
  วจีทุจริต ๔  อันประกอบด้วย
๑.มุสาวาทาวิรตี...เว้นจากการพูดเท็จ
๒.ปิสุณาวาจาวิรตี...เว้นจากการพูดส่อเสียด
๓.ผรุสวาจา...เว้นจากการพูดคำหยาบ
๔.สัมผัปปลาปวิรตี...เว้นจากการพูดเพ้อเจ้อ
   องค์ของมุสาวาทมี ๔ ประการคือ
๑.อภูตวัตถุ...กล่าวเรื่องที่ไม่จริง
๒.วีสังวาทนจิตตตา...มีจิตคิดกล่าวเรื่องหลอกลวง
๓.ปโยค...ประกอบด้วยความเพียรกล่าว
๔.ตทัตถวิชานนัง...ผู้ฟังรู้เนื้อความนั้น                                                                                                                  
........ถ้าครบองค์ ๔ เป็นการกล่าวเท็จโดยแท้
      องค์ของปิสุณวาจา มี ๔ ประการคือ
๑.ภินทิตัพโพ...มีหมู่คณะที่พึงแตกกัน
๒.เภทปุเรกขาโร...มีความปรารถจะให้แตกแยกกัน
๓.ปโยค...ประกอบด้วยความเพียรเพื่อให้แตกแยกกัน
๔.ตทัตถวิชานนัง...หมู่คณะรู้ความนั้น
....เมื่อครบองค์ ๔ นับว่าเป็นการกล่าว"ปิสุณวาจา"พูดส่อเสียด ยุยงให้เกิดความแตกแยก
     องค์ของผรุสวาจา มี ๓ ประการ คือประกอบด้วยโทสะ
๑.อักโกสิตัพโพ...มีคนอื่นที่พึงจะด่า
๒.กุปปิตจิตต...มีจิตเข้าไปโกรธ
๓.อักโกสนา...กล่าวด่า บริภาษ
.....เมื่อครบองค์ทั้ง ๓ นี้ เป็นอันล่วงสัมมาวาจา เป็นผรุสวาจา
องค์ของสัมผัปปลาป มี ๒ ประการคือ
๑.นิรัตถกถาปุรักขขารตา...คำที่ไร้แก่นสาร ไม่มีประโยชน์
๒.กถนัง...กล่าวคำเหล่านั้น
....ถ้าครบองค์ ๒ นี้ เป็น"มิจฉาวาจา" พูดผิดศีลธรรมไม่มีประโยชน์
     ซึ่งในปัจจุบันนี้ ให้ขยายความรวมถึง การเขียน การพิมพ์ การเผยแผ่ สื่อสารทุกอย่างรวมเข้าไปด้วย
และทุกอย่างที่กล่าวมานั้นมันสำคัญที่มีเจตนาหรือไม่มีเจตนา ซึ่งรู้ก็ดี ไม่รู้ก็ดี ล้วนแล้วแต่เป็น "วจีกรรม ๔ "
อันมีผลเป็นวิบากกรรม...
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01 ส.ค. 2552, 03:17:12 โดย RaveeSajja »
ใช่หวังจะดังเด่น  จึงมาเป็นสมณะ
เพียงหวังจะลดละ  ซึ่งมานะและอัตตา
เร่ร่อนและรอนแรม ไปแต่งแต้มแสวงหา
สัญจรร่อนเร่มา  ผ่านร้อยป่าและภูดอย
ลาภยศและสรรเสริญ  ถ้าหลงเพลินจิตเสื่อมถอย
พาใจให้เลื่อนลอย  จิตเสื่อมถอยคุณธรรม
       ปณิธานในการปฏิบัติธรรม

ออฟไลน์ หนึ่ง

  • สัตตมะ
  • **
  • กระทู้: 252
  • เพศ: หญิง
  • ชีวิตมันสั้นทำทุกวันให้มันมีค่า
    • MSN Messenger - iporlove@hotmail.com
    • ดูรายละเอียด
    • อีเมล
ตอบ: สัมมาวาจา...?
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 01 ส.ค. 2552, 08:47:42 »
:054:กราบขอบพระคุณพระอาจารย์สำหรับคำสอนค่ะ หวังว่าจะนำไปปฏิบัติได้ ไม่มากก็น้อย :002:
ชีวิตมีแค่วันนี้ทำให้ดีตราบที่ยังหายใจ

ออฟไลน์ cho presley

  • ------> I'm Cho Presley
  • นวมะ
  • ****
  • กระทู้: 2049
  • เพศ: หญิง
  • สุดท้ายก็กาหลง!
    • MSN Messenger - cho.khalong@hotmail.com
    • AOL Instant Messenger - เมืองเสน่ห์กาหลง
    • Yahoo Instant Messenger - มหาเสน่ห์+เมตตา+มหานิยม
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.khalong.com
ตอบ: สัมมาวาจา...?
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: 01 ส.ค. 2552, 09:48:10 »
1. หากเราพบมนุษย์ที่กล่าว มุสาวาทา ครบองค์ประกอบอันได้แก่

1. อภูตวัตถุ... กล่าวเรื่องไม่จริง
๒.วีสังวาทนจิตตตา...มีจิตคิดกล่าวเรื่องหลอกลวง
๓.ปโยค...ประกอบด้วยความเพียรกล่าว
๔.ตทัตถวิชานนัง...ผู้ฟังรู้เนื้อความนั้น    

แล้วทำให้เราเสื่อมเสียชื่อเสียง เดือดร้อน เป็นภัย จากผลพวงจากการกระทำการมุสาวาทาจากมนุษย์ผู้นั้น...
นอกจากนิ่งเฉยไม่โต้ตอบแล้ว...เราควรทำอย่างไรคะหลวงพ่อ?

1.1 คำถามเพิ่มเติม การละเว้นไม่พูดถือว่าเป็นการมุสาไหมคะ?
1.2 แล้วการละเว้นไม่พูดแต่ผู้อื่นเสียใจ แต่ไม่เดือดร้อนแบบนี้ถือว่ายังไง?


2. หากพบมนุษย์ที่กระทำ ปิสุณวาจา ครบองค์ประกอบทั้ง 4 ประการที่ถือเป็นการพูดส่อเสียด ยุยงให้เกิดความแตกแยก อันได้แก่

๑. ภินทิตัพโพ...มีหมู่คณะที่พึงแตกกัน
๒. เภทปุเรกขาโร...มีความปรารถจะให้แตกแยกกัน
๓. ปโยค...ประกอบด้วยความเพียรเพื่อให้แตกแยกกัน
๔. ตทัตถวิชานนัง...หมู่คณะรู้ความนั้น

แล้วทำให้เราคิดจะแตกแยก แตกหักจากกัน...แบ่งเป็นก๊ก เป็นเหล่า เป็นพรรค เป็นพวก...
เราควรจะทำอย่างไรให้เขาทราบถึงผลพวงแห่งการกระทำที่จะเกิดขึ้นภายภาคหน้าคะ?
เหตุเพราะบางครั้งมนุษย์เหล่านั้นอาจรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ขาดประสบการณ์คิดถึงผลพวงแห่งการกระทำดังกล่าว

3.หากเราพบมนุษย์ที่ล่วงสัมมาวาจา ผรุสวาจา อันครบองค์ประกอบด้วยโทสะทั้ง  ๓ ประการ อันได้แก่

๑.อักโกสิตัพโพ...มีคนอื่นที่พึงจะด่า
๒.กุปปิตจิตต...มีจิตเข้าไปโกรธ
๓.อักโกสนา...กล่าวด่า บริภาษ

นอกจากเราจะนิ่งเฉย หรือหัดใช้วิธีโต้ตอบแบบสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว...เราควรทำอย่างไรให้เขาทราบว่า การกล่าวผรุสวาจาบ่อยๆ นั้นคือ คือการทำกรรมทุกวันๆ โดยไม่รู้ตัว :009: (เขาเรียกไรนะหลวงพ่อ จำไม่ได้แล้วค่ะ แบบทำกรรมเป็นอาจิณอ่ะค่ะ เงอะงะหน่อยค่ะผู้หญิง)

เอ่อ...ออ...สะท้อนบทความนี้แล้ว เลยต้องท่องข้อความนี้ให้ขึ้นใจ...
'หาความดีเล็กๆ น้อยๆ ของเขามากล่าวชื่นชม ดีกว่าจ้องจับผิดมาด่าทอกัน..'
     

อรุณสวัสดิ์หลวงพ่อโด่ง.. วันนี้ฉันกาแฟรสอะไร.. ลูกดื่มกาแฟผสมโสมที่ไปซื้อมาเมื่อวาน :008:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01 ส.ค. 2552, 09:57:49 โดย cho presley »

cho presley       

ออฟไลน์ รวี สัจจะ...

  • รองประธาน
  • *****
  • กระทู้: 1137
  • รวี สัจะ-สมณะไร้นาม-วจีพเนจร
    • ดูรายละเอียด
    • รวี สัจจะ สมณะไร้นาม (เคลื่อนไหวดุจสายลม)
ตอบ: สัมมาวาจา...?
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: 01 ส.ค. 2552, 10:34:58 »
1. หากเราพบมนุษย์ที่กล่าว มุสาวาทา ครบองค์ประกอบอันได้แก่

1. อภูตวัตถุ... กล่าวเรื่องไม่จริง
๒.วีสังวาทนจิตตตา...มีจิตคิดกล่าวเรื่องหลอกลวง
๓.ปโยค...ประกอบด้วยความเพียรกล่าว
๔.ตทัตถวิชานนัง...ผู้ฟังรู้เนื้อความนั้น     

แล้วทำให้เราเสื่อมเสียชื่อเสียง เดือดร้อน เป็นภัย จากผลพวงจากการกระทำการมุสาวาทาจากมนุษย์ผู้นั้น...
นอกจากนิ่งเฉยไม่โต้ตอบแล้ว...เราควรทำอย่างไรคะหลวงพ่อ?

1.1 คำถามเพิ่มเติม การละเว้นไม่พูดถือว่าเป็นการมุสาไหมคะ?
1.2 แล้วการละเว้นไม่พูดแต่ผู้อื่นเสียใจ แต่ไม่เดือดร้อนแบบนี้ถือว่ายังไง?


2. หากพบมนุษย์ที่กระทำ ปิสุณวาจา ครบองค์ประกอบทั้ง 4 ประการที่ถือเป็นการพูดส่อเสียด ยุยงให้เกิดความแตกแยก อันได้แก่

๑. ภินทิตัพโพ...มีหมู่คณะที่พึงแตกกัน
๒. เภทปุเรกขาโร...มีความปรารถจะให้แตกแยกกัน
๓. ปโยค...ประกอบด้วยความเพียรเพื่อให้แตกแยกกัน
๔. ตทัตถวิชานนัง...หมู่คณะรู้ความนั้น

แล้วทำให้เราคิดจะแตกแยก แตกหักจากกัน...แบ่งเป็นก๊ก เป็นเหล่า เป็นพรรค เป็นพวก...
เราควรจะทำอย่างไรให้เขาทราบถึงผลพวงแห่งการกระทำที่จะเกิดขึ้นภายภาคหน้าคะ?
เหตุเพราะบางครั้งมนุษย์เหล่านั้นอาจรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ขาดประสบการณ์คิดถึงผลพวงแห่งการกระทำดังกล่าว

3.หากเราพบมนุษย์ที่ล่วงสัมมาวาจา ผรุสวาจา อันครบองค์ประกอบด้วยโทสะทั้ง  ๓ ประการ อันได้แก่

๑.อักโกสิตัพโพ...มีคนอื่นที่พึงจะด่า
๒.กุปปิตจิตต...มีจิตเข้าไปโกรธ
๓.อักโกสนา...กล่าวด่า บริภาษ

นอกจากเราจะนิ่งเฉย หรือหัดใช้วิธีโต้ตอบแบบสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว...เราควรทำอย่างไรให้เขาทราบว่า การกล่าวผรุสวาจาบ่อยๆ นั้นคือ คือการทำกรรมทุกวันๆ โดยไม่รู้ตัว :009: (เขาเรียกไรนะหลวงพ่อ จำไม่ได้แล้วค่ะ แบบทำกรรมเป็นอาจิณอ่ะค่ะ เงอะงะหน่อยค่ะผู้หญิง)

เอ่อ...ออ...สะท้อนบทความนี้แล้ว เลยต้องท่องข้อความนี้ให้ขึ้นใจ...
'หาความดีเล็กๆ น้อยๆ ของเขามากล่าวชื่นชม ดีกว่าจ้องจับผิดมาด่าทอกัน..'
     

อรุณสวัสดิ์หลวงพ่อโด่ง.. วันนี้ฉันกาแฟรสอะไร.. ลูกดื่มกาแฟผสมโสมที่ไปซื้อมาเมื่อวาน :008:
ตราบใดที่เขายังไม่ได้รับผลแห่งกรรมนั้น  เขาย่อมไม่มีวันสำนึก เพราะความรู้สึกนึกคิดของเขาเป็น"มิจฉาทิฏฐิ"
อันยากแก่การที่จะชี้แนะและตักเตือน  ดั่งคำที่เคยกล่าวไว้""ถ้ายังมีหนทางไป ใจย่อมไม่นึกถึงธรรม แต่เมื่อยามเจ็บช้ำ
พระธรรมจะเป็นที่พึ่งของคุณ"... "ยังไม่ถึงเวลาที่จะกล่าวธรรมสงเคราะห์เขา"
และการที่เราไปโกรธตอบ...ด่าตอบนั้น มันทำให้รามีกรรมและทุกข์มากกว่าเขา  เพราะว่า
๑.เราเป็นผู้ต่อเวรต่อกรรมให้ยืดยาวไปอีก เรียกว่าตบมือข้างเดียวมันไม่ดังหรอก...แต่ถ้ามือทั้งสองข้างกระทบกันย่อมมีเสียงดัง
   และอาจมีคนมาได้ยิน และมองเป็นเรื่องสนุก จึงเขามาช่วยกันตบ เมื่อหลายคนช่วยกันตบ เสียงนั้นย่อมจะดังขึ้นเรื่อย
   ถ้าเราปล่อยให้เขาตบสัมผัสกับอากาศ คือความว่าง มันย่อมไม่มีเสียงหรืออาจจะมีก็เพียงเล็กน้อย ไม่นานเขาเหนื่อย เขาก็เลิกไปเอง
   และถ้าเขาไม่ยอมเลิก...คนที่ผ่านมาเห็นย่อมจะคิดว่าคนๆนั้นไม่ปกติแน่นอน
๒.เขาด่าเราโกรธเรา..เราทุกข์เพราะถูกด่าถูกโกรธ..และเมื่อเราด่าเขาตอบ..โกรธเขาตอบ มันก็เพื่มกำลังเป็นสองเท่าคือทั้งของเขาและ
   ของเรามารวมกัน...โกรธ..โมโห ที่ถูกด่า...โกรธ โมโห ที่จะคิดคำด่าตอบ ซึ่งสรุปแล้วเราทุกข์กว่าเขา เมื่อเราคิดโต้ตอบ
 :059:ปล่อยให้กรรมและกาลเวลาเป็นเครื่องพิสูนจ์ เป็นตัวจัดการ เอาสมองไปคิดเรื่องที่มีสาระและมีประโยชน์จะดีกว่า :059:

ออฟไลน์ derbyrock

  • คณะกรรมการ
  • *****
  • กระทู้: 2494
  • เพศ: ชาย
  • สติมา ปัญญาเกิด........ปัญหามา ปํญญามี.......
    • MSN Messenger - derbyrock@hotmail.com
    • ดูรายละเอียด
    • อีเมล
ตอบ: สัมมาวาจา...ว่าด้วย...วจีกรรม ๔
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: 01 ส.ค. 2552, 08:23:29 »
เขาด่าเราโกรธเรา..เราทุกข์เพราะถูกด่าถูกโกรธ..และเมื่อเราด่าเขาตอบ..โกรธเขาตอบ มันก็เพื่มกำลังเป็นสองเท่าคือทั้งของเขาและของเรามารวมกัน...โกรธ..โมโห ที่ถูกด่า...โกรธ โมโห ที่จะคิดคำด่าตอบ ซึ่งสรุปแล้วเราทุกข์กว่าเขา เมื่อเราคิดโต้ตอบ
กราบนมัสการพระอาจารย์ครับ กราบขอบพระคุณที่มาสอนสั่งพวกเรา การดำเนินชีวิตต่อไปของผมคงไม่ต้องทุกข์เพราะคำคนอีกต่อไปแล้วครับ

ความสุขที่แท้จริงรอคอยคุณอยู่.......เพียงแค่คุณนั่งลงแล้วหลับตา