ร่างหนึ่งนอนในห้องไอ.ซี.ยู...................แต่อีกร่างไปปรากฏให้แม่เห็น !!!]
.......คงจะต้องยอมรับว่าอาชีพของนักข่าว สิ่งที่จะต้องพบเห็นอยู่เป็นประจำได้แก่ อุบัติเหตุ ใครจะเชื่อบ้างว่าเพียงเศษเสี้ยวของวินาที หากว่าเรามีความประมาท ความหายนะจะเกิดขึ้นทันที เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับหนึ่งในทีมงานของพวกผม มันทำให้ผมได้รู้ซึ้งถึงพิษสงของคำว่า อุบัติเหตุยิ่งขึ้น
คืนนั้นผมและพวกเพื่อนๆ กำลังนั่งจิบเบียร์อยู่ที่คาเฟ่เล็กๆ แห่งหนึ่ง ซึ่งตั้งริมอยู่ริมถนนทางจะไปจังหวัดระยอง ขณะที่กำลังกินเหล้าออกรสอยู่นั้น ผมนึกขึ้นมาได้ว่า ผมเตรียมฟิล์มมาแค่ 2 ม้วน แต่งานของผมมันจะต้องใช้ฟิล์มไม่ต่ำกว่า 4 ม้วน ผมจึงจะเข้าไปซื้อฟิล์มในตัวจังหวัด แต่พวกเพื่อนๆ ไม่เชื่อ คิดว่าผมจะหนีไปเที่ยวคนเดียว น้องเล็กหนึ่งในทีมงานของพวกเราจึงขันอาสา จะขับรถเข้าไปซื้อฟิล์มตัวจังหวัดระยองเอง ซึ่งทุกคนต่างก็เห็นด้วย เพราะเชื่อว่าน้องเล็กเป็นคนขับไม่ประมาท ฝีมือดีทีเดียว
...........ผมส่งกุญแจให้น้องเล็กขับเข้าไปซื้อฟิล์มในตัวจังหวัด จากนั้นก็มานั่งกินเหล้าต่ออย่างมีความสุข เหล้าหมดไปกลมหนึ่งแต่น้องเล็กก็ยังไม่กลับ ผมเริ่มเป็นห่วงกลัวว่าน้องเล็กจะประสบอุบัติเหตุ แต่พวกเพื่อนๆ บอกว่าผมคิดมากไปแล้ว
2 ชั่วโมงผ่านไป น้องเล็กก็ยังไม่กลับ ผมเริ่มกระสับกระส่าย คราวนี้พวกเพื่อนๆ ก็เริ่มเป็นกังวลขึ้นมาทันที
"ท่าทางไม่ชอบมากลเสียแล้วโว้ย สงสัยไอ้เล็ก
"
"เฮ้ย หยุดพูดเรื่องอัปมงคล"
ความรู้สึกของผมในขณะนั้นมันเหมือนมีลางสังหรณ์บางอย่างเกิดขึ้น ผมก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่า ความรู้สึกเช่นนั้นมันเกิดขึ้นได้อย่างไร
"ลองโทรสอบถามตำรวจดีกว่า บางทีมันอาจจะได้เรื่อง"
ผมรีบโทรไปสอบถามเจ้าที่ตำรวจ สภอ.เมืองระยอง เพื่อสอบถามว่ามีอุบัติเหตุเกิดขึ้นหรือเปล่า คำตอบที่ผมได้รับ มันทำให้ผมถึงกับเข่าอ่อน
"มีรถชนกันเมื่อชั่วโมงที่แล้ว"
"มีคนเสียชีวิตหรือเปล่าครับ?"
"ไม่มีหรอกครับ มีแต่คนเจ็บตอนนี้อยู่ในร.พ."
"ผมขอทราบทะเบียนรถครับ"
"รอสักครู่นะครับ ผมจะสอบถามร้อยเวรให้"
.........เสียงของเจ้าหน้าที่ตำรวจเงียบไป พวกเพื่อนๆ คงจะเดาออกว่ามีเหตุร้ายเกิดขึ้น แต่พวกเขาไม่กล้าพูดออกมาเท่านั้น ในเวลาต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้พูดมาตามสาย บอกทะเบียนรถที่ประสบอุบัติเหตุ
"หมายเลขทะเบียน กต. 4500 ครับ"
ความรู้สึกของผมในเวลานั้นยากจะบรรยาย มันคล้ายกับตกอยู่ในความฝันมากกว่า ผมไม่อยากเชื่อว่าเหตุการณ์เลวร้ายแบบนี้มันจะเกิดขึ้นกับพวกเรา ความเสียหายของรถยนต์ เราสามารถซ่อมได้ให้มีสภาพเหมือนเดิม มีบริษัทประกันรับผิดชอบในเรื่องค่าใช้จ่าย แต่ชีวิตของคนๆ หนึ่ง เราบอกไม่ได้ว่า เขาจะหายเป็นปกติเหมือนเดิมหรือเปล่า
พวกเราไม่มีกระจิตกระใจจะทำงานอีกต่อไปแล้ว ปัญหาต่อมาก็คือ เราจะบอกแม่ของน้องเล็กถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างไร เพราะแม่ของน้องเล็กเป็นโรคหัวใจ
"เก็บเรื่องนี้ไว้ก่อน เราบอกแม่ของน้องเล็กตอนนี้ไม่ได้เป็นอันขาด วันพรุ่งนี้ผมจะโทร.ไปบอกว่าน้องเล็กมีงานด่วน ต้องไปต่างจังหวัดหลายวัน แม่จะได้ไม่ต้องเป็นห่วงน้องเล็ก"
.........ตอนนั้นผมยอมรับว่าหนักใจมาก ตัดสินใจอยู่นานว่าจะเริ่มเรื่องนี้อย่างไรดี และในที่สุดผมก็คิดว่า พยายามพูดกับแม่น้องเล็กด้วยน้ำเสียงเป็นปกติ อย่าให้แม่จับได้ว่าผมกำลังเครียด พูดให้สั้นที่สุด แล้วก็รีบวางโทรศัพท์ทันที
เมื่อผมโทรไปที่บ้านของน้องเล็ก ปรากฏว่าพี่สาวของน้องเล็กเป็นคนรับสาย ผมโล่งใจขึ้นมาทันที บางครั้งผมอาจจะเล่าความจริงกับพี่สาวของน้องเล็กก็ได้ แต่เหตุการณ์มันกลับไม่ได้เป็นอย่างที่ผมคิด และผมก็ต้องถึงกับอึ้งพูดไม่ออก
"จะพูดกับน้องเล็กหรือ ตอนนี้เขาไม่อยู่หรอกจ๊ะ?"
"ผมมีเรื่องจะบอกกับพี่ว่า น้องเล็ก
" ผมเริ่มกลายเป็นคนพูดติดอ่างขึ้นมาทันที
"น้องเล็กเพิ่งจะออกไปจากบ้านเมื่อ 2 นาทีนี้เอง ได้ยินพูดว่าที่ทำงานให้ไปทำงานต่างจังหวัดอาทิตย์หรือสองอาทิตย์นี่แหละจึงจะกลับ โทรเข้ามือถือซิจ๊ะน้อง"
ผมถึงกับขนลุกซู่ เมื่อได้ยินพี่สาวของน้องเล็กพูดอย่างนั้น
"พี่แน่ใจนะครับว่าน้องเล็กเพิ่งจะออกมาจากบ้านเมื่อครู่นี้"
"แน่ใจซิจ๊ะ ก็แม่ของน้องเล็กยังบอกให้น้องเล็กระวังตัว ดูแลสุขภาพให้ดีเลย"
..........ผมเล่าสิ่งที่ได้ยินจากปากของพี่สาวของน้องเล็กๆ ผมได้เล่าให้พวกเพื่อนๆ ฟัง ทุกคนต่างนิ่งเงียบ ไม่มีใครรู้ว่าเรื่องนี้มันเกิดขึ้นได้อย่างไร???
อาการของน้องเล็กดีขึ้นเป็นลำดับ หมอบอกว่าน้องเล็กเป็นคนแข็งแรง และมีกำลังใจที่เข้มแข็งมาก ทำให้อาการป่วยหายเร็วกว่าคนทั่วไป
น้องเล็กเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ฟังว่า ตอนนั้นมันรวดเร็วจนทำอะไรไม่ถูก เพราะรถอีกฝ่ายหนึ่งขับมาด้วยความเร็ว น้องเล็กพยายามหักหลบแต่ไม่พ้น ในที่สุดจึงชนแบบประสานงาเต็มๆ
"ตอนนั้นผมยังมีสติดี สิ่งที่นึกถึงคือแม่ของผม ผมเป็นห่วงกลัวว่าแม่จะตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ผมได้พยายามรวบรวมสมาธิ ข่มความเจ็บปวด จากนั้นก็ส่งกระแสจิตไปที่บ้านผม ผมต้องการให้พี่สาวให้แม่ผมเห็นว่าผมไม่ได้เป็นอะไร แต่ผมมีงานจะต้องออกต่างจังหวัดหลายวัน ก็ไม่คิดว่าผมจะทำได้"
..........น้องเล็กนอนรักษาตัวในโรงพยาบาลนานเกือบครึ่งเดือน แต่เขาก็สามารถปกปิดเรื่องที่เกิดขึ้น โดยใช้วิธีโทรศัพท์ไปหาแม่ของเขาทุกวัน จนแม่และพี่สาวไม่ได้ระแคะระคายเลยว่า น้องเล็กประสบอุบัติเหตุจนแทบเอาชีวิตไม่รอด ต่อมาน้องเล็กได้ตัดสินใจลาออกจากงานที่ทำ โดยให้เหตุผลว่ากลัวประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย ซึ่งพวกเราทุกคนต่างก็เข้าใจความรู้สึกของน้องเล็ก
ผมพยายามค้นหาความจริงในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีคำตอบที่ชัดเจน จนกระทั่งได้มีโอกาสพบกับคุณลุงบุญเสริม นาคใหม่ เจ้าหน้าที่ดูแลวัดบางกร่าง จ.สุพรรณบุรี คุณลุงบุญเสริมท่านได้ชี้แจงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า เป็นเรื่องของ "พลังจิต"
"หากว่าคนเราได้รับการฝึกฝนพลังจิตอยู่เป็นประจำ เราก็สามารถที่จะถ่ายทอดพลังจิตของเราไปยังบุคคลอื่นได้ เราสามารถกำหนดภาพที่ส่งไปได้ด้วย เราต้องการให้เขาเห็นภาพอะไร หากว่าเรามีความผูกพันต่อกันแล้ว อีกฝ่ายหนึ่งก็จะรับภาพที่เราส่งไปได้
..........กรณีเรื่องที่เกิดขึ้นกับน้องเล็ก ขณะนั้นน้องเล็กจะต้องมีความแน่วแน่ ต้องการอยากจะให้แม่กับพี่สาวเห็นภาพของเขา เขาก็สร้างภาพตัวของเขาให้แม่กับพี่สาวเห็น แต่สิ่งนี้น้อยคนจะทำได้ แต่ก็เป็นเรื่องที่สามารถฝึกฝนได้ การส่งพลังจิตแบบนี้ สมัยลุงยังเป็นหนุ่มๆ ก็ยังเคยทดลองกันมาแล้ว"
หลวงปู่ไสว "อดีต" เจ้าอาวาสวัดบางกร่าง ผู้ที่มี "สัมผัสที่ 6"
..........ชาวบ้านคนหนึ่งเล่าให้ผมฟังว่า หลวงปู่ไสว อดีตเจ้าอาวาสของวัดบางกร่าง ท่านเป็นพระเกจิฯ ที่มีชื่อเสียง และมีวิชาอาคมแก่กล้ามาก ท่านสามารถมองเห็นอนาคตได้อย่างแม่นยำ
"หากหลวงปู่ทักว่าไอ้คนนี้มีเคราะห์ ต้องมานอนในวัดเพื่อสะเดาะเคราะห์ หากคนนั้นไม่เชื่อคำทำนายของหลวงปู่ ไม่เกิน 3 วัน รับประกันได้เลยว่าจะต้องตายจริงๆ หลวงปู่ปากพระร่วง พูดคำไหนเป็นคำนั้น ท่านมีญาณพิเศษ ใครจะมาหาท่าน ท่านจะรู้ล่วงหน้าทุกครั้ง ลูกศิษย์เคยพิสูจน์กันมาแล้ว ซึ่งก็พบว่าเป็นความจริง หลวงปู่ท่านมีสัมผัสที่ 6 เหนือคนทั่วไป"
คงจะเป็นเรื่องที่เข้าใจยากสักหน่อย และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จะมีคนสักกี่คนที่มีความเชื่อว่า เรื่องนี้เป็นความจริง !!!
ที่มา
http://www.oocities.org/sumpud/S2.htm