ผีดุที่ศาลายา
คอลัมน์ ขนหัวลุก
ใบหนาด
"ปอน" เล่าเรื่องขนหัวลุกจากศาลายาในอดีต
เมื่อเอ่ยถึงศาลายา หรือศาลาธรรมสพน์ ใกล้ๆ กับกรุงเทพฯ เชื่อว่าท่านผู้อ่านคงจะรู้จักกันดีแล้วนะครับ
จากดินแดนที่เคยเป็นชนบทห่างไกล ขนาดเรียกขานว่า "ไกลปืนเที่ยง" กลับมีความเจริญแผ่กระจายเข้ามา ทั้งตึกรามบ้านช่อง ทั้งมหาวิทยาลัย ผู้คนก็นับวันจะมากหน้าหลายตาแทบไม่แตกต่างกับเขตปริมณฑลของเมืองหลวงโดยทั่วไป
เรามาย้อนอดีตศาลายาพอให้รู้ที่ไปที่มาพอสมควรก็แล้วกัน
ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 4 มีรับสั่งให้ขุดคลองมหาสวัสดิ์ขึ้นเมื่อปี 2403 และให้สร้างศาลาริมคลองขึ้นทุก 4 กิโลเมตร เพื่อให้ชาวบ้านร้านช่องได้หยุดพักระหว่างเดินทางผ่านมา กับใช้ประโยชน์เป็นศาลาตั้งศพก่อนการเผาอีกด้วย
ยิ่งกว่านั้นยังใช้ศาลายาเป็นที่แจกจ่ายยาพื้นบ้านแก่ผู้คนทั่วไป เพราะการแพทย์สมัยนั้นต้องใช้แต่ยาสมุนไพรรักษาโรคต่างๆ ไม่มียาฝรั่งที่เห็นผลทันใจเหมือนในยุคต่อมา
สาเหตุสำคัญก็คือมีโรคระบาดรุนแรง เช่น อหิวาตกโรค เรียกกันว่า "โรคห่า" หรือ "ห่าลง" จนมีผู้คนล้มตายเป็นเบือ มากมายจนเผาศพไม่ทัน ต้องทิ้งให้ซากศพเป็นเหยื่อแร้งกาน่าสังเวชใจ ไม่แตกต่างอะไรกับที่ประตูผี วัดสระเกศ ซึ่งมีคนตายนับร้อยนับพัน
เพราะสาเหตุนี้เองจึงมีเสียงร่ำลือว่า...ศาลายาผีดุนักหนา!
ไหนจะเป็นที่ตั้งศพ เผาศพ ไหนจะศพที่ตายเพราะโรคระบาดกลาดเกลื่อนน่าอเนจอนาถ เชื่อกันว่าวิญญาณยังสิงสู่ วนเวียนอยู่ในแดนตายของตน ไม่มีโอกาสได้ไปผุดไปเกิดเสียที
เมื่อมีคนเดินทางไปนั่งพักเหนื่อยในศาลา แล้วเกิดเป็นลมเป็นแล้งไปจนถึงกับล้มตายลง ชาวบ้านก็ยิ่งเชื่อว่าเป็นเพราะโดนผีหลอกวิญญาณหลอน หรือไม่ก็มีภูตผีมาเอาชีวิตไปอยู่ด้วย จนแทบไม่มีใครกล้าเข้าไปพักผ่อนหรือนั่งเล่นในศาลาริมคลองตอนค่ำคืน
เรือแพที่สัญจรไปมาหนาตาในตอนกลางวัน พอตกค่ำก็แทบจะไม่มีให้เห็น...ว่ากันว่าเคยเห็นอมนุษย์ในผ้าตราสังขาวๆ ยืนเรียงรายเต็มศาลา แถมกวักมือเรียกให้ไปอยู่ด้วยกันอีกต่างหาก
สมัยเด็กๆ ผมเคยได้ยินผู้ใหญ่เล่าเรื่องผีดุที่ศาลายา จำได้มาถึงทุกวันนี้เลยครับ
ตากิ่งกับตาเดือนวัยห้าสิบเศษ ได้ชื่อว่าเป็นสองเกลอคอสุราประจำตำบล พอเมาได้ที่ก็ประกาศก้องในร้านเจ๊กตงว่าพวกแกไม่กลัวผี อยากจะไปลองดีที่ศาลายาตอนกลางคืนให้รู้ดีรู้ชั่วไป...ผีมันจะเก่งกว่าคนไปได้ยังไง?
คนอื่นๆ หาว่าแกดีแต่ปาก เห็นพูดมานานแล้วแต่ไม่เคยไปที่นั่นแม้แต่ครั้งเดียว!
สองเกลอขี้เมารับท้าทันที โดยมีข้อแม้ว่าถ้าพวกแกไปดวดเหล้าที่นั่นได้ถึงสามทุ่ม คนท้าจะต้องเลี้ยงเหล้าแกไม่อั้น...คนอื่นๆ ก็ ตกลงทันทีเพราะอยากจะเห็นคนจริงเช่นกัน
คืนนั้น พระจันทร์ข้างแรมเพิ่งจะขึ้น ตากิ่งกับตาเดือนหิ้วขวดเหล้าเดินหัวเราะต่อกระซิกไปจนถึงศาลาริมน้ำ ค่อนข้างไกลโขจากร้านเจ๊กตง...สรรพสิ่งเงียบเชียบเปล่าเปลี่ยวอยู่ในราตรีที่มีแต่เสียงคลื่นกระทบฝั่ง ลมรำเพยตามยอดไม้เสียงเหมือนใครกำลังทอดถอนใจด้วยความเหน็ดเหนื่อย แม่หมายลองไนเงียบ กริบเมื่อมีคนเดินผ่าน ไม่ช้าก็กรีดปีกส่งเสียงน่าวังเวงใจเป็นเพื่อนราตรีต่อไปตามเดิม
สองเกลอนั่งขัดสมาธิโจ้เหล้ากันที่ศาลาด้านใกล้คลอง เหลียวมองซ้ายขวาก็เห็นแต่แสงจันทร์เยือกเย็นส่องจับผิวน้ำ กับทุ่งหญ้าเวิ้งว้างดูทะมึนอยู่ในราตรี...ตาเดือนหันไปเห็นใครกำลังยืนตะคุ่มๆ อยู่ที่หัวบันไดก็ร้องบอกเพื่อน แต่ตากิ่งหันไปมองก็ไม่มีใครแม้แต่คนเดียว
"มึงคงตาฝาดไปน่ะ ไอ้เดือน...เอ๊ะ! มึงได้กลิ่นอะไรหรือเปล่าวะ เหม็นพิลึก"
คู่หูทำจมูกพะเยิบพะยาบก่อนจะย่นคิ้ว เหลียวมองไปรอบๆ ตัว
"อือ...เหม็นเหมือนศพเน่าว่ะ..."
แทบจะไม่ขาดเสียง กลิ่นเหม็นนั้นก็ยิ่งรุนแรงยิ่งขึ้นจนสองเกลอแทบสำลัก คว้าขวดเหล้ามาแบ่งกันซดอั๊กๆ ดับอาการคลื่น เหียน...พลันเสียงครวญครางแหบโหยก็ดังขึ้นใกล้ๆ หู
"ช่วยด้วย...ข้ายังไม่อยากตาย! โอย...ช่วยข้าที..."
คราวนี้สองเกลอตัวแข็งทื่อ อ้าปากค้างแต่พูดอะไรไม่ออก อาการมึนเมาในตอนแรกๆ หายขาดเป็นปลิดทิ้ง เสียวสันหลังวูบวาบ...ครั้นหันไปมองอีกฟากหนึ่งก็ขนลุกซ่าทันใด
นรกเป็นพยาน! ร่างขาวๆ ในผ้าตราสังเป็นสิบๆ ร่างนั่งเบียดเสียดกันจ้องเขม็งมาเป็นตาเดียวกัน ท่ามกลางเสียงคร่ำครวญโอดโอยโหยหวนราวกับตกอยู่ในนรกอเวจี เล่นเอาสองเกลอร้องจ้า โจนผลุงลงจากศาลา วิ่งล้มลุกคลุกคลานมาสิ้นสติที่ร้านเจ๊กตงนั่นเอง!
ที่มา
http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hOakE1TURJMU5BPT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBeE1TMHdNaTB3T1E9PQ==