ล่าวิญญาณ
ขนหัวลุก
ใบหนาด
"มหาห่วง" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากข่าวลือยักษ์กินคน
ตั้งแต่ กึ่งพุทธกาลมาจนถึงสมัยนี้ มักจะมีข่าวร้ายเกี่ยวกับ "ยักษ์กินคน" หรือ "ยมบาล" จะมาเอาชีวิตผู้คนไปเมืองผี รวมทั้งอิทธิฤทธิ์ของพระราหูที่เชื่อกันว่าร้ายกาจนักหนาต้องเซ่นบูชาด้วย "ของสีดำ 8 ประการ เช่น ไก่ดำ, เหล้าดำ, ผลไม้สีดำ เป็นต้น จึงจะเอาตัวรอดปลอดภัยได้
แต่ครั้งที่ร้ายแรงที่สุดเกิดขึ้นในปี 2508 ว่าจะมียักษ์ หรือพญามัจจุราชมาคร่าชีวิตคนที่เกิดในปีกุน, ปีขาล และปีเถาะ ไปเป็นจำนวนมาก
บ้างก็ว่ารวมทั้งคนที่เกิดในปีชวดและปีฉลูอีกด้วย
ข่าว ร้ายกาจนี้ว่ากันว่ามาจากข่าวลือที่น่าเชื่อถือได้ นั่นคือยักษ์มาเข้าฝันบุคคลสำคัญ เพื่อให้ป่าวประกาศไปทั่วบ้านทั่วเมือง...โดยมีข้อยกเว้นสำหรับผู้ที่ไม่ อยากอายุสั้น หรือถูกยักษ์จับไปกินก่อนถึงเวลาอันสมควร
เรียกว่าเป็นการสะเดาะเคราะห์ และค่อนข้างแปลกประ หลาดกว่าข่าวลือที่เคยเกิดขึ้น รวมทั้งในเวลาต่อมาโดยสิ้นเชิง
นั่น คือ ให้ไปขอข้าวสารจากเพื่อนบ้านมา 7 บ้าน แล้วหุงข้าวทำบุญตักบาตรหรือถวายสังฆทานแก่พระสงฆ์ แล้วให้ถวายดอกบัวอีก 3 ดอก ก็จะเป็นการสะเดาะเคราะห์ได้โดยสมบูรณ์แบบ ผู้คนส่วนใหญ่ก็แตกตื่นไปกระทำการสะเดาะเคราะห์เป็นอลหม่านไป
"ลุง ออ" เป็นช่างไม้เมียตายอยู่ใกล้ๆ วัดตรีทศเทพ เชิงสะพานเฉลิมวันชาติ ร่างเล็กแกร็น ผิวดำ ผมขาวตัดเกรียนติดหนังหัว แต่ยังแข็งแรงไม่แพ้หนุ่มๆ แกอยู่กับลูกชายคนเดียวชื่ออ่อง มีอาชีพเป็นช่างเรียงอยู่ที่โรงพิมพ์แถวพานถม ตอนเย็นๆ แกมักจะแวะซดเหล้าที่ร้านปากซอยเป็นประจำ
เมื่อข่าวยักษ์กินคน ระบาดไปทั่วกรุง แม้แต่หนังสือพิมพ์ประชาธิปไตยยังลงข่าวในเดือนสิงหาคม พร้อมกับคำแถลงของบุคคลสำคัญที่ตกเป็นข่าว ยืนยันว่าไม่เคยฝันอะไรที่น่า สะพรึงกลัวเหมือนข่าวลือแต่ประการใดทั้งสิ้น
ชาวบ้านร้านช่องกลับถือว่าเป็นคำปลอบใจ ความหวาดกลัวนั้นก็ยิ่งเพิ่มพูนขึ้นทุกที ไม่มีอะไรจะมาห้ามปรามได้
ชาว บ้านที่ไม่เคยรู้จักกันก็ไปเคาะประตูขอข้าวสารกันจนกว่าจะได้ครบ 7 บ้าน ตัวเองก็ตระเตรียมข้าวสารไว้แจกจ่ายเพื่อนบ้าน อย่างน้อยก็ไม่ต่ำกว่า 2-3 รายที่จะมาขอไปหุงเพื่อทำบุญตักบาตรเช่นกัน
ยกเว้นแต่ลุงออกับเจ้า อ่องที่ไม่ได้สนใจเรื่องนี้ ตอนแรกๆ ก็คิดว่าลุงออคงจะเกิดปีอื่นที่ไม่ตกอยู่ในข่ายคนเคราะห์ร้าย แต่ช่างไม้วัยห้าสิบเศษก็บอกกล่าวในร้านเหล้าอย่างชัดเจน
"ข้าเกิดปี ขาลเลยแหละ! เสือน่ะมันไม่กลัวอะไรง่ายๆ หรอกโว้ย คนเราถ้ามันถึงคราวตายเสียอย่าง ต่อให้หนีไปอยู่ที่ไหนก็หนีไม่พ้น...พวกเอ็งลองคิดดูซิว่าปีๆ หนึ่งน่ะ คนเกิดปีกุน, ปีขาล, ปีเถาะ ต้องล้มตายลงไปปีละกี่ร้อยกี่พันคน ถึงจะไม่มียักษ์หรือยมบาลขึ้นมาเรียกวิญญาณก็เถอะเอ้า!"
ไม่มีใครเถียงแกออก แต่ลุงเปล่งเพื่อนร่วมก๊วนถามถึงลูก ชายลุงออว่าเกิดปีอะไร? ก็ได้รับคำตอบว่า...ปีมะโรง! เป็นอัน ว่าหมดปัญหาไป
"เอ็ง อย่าเพิ่งนอนใจไปนะเว้ยไอ้ออ" ลุงเปล่งขัดขึ้น หน้าตาส่อแววกังวลได้ชัด "ไอ้อ่องมันวัยเบญจเพสพอดี คนสมัยใหม่เขาอาจจะไม่ถือ แต่คนรุ่นเราน่ะเขาว่ามันแรงนัก...ยิ่งไอ้อ่องมันชอบเที่ยวเตร่อยู่ด้วย นักเลงบางลำพูน่ะขี้ไก่หยอกอยู่เสียเมื่อไหร่ล่ะ?"
ลุงออโบกมือคล้ายรำคาญเต็มที ก่อนจะพูดตัดบท
"อย่า ไปสนอกสนใจเรื่องไม่เป็นเรื่องเลยวะ ข้าเองน่ะวันๆ คิดแต่เรื่องทำมาหากินมากกว่า...หมดงานนี้แล้วจะมีงานใหม่หรือเปล่า? ที่ไหน? ขืนมัวแต่ใส่ใจเรื่องไกลตัวมีหวังไม่เป็นอันทำมาหากินกันพอดี"
คืนนั้นดึกแล้ว...
เสียง หมาหอนโหยหวนมาจากเชิงสะพานเฉลิมวันชาติ ดังเข้าซอยมาทุกที...หมาเจ้ากรรมในวัดตรีฯ ก็เกิดปากเปราะ โก่งคอหอนรับเสียงเยือกเย็น...ก่อนจะช่วยกันเห่าหอนไปทั้งซอยเหมือนพวกมัน กำลังประสบพบเห็นอะไรบางอย่างที่ทำให้ ขนลุกขนพองอย่างเหลือประมาณ
รุ่ง เช้า บ้านลุงออยังตกอยู่ในความเงียบเชียบ ไม่มีใครเห็นพ่อหรือลูกออกมาจากบ้าน ลุงเปล่งเป็นคนชักชวนเพื่อนบ้านไปดูก็ไม่พบเจ้าอ่อง แสดงว่าคืนนั้นมันไปเที่ยวเตร่กับเพื่อนจนไม่ได้กลับบ้าน...
มี แต่ร่างลุงออนอนหงายตัวแข็งทื่ออยู่ในห้องชั้นบน นัยน์ตาเหลือกลานเหมือนกับแกได้พบเห็นภาพน่าเกลียดน่ากลัวสุดขีด...ก่อนจะ สิ้นลมหายใจ!
ที่มา
http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPREEwTVRJMU1nPT0=ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09TMHhNaTB3TkE9PQ==