คุณค่าของวันเวลาที่ผ่านไป ๒๘ กย. ๕๔ ...
ตถตาอาศรม เขาเรดาร์ บ้านบึง ชลบุรี
พฤหัสบดีที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๔
ติดตามข่าวสารเรื่องสถานการณ์น้ำท่วมและพายุลูกใหม่ที่จะเข้ามา
ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับโน๊ตบุ๊ค ฟังธรรมบรรยายของครูบาอาจารย์ที่บันทึกไว้
เขียนบทความบทกวี พักสมองด้วยการสนทนากับสมาชิกกลุ่มต่างๆในเฟรชบุ๊ค
ตอนบ่ายลงเขาไปตลาดมาบปู เพื่อซื้อวัสดุอุปกรณ์ก่อสร้าง มีน้องๆมาช่วยกันทำ
จนถึงเวลาใกล้ค่ำจึงได้หยุดพัก คือภารกิจภายนอกทางกายที่ได้ทำในวันที่ผ่านมา
ส่วนภารกิจภายใน เรื่องของใจนั้น ก็คือการเจริญสติและสัมปชัญญะ พิจารณา
มีสติระลึกรู้และความรู้ตัวทั่วพร้อม เจริญสติปัฏฐาน ๔ คือกาย เวทนา จิต ธรรม
มีสติและสัมปชัญญะคุ้มครองกายและจิต แต่ยังไม่อาจจะหยุดคิดปรุงแต่ง
ในอกุศลได้ เพราะว่าองค์แห่งคุณธรรมนั้นยังไม่มีกำลังเพียงพอ ที่จะเข้าไปหักห้าม
และข่มใจไม่ให้คิดได้ ทบทวนพิจารณาดูว่ามาจากสาเหตุอะไร ที่ทำให้เรานั้นต้อง
คล้อยตามกิเลสตัณหาที่เกิดขึ้นมานั้น พบว่าสาระสำคัญนั้นเกิดมาจากจิตสำนึก
แห่งคุณธรรมของเรานั้น ยังไม่มีกำลังเพียงพอที่จะต่อสู้กับกิเลสนั้นได้ จึงต้องคล้อยตาม
และเสพในอารมณ์อกุศลเหล่านั้น ทั้งที่รู้ว่ามันเป็นอกุศลจิต เมื่อรู้เหตุและปัจจัย
จึงได้รู้ว่ามันมีที่มาของปัญหาเหล่านั้น ซึ่งเกิดจากพื้นฐานแห่งการปฏิบัติที่เรา
ได้กระทำมา เพราะว่าเมื่อก่อนนั้นเราไปเน้นเรื่องสติเพื่อให้เกิดสมาธิมากเกินไป
เรื่องศีลเรื่องวินัยเพียงแต่รู้และเข้าใจ ในตัวอักษรตามตำรา ไม่ได้คิดและพิจารณา
ถึงที่มาและเจตนาของเรื่องศีลขอวัตรและพระวินัย ว่าเป็นไปเพื่อการเจริญสติและ
สัมปชัญญะ โดยมีหิริและโอตตัปปะซึ่งเป็นองค์แห่งคุณธรรมนั้นควบคุมคุ้มครองอยู่
การที่เราจะทรงไว้ซึ่งศีลและวินัยนั้นได้ เราต้องมีสติและสัมปชัญญะอยู่ทุกขณะ
ระลึกรู้ในทางกายและทางจิต ในสิ่งที่คิดและในสิ่งที่ทำ และการที่เราไม่ก้าวล่วงล้ำ
พระธรรมพระวินัย ศีลและข้อวัตรทั้งหลายนั้น เพราะเรามีความละอายและเกรงกลัว
ต่อบาปกรรมการล่วงละเมิดทั้งหลาย การรักษาศีลจึงเป็นการเจริญสติสัมปชัญญะ
และเพิ่มกำลังขององค์แห่งคุณธรรมอยูทุกขณะจิต ตามหลักธรรมในพระพุทธศาสนา
ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ในหลักของการปฏิบัติเรื่องไตรสิกขาอันได้แก่"ศีล สมาธิ ปัญญา"
แต่เรากลับทำลัดขั้นตอนเพราะใจร้อน อยากจะเห็นผลสำเร็จโดยเร็วไว จึงไม่ค่อยจะใส่ใจ
ในเรื่องของศีล มาเน้นหนักเรื่องจิตเรื่องสมาธิมากเกินไป จึงทำให้จิตสำนึกแห่งคุณธรรม
นั้นมีกำลังไม่เพียงพอ ที่จะเข้าไปต่อสู้กับกิเลสตัณหาทั้งหลายได้......
จิตระลึกนึกถึงคำครูบาอาจารย์ที่ท่านได้เคยกล่าวสอนไว้ว่า " รู้ไปหมด แต่อดไม่ได้ "
ซึ่งมันได้เกิดขึ้นแล้วกับตัวของเราเอง ขบวนการทางจิตนั้นมันละเอียดอ่อน ทุกขั้นตอนของ
การปฏิบัติพัฒนาทางจิตนั้น ต้องทำอย่างสม่ำเสมอข้ามและลัดขั้นตอนนั้นไม่ได้เลย
มันทำให้เกิดการสั่งสมอบรมจิต ให้รู้จักคิด รู้จักการพิจารณาเหมือนดั่งคำที่ว่า
" ทุกข์ไม่มา ปัญญาไม่มี บารมีไม่เกิด " คือเราต้องเรียนรู้เรื่องทุกข์จากทุกข์
เรียนรู้ตัณหาจากตัณหา ทุกข์ละทุกข์ ตัณหาละตัณหา คือต้องเห็นของจริงเสียก่อน
เมื่อเห็นแล้วต้องทำความเข้าใจในสิ่งนั้นให้ชัดแจ้ง เห็นที่เกิดของสิ่งนั้น รู้และเข้าใจแล้ว
จึงเข้าไปจัดการกับมัน ซึ่งการที่จะเข้าไปจัดการนั้นขึ้นอยู่กับภูมิธรรมของแต่ละท่าน
ในขณะนั้น ว่ามีกำลังมากน้อยเพียงใด..........
การปฏิบัติธรรมนั้น ไม่ใช่แต่เพียงการนึกคิดและจินตนาการ แต่มันเป็นเหตุการณ์
ที่เกิดขึ้นจริงในจิตของเรา ที่มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไปทุกขณะจิต ไม่ใช่อดีตหรือว่าเป็นอนาคต
แต่มันเป็นปัจจุบันธรรมที่เรากำลังสัมผัส เรียนรู้จากของเก่าเพื่อเอามาใช้ในปัจจุบัน
เพื่อที่จะสร้างสรรค์กำหนดอนาคตที่จะก้าวเดินต่อไป .เพราะเมื่อก่อนนั้นเราไปเน้นเรื่อง
สมาธิเชิงพลังงานมากเกินไป เพื่อจะนำมาสงเคราะห์ ช่วยเหลือญาติโยม มันจึงทำให้เรา
หลงตัวเองเกิดอัตตามานะขึ้นมาโดยที่เราไม่รู้ตัว โดยคิดว่าสมาธิของเราดีแล้ว
จิตของเราดีแล้ว ทุกอย่างก็จะดีตามไปด้วย เพราะอำนาจพลังของสมาธินั้น
มันกดทับกิเลสอยู่ทำให้เราไม่เห็นมัน จนเราคิดว่ากิเลสนั้นมันหมดไปแล้ว
แต่เมื่อไหร่ที่สมาธินั้นอ่อนกำลังลง กิเลสที่ถูกทับถมไว้ก็จะปรากฏแสดงออกมา
จึงทำให้เรารู้ว่า เรานั้นต้องปฏิบัติพัฒนาจิตของเราให้ยิ่งไปกว่านี้ที่มันเป็นอยู่......
เชื่อมั่น-ศรัทธา-ปรารถนาดี-ด้วยไมตรีจิต
รวี สัจจะ-สมณะไร่นาม-วจีพเนจร
๒๙ กันยายน ๒๕๕๔ เวลา ๐๐.๔๕ น. ณ ตถตาอาศรม บ้านบึง ชลบุรี