คุณค่าของวันเวลาที่ผ่านไป ๓ ตค. ๕๔...
ตถตาอาศรม เขาเรดาร์ บ้านบึง ชลบุรี
อังคารที่ ๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๔
ทบทวนบทสวดต่างๆของมนต์วิธีตั้งแต่ตอนสายๆจนถึงเที่ยง สมองเริ่มตื้อ
เพราะว่าบรรจุข้อมูลเข้าไปมากเกินไป จึงต้องบริหารร่างกายโดยการลงไปทำงาน
กวาดใบไม้ ถูศาลา เก็บกิ่งไม้ ให้ร่างกายได้เคลื่อนไหว และกล้ามเนื้อได้คลายตัว
เพื่อเป็นการสลายพลังงานทางจิตที่ก่อตัวเกิดขึ้นมาในขณะที่เราท่องมนต์ทวนมนต์
เพราะการสวดมนต์ท่องมนต์นั้นเป็นการบริกรรมภาวนาและเมื่อจิตมีความศรัทธา
มีสติระลึกอยู่กับอักขระของมนต์นั้น สมาธิจึงเกิดขึ้น และเมื่อจิตเป็นสมาธิตั้งมั่น
จิตนั้นย่อมจะมีพลัง ที่เรียกกันว่า พลังจิต ซึ่งสมาธิที่เกิดจากการบริกรรม
ภาวนามนต์นั้น จะเป็นสมาธิเชิงพลังงาน ซึ่งมีทั้งคุณและโทษเป็นได้ทั้งสองอย่าง
ซึ่งอยู่ที่ผู้ปฏิบัตินั้นว่าจะมีอินทรีย์แก่กล้า มีปัญญาหรือไม่ ที่จะใช้และควบคุมพลังงานนั้น
พลังงานทางจิตที่เกิดจากสมาธินั้น ถ้าผู้ปฏิบัติขาดซึ่งคุณธรรมก็จะนำมาซึ่งโทษ
คือความเป็นมิจฉาสมาธิ อันเกิดจากทิฏฐิ มานะและอัตตา นำมาซึ่งการใช้พลังงานจิต
ไปในทางที่มิชอบอันไม่ประกอบด้วยกุศล ซึ่งจะมีผลเป็นบาป และถ้าผู้ปฏิบัติขาดซึ่ง
สัมปชัญญะคือความรู้ตัวทั่วพร้อมแล้ว ก็จะทำให้เกิดการหลงอารมณ์ หลงไปในนิมิต
ที่เกิดขึ้น โดยการเข้าไปยึดถือในนิมิตทั้งหลายที่เกิดขึ้น ว่าเป็นเรื่องจริง เป็นของจริง
และติดอยู่ในนิมิตนั้น ทำให้จิตไม่พัฒนาและปัญญาไม่เกิด จนบางครั้งอาจจะทำให้
ออกนอกลู่นอกทาง ห่างไกลจากคุณธรรมไปได้ ถ้าหากว่ากำลังแห่งจิตมิจฉาทิฏฐินั้น
มีกำลังมากเพราะการติดอยู่กับมันเป็นเวลายาวนาน จนเกิดเป็นความเคยชินของจิต
ที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ จึงเป็นเรื่องยากที่จะแก้ไข
นิมิตทั้งหลายที่เกิดขึ้นนั้น เกิดขึ้นจริง ตามเหตุปัจจัยและเจตนาของผู้ปฏิบัติ
ที่ได้ทำไป แต่นิมิตนั้นจะจริงหรือไม่นั้น ถูกต้องหรือไม่ ก็ต้องพิจารณาเข้าหาหลักธรรม
สงเคราะห์เข้าหาหลักธรรม ในสิ่งที่รู้และในสิ่งที่เห็น ว่าสอดคล้องถูกต้องตามหลักธรรม
ของพุทธศาสนาหรือไม่ มีหลักธรรมมารองรับ มาสงเคราะห์หรือไม่ ในนิมิตที่เกิดขึ้นนั้น
ครูบาอาจารย์กล่าวสอนไว้ว่า...รู้จริง เห็นจริง แต่สิ่งที่รู้และเห็นนั้นอาจจะไม่จริงก็ได้....
ท่านจึงสอนไม่ให้ผู้ปฏิบัติทั้งหลายไปติดอยู่กับนิมิตที่เกิดขึ้น เพราะจะทำให้เสียเวลา
ของการพัฒนาทางจิต เพราะนิมิตนั้นไม่ใช่กระบวนการแห่งการลดละกิเลส ตัณหา
อัตตา อุปทานและทิฏฐิและในทางกลับกันอาจจะเป็นการเพิ่มกำลังของกิเลส ตัณหา
อัตตา อุปทานและทิฏฐิให้มากยิ่งขึ้นกว่าเดิม นิมิตทั้งหลายจึงไม่ใช่ทางของการดับทุกข์
ในสมัยที่ผู้เขียนฝึกปฏิบัติธรรมใหม่ๆนั้น ได้ยินได้ฟังนักปฏิบัติท่านอื่นเขาคุยกัน
ว่าปฏิบัติแล้วเกิดนิมิตอย่างนั้นอย่างนี้ เห็นกันอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ตัวผู้เขียนกลับไม่เห็น
นิมิตอะไรเลย ทั้งที่รู้ว่าจิตนั้นสงบเป็นสมาธิ มีแต่ความ โปร่ง โล่งเบา เอิบอิ่ม สบายใจ
แต่ไม่เห็นภาพนิมิตอะไรกับเขา ผู้เขียนจึงได้เข้าไปถามท่านหลวงพ่อพุทธทาสในเรื่องนี้
ว่า...ทำไมปฏิบัติแล้วไม่เห็นอะไรกับเขาเลย....ท่านหลวงพ่อพุทธทาสตอบผู้เขียนว่า.....
...ก็ดีแล้วที่ไม่เห็นอะไร เพราะถ้าเห็นแล้วมันก็จะปวดหัว วุ่นวายกับสิ่งที่เห็นนั้น รู้มาก
เห็นมาก และถ้าละมันไม่ได้ก็จะวุ่นวายปวดหัวมาก ไม่ต้องรู้ต้องเห็นนิมิต ให้รู้เห็นจิต
เห้นกิเลสของเราก็เพียงพอแล้ว....คำตอบที่ผู้เขียนได้รับนั้นทำให้ผู้เขียนไม่สงสัยและ
ไม่อยากจะรู้จะเห็นนิมิตอีกต่อไป อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด แต่จิตไม่ไปติดอยู่ในนิมิตนั้น
จึงนำมาเล่าสู่กันฟัง เพื่อให้ท่านทั้งหลายนำไปคิดและพิจารณากัน......
เชื่อมั่น-ศรัทธา-ปรารถนาดี-ด้วยไมตรีจิต
รวี สัจจะ-สมณะไร้นาม-วจีพเนจร
๔ ตุลาคม ๒๕๕๔ เวลา ๐๐.๐๐ น. ณ ตถตาอาศรม บ้านบึง ชลบุรี