คุณค่าของวันเวลาที่ผ่านไป ๒๖ กย. ๕๔ ...
ตถตาอาศรม เขาเรดาร์ บ้านบึง ชลบุรี
อังคารที่ ๒๗ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๔
เมื่อวานนี้เป็นวันก่อนเทศกาลกินเจหนึ่งวัน ซึ่งจะเรียกกันว่าวันล้างท้อง
ซึ่งเป็นการปรับร่างกาย ถ่ายอาหารเก่าในกระเพาะ ที่ได้ทานมาก่อนหน้านั้น
ให้หมดไป โดยการทานอาหารเจ แต่ยังไม่นับรวมเข้าไปในจำนวนวันของการ
ทานเจ เพราะถือว่าเป็นการปรับร่างกาย ยังไม่เอาจริง มีผู้สนทนาธรรมมาถาม
เรื่องการทานเจและไม่ทานเจ ว่ามีผลต่อการปฏิบัติหรือไม่ ก็ได้ตอบคำถามนั้นว่า
...มีผลบ้าง แต่ไม่ใช่สาระสำคัญ ที่มีผลต่อการปฏิบัตินั้น คือจะทำให้กายเบาขึ้น
เพราะอาหารเจนั้นเกือบทุกชนิดจะย่อยง่าย ร่างกายจึงใช้พลังงานน้อยในการย่อย
อาหาร และมีผลที่กำลังใจ คือมีศรัทธาความมั่นใจเพิ่มขึ้น จากการไม่เบียดเบียน
ชีวิตสัตว์ทั้งทางตรงและทางอ้อม มันจึมีผลในเรื่องของขวัญกำลังใจและศรัทธา
ส่วนการเจริญภาวนานั้น มันเป็นเรื่องของจิต ซึ่งเป็นเรื่องของสติและสัมปชัญญะ
สภาวธรรมทั้งหลายเกิดได้จากสภาวะจิต ที่เป็นสมาธิ และการยกจิตขึ้นคิดพิจารณา........
ธรรมทั้งหลายทั้งปวงนั้น เป็นสภาวะแห่งปัตจัตตัง รู้ได้เฉพาะตนโดยการปฏิบัติ
การศึกษาปริยัติ(การอ่าน การฟัง)นั้นเป็นเพียงขั้นพื้นฐาน เป็นเพียงการเก็บข้อมูลหาแนวทาง
หาแบบอย่างที่จะนำไปปฏิบัติ เพียงแต่ฟัง เพียงแต่อ่าน เพียงแต่คิด จิตยังไม่ถือว่าเข้าถึงธรรม
จำได้ พูดได้และเข้าใจ สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงความคิด เป็นเพียงนามธรรม เป็นเพียงความฝัน
เป็นเพียงจินตนาการ ตราบใดที่ยังไม่ได้เอาธรรม ที่ได้ยินได้ฟังได้ศึกษานั้นนำมาปฏิบัติกับตน
ก็เป็นได้เพียงนกแก้วนกขุนทอง ที่ท่องได้พูดได้ เป็นเพียงใบลานเปล่า เพราะว่ายังไม่เข้าถึง
สภาวะธรรมที่แท้จริง "รู้ธรรม เห็นธรรม เข้าใจธรรม แต่ยังไม่ได้ทำ " จึงยังเข้าไม่ถึงธรรม
ไม่มีธรรมเป็นเครื่องอยู่เพราะยังไม่ได้อยู่ในธรรม.......
การปฏิบัติคือการกระทำที่กายและที่จิต มีสติในการนึกคิด รู้กาย รู้จิตและรู้สิ่งที่ทำ
รู้จักแยกแยะบาปและบุญ กุศลและอกุศลให้ออกจากกัน รู้จักการข่มจิตข่มใจ ไม่ให้คล้อยตาม
อกุศลจิตทั้งหลาย ควบคุมความรู้สึกนึกคิด ควบคุมจิตให้อยู่กับกุศลธรรม น้อมนำจิตเข้ามา
พิจารณาในกายของตนเอง จนเกิดความเข้าใจในกายนี้ ว่าเป็นเพียงธาตุทั้งสี่ที่มาประชุมกัน
ประกอบเป็นร่างกาย มีช่องว่างระหว่างธาตุ คืออากาศธาตุ จิตเข้ามารับรู้อยู่อาศัยอันได้แก่
วิญญาณธาตุ ตั้งอยู่ไม่นานก็แตกดับไป ธาตุทั้งหลายก็คืนสู่ธรรมชาติ วิญญาณธาตุก็ต้อง
ไปสู่ที่แห่งใหม่ หมุนเวียนกันไป เป็นภพเป็นชาติกันต่อไป จิตก็จะจางคลายในการยึดถือ
ในร่างกายและตัวตน เมื่ิอเราเห็นกายและเข้าใจกายของเราโดยสภาวธรรม........
น้อมใจมาดูจิต ดูความคิดทั้งหลายของเรา เอาจิตถามจิต ว่าทำไมต้องคิดต้องปรุงแต่ง
คิดแล้วได้อะไร คิดแล้วทำได้หรือไม่ สิ่งที่คิดนั้นเป็นกุศลหรือเป็นอกุศล คิดแล้วมีผลเป็นอย่างไร
มีคุณหรือไม่ อะไรเป็นต้นเหตุที่ทำให้คิด เอาจิตถามจิต หาคำตอบที่จิตของเราเอง เอาจิตถามจิต
จนเห็นที่เกิดของจิต คือเห็นต้นเหตุแห่งความคิด จึงจะเข้าใจในความคิด เข้าใจจิตและเข้าใจในธรรม
ซึ่งต้องหมั่นทำอยู่อย่างสม่ำเสมอ จนเกิดเป็นความเคยชินของจิต เมื่อมีสิ่งมากระทบและทำให้เกิด
ความคิดจิตแปรเปลี่ยนไป ตามดู ตามรู้ ตามเห็นให้ทันกับสิ่งเหล่านั้นที่เกิดขึ้น โดยใช้สติสัมปชัญญะ
เป็นตัวควบคุมดูแล คุ้มครองจิตนั้น โดยเอาปัจจุบันธรรมทั้งหลายมาเป็นอารมณ์กัมมัฏฐานในการ
ที่จะคิดและพิจารณา เพื่อปรับเข้าหาธรรม ดั่งคำที่ว่า...รู้กาย รู้ใจ รู้จิต รู้ทันความคิด ก็เห็นธรรม.......
เชื่อมั่น-ศรัทธา-ปรารถนาดี-ด้วยไมตรีจิต
รวี สัจจะ-สมณะไร้นาม-วจีพเนจร
๒๗ กันยายน ๒๕๕๔ เวลา ๐๓.๓๐ น. ณ ตถตาอาศรม บ้านบึง ชลบุรี