คุณค่าของวันเวลาที่ผ่านไป ๒๑ กย. ๕๔ ...
ตถตาอาศรม เขาเรดาร์ บ้านบึง ชลบุรี
พฤหัสบดีที่ ๒๒ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๔
พายุฝนผ่านพ้นไป สิ้นฝนก็ต้นหนาว ท้องฟ้าแจ่มใส มองเห็นดาว
เมฆดำบนฟ้าหายไป ฟ้าหลังฝนที่คนเขากล่าวกัน มันก็เป็นเป็นเช่นนี้เอง
เมื่อก่อนนั้น เราเพียงแต่มองผ่านไปแต่ไม่ได้คิดและพิจารณาเพราะคิดว่า
ทุกอย่างนั้น เกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วดับไปเป็นเรื่องธรรมดา แต่เมื่อเราได้พิจารณาถึง
สภาพของฟ้าหลังฝนหยุดตกแล้ว ได้รู้ได้เห็น ได้เข้าใจอะไรเพิ่มขึ้นอีกมากมาย
เมื่อเราพิจารณาสิ่งรอบกายให้เป็นธรรมะ มันเป็นสภาวะแห่งสัจจธรรม ที่เรียบง่าย
ถ้าเราได้คิดพิจารณาให้เป็นธรรมะ ทุกอย่างรอบกายไม่ไร้สาระ ล้วนแล้วแต่เป็นธรรมะ
ล้วนแล้วคือสภาวธรรม เคยรู้เคยเข้าใจว่าสิ่งรอบกายทั้งหลายล้วนแล้วแต่เป็นธรรมะ
เป็นสภาวธรรม แต่เรามักจะพิจารณาเฉพาะสิ่งที่เราสนใจโดยความชอบความพอใจในสิ่งนั้น
จิตยังปิดกั้นไม่เปิดกว้างยังมีข้อจำกัดในการคิดและพิจารณา ไม่เป็นไปตามธรรมชาติโดยแท้จริง
แต่เมื่อเราเปิดจิตของเราให้กว้างขึ้น มองธรรมชาติรอบกายทุกสิ่งให้เป็นธรรมะอย่างแท้จริง
เราจึงได้รู้ว่ายังมีหลายสิ่งที่เรายังไม่รู้และเข้าใจ เพียงแต่จำได้แต่ไม่ได้เข้าไปอยู่ในสภาวธรรม
การปฏิบัติธรรมคือการทำสิ่งที่ไม่มีให้มีขึ้น แล้วรักษาสิ่งที่มีมิให้เสื่อมสลาย ให้ดำรงค์ทรงไว้
และขั้นสุดท้ายคือการสลายทำเหมือนมันไม่มีอะไร...สูงสุดคืนสู่สามัญ..คือเข้าสู่อารมณ์วิปัสสนา
มีสติและสัมปชัญญะ ความระลึกรู้ ความรู้ตัวทั่วพร้อมคุ้มครองกายคุ้มครองจิดอยู่ทุกขณะ
เป็นสภาวะของความเป็นปกติ ไม่มีรูปแบบ ไม่มีกระบวนท่า...กระบี่อยู่ที่ใจ...เก็บงำประกาย
รู้อยู่ภายใน ไม่จำเป็นที่จะต้องแสดงออก การปฏิบัติธรรมนั้นคือการทำที่จิตไม่ใช่อยู่ที่รูปแบบทางกาย
มิได้ทำไปเพื่อให้ผู้อื่นมาชื่นชม ยกย่องสรรเสริญ มิใช้การแสดงสภาวธรรมทั้งหลายเป็นของเฉพาะตน
รู้ได้ด้วยตน พิสูจน์ได้ด้วยการปฏิบัติ .สภาวธรรมนั้นเป็นปัจจัตตัง รู้ได้เฉพาะตน.......
ขอบคุณธรรมชาติรอบกายทั้งหลายที่เป็นครูผู้สอนธรรม น้อมนำให้จิตได้คิดและพิจารณา
ในสิ่งที่ผ่านมาและสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ให้มีสติระลึกรู้และความรู้ตัวทั่วพร้อม น้อมจิตเข้าสู่การปฏิบัติ
ขจัดความคิดที่เป็นอวิชชาทั้งหลาย ให้จางคลายและหายไป เรียนรู้ในสิ่งใหม่ เข้าใจในปัจจุบันธรรมยิ่งขึ้น
ไม่ใช่ความคิดที่เกิดจากจิตปรุงแต่ง แต่เป็นสภาวะรู้ที่เกิดในขณะที่จิตนั้นว่าง เมื่อเราละวางความคิดทั้งหลาย
ทำให้ระลึกนึกถึงคำกล่าวของครูบาอาจารย์ที่ ท่านได้กล่าวสอนไว้ว่า ” เมื่อหยุดคิดปรุงแต่งและวางทุกสิ่งลงได้
( ทั้งสิ่งที่รู้และสิ่งที่ถูกรู้ทั้งปวง ) สัจธรรมจริงแท้ก็จะปรากฏขึ้นมาให้รู้เห็นเอง “ ...มันเป็นเช่นนี้เอง....
เชื่อมั่น-ศรัทธา-ปรารถนาดี-ด้วยไมตรีจิต
รวี สัจจะ-สมณะไร้นาม-วจีพเนจร
๒๒ กันยายน ๒๕๕๔ เวลา ๐๓.๔๘ น. ณ ตถตาอาศรม บ้านบึง ชลบุรี