ประสบการณ์ลี้ลับ…ภาค 1…ถ้ำคนธรรพ์
เรื่องนี้เป็นประสบการณ์จริงของผู้เขียน (กระเบนท้องน้ำ)
เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2554
ณ.บ้านวังหอน อำเภอชะอวด จังหวัดนครศรีธรรมราชเริ่มต้นออกเดินทางจากอำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช เวลาประมาณ 09.35
ด้วยพาหนะรถยนต์สามคัน สิบสี่ชีวิต ลัดเลาะวิ่งไปตามเส้นทางทุ่งสง-กะปาง
ก่อนถึงอำเภอกะปาง จังหวัดตรัง เพียงเล็กน้อย เราก็เลี้ยวซ้ายไปทางบ้านวังหอน
ตำบลวังอ่าง อำเภอชะอวด จังหวัดนครศรีธรรมราช
ได้ไปถึงที่วัดวังหอนเป็นที่แรก พวกเราหมู่คณะนำโดยท่านอาจารย์ชา
ได้ขึ้นไปกราบขอพร ตาหลวงแสง ธมมฺสโร อดีตเจ้าอาวาสองค์แรก
บนมณฑป ตาหลวงแสง ธมมฺสโร ท่านนอนอยู่ในโลงแก้ว
สรีระร่างกายตาหลวงไม่เน่าไม่เปื่อย แต่กับแข็งเสมือนหิน
สรีระสังขารตาหลวงแสง วัดวังหอน
เสร็จแล้วพวกเราหมู่คณะได้ออกเดินทางไปยังบ้านของอดีตผู้ใหญ่บ้านวังหอน
ซึ่งเป็นญาติๆ ของท่านอาจารย์ชา ได้นำรถยนต์มาจอดไว้ที่บ้านหลังนี้
และได้คุณสุนัยชาวบ้านละแวกนั้นเป็นคนนำทางสู่ถ้ำคนธรรพ์ ส่วนชาวบ้าน
คนอื่นๆในละแวกนั้นไม่ค่อยมีใครอยากจะไปถ้ำคนธรรพ์กัน เพราะแหยงๆ
กลัวความอาถรรพ์ของถ้ำ
แล้วเริ่มออกเดินทางโดยที่ยังไม่ต้องนำเต้นท์และสัมภาระต่างๆไป
ด้วยเพราะท่านอาจารย์ชา จะพาไปเที่ยวที่ถ้ำคนธรรพ์กันก่อน
แล้วค่อยย้อนกลับมาขนเสบียงเต้นท์และสัมภาระ เพื่อที่จะไปค้าง
ที่ถ้ำวังนายพุดหรือในป่าอาถรรพ์ ท่านอาจารย์ชาบอกว่าให้ลองไป
ดูสถานที่กันก่อนแล้ว ค่อยตกลงกันว่าจะพักค้างตรงไหนดี
เพราะถ้าพักค้างกางเต้นท์ภายในถ้ำวังนายพุดก็จะไกล
จากแหล่งน้ำและห้องน้ำที่มีหมื่นกว่าไร่
อีกทั้งยังต้องขึ้นลงเขาที่สูงชันทำให้ไม่สะดวก พวกเราจึงได้ตก
ลงกันที่จะพักค้างในป่าอาถรรพ์(โดยที่ตอนแรกไม่รู้ว่าเป็นป่าอาถรรพ์)
เพราะท่านอาจารย์ชายังไม่บอกและยังไม่ได้เล่ารายละเอียด
เริ่มออกเดินทางกัน….(คนที่หันหน้ามาคือน้องเก๋ สาวสวยประจำทริปนี้)
นายพรานนำทางชื่อคุณสุนัย
ในระหว่างการเดินทางระยะแรกก็ผ่านลำห้วยที่หนึ่งมาก่อน ผ่านสวนยางพารา
และก็มาเจอลำห้วยที่สอง พอพ้นจากนั้นก็เริ่มขึ้นเขาบุกป่า ถางกิ่งไม้ใบหญ้า
ไปตลอดทางเพราะเป็นทางรกไม่มีผู้คนสัญจร เมื่อเดินได้สักระยะนึงนายพราน
นำทางก็พามาเจอทางตันไม่มีปากถ้ำมีแต่หน้าผาหิน
ท่านอาจารย์ชา เลยนำไปอีกทางโดยมีผู้เขียนตามไปเป็นคนที่สอง
และได้เดินไปพบปากทางเข้าถ้ำคนธรรพ์จนได้
พวกเราหมู่คณะก็เดินแบบเรียงหนึ่งตามๆกันไป จนครบสิบห้าชีวิต
(รวมทั้งนายพรานนำทางด้วย)
พวกเราเดินป่าแบบเรียงหนึ่งตามๆกันไปพี่บัติกำลังนำกิ่งไม้มาให้เกาะยึดระหว่างที่จะลงสู่ลำห้วย
พี่ต๋อยกำลังช่วยพยุงท่านอ้วนลงสู่ลำห้วย
บริเวณปากทางเข้าถ้ำคนธรรพ์เมื่อพักเหนื่อยและพักอิริยบทที่บริเวณปากทางเข้าถ้ำพอสมควรแล้ว
ท่านอาจารย์ชา ก็ได้จุดธูปบอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทาง เจ้าป่า เจ้าถ้ำ
หลังจากนั้นก็เริ่มเดินทางเข้าสู่ภายในถ้ำซึ่งมืดมาก ด่านแรกที่พบคือ
ค้างคาวจำนวนเป็นแสนๆตัว บินสวนออกมาเสียงดังสนั่นอย่างกับเฮลิ
คอปเตอร์ พร้อมทั้งกลิ่นเหม็นตลบอลอวล ของขี้ค้างคาว ทำให้รู้สึก
แสบจมูกแทบหายใจไม่ออก
ด่านที่สองเจองูเหลือมขนาดเท่าขา 3 ตัว บริเวณริมฝั่งซ้ายของถ้ำ
หัวบอลลูกชายท่านอาจารย์ชาคนที่สองได้ร้องบอก พวกเราหมู่คณะ
ให้พยายามเดินชิดทางด้านขวากัน
เมื่อผ่านพ้นด่านงูไปแล้วก็พบเจอด่านที่สาม กับทางที่ลื่นมากพากัน
ล้มลุกคลุกคลานกันไม่เป็นขบวน เพราะพื้นถ้ำเต็มไปด้วยดินโคลน
และหุบเหว หลุมบ่อมากมาย ต้องค่อยๆเดินกันไป อย่างมีสติ
และคอยระวังตัว จนกระทั่งนายพรานนำทางพามาถึงทางตัน
ไม่มีทางไปแล้ว (แต่ก่อนนี้เคยเป็นทางไปได้)
เลยเดินย้อนกลับมาหน่อยนึง จึงได้พบทางแยกด้านซ้าย
เมื่อเดินไปได้ซักระยะนึงก็พบกับบริเวณด่านที่สี่
ซึ่งบริเวณนี้เป็นคนละเรื่องกับด่านต่างๆที่ผ่านมา
พื้นถ้ำสะอาดสะอ้านมีน้ำใสขังอยู่เทียมตาตุ่ม บาง
ช่วงถึงหัวเข่า อากาศไม่อับชื้น รู้สึกสบายๆ
จนกระทั่งตุ่มแฟนพี่ตูนรู้สึกว่าได้เหยียบอะไรเข้าลื่นๆ ท่านอาจารย์ชา
ที่เดินตามหลังมาก็ช่วยส่องไฟฉายดูที่พื้นให้ เพราะเห็นแสงสีแดงๆ
สะท้อนขึ้นมาจะดูว่าคืออะไรเมื่อท่านอาจารย์ชาเห็นแล้วก็เลยไล่ตะครุบ
มันก็วิ่งหนีไป หนีมา เหมือนมีชีวิต จับได้แล้วก็กระโดดทะลุฝ่ามือออกมา
พี่บัติและเก๋ก็ได้เข้ามาช่วยกันจับ เมื่อเก๋ได้ยื่นมือจะช่วยเท่านั้นเอง
มันก็วิ่งเข้ามาอยู่บนฝ่ามือเก๋อย่างสงบนิ่ง ช่างน่าแปลก ท่านอาจารย์ชา
เลยบอกว่าคงอยากจะอยู่กับเก๋เป็นแน่…
จึงได้ส่องไฟดูปรากฏว่ามีรูปร่างกลมรีขนาดใหญ่เท่าหัวแม่มือของผู้เขียน
มีสีแดงเข้มสวยงามมาก (ตามรูป)
ธาตุกายสิทธิ์ที่ได้ชิ้นแรกหลังจากนั้นท่านอ้วนก็ได้ชิ้นที่สองในน้ำอีก อยู่ใกล้ๆกับบริเวณที่พบ
กับชิ้นแรก ตอนแรกที่ได้มีลักษณะคล้ายสี่หลียมลูกเต๋า
มีสีดุจสีสังข์หรือน้ำนม ต่อมาค่อยๆเริ่มมีความโค้งมนขึ้นมาบ้าง
หลังจากนั้นพวกเราในหมู่คณะก็เริ่มมีกำลังใจและเริ่ม
ส่องไฟและกวาดสายตาไปรอบๆเพื่อเสาะหาของแปลกๆกันบ้าง
และทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงหัวบอลร้องเรียกขึ้นมาจาก
ด้านหน้าว่า “อาจารย์ๆมาดูเหล็กไหลเร็ว “ เร็วเข้า พวกเราจึงได้
กรูกันตามเข้าไปดู จึงได้เห็นเหล็กไหลเป็นครั้งแรก
ซึ่งโผล่ออกมาจากรังผนังถ้ำ ก้อนใหญ่เท่ากำปั้นได้ บริเวณโดย
รอบตัวเหล็กไหลมีลักษณะตะปุ่มตะป่ำและขี้เหล็กไหลเต็มไปหมด
พวกเราก็เลยทดลองดึงกันดูว่าจะหลุดออกมาจากรังมั้ย ลองกันหลาย
คนแต่ไม่สามารถดึงออกมาได้จึงได้หมดความสนใจลง
และเริ่มเดินทางกันต่อไป
จนกระทั่งพี่ตูนได้เดินไปพบชิ้นที่สามเข้าให้คราวนี้เป็นเหล็กไหลอีก
แต่ทีนี้ตัวเล็กอยู่ในรัง จึงได้ร้องเรียกท่านอาจารย์ชา
ให้ไปช่วยเอาออกให้หน่อย อาจารย์ชาจึงลองสะกิดดูเพียงเล็กน้อย
ก็หลุดออกมาจากรังอย่างง่ายดาย (อันนี้เค้าคงจะให้มั้ง)
หลังจากนั้นพี่ตูนกับตุ่มก็พบชิ้นที่สี่อีกเป็นเหล็กไหลเหมือนกันแต่โต
กว่าชิ้นแรกคงเป็นตัวผู้หลังจากได้ตัวเมียแล้ว
จากนั้นเมื่อเดินลึกเข้าถ้ำไปเรื่อยๆ ก็ไปพบกับรอยเท้าของคนธรรพ์
และผนังถ้ำที่ดูสวยงามแลดูเสมือนห้องหับห้องนอนอัน
วิจิตรงดงาม เสมือนมีใครบรรจงมาตบแต่งเอาไว้
รอยเท้าคนธรรพ์…สังเกตุดูจะมีนิ้วเท้าสี่นิ้วต่อมานายพรานนำทาง บอกว่าเห็นทีคงจะพอแค่นี้ เพราะเดินทางอยู่
ภายในถ้ำก็สามชั่วโมงแล้ว เดินต่อไปถ่านไฟฉายคงไม่พอเป็นแน่
พวกเราหมู่คณะจึงเห็นพ้องกันว่าควรเดินกลับ จึงเริ่มหันหลังเดินทาง
กลับและเดินไปได้สักระยะนึง
คราวนี้!พี่นวลเป็นคนได้ชิ้นที่ห้า ท่านอาจารย์ชาก็เดินอยู่ใกล้ๆกันพอดี
พี่นวลได้พูดอยู่กับตุ่มว่าพี่ไปแล้วนะ… ตุ่มถามว่าพี่จะไปไหน พี่นวล
บอกว่าพี่จะไปเอาดวงตา…ดวงตา…
จึงได้เห็นอะไรแววๆอยู่ในน้ำ เมื่อได้หยิบขึ้นมาพอแบมือให้ท่านอาจารย์ชา
ดูปรากฏว่าชิ้นเล็กเท่าเมล็ดถั่วเขียวได้สีขาวใส แล้วค่อยๆโตขึ้น โตขึ้น
เป็นกลมใสเหมือนดวงตาจริงๆ ต่อหน้าต่อตาท่านอาจารย์ชา
จึงเป็นอะไรที่แปลกประหลาดมาก
บริเวณใกล้ๆที่พบธาตุกายสิทธิ์….ลักษณะเหมือนดวงตาของปลา ใสเหมือนแก้วหลังจากนั้นข้าพเจ้าผู้เขียนก็ลองตริตรองดูว่า…เอ๊ เห็นทีต้องลองอธิษฐาน
ขอดูบ้างถ้าอยู่เฉยๆคงไม่ได้เป็นแน่ เพราะใจนึงก็อยากจะได้กับเขาบ้าง
เห็นได้กันหลายคนแล้ว อีกใจนึงก็รู้สึกเฉยๆเพราะไม่อยากได้อะไรอยู่แล้ว
จึงลองเสี่ยงอธิษฐานว่า
“ถ้ามีสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ณ.สถานที่นี้จะมาเป็นคู่บารมีเพื่อบำเพ็ญประโยชน์สร้าง
บารมีและสืบทอดพระพุทธศาสนากับข้าพเจ้าละก้อขอให้ปรากฏและข้าพเจ้า
ได้พบเจอด้วยเถิด”
หลังจากนั้นก็เดินทยอยออกตามกันมาจนพ้นเขตด่านที่สี่ ซึ่งหมดพื้นที่ที่น้ำขัง
อยู่ ข้าพเจ้าก็ทำใจแล้วว่าคงจะไม่พบ หรือได้อะไรเป็นแน่แล้ว !
..……………..แต่เดชะบุญ!!! จู่ๆท่านอาจารย์ชาที่กำลังเดินอยู่หน้าข้าพเจ้า
ก็พูดออกมาว่ามีเทวดาสื่อมาบอกว่า “ยังมีอีกหนึ่งชิ้น”
ให้ไปล้วงหาในแอ่งน้ำสุดท้าย ก่อนที่จะหมดเขตแดนที่มีน้ำขังอยู่
ท่านอาจารย์ชาจึงเดินย้อนกลับไปล้วงหาในแอ่งน้ำนั้น โดยนึกว่า
คงบอกให้แกแน่แล้ว แต่หาเท่าไรๆก็ไม่พบ
พวกเราหมู่คณะได้ตามไปช่วยหา จึงได้ตกลงกันว่า
ให้ผลัดกันล้วงถ้าผู้ใดล้วงพบก็ให้เป็นของคนนั้น
ก็มีท่านอาจารย์ชาล้วงคนแรกไม่พบ คนที่สองเก๋ ก็ไม่พบ
คนที่สามพี่ต๋อยไม่พบ คนที่สี่ปังปอนลูกชายท่าน
อาจารย์ชาคนโต ไม่พบ คนที่ห้าพี่นวลก็ไม่พบ
คนที่หกมุกภรรยาท่านอาจารย์ชาไม่พบ คนสุดท้ายข้าพเจ้า
ก็ลองล้วงควานหากับเค้าบ้างเพราะว่าในแอ่งน้ำนั้นขุ่น
จนมองไม่เห็นอะไรแล้ว
ล้วงหาสักพักจนทั่วแล้วก็ไม่พบ แอ่งน้ำนั้นก็ใช่ว่าใหญ่
มากมายอะไรนัก จึงขอลองล้วงดูใหม่อีกสักครั้ง
คราวนี้ทำจิตนิ่งเป็นสมาธิ ก็ดูเหมือนไม่น่าจะมี
แต่จู่ๆก็มีอะไรไม่รู้ลื่นๆนิ่มๆเหมือนน้ำมันตับปลา
มาลอยอยู่ในฝ่ามือจึงกำและหยิบขึ้นมาดูและให้ท่านอา
จารย์ชาดู มันจึงค่อยๆแข็งขึ้นๆ ลักษณะกลมรีมีสีม่วงสดใส
บริเวณน้ำแอ่งสุดท้ายที่กำลังล้วงหาของกันธาตุกายสิทธิ์ชิ้นสุดท้ายที่ได้จากในถ้ำคนธรรพ์
รวมธาตุกายสิทธ์ที่ได้จากในถ้ำคนธรรพ์เป็นภาพที่กำลังวัดร่องรอยที่ธาตุกายสิทธิ์หลุดหล่นจากมือของผู้ที่มาขอชมบารมีเป็นภาพที่หล่นกระแทกกับมีดพร้าของนายพรานผู้นำทางเข้าพอดี……ผลปรากฏว่ามีดพร้าบิ่น
ตามร่องรอยที่เห็นดังกล่าวหลังจากนั้นเมื่อเดินทางออกมาถึงหน้าถ้ำแล้ว ท่านอาจารย์ชา
ได้นำกล่าวคำอธิษฐาน ขออนุญาตนำสิ่งที่ได้ทั้งหมด ออกจากสถาน
ที่แห่งนั้น และได้เล่าให้ฟังว่าแต่ก่อนนั้นมีพวกหมอที่มีวิชาอาคม
มาทำพิธีเรียกของหาของ ได้ของแล้ว…ของนั้น
กับวิ่งเข้าตัวแล้วกระโดดลงเหวลงรูภายในถ้ำแห่งนี้ตายไปจำนวน
สามศพแล้ว แต่พวกเราที่ได้นี้ไม่ได้ใช้วิชาอาคมบังคับหรือ
ลองดีอะไรแล้วแต่เขาจะให้ และยังบอกอีกว่าอาจารย์ได้เข้าไปในถ้ำ
แห่งนี้สี่ครั้ง ลักษณะภายในถ้ำจะไม่เหมือนกันสักครั้ง ครั้งนี้เป็นครั้งที่
ห้าแล้วที่เข้าไป สี่ครั้งที่เข้าไปจะเข้าไปได้ไม่นานก็จะ
ได้ยินเสียงระฆังตี เพื่อเป็นสัญญาณว่าเขาไม่ให้เข้าไปแล้ว แปลกครั้งนี้
ไม่ยักกะมีเสียงระฆังเลย
หลังจากนั้นพวกเราหมู่คณะ ก็เดินทางกลับไปยังบ้านจุดที่จอดรถไว้
เพื่อกลับไปเอาเต้นท์เสบียงและสัมภาระต่างๆ เพื่อที่จะไปพักค้างที่ถ้ำวัง
นายพุดและป่าอาถรรพ์ต่อไป
รวมระยะเวลาที่เดินทางไปกลับ…..
ทั้งสิ้น 5 ชั่วโมงกว่า ระยะทางไปกลับประมาณ 3 กิโลเมตรกว่าๆ
โปรดคอยติดตามอ่านกันต่อไป ภาค 2 ถ้ำวังนายพุดและป่าอาถรรพ์