นมัสการหลวงพ่อสุ่น ครับ.
ครั้งแรกเลยที่ไป วัดบางปลาหมอ ผมเองก็ยังไม่ได้สนใจเรื่องพระเครื่องหรือวัตถุมงคลเครื่องรางของขลังหรอก แต่ก็เหมือนเป็นจุดเริ่มต้น (ทั้งที่ก่อนหน้านี้ก็ไปไหว้พระตามวัดวาอารามบ้าง ก็ไม่ได้สนใจ) เรื่องมีอยู่ว่า.....
วันที่ 18 มีนาคม 2550 ภรรยาได้ชวนไปวัดบางปลาหมอ แต่ไม่รู้หรอกว่าอยู่ตรงไหน รู้เพียงว่าอยู่พระนครศรีอยุธยา เพราะว่าได้ฟังจากรายการวิทยุตอนกลางคืนโดยคุณ"ปัญจศรี" ที่เล่าถึงเรื่องราวหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ประวัติความเป็นมาเป็นอย่างไร ซึ่งมีหลวงพ่อสุ่น เป็นพระอาจารย์.
ภรรยาจึงพูดกับผมว่า ขนาดลูกศิษย์(หลวงพ่อปาน) ยังเก่งขนาดนี้ แล้วหลวงพ่อสุ่น ผู้เป็นอาจารย์จะเก่งขนาดไหน ก็เลยเกิดความศรัทธาจึงเดินทางไปกราบนมัสการท่าน โดยถามทางชาวบ้านมาเกือบตลอดทาง พอมาถึงวัดแล้ว ก็รับประทานน้ำแข็งไสก่อน เพราะร้อนมาก(ประมาณบ่าย2โมงกว่าๆ) จากนั้นภรรยา,คุณอา,ลูกสาวคนโตและเพื่อนบ้าน ได้ถามร้านค้าว่าจะไปกราบหลวงพ่อสุ่นได้ตรงไหน ทางร้านค้าก็ชี้ให้ดูว่า นั่นไง มณฑปท่าน โดยชี้ไปทางขวามือให้ขึ้นไปตรงนั้นหรือจะเดินผ่านกุฏิท่านเจ้าอาวาสก็ได้ ภรรยาจึงเดินไปทางขวา โดยไม่ผ่านกุฏิท่านเจ้าอาวาส(ไม่อยากผ่านเพราะถ้าเจอท่านแล้ว จะคุยกับพระไม่เป็น)แล้วบอกผมว่าเดี๋ยว มาเจอกันที่รถ ส่วนผมกับลูกสาวคนเล็กก็แยกไปถวายซีดีสวดมนต์กับท่านเจ้าอาวาส แต่ยังไม่ทันจะเดินไป(เพราะน้ำแข็งไสยังไม่หมดถ้วย) ก็เห็นภรรยา,คุณอา,ลูกสาวคนโตและเพื่อนบ้าน เดินย้อนกลับมาจากทางขวามือ ก็สงสัยอยู่ในใจว่า"ไหนบอกว่าจะขึ้นทางโน้นเลย ไม่อยากผ่านกุฏิท่านเจ้าอาวาส แต่ก็ยังเดินผ่านอยู่ดี" แต่ก็ไม่ได้ถาม ผมรีบไปถวายซีดีสวดมนต์ให้กับท่านเจ้าอาวาส ท่านเจ้าอาวาสบอกว่า ให้ไปกราบหลวงพ่อสุ่นก่อน แล้วเดี๋ยวค่อยมาคุยกัน (พอดีท่านมีแขกอยู่2-3คน) หลังจากกราบหลวงปู่ที่มณฑปเสร็จแล้วก็ถามกับลูกสาวคนโตว่า "ไหนแม่บอกว่าจะขึ้นทางโน้นเลย ไม่เดินผ่านหน้ากุฏิหลวงพ่อ แล้วเดินย้อนกลับมาทำไม" ลูกสาวคนโตบอกว่า ไม่มีทางขึ้น เป็นกำแพง(ศาลาการเปรียญ)สูงทึบยาวตลอดแนวเลย ไม่มีทางขึ้น จึงได้เดินย้อนกลับมานี่ไงหล่ะ. ผมก็ชี้ไปที่บันได แล้วพูดว่า นั่นไม่ใช่บันไดหรอกหรือ มันจะไม่มีทางขึ้นได้ยังไงกัน
ลูกสาวคนโต บอกว่าก็ที่เดินไปไม่เห็นบันไดจริงๆ ทั้ง 4 คนพูดเหมือนกันหมด
จากนั้นก็ไปพบท่านเจ้าอาวาส ได้ถวายซีดีสวดมนต์ ท่านเจ้าอาวาสได้ให้รูปหลวงพ่อสุ่น ตอนมรณภาพ(นอนตะแครง) ท่านบอกว่าชาวต่างชาติ(สิงคโปร์ ,ฟิลิปปินส์)เคารพนับถือมาก ผมจึงถามว่าเอาไว้ในกระเป๋าสตางค์ได้มั๊ย? ท่านบอกว่าได้ และยังได้ให้เหรียญเสมาปี 2508 มาอีก(อาจจะปั๊มออกมาเพิ่มทีหลังอีก เพราะใหม่เหลือเกิน ) พร้อมกับพระเนื้อผงรูปเหมือนหลวงพ่อสุ่น หลังยันต์เกราะเพชร ปี2537 ท่านบอกว่าต้องเก็บซ่อนในกล่องไม้เปลี่ยนแม่กุญแจใหม่อยู่เรื่อย เพราะชอบมีคนมาขโมยไปขาย จากนั้นก็ลาหลวงพ่อเจ้าอาวาสกลับบ้าน.
เช้าวันที่19 มีนาคม 2550 ผมไปทำงานตอนเช้า ขับรถด้วยความเร็วประมาณ 80-90 กิโลเมตร/ชั่วโมง มาถึงทางตัดใหม่บางไผ่ ฝนเริ่มตกแรง ผมกำลังขับรถมอเตอร์ไซด์ลงทางลาดพอดี ด้วยเกรงว่าโทรศัพท์มือถือจะเปียกฝน จึงเบรครถทั้งที่คิดเสมอว่า ถ้าฝนเพิ่งเริ่มตกอย่าเบรคโดยทันทีทันใด เพราะจะทำให้รถล้มได้ แต่การกระทำไวกว่าความคิด ผลสรุปว่า รถล้มกลิ้งไม่เป็นท่า ศีรษะไถลพื้นไปพอประมาณ ล้อหน้าคด โช๊คคด แฮนด์เบี้ยว แต่ร่างกายมีรอยแผลถลอกที่ตาตุ่มขวาและข้างหัวเข่าขวา เลือดออกแค่ยางบอนเท่านั้นเอง. ทำให้ผมนึกถึงเหตุการณ์เมื่อวานนี้ที่วัดบางปลาหมอ แล้วรูปท่านที่ได้รับมาผมได้ไว้ในกระเป๋าสตางค์แค่นั้นเอง ไม่มีวัตถุมงคลอื่นใดเลย แล้วผมก็ขับรถไปทำงานต่อแบบคดๆอย่างงั้นแหละ รอตอนเย็นออกเวร จึงไปหาที่ซ่อม มาถึงร้านซ่อมตีราคาค่าซ่อมที่ 1,600.-
ผมกลับบ้านมาคุยกับภรรยาว่า "หลวงพ่อสุ่น ท่านคงรู้ว่า เช้าวันที่ 19มี.ค.50 นี้ผมต้องได้รับอันตรายแน่ จึงดลบันดาลไม่ให้ภรรยาผมเห็นบันไดทางขึ้นมณฑปทางโน้น ยังไงต้องให้มาพบเจ้าอาวาสด้วย เพื่อที่จะได้รูปภาพตอนมรณะไปไว้ติดตัว เพื่อผ่อนหนัก ให้เป็นเบา ผมจึงคุยกับภรรยาว่า งั้นจัดทอดผ้าป่า(ได้ยินท่านคุยกับแขกเรื่องทอดผ้าป่า ตอนที่กำลังจะไปกราบหลวงพ่อสุ่น) สร้างเขื่อนที่วัดบางปลาหมอ 1 กอง (ในวันที่ 5 พฤษภาคม 2550 ได้เงินทั้งสิ้น สี่หมื่นแปดพันกว่าบาท.)